คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : บทที่1 สาวใช้คนใหม่
บทที่1 สาวใช้คนใหม่
ประตูบ้านแฟนธอมไฮฟ์ได้เปิดรับสาวใช้คนใหม่เข้ามาเมื่อราว
ๆ หนึ่งเดือนก่อน
“นายน้อยคะ เธอคนนี้...?”
เมรินอดจะถามขึ้นอย่างสับสนไม่ได้ ตาก็มองสตรีผิวขาวราวกระดาษสลับกับนายน้อยของตนไม่หยุด
บรรดาข้ารับใช้แห่งบ้านแฟนธอมไฮฟ์ต่างมองสำรวจสตรีตรงหน้าอย่างอยากรู้อยากเห็น หล่อนเป็นผู้หญิงที่สูงพอสมควร น่าจะมากกว่า 170 ซม. รูปร่างเพรียวระหง สิ่งที่ควรเล็กก็เล็ก ในสิ่งที่ควรใหญ่ก็มากจนเกินพอ
ใบหน้านั้นถึงแม้จะนิ่งเฉยไร้อารมณ์เพียงใดก็ยังเป็นใบหน้าของสาวงาม
โดยเฉพาะดวงตาสีมเอทิสต์คู่นั้นที่ช่างงดงามดึงดูดเสียจนแทบละสายตาไม่ได้
เธอดูงดงามเสียจนคล้ายว่าจะไม่ใช่มนุษย์
แต่คล้ายเป็นตุ๊กตากระเบื้องไม่ก็ภาพวาดของศิลปินมีชื่อ งดงาม
สมบูรณ์แบบ...แต่ไร้ชีวิต
สตรีในยุคสมัยนี้ค่อนข้างคลั่งไคล้ความขาวอยู่ไม่น้อย ผิวกายที่ขาวจัดราวเครื่องกระเบื้องโดยธรรมชาติของเธอคนนี้จึงเป็นที่น่าอิจฉามากกว่าน่ารังเกียจ ทุกคนต่างคิดว่ามันช่างน่าหลงใหล
“อาเคร่า มันเดล
ฮาเลริเนีย เดอ. ลีเซเชียน นับแต่นี้ไปจะมาทำงานเป็นเมดของที่นี่ค่ะ”
น้ำเสียงที่ออกไปทางทุ้มนุ่มมากกว่าหวานใสกล่าวขึ้นไม่ช้าไม่เร็ว กิริยาท่าทางกายย่อใด ๆ ล้วนงดงามไร้ที่ติ ดูแล้วไม่เหมือนสามัญชนสักนิด
“เอ่อ นายน้อยคะ...”...ไปได้เธอคนนี้มาจากไหนคะเนี่ย?
ประโยคครึ่งหลังไม่สามารถเอ่ยออกมาได้
เมรินจึงทำได้เพียงมองนายน้อยด้วยสีหน้าตั้งคำถาม
“เก็บมาจากข้างทาง”
คำตอบแสนขอไปทีของชิเอลทำบรรดาข้ารับใช้เกือบสำลัก เซบาสเตียนหัวเราะอย่างอดไม่ได้ จ้องมองสตรีผู้มีชื่อยาวเหยียดด้วยดวงตาที่หรี่ลงอย่างครุ่นคิด
หล่อนหันกลับมาสบตากับชายหนุ่ม
ดวงตาสีม่วงดุจอเมทิสต์ดูราวกับอัญมณีเม็ดงาม ด้วยเพราะมันไร้ซึ่งชีวิตจิตใจโดยสิ้นเชิง
คิ้วได้รูปค่อย ๆ เลิกขึ้น
น้ำเสียงนุ่มลึกแต่ไร้อารมณ์เอ่ยถามขึ้นทำลายความเงียบระหว่างทั้งคู่
“มีอะไรรึเปล่าคะ?”
