คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : บทนำ
บทนำ
ดวงตาดำมืดจดจ้องร่างอันเปียกชุ่มด้วยของเหลวสีสดบนพื้นอย่างเฉยชา
เดินข้ามไปแบบไม่ใยดี ก้มมองโซ่บนข้อมือซึ่งเขรอะด้วยสนิมแวบหนึ่ง ก่อนกระชากพวกมันออกอย่างง่ายดายราวฉีกกระดาษ
“ทุกหน่วยแยกกันตามหาให้เจอ!”
เสียงตะโกนโหวกเหวกดังอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล
หญิงสาวชะงักกายกึก หันกลับไปมองยังทิศที่เสียงลอยมาตามสัญชาตญาณ แนบร่างติดกับมุมมืดของกำแพง เสียงหายใจถูกคุมให้แผ่วราวไม่มีอยู่
เสียงฝีเท้าจำนวนมากกระทบพื้นดังคละเคล้าเสียงฟ้าคำรามกระหึ่ม
พลันหยดฝนก็พรั่งพรูลงมา หล่อนเงยหน้ามองความมืดมิดด้านบน
สัมผัสเปียกชื้นและเย็นเฉียบทำให้ร่างกายที่กำลังสั่นสะท้านด้วยความหนาวด้านชาขึ้น
เธอฉีกยิ้ม ออกวิ่งไปตามซอยที่คับแคบอย่างคล่องแคล่ว
“มีศพคนตรงนี้! หล่อนอยู่แถวนี้!”
“แยกย้ายกันหาให้ทั่ว จะต้องอยู่ไม่ไกลนี้แน่”
เสียงสั่งการที่ดูใจเย็นกว่าเสียงอื่นทำให้ใบหน้าที่กำลังฉีกยิ้มพลันบูดบึ้ง
เธอจิ๊ปากราวเด็กที่ถูกขัดใจ ดวงตาทอแสงวาววาม ในลำคอบังเกิดเป็นเสียงคำรามต่ำที่ดูกึ่งเล่นกึ่งจริง
“แหม...ไม่ไว้หน้ากันเลยนะ!”
ปัง!
เสียงปืนดังเฉียดร่างของหล่อนไปไม่ไกลไม่ใกล้
ดวงตาของเธอเบิกขึ้นโดยไร้ซึ่งความตื่นกลัว ออกจะประหลาดใจเสียมากกว่า
หล่อนหันกลับไปมองทางด้านหลัง สองตาทอประกายดุจเม็ดนิลที่กระทบถูกแสงทั้ง ๆ ที่ในตรอกนั้นมืดสนิท
นับเป็นความผิดปกติที่ชวนให้หวาดผวาอยู่หลายส่วน
เธอมองบรรดา ‘ผู้ใหญ่’ ที่ตามตนมาพลางหัวเราะคิกคักด้วยเสียงของเด็กหญิง
ผิดรูปร่างที่สูงเพรียวและเต็มไปด้วยส่วนเว้าส่วนโค้งแห่งสตรีเพศ
เจ้าหน้าที่สามคนที่กำลังวิ่งเข้ามาผวาเฮือก
แว่วเสียงหัวเราะอันไม่ปกติทำให้ใจสั่น ปืนในมือก็พาลสั่นไปด้วยเช่นเดียวกัน
หล่อนหมุนตัวออกวิ่งต่อ
กระโดดเพียงวูบเดียวก็หายลับไปหลังกำแพงสูงกว่าสี่เมตร
เธอเบียดกายเข้ากับตรอกแคบ
เบิกตาคอยมองพวกเจ้าหน้าที่ที่วิ่งผ่านหน้าไปอย่างใจเย็น
ค่อย ๆ นับจำนวนจนแน่ใจ จึงได้เอื้อมมือออกไปคว้าใบหน้าช่วงล่างคนผู้หนึ่งแล้วกระชากอย่างแรง
กร๊อบ!
