ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [Fic Black Butler | OC] The crimson roses ชะตาสีเลือด [LIAR'S FATE SERIES #2]

    ลำดับตอนที่ #2 : บทที่1 สาวใช้คนใหม่

    • อัปเดตล่าสุด 30 เม.ย. 64


    บทที่1 สาวใช้คนใหม่

                ประตูบ้านแฟนธอมไฮฟ์ได้เปิดรับสาวใช้คนใหม่เข้ามาเมื่อราว ๆ หนึ่งเดือนก่อน

                “นายน้อยคะ  เธอคนนี้...?”

                เมรินอดจะถามขึ้นอย่างสับสนไม่ได้  ตาก็มองสตรีผิวขาวราวกระดาษสลับกับนายน้อยของตนไม่หยุด

                บรรดาข้ารับใช้แห่งบ้านแฟนธอมไฮฟ์ต่างมองสำรวจสตรีตรงหน้าอย่างอยากรู้อยากเห็น  หล่อนเป็นผู้หญิงที่สูงพอสมควร  น่าจะมากกว่า 170 ซม.  รูปร่างเพรียวระหง  สิ่งที่ควรเล็กก็เล็ก  ในสิ่งที่ควรใหญ่ก็มากจนเกินพอ  ใบหน้านั้นถึงแม้จะนิ่งเฉยไร้อารมณ์เพียงใดก็ยังเป็นใบหน้าของสาวงาม  โดยเฉพาะดวงตาสีมเอทิสต์คู่นั้นที่ช่างงดงามดึงดูดเสียจนแทบละสายตาไม่ได้

                เธอดูงดงามเสียจนคล้ายว่าจะไม่ใช่มนุษย์  แต่คล้ายเป็นตุ๊กตากระเบื้องไม่ก็ภาพวาดของศิลปินมีชื่อ  งดงาม  สมบูรณ์แบบ...แต่ไร้ชีวิต

                สตรีในยุคสมัยนี้ค่อนข้างคลั่งไคล้ความขาวอยู่ไม่น้อย  ผิวกายที่ขาวจัดราวเครื่องกระเบื้องโดยธรรมชาติของเธอคนนี้จึงเป็นที่น่าอิจฉามากกว่าน่ารังเกียจ  ทุกคนต่างคิดว่ามันช่างน่าหลงใหล

                อาเคร่า มันเดล ฮาเลริเนีย เดอ. ลีเซเชียน  นับแต่นี้ไปจะมาทำงานเป็นเมดของที่นี่ค่ะ”

                น้ำเสียงที่ออกไปทางทุ้มนุ่มมากกว่าหวานใสกล่าวขึ้นไม่ช้าไม่เร็ว  กิริยาท่าทางกายย่อใด ๆ ล้วนงดงามไร้ที่ติ  ดูแล้วไม่เหมือนสามัญชนสักนิด

                “เอ่อ  นายน้อยคะ...”...ไปได้เธอคนนี้มาจากไหนคะเนี่ย?

                ประโยคครึ่งหลังไม่สามารถเอ่ยออกมาได้  เมรินจึงทำได้เพียงมองนายน้อยด้วยสีหน้าตั้งคำถาม

                “เก็บมาจากข้างทาง”

                คำตอบแสนขอไปทีของชิเอลทำบรรดาข้ารับใช้เกือบสำลัก  เซบาสเตียนหัวเราะอย่างอดไม่ได้  จ้องมองสตรีผู้มีชื่อยาวเหยียดด้วยดวงตาที่หรี่ลงอย่างครุ่นคิด

                หล่อนหันกลับมาสบตากับชายหนุ่ม  ดวงตาสีม่วงดุจอเมทิสต์ดูราวกับอัญมณีเม็ดงาม  ด้วยเพราะมันไร้ซึ่งชีวิตจิตใจโดยสิ้นเชิง

                คิ้วได้รูปค่อย ๆ เลิกขึ้น  น้ำเสียงนุ่มลึกแต่ไร้อารมณ์เอ่ยถามขึ้นทำลายความเงียบระหว่างทั้งคู่

                “มีอะไรรึเปล่าคะ?”