เซบาสเตียนเห็นแบบนั้นก็ไม่อ้อมค้อม กล่าวออกไปทั้งรอยยิ้ม
“ผมแค่สงสัยเท่านั้น
ว่าสิ่งที่เห็นไป...แท้จริงมีความจริงอยู่มากน้อยแค่ไหน”
เขาและนายน้อยบังเอิญขับรถม้าไปเจอเธอเข้าเมื่อคืนนี้ ในคืนที่มืดสนิทไร้แสงจันทร์กับไฟทางสลัว
ๆ พวกเขาได้ยินเสียงกรีดร้องและเสียงคำรามกึ่งมนุษย์กึ่งสัตว์ดังมาจากทางด้านหน้า เมื่อจอดรถม้าและลอบย่องเข้าไปใกล้ ๆ
ก็ได้พบเห็นสิ่งที่ไม่เชื่อเข้า
กลุ่มของสิ่งมีชีวิตที่ไม่ใช่ทั้งสัตว์และคนที่กำลังถาโถมเข้าหาบางสิ่งพร้อมกับร้องคำรามอย่างบ้าคลั่ง เสียงต่อสู้ดุเดือดและเศษซากชิ้นเนื้อที่กระจายทั่วเป็นอะไรที่ไม่น่าดูเลยแม้แต่น้อย พวกมันรู้ดีว่าสิ่งที่ถูกล้อมอยู่นั้นอันตรายมากพอที่จะสังหารพวกมันได้ ทว่าด้วยแรงกระตุ้นบางอย่าง พวกมันยังคงพุ่งเข้าใส่อย่างไม่ลดละ แม้สุดท้ายจะตายตกเป็นเศษซากกองหนึ่งก็ไม่หวั่น
จากจำนวนนับร้อยเหลือเพียงสิบ สุดท้ายก็หมดสิ้น ร่างของสิ่งที่พวกมันพยายามจะเข้ากัดทึ้งจึงได้ปรากฏสู่สายตา เป็นสตรีร่างโชกเลือดผู้หนึ่ง
สีแดงอาบย้อมร่างกายจนไม่อาจมองเห็นสีของผิวเนื้อที่แท้จริง
เธอยืนนิ่งอยู่พักหนึ่งก่อนที่จะโบกมือไปมาบนอากาศ กรงนกสีทองพลันปรากฏขึ้น ประตูกรงเปิดออก ฉับพลันเปลวไฟสีฟ้าอ่อนก็ได้ลอยออกมาจากศพและพุ่งเข้าไปในกรงสีทอง
บังเกิดเป็นนกสีสันสดใสตัวหนึ่งยืนนิ่งอยู่ภายใน เธอสะบัดมืออีกครามันก็หายไปแล้ว
ทว่าสิ่งที่สะดุดตาของทั้งสองที่สุดไม่ใช่สภาพอาบเลือดน่าสยดสยองของหญิงสาวผู้นั้น แต่เป็นแขนขวาที่ขาดหายไปตั้งแต่หัวไหล่!
เธอเหลือบมองมันราวกับว่าไม่ได้รู้สึกเจ็บอันใด ใช้อีกมือที่ยังปกติดีลูบเบา ๆ จู่ ๆ เนื้อตรงหัวไหลาขวาก็สั่นเล็กน้อย ก่อนที่กระดูกจะเริ่มก่อตัว ตามด้วยเส้นเลือด
กล้ามเนื้อและผิวหนังที่มีสีขาวราวกับกระดาษ ในเวลาเพียงชั่วอึดใจ แขนข้างที่ขาดก็กลับมาเป็นปกติ
ทันทีที่ชิเอลเห็นเหตุการณ์ดังกล่าว
เขาก็พลันเอ่ยปากชวนอีกฝ่ายให้มาทำงานกับตนทันที
อาเคร่าจ้องมองใบหน้าเปื้อนยิ้มของชายหนุ่มด้วยสีหน้าเรียบเฉยใบเปลี่ยนแปลง
จนบางครั้งผู้มองก็อดคิดไม่ได้ว่าแท้จริงแล้วหล่อนเป็นคนหรือเป็นเพียงตุ๊กตาตัวหนึ่งกันแน่
“...เช่นนั้นก็ดูให้ดีนะคะ”
เธอกล่าวพร้อมกับยกมือข้างหนึ่งขึ้นในระดับอก พลันผิวหนัง
กล้ามเนื้อและกระดูกของมือข้างนั้นก็บิดเบี้ยวเปลี่ยนรูปกลายเป็นใบเคียวราวตั๊กแตน
ไม่รอให้ใครได้ทันหายตกใจ อาเคร่าชูแขนข้างดังกล่าวขึ้น แล้วทำการบั่นศีรษะของตัวเองจนขาดสะบั้นลงในทีเดียว
ตุบ!
ศีรษะกลิ้งหลุน
ๆ ไปหยุดอยู่ที่แทบเท้าเมริน
เธอใบหน้าซีดเผือด
ครู่ต่อมาก็ตาเหลือกแล้วหงายหลังล้มลงไปนอนกองแทบพื้นทันที
ร่างของสาวใช้คนใหม่ผู้ไร้หัวยังคงขยับไปมาเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น เธอก้าวเข้าไปเก็บหัวบนพื้นมาต่อกลับที่เดิม ภาพของเนื้อที่ค่อย ๆ
ผสานกันทำให้ฟีนี่ตกใจจนเป็นลมล้มตึงไปอีกคน
“เท่านี้คงพอจะกระจ่างได้แล้วสินะคะ?”