ไม่ทันที่ชายผู้น่าสงสารจะทันรู้ตัว
เพียงแค่เสี้ยววินาทีที่ถูกปิดปาก ลำคอของเขาก็ถูกบดขยี้จนแหลกละเอียด ล้มลงตายอย่างฉับพลัน
หล่อนคว้าปืนในมืออีกฝ่ายมาถือ
ก้าวข้ามศพที่นอนปิดปากตรอกออกไปอย่างไร้เสียง อีกสองคนยังไม่เห็นเธอซึ่งอยู่ห่างจากกันเพียงไม่กี่เมตร
นั่นทำให้รอยยิ้มหนึ่งปรากฏขึ้นมา
ชุดสีทึบของนักโทษที่สวมทับอยู่บนตัวของเด็กสาวทำให้ร่างนั้นคล้ายกับว่าได้กลายเป็นหนึ่งเดียวกับความมืดไปแล้ว
รอยยิ้มน้อย ๆ ที่ไม่อาจส่งไปถึงดวงตาทำให้ใบหน้าที่ควรงดงามดูราวกับอสูรร้ายเลือดเย็น
มือเรียวเล็กที่ออกจะผอมไปเสียหน่อยยกขึ้น
เล็งปลายกระบอกปืนไปทางกลุ่มเจ้าหน้าที่อย่างแช่มช้าดุจกำลังร่ายรำ
ปัง ๆ!
หนึ่งในพวกเขาหันกลับมา
ปากกำลังป่าวร้อง มือกำลังยกปืนขึ้น ‘วิสามัญ’ อีกฝ่าย ทว่าหล่อนนั้นไวกว่ามาก ส่งกระสุนสองนัดเข้าทะลุกะโหลกของทั้งคู่อย่างแม่นยำ
พวกนั้นไม่ทันจะได้ส่งเสียงร้องก็ล้มลงไปแล้ว
เธอกระโดดขึ้นไปยืนบนกำแพง
สามคนอีกฟากพลันสาดกระสุนเข้าใส่ หล่อนกระโดดอีกครั้งไปด้านหลังของพวกเขา ชักปืนขึ้นยิงสวน กระสุนทุกนัดฝังเข้าที่ส่วนหัวไม่มีพลาดเป้า
หญิงสาวจ้องมองร่างที่ล้มลงราวใบไม้ไร้ค่าด้วยสีหน้าอารมณ์ดี
ห่างไกลจากความรู้สึกผิดที่สังหารคนหรือเลือดเย็นไร้อารมณ์ยามปลิดลมหายใจผู้อื่นไปไกล
ร่างนั้นหมุนตัวแล้วออกวิ่งอีกครั้ง
เสียงฝีเท้าจำนวนมากและเสียงพูดคุยยังมีแว่วมาให้ได้ยินเป็นพัก
ๆ สิ่งเดียวที่หล่อนได้เปรียบจากสถานการณ์ในตอนนี้คือรู้เส้นทางคดเคี้ยวแสนแคบและมืดทึบของเขตนี้เป็นอย่างดี
ทว่าทางด้านอื่นเล่า?
กำลังพลก็มีเพียงตัวเอง
อาวุธก็มีเพียงปืนไม่กี่กระบอกที่ตกจากพวกเจ้าหน้าที่เหล่านี้
เครื่องมือสื่อสารใด ๆ ก็ไม่มีเนื่องจากเพิ่งแหกคุกออกมา
ผิดจากอีกด้านที่มีทุกสิ่ง บางทีอาจจะมีนอกเหนือจากที่เธอกล่าวมาด้วยซ้ำไป
เธอไม่แน่ใจนักว่าตัวเองจะรอดพ้นคืนนี้ไปได้รึเปล่า
ซึ่งนั่นก็ไม่ใช่เป้าหมายหลักของเธอซะด้วย...
ระหว่างที่ครุ่นคิด
ขาและประสาทอื่น ๆ ก็ยังคงทำงานอย่างหนักเพื่อพาตัวเองให้ออกห่างจากเสียงฝีเท้าให้มากที่สุด
ทว่าไม่ว่าจะวิ่งไปทางใดก็กลับมีคนเหล่านั้นอยู่ทุกที่จนน่าหงุดหงิด
ยิ่งวิ่ง
หล่อนยิ่งตระหนักได้ถึงบางสิ่ง สุดท้ายก็เลือกที่จะหยุด
คนในเครื่องแบบติดอาวุธครบมือปรากฏตัวขึ้นจากทุกทิศ
ต่างเล็งปืนมาที่เธอ นับ ๆ ดูแล้วมีประมาณสามสิบคน
หรือบางทีอาจมากกว่านั้น
หญิงสาวฉีกยิ้ม
หัวเราะออกมา
“กะอีแค่จับเด็กสิบหกคนนึงจำเป็นต้องยกโขยงมาทั้งฝูงแบบนี้เลยรึ?