                เซบาสเตียนเห็นแบบนั้นก็ไม่อ้อมค้อม  กล่าวออกไปทั้งรอยยิ้ม

                “ผมแค่สงสัยเท่านั้น  ว่าสิ่งที่เห็นไป...แท้จริงมีความจริงอยู่มากน้อยแค่ไหน”

                เขาและนายน้อยบังเอิญขับรถม้าไปเจอเธอเข้าเมื่อคืนนี้  ในคืนที่มืดสนิทไร้แสงจันทร์กับไฟทางสลัว ๆ  พวกเขาได้ยินเสียงกรีดร้องและเสียงคำรามกึ่งมนุษย์กึ่งสัตว์ดังมาจากทางด้านหน้า  เมื่อจอดรถม้าและลอบย่องเข้าไปใกล้ ๆ ก็ได้พบเห็นสิ่งที่ไม่เชื่อเข้า

                กลุ่มของสิ่งมีชีวิตที่ไม่ใช่ทั้งสัตว์และคนที่กำลังถาโถมเข้าหาบางสิ่งพร้อมกับร้องคำรามอย่างบ้าคลั่ง  เสียงต่อสู้ดุเดือดและเศษซากชิ้นเนื้อที่กระจายทั่วเป็นอะไรที่ไม่น่าดูเลยแม้แต่น้อย  พวกมันรู้ดีว่าสิ่งที่ถูกล้อมอยู่นั้นอันตรายมากพอที่จะสังหารพวกมันได้  ทว่าด้วยแรงกระตุ้นบางอย่าง  พวกมันยังคงพุ่งเข้าใส่อย่างไม่ลดละ  แม้สุดท้ายจะตายตกเป็นเศษซากกองหนึ่งก็ไม่หวั่น

                จากจำนวนนับร้อยเหลือเพียงสิบ  สุดท้ายก็หมดสิ้น  ร่างของสิ่งที่พวกมันพยายามจะเข้ากัดทึ้งจึงได้ปรากฏสู่สายตา  เป็นสตรีร่างโชกเลือดผู้หนึ่ง

                สีแดงอาบย้อมร่างกายจนไม่อาจมองเห็นสีของผิวเนื้อที่แท้จริง  เธอยืนนิ่งอยู่พักหนึ่งก่อนที่จะโบกมือไปมาบนอากาศ  กรงนกสีทองพลันปรากฏขึ้น  ประตูกรงเปิดออก  ฉับพลันเปลวไฟสีฟ้าอ่อนก็ได้ลอยออกมาจากศพและพุ่งเข้าไปในกรงสีทอง  บังเกิดเป็นนกสีสันสดใสตัวหนึ่งยืนนิ่งอยู่ภายใน  เธอสะบัดมืออีกครามันก็หายไปแล้ว

    ทว่าสิ่งที่สะดุดตาของทั้งสองที่สุดไม่ใช่สภาพอาบเลือดน่าสยดสยองของหญิงสาวผู้นั้น  แต่เป็นแขนขวาที่ขาดหายไปตั้งแต่หัวไหล่!

                เธอเหลือบมองมันราวกับว่าไม่ได้รู้สึกเจ็บอันใด  ใช้อีกมือที่ยังปกติดีลูบเบา ๆ  จู่ ๆ เนื้อตรงหัวไหลาขวาก็สั่นเล็กน้อย  ก่อนที่กระดูกจะเริ่มก่อตัว  ตามด้วยเส้นเลือด  กล้ามเนื้อและผิวหนังที่มีสีขาวราวกับกระดาษ  ในเวลาเพียงชั่วอึดใจ  แขนข้างที่ขาดก็กลับมาเป็นปกติ

                ทันทีที่ชิเอลเห็นเหตุการณ์ดังกล่าว  เขาก็พลันเอ่ยปากชวนอีกฝ่ายให้มาทำงานกับตนทันที

                อาเคร่าจ้องมองใบหน้าเปื้อนยิ้มของชายหนุ่มด้วยสีหน้าเรียบเฉยใบเปลี่ยนแปลง  จนบางครั้งผู้มองก็อดคิดไม่ได้ว่าแท้จริงแล้วหล่อนเป็นคนหรือเป็นเพียงตุ๊กตาตัวหนึ่งกันแน่

                “...เช่นนั้นก็ดูให้ดีนะคะ”

                เธอกล่าวพร้อมกับยกมือข้างหนึ่งขึ้นในระดับอก  พลันผิวหนัง  กล้ามเนื้อและกระดูกของมือข้างนั้นก็บิดเบี้ยวเปลี่ยนรูปกลายเป็นใบเคียวราวตั๊กแตน

                ไม่รอให้ใครได้ทันหายตกใจ  อาเคร่าชูแขนข้างดังกล่าวขึ้น  แล้วทำการบั่นศีรษะของตัวเองจนขาดสะบั้นลงในทีเดียว

                ตุบ!

                ศีรษะกลิ้งหลุน ๆ ไปหยุดอยู่ที่แทบเท้าเมริน  เธอใบหน้าซีดเผือด  ครู่ต่อมาก็ตาเหลือกแล้วหงายหลังล้มลงไปนอนกองแทบพื้นทันที

                ร่างของสาวใช้คนใหม่ผู้ไร้หัวยังคงขยับไปมาเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น  เธอก้าวเข้าไปเก็บหัวบนพื้นมาต่อกลับที่เดิม  ภาพของเนื้อที่ค่อย ๆ ผสานกันทำให้ฟีนี่ตกใจจนเป็นลมล้มตึงไปอีกคน

                “เท่านี้คงพอจะกระจ่างได้แล้วสินะคะ?”