เธอเอ่ยถาม สีหน้ายังคงเรียบเฉยไม่เปลี่ยนแปลง
สิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้าแม้แต่เซบาสเตียนผู้ไม่ใช่มนุษย์เห็นแล้วก็ยังถึงกับพูดไม่ออก นับประสาอะไรกับคนอื่น ๆ
ที่บัดนี้ดวงตาแทบจะถลนออกมาจากเบ้าอยู่ร่อมร่อ
การปรากฏตัวของสาวใช้คนใหม่ผู้ฆ่าไม่ตายจึงมาพร้อมความโกลาหลวุ่นวายเช่นนี้เอง
ปัจจุบัน
เช้าตรู่หลังจากค่ำคืนอันแสนเลือดสาด สภาพอารมณ์ของชิเอล
แฟนธอมไฮฟ์นั้นไม่ดีเลยสักนิดเดียว
เซบาสเตียนที่กำลังช่วยเด็กหนุ่มแต่งตัวไหนเลยจะดูไม่ออก เขาเพียงไม่พูด
เพราะรู้ดีว่าหากเอ่ยอะไรออกไปก็จะรังแต่ทำให้นายน้อยหงุดหงิดมากยิ่งขึ้นเท่านั้น
ปล่อยไว้เดี๋ยวนายน้อยก็ปลงไปเอง
ทำไงได้ สาวใช้คนนั้นสร้างเรื่องน้อยเสียที่ไหน
หากกล่าวว่าเมริน ฟีนี่และบัลโดคือตัวปัญหาที่ชอบทำข้าวของเสียหาย อาเคร่าผู้นี้ก็คือตัวหายนะที่มาพร้อมกับดวงอัปมงคล ผู้ที่ทำคฤหาสน์วอดวายได้ทุกสามวันเจ็ดวัน
หากไม่ใช่เพราะหล่อนมีสิ่งที่เรียกว่าเวทมนตร์ นายน้อยคงไล่เธอออกตั้งแต่วันแรกไปแล้ว
คนบ้าที่ไหนเขาพิสูจน์พลังด้วยการตัดหัวตัวเองกัน? กลัวไม่มีใครตกใจจนตายหรืออย่างไร
“วันนี้หล่อนก่อเรื่องอะไรอีกหรือเปล่า?”
ชิเอลเอ่ยถามเสียงขุ่นมัวเพราะโทสะ ดูเหมือนว่าคำถามนี้จะเป็นคำถามติดปากของเขาไปแล้วในช่วงหนึ่งเดือนที่ผ่านมานี้
“จากที่กระผมดู ยังไม่มีขอรับ”
เด็กชายกลอกตาพลัน
“ขอให้ไม่มีไปให้ตลอดก็แล้วกัน...”
ตูม!
ชิเอล “...”
ท่านเอิร์ลแฟนธอมไฮฟ์กัดฟันกรอด อยากจะวิ่งชนกำแพงตายเสียเดี๋ยวนี้
“...หากเป็นฝีมือยัยนั่น จับไปเผาซะ!”
เซบาสเตียนลอบยิ้มขำ
กระนั้นก็ยังคงรับคำอย่างนอบน้อม
“Yes, My lord,”
อาเคร่าผู้ถูกกล่าวหาอย่างไม่เป็นธรรม(?)มองดูบัลโดที่กำลังใช้ปืนไฟย่างไก่ด้วยสีหน้าตายสนิท ในมือถือเค้กหน้าตาน่ารักก้อนหนึ่ง
อันที่จริงเธอทำไว้มากกว่านี้มาก แต่เพราะอาหารที่บัลโดทำดันระเบิดขึ้นมา ตอนนี้จึงเหลือเพียงก้อนเดียวเท่านั้น...
เธอมองไก่ที่ถูกเผาจนดำสนิทตาปริบ
ๆ เลือกที่จะหมุนตัวเดินออกจากห้องครัวมาด้วยสีเท้าเงียบกริบจนเหมือนจะลอยออกไปมากกว่าเดิน
เธอไม่รู้ไม่เห็นอะไรทั้งนั้น
จังหวะนั้นเองที่เซบาสเตียนเดินสวนเข้ามา
ทั้งคู่พร้อมใจกันเบี่ยงตัวไปคนละด้านแล้วเดินต่อโดยที่จังหวะไม่มีชะงักแม้แต่น้อย
ตำแหน่งของทั้งสองสลับกันแล้ว จึงต่างโค้งเล็กน้อยเป็นการทักทายซึ่งกันและกัน
พ่อบ้านหนุ่มมองเค้กในมือของหญิงสาวก่อนยิ้มเล็กน้อย แต่เมื่อหันกลับไปเห็นความวินาศสันตะโรภายในครัวใบหน้าก็พลันคล้ำลงจนน่ากลัว ยกมือขึ้นนวดขมับพร้อมทั้งถอนหายใจออกมา
“ผมบอกกี่ครั้งแล้วว่าอย่าเอาปืนไฟมาใช้ในห้องครัว?”