คุณหัวหน้าหน่วยควบคุมและจัดการคดีพิเศษ?”
ดวงตาดำมืดเหมือนหลุมลึกจับจ้องชายผู้อยู่ด้านหน้าสุดของกลุ่มคนด้วยสีหน้าอมยิ้ม
ชื่อตำแหน่งที่จงใจเอ่ยออกมาเต็มยศเต็มไปด้วยแววเสียดสี
ชายหนุ่มไม่ตอบโต้
ใบหน้าหล่อเหลาสะท้อนแววนิ่งเฉยแต่ไม่เย็นชา
เด็กสาวมองตอบ หัวเราะเหอะ ๆ อย่างไม่ใส่ใจ ยกสองแขนขึ้นเสมอไหล่
“ไม่คิดจะคุยกับสหายเก่าหน่อยเหรอคุณหัวหน้าภาคิน?”
ท่าทีสบาย
ๆ ของสาวเจ้าเป็นต้นเหตุที่ทำให้ผู้คนในที่นี้หวาดกลัวจนแทบประคองอาวุธเอาไว้ไม่อยู่
พยายามเบิกตากว้างมองเธอเอาไว้ไม่ให้คลาดสายตา
“...หากเป็นเด็กคนอื่น
ฉันอาจไม่ต้องทำแบบนี้” ดวงตาคู่นั้นค่อย ๆ หรี่ลง “แต่สำหรับนักโทษติดชื่อแดงจากทุกประเทศ
ถูกตัดสินให้ประหาร ทั้งยังแหกคุก สังหารบรรดาเจ้าหน้าที่และคนบริสุทธิ์ไปมากมายอย่างเธอ
แบบนี้ถือว่ายังน้อยไป”
เด็กสาวได้ยินเช่นนั้นก็หัวเราะออกมาทันที
“แหม
ข้ามความดีกันซะหมดแบบนี้ฉันเสียใจนะคะ คุณหัวหน้าภาคิน” เธอว่าพลางปิดปากหัวเราะอย่างมีจริต
ใช้เสียงของเด็กน้อยพูดด้วยท่าทีใสซื่อ “นึกถึงประโยชน์ที่ฉันทำให้กับองค์กรมั่งสิ จับผู้ร้าย หาหลักฐาน สอบปากคำ ทรมาน คุ้มกันบุคคลสำคัญ...ฉันก็ทำไม่ใช่เหรอ?”
เธอไม่รอคำตอบ
ดวงตาหรี่ลงดูน่ากลัว
“ยิง”
ปัง! ปัง! ปัง!
สิ้นคำ
เจ้าหน้าที่ซึ่งเคยจ่อปืนมาทางนี้ต่างหันอาวุธเข้าหากันเอง
แล้วลั่นไกออกมาอย่างไม่มีลังเล มีเพียงชายที่ถูกเรียกว่าภาคินเท่านั้นที่ไม่ทำเช่นนั้น
เขาเพียงเบิกตาขึ้นอย่างตกใจก่อนจะจ้องไปทางเด็กสาวเขม็ง
เด็กสาวกะพริบตามองด้วยสีหน้าไร้เดียงสา
ปากยกสูงช้า ๆ
“ฮ่าๆ
ๆ ๆ!”
เธอพลันระเบิดเสียงหัวเราะออกมาราวคนวิปริต
เบิกตาจ้องมองชายหนุ่มตรงหน้า ปากโค้งสูง แต่มันดูคล้ายแยกเขี้ยวมากกว่ายิ้ม
ภาคินค่อย
ๆ ถอดเครื่องกักเสียงออก มองใบหน้าที่เริ่มห่างไกลจากคำว่าปกติขึ้นทุกทีอย่างนิ่งสงบ
“...เธอเตรียมใจที่จะตายงั้นเหรอ?”
คำถามที่ถูกยิงมาอย่างกะทันหันทำหล่อนเลิกคิ้วสูง
ปืนที่เก็บมาจากศพถูกกำแน่นขึ้นอย่างลืมตัว ท่าทีพวกนั้นเกิดขึ้นเพียงแวบหนึ่งก็หายไป
เธอยิ้มด้วยรอยยิ้มที่น่าขนลุก
“คิดแบบนั้นเหรอ?”