                เธอเอ่ยถาม  สีหน้ายังคงเรียบเฉยไม่เปลี่ยนแปลง

                สิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้าแม้แต่เซบาสเตียนผู้ไม่ใช่มนุษย์เห็นแล้วก็ยังถึงกับพูดไม่ออก  นับประสาอะไรกับคนอื่น ๆ ที่บัดนี้ดวงตาแทบจะถลนออกมาจากเบ้าอยู่ร่อมร่อ

                การปรากฏตัวของสาวใช้คนใหม่ผู้ฆ่าไม่ตายจึงมาพร้อมความโกลาหลวุ่นวายเช่นนี้เอง

     

     

                ปัจจุบัน

                เช้าตรู่หลังจากค่ำคืนอันแสนเลือดสาด  สภาพอารมณ์ของชิเอล แฟนธอมไฮฟ์นั้นไม่ดีเลยสักนิดเดียว

                เซบาสเตียนที่กำลังช่วยเด็กหนุ่มแต่งตัวไหนเลยจะดูไม่ออก  เขาเพียงไม่พูด  เพราะรู้ดีว่าหากเอ่ยอะไรออกไปก็จะรังแต่ทำให้นายน้อยหงุดหงิดมากยิ่งขึ้นเท่านั้น

                ปล่อยไว้เดี๋ยวนายน้อยก็ปลงไปเอง

                ทำไงได้  สาวใช้คนนั้นสร้างเรื่องน้อยเสียที่ไหน

                หากกล่าวว่าเมริน  ฟีนี่และบัลโดคือตัวปัญหาที่ชอบทำข้าวของเสียหาย  อาเคร่าผู้นี้ก็คือตัวหายนะที่มาพร้อมกับดวงอัปมงคล  ผู้ที่ทำคฤหาสน์วอดวายได้ทุกสามวันเจ็ดวัน

                หากไม่ใช่เพราะหล่อนมีสิ่งที่เรียกว่าเวทมนตร์  นายน้อยคงไล่เธอออกตั้งแต่วันแรกไปแล้ว

                คนบ้าที่ไหนเขาพิสูจน์พลังด้วยการตัดหัวตัวเองกัน?  กลัวไม่มีใครตกใจจนตายหรืออย่างไร

                “วันนี้หล่อนก่อเรื่องอะไรอีกหรือเปล่า?”

                ชิเอลเอ่ยถามเสียงขุ่นมัวเพราะโทสะ  ดูเหมือนว่าคำถามนี้จะเป็นคำถามติดปากของเขาไปแล้วในช่วงหนึ่งเดือนที่ผ่านมานี้

                “จากที่กระผมดู  ยังไม่มีขอรับ”

                เด็กชายกลอกตาพลัน

                “ขอให้ไม่มีไปให้ตลอดก็แล้วกัน...”

                ตูม!

                ชิเอล “...”

                ท่านเอิร์ลแฟนธอมไฮฟ์กัดฟันกรอด  อยากจะวิ่งชนกำแพงตายเสียเดี๋ยวนี้

                “...หากเป็นฝีมือยัยนั่น  จับไปเผาซะ!

                เซบาสเตียนลอบยิ้มขำ  กระนั้นก็ยังคงรับคำอย่างนอบน้อม

                Yes, My lord,

     

     

                อาเคร่าผู้ถูกกล่าวหาอย่างไม่เป็นธรรม(?)มองดูบัลโดที่กำลังใช้ปืนไฟย่างไก่ด้วยสีหน้าตายสนิท  ในมือถือเค้กหน้าตาน่ารักก้อนหนึ่ง

                อันที่จริงเธอทำไว้มากกว่านี้มาก  แต่เพราะอาหารที่บัลโดทำดันระเบิดขึ้นมา  ตอนนี้จึงเหลือเพียงก้อนเดียวเท่านั้น...

                เธอมองไก่ที่ถูกเผาจนดำสนิทตาปริบ ๆ  เลือกที่จะหมุนตัวเดินออกจากห้องครัวมาด้วยสีเท้าเงียบกริบจนเหมือนจะลอยออกไปมากกว่าเดิน

                เธอไม่รู้ไม่เห็นอะไรทั้งนั้น

                จังหวะนั้นเองที่เซบาสเตียนเดินสวนเข้ามา  ทั้งคู่พร้อมใจกันเบี่ยงตัวไปคนละด้านแล้วเดินต่อโดยที่จังหวะไม่มีชะงักแม้แต่น้อย

                ตำแหน่งของทั้งสองสลับกันแล้ว  จึงต่างโค้งเล็กน้อยเป็นการทักทายซึ่งกันและกัน  พ่อบ้านหนุ่มมองเค้กในมือของหญิงสาวก่อนยิ้มเล็กน้อย  แต่เมื่อหันกลับไปเห็นความวินาศสันตะโรภายในครัวใบหน้าก็พลันคล้ำลงจนน่ากลัว  ยกมือขึ้นนวดขมับพร้อมทั้งถอนหายใจออกมา

                “ผมบอกกี่ครั้งแล้วว่าอย่าเอาปืนไฟมาใช้ในห้องครัว?”