เขาถามด้วยรอยยิ้ม แต่ออร่ารอบกายกลับทะมึนยิ่ง
อาเคร่าทำเหมือนมองไม่เห็นไอดำทะมึนดังกล่าว เอาแต่มองเค้กในมือเหมือนว่ามันสำคัญอย่างมาก
เซบาสเตียนเหล่มองอีกฝ่าย เมื่อเห็นท่าทีเหล่านั้นก็หัวเราะออกมาเสียงเบา
“ดีที่นี่ไม่ใช่ฝีมือคุณ ไม่เช่นนั้นผมคงต้องจับคุณตรึงบนกางเขนและเผาทั้งเป็นเสีย”
คำพูดแสนโหดร้ายถูกเอ่ยออกมาพร้อมรอยยิ้มน่ามอง
อาเคร่ายังคงมีสีหน้าไร้ความรู้สึกราวตุ๊กตา ผงกศีรษะเป็นเชิงเข้าใจ
“นายน้อยช่างมีอารมณ์ขัน เขาทำราวกับไม่รู้ว่าต่อให้เผาฉันไปพร้อมคฤหาสน์นี้ฉันก็ไม่ตายอยู่ดี”
เซบาสเตียนชะงัก
สมองประมวลผลไม่ทันชั่วคราวว่านั่นหล่อนกำลังพูดไปเฉย ๆ
หรือกำลังหลอกด่านายน้อยว่าโง่อยู่กันแน่
“ฉันขอตัวไปเตรียมของหวานระหว่างมื้ออาหารก่อนนะคะ”
เธอกล่าวเสียงเรียบก่อนจากไป
ชายหนุ่มมองตามร่างนั้นไปจนลับตา ก่อนหันกลับไปจัดการกับสภาพเละเทะที่บัลโดทิ้งเอาไว้
ในมือของอาเคร่ามีเพียงเค้กก้อนหนึ่ง เธอเดินด้วยฝีเท้ามั่นคง จังหวะที่วาดมือผ่านเบื้องหน้า รถเข็นอาหารพลันปรากฏ ก้อนเค้กถูกวางลงและตัดออกเป็นชิ้น ๆ
ด้วยมือที่ถูกบีบจนมีรูปร่างไม่ต่างกับมีด
ชารสชาติเหมาะกันลอยมาจากห้องเก็บวัตถุดิบ น้ำร้อนถูกเสกจากอากาศ
ช้อนและจานหน้าตางดงามเองก็ปรากฏขึ้นทันทีที่เธอวาดมือผ่านไป
เมื่อมาหยุดอยู่หน้าห้อง ทุกอย่างก็ถูกเตรียมเสร็จสิ้น
“ขออนุญาตค่ะ”
เธอเดินเข้าไปในห้องอาหาร เลือกยืนอย่างสงบเสงี่ยมอยู่ที่มุมหนึ่งของห้องกว้าง ชิเอลปรายตามอง ทานอาหารเช้าอย่างไม่ใส่ใจ
ภาพของศพที่อยู่ในสภาพน่าสยดสยองแล่นกลับมาทันทีที่เขามองเห็นใบหน้าไร้อารมณ์ของหญิงสาว ความอยากอาหารหายไปกว่าครึ่ง
“นี่...”
โครม!
ในระหว่างที่กำลังอ้าปากจะพูดบางอย่าง คฤหาสน์ทั้งหลังก็พลันสั่นสะเทือน ใบหน้าของชิเอลพลันดำคล้ำ ไม่ต้องเดาก็ทราบได้ว่า ‘แขก’ อันทรงพลังผู้นี้ต้องการมาหาใคร
เขากัดฟัน หงุดหงิดขั้นสุดจนอยากหยิบปืนมายิงหัวตัวเองสักนัด เขายกมือขึ้นนวดขมับ กัดฟันพูดด้วยน้ำเสียงอดทนอดกลั้น
“จัดการภายในสิบนาที”
เธอกะพริบตาด้วยท่าทีไม่เป็นธรรมชาติ โค้งตัวอย่างงดงาม
“ตามที่ประสงค์ค่ะ นายน้อย”
ความคิดเห็น