เสียงของเธอไม่ได้ถูกดัดและพยายามพูดให้สุภาพอีก
เขามองหล่อนที่ยังคงกอดอกยิ้ม ๆ มองตนนิ่ง
ไม่ได้ให้คำตอบอะไรกลับไปทั้งนั้น
“...หากยอมกลับไปดี
ๆ เธอจะปลอดภัย ลักซ์”
แม้น้ำเสียงของชายหนุ่มจะราบเรียบมาก
แต่หล่อนก็สัมผัสได้ว่ามันเจือไว้ซึ่งอารมณ์บางอย่าง
เด็กสาวยิ้มอ่อน ๆ ดวงตาไร้แววซาบซึ้ง ออกจะเรียบนิ่งจนแทบจะเป็นเย็นชา
“ที่นั่นไม่เคยปลอดภัย
คิน ไม่เคยเลย...”
สิ้นคำ เธอก็เล็งปืนใส่เขาโดยไม่มีปี่มีขลุ่ย
กลิ่นอายอันตรายแผ่กระจาย ปลุกให้สัญชาตญาณของชายหนุ่มทำงานอย่างฉับพลัน
เขายกปืนขึ้นแล้วลั่นไกออกมาทันใด
ปัง!
“อึ่ก!”
กระสุนฝังเข้ามีลำคอของเธอราวจับวาง
หล่อนยกมือที่สั่นน้อย ๆ แตะไปที่บาดแผล ไม่แม้แต่จะดิ้นรนหาทางรอดด้วยการพยายามห้ามเลือด
ลักซ์เพียงแตะนิ้วลงไปเบา ๆ แล้วปล่อยให้เลือดไหลต่อไป
ชายหนุ่มดูจะตกใจไม่น้อยยามเห็นร่างของอีกฝ่ายค่อย
ๆ ล้มลงไป
ภาพที่ลักซ์เห็นเลือนรางลงทุกที
เธอถอนหายใจออกมาเบา ๆ หูแว่วได้ยินเสียงแฮริคอปเตอร์และรถยนต์อีกจำนวนนับไม่ถ้วน
ต่อให้เธอมีปีก
หรือมีพลังการควบคุมจิตใจที่แข็งแกร่งกว่านี้ก็เกรงว่าคงจะจัดการเครื่องจักรสังหารที่บินอยู่บนฟ้าได้ยาก
คืนนี้...ยังไงเธอก็ต้องตายอยู่ดี
แค่ว่าตายแบบนี้เธอต้องการมากกว่าเท่านั้น
ฝีเท้าก้าวเข้ามาใกล้ๆ
ภาคินย่อตัวลงข้างๆเธอ เขาคล้ายจะพูดบางอย่าง
แต่หล่อนก็หมดลมหายใจลงเสียก่อนที่จะได้ฟังมัน
ม้วนความทรงจำในครั้งยังมีชีวิตของมาริสา
นพแก้วจบลงที่ตรงนี้
เศษชิ้นส่วนที่กระจัดกระจายค่อย
ๆ รวมตัวกันกลับเป็นร่างเปลือยเปล่าของลักซ์ นับเป็นการเสร็จสิ้นกระบวนการ ‘ชดใช้บาป’ ซึ่งแน่นอนว่ามันก็แค่หนึ่งครั้งในจำนวนนับไม่ถ้วนเท่านั้น
ตอนนี้เธอกำลังอยู่ในนรกเพื่อชดใช้บาปกรรมที่ตนได้ก่อเอาไว้ล่ะ
หล่อนปล่อยให้ยมบาลตรงหน้าใช้ขวานสับร่างตนอย่างไม่แยแส แน่นอน มันเจ็บ แต่ก็ไม่ได้เกินจากที่เคยได้รับมา นั่นทำให้ใบหน้าของลักซ์ไม่แสดงอารมณ์ใด ๆ ออกมาเลย
น่าเบื่อซะจนง่วงเลยแฮะ...