                เขาถามด้วยรอยยิ้ม  แต่ออร่ารอบกายกลับทะมึนยิ่ง  อาเคร่าทำเหมือนมองไม่เห็นไอดำทะมึนดังกล่าว  เอาแต่มองเค้กในมือเหมือนว่ามันสำคัญอย่างมาก

                เซบาสเตียนเหล่มองอีกฝ่าย  เมื่อเห็นท่าทีเหล่านั้นก็หัวเราะออกมาเสียงเบา

                “ดีที่นี่ไม่ใช่ฝีมือคุณ  ไม่เช่นนั้นผมคงต้องจับคุณตรึงบนกางเขนและเผาทั้งเป็นเสีย”

                คำพูดแสนโหดร้ายถูกเอ่ยออกมาพร้อมรอยยิ้มน่ามอง  อาเคร่ายังคงมีสีหน้าไร้ความรู้สึกราวตุ๊กตา  ผงกศีรษะเป็นเชิงเข้าใจ

                “นายน้อยช่างมีอารมณ์ขัน  เขาทำราวกับไม่รู้ว่าต่อให้เผาฉันไปพร้อมคฤหาสน์นี้ฉันก็ไม่ตายอยู่ดี”

                เซบาสเตียนชะงัก  สมองประมวลผลไม่ทันชั่วคราวว่านั่นหล่อนกำลังพูดไปเฉย ๆ หรือกำลังหลอกด่านายน้อยว่าโง่อยู่กันแน่

                “ฉันขอตัวไปเตรียมของหวานระหว่างมื้ออาหารก่อนนะคะ”

                เธอกล่าวเสียงเรียบก่อนจากไป

                ชายหนุ่มมองตามร่างนั้นไปจนลับตา  ก่อนหันกลับไปจัดการกับสภาพเละเทะที่บัลโดทิ้งเอาไว้

                ในมือของอาเคร่ามีเพียงเค้กก้อนหนึ่ง  เธอเดินด้วยฝีเท้ามั่นคง  จังหวะที่วาดมือผ่านเบื้องหน้า  รถเข็นอาหารพลันปรากฏ  ก้อนเค้กถูกวางลงและตัดออกเป็นชิ้น ๆ ด้วยมือที่ถูกบีบจนมีรูปร่างไม่ต่างกับมีด

                ชารสชาติเหมาะกันลอยมาจากห้องเก็บวัตถุดิบ  น้ำร้อนถูกเสกจากอากาศ  ช้อนและจานหน้าตางดงามเองก็ปรากฏขึ้นทันทีที่เธอวาดมือผ่านไป

                เมื่อมาหยุดอยู่หน้าห้อง  ทุกอย่างก็ถูกเตรียมเสร็จสิ้น

                “ขออนุญาตค่ะ”

                เธอเดินเข้าไปในห้องอาหาร  เลือกยืนอย่างสงบเสงี่ยมอยู่ที่มุมหนึ่งของห้องกว้าง  ชิเอลปรายตามอง  ทานอาหารเช้าอย่างไม่ใส่ใจ

                ภาพของศพที่อยู่ในสภาพน่าสยดสยองแล่นกลับมาทันทีที่เขามองเห็นใบหน้าไร้อารมณ์ของหญิงสาว  ความอยากอาหารหายไปกว่าครึ่ง

                “นี่...”

                โครม!

                ในระหว่างที่กำลังอ้าปากจะพูดบางอย่าง  คฤหาสน์ทั้งหลังก็พลันสั่นสะเทือน  ใบหน้าของชิเอลพลันดำคล้ำ  ไม่ต้องเดาก็ทราบได้ว่า แขกอันทรงพลังผู้นี้ต้องการมาหาใคร

                เขากัดฟัน  หงุดหงิดขั้นสุดจนอยากหยิบปืนมายิงหัวตัวเองสักนัด  เขายกมือขึ้นนวดขมับ  กัดฟันพูดด้วยน้ำเสียงอดทนอดกลั้น

                “จัดการภายในสิบนาที”

                เธอกะพริบตาด้วยท่าทีไม่เป็นธรรมชาติ  โค้งตัวอย่างงดงาม

                “ตามที่ประสงค์ค่ะ  นายน้อย”

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×