ทุกครั้งที่ร่างกายถูกทำให้แหลกเละจนตายตก
ความทรงจำในช่วงที่มีชีวิตจะวนกลับแล่นซ้ำไปซ้ำมา
ซึ่งระบบดังกล่าวมีไว้เพื่อให้สัตว์นรกแบบเธอสำนึกในบาปที่ทำ
แต่นั่นใช้ไม่ได้กับเธอ
เพราะยิ่งได้เห็นมันมากเท่าไหร่
จิตใจของเธอก็ยิ่งทวีความพยาบาทสูงขึ้นเท่านั้น
ไม่ว่าจะต้องทนทุกข์อยู่ในนรกขุมนี้มาแล้วกี่พันปี
จิตใจก็ยังคงไม่ได้รับการชำระ เธอมองเหล่าสัตว์นรกที่ถูกผลัดเปลี่ยนมาหลายชุดแล้วด้วยสายตาเฉยชา
คนอื่นต่างหลุดพ้นและได้รับโอกาสในการไปเยือนสวรรค์
ได้ไปใช้บุญของตัวเอง
ทว่าหล่อนกลับยังคงอยู่ที่นี่
ด้วยใจที่ผูกติดต่อความพยาบาทวิปลาสทั้งปวง
เด็กสาวถอนหายใจ ความตายมาเยือนอีกครั้งจนรอบข้างมืดไปหมด
“เจ้าช่างมีจิตใจที่เด็ดขาดยิ่ง มนุษย์น้อย”
เสียงที่ไม่เคยได้ยินมาก่อนทำให้เด็กสาวลืมตาขึ้นตามสัญชาตญาณ รอบกายปกคลุมด้วยสีขาวของห้องโถงที่ไม่คุ้นเคยแห่งหนึ่ง
หล่อนกวาดมองโดยรอบกายอย่างประหลาดใจ
ก่อนก้มมองร่างที่เคยเปลือยเปล่า ซึ่งบัดนี้กลับอยู่ในชุดกระโปรงสีขาวตัวหนึ่งอย่างเรียบร้อย
ร่างกายสะอาดสะอ้านยิ่ง
เธอหันกลับไปมองด้านหลังเมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าแผ่วเบาใกล้เข้ามา
แต่กลับพบเพียงความว่างเปล่า ถึงกระนั้นความรู้สึกที่ว่ามีใครอยู่ ‘ตรงนั้น’ ก็ไม่ได้หายไปไหน
“เรารอเจ้านานยิ่ง มนุษย์น้อย” เสียงเดิมกล่าวต่อไป “รอเพื่อจะให้เจ้าชำระทุกสิ่งให้หมด
ทว่าเจ้ากลับไม่ยอมละทิ้งสิ่งใดเลย เรามิอาจรอต่อได้ สุดท้ายจึงเลือกเรียกเจ้ามาที่นี่”
เธอเลิกคิ้ว ฟังประโยคดังกล่าวไม่ใคร่เข้าใจนัก
“เราต้องการให้เจ้าทำบางสิ่งในฐานะของเรา”
เด็กสาวอมยิ้ม
กล่าวถามเสียงระรื่น
“นั่นเป็นประโยคขอร้องรึเปล่า?”
คล้ายจะได้ยินแว่วเสียงหัวเราะดังลอยมา
พื้นที่ยืนอยู่พลันสั่นไหวก่อนแตกสลาย ร่างของเธอร่วงลงไปในหลุมสีดำสนิทอย่างไร้สิ่งใดจะจับยึดได้ทัน
“!”
เธอตกใจจนร้องไม่ออก
ในจังหวะที่กำลังจะจมหายไปนั้น หล่อนเห็นเท้าของใครบางคนปรากฏขึ้นที่ปากหลุม
แว่วเสียงอันอ่อนโยนกล่าวสะท้อนก้องในหัว
“แน่นอนว่าไม่
เราสั่งเจ้าต่างหาก ลักซ์”
แล้วทุกอย่างก็มืดมิด...
ท่ามกลางความมืดที่ราวกับทะเลน้ำหมึก
เธอไม่สามารถรู้สึกถึงสิ่งที่เรียกว่าร่างกายได้
คล้ายกับเหลือแต่เพียงดวงจิตลอยละล่องไร้จุดหมาย
“เราจะส่งเจ้าไป ณ โลกใบใหม่ที่เจ้าไม่รู้จัก”
“จงเป็นตัวแทนแห่งเรา
ขจัดเภทภัยหายนะทั้งเจ็ดที่จะทำให้ทั้งโลกล่มสลายทิ้งเสีย”
“เราหวังว่ามันจะสำเร็จ
มนุษย์น้อย”
เธอสดับฟังเสียงดังกล่าวด้วยจิตใจเหม่อลอยแล้วค่อย
ๆ หลับตาลง ก่อนที่ทุกอย่างจะว่างเปล่า ไม่แม้แต่จะรู้สึกถึงตัวเอง
ความคิดเห็น