ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    โรคปลอกประสาทอักเสบ (Multiple Sclerosis)

    ลำดับตอนที่ #7 : MS วินิจฉัยได้อย่างไร

    • อัปเดตล่าสุด 23 ธ.ค. 53


    การวินิจฉัย MS อาศัยจากอาการที่ปรากฏทางคลินิกร่วมกับผลการวินิจฉัยทางเอ็กซเรย์หรือผลการตรวจเพิ่มเติมอื่น ๆ ไม่มีการตรวจเพียงอย่างใดอย่างหนึ่งสามารถวินิจฉัยได้ว่าเป็นโรค MS และไม่มีผลการทดสอบใดที่สามารถบอกได้ว่าไม่ใช่โรค MS กล่าวคือไม่มีการตรวจหรือการทดสอบใดที่จะบอกได้ว่า   เป็น MS ได้ 100%

    1. การซักประวัติ

                    ประสาทแพทย์จะทำการซักประวัติ เพื่อวินิจฉัยแยกโรค MS จากโรคอื่น ๆ

    ดังที่กล่าวแล้วว่า โรค MS สามารถเลียนแบบโรคอื่นได้ทุกโรค การซักประวัติเพื่อวินิจฉัยแยกโรคที่มีอาการคล้ายกัน จึงเป็นสิ่งสำคัญมาก

    2. การตรวจร่างกายทางระบบประสาท

                    ประสาทแพทย์จะตรวจร่างกายหาอาการและอาการแสดงของระบบประสาทที่เปลี่ยนแปลงไปโดยรวบรวมข้อมูลทั้งหมดเพื่อหาข้อสนับสนุนว่าท่านเป็น MS จริงโดยมีข้อมูลสนับสนุนจากผลเอ็กซเรย์คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (MRI), ผลการตรวจทางห้องปฎิบัติการจากการเจาะน้ำไขสันหลัง (Lumbar Puncture) เพื่อดูโอลิโกโคลนอลแบน (Oligoclonal band), ผลการตรวจการนำกระแสไฟฟ้าของสมองหรือ อีโวคโพเทนเชี่ยน (Evoke Potential)

    ต่อไปจะกล่าวถึงการตรวจร่างกาย และการตรวจทางห้องปฏิบัติการโดยละเอียด

    2.1 การตรวจทางระบบประสาท

                    การตรวจร่างกายทางระบบประสาทเป็นการตรวจว่าระบบประสาทของท่านทำงานดีเพียงใด การตรวจนี้ทำโดยประสาทแพทย์  แพทย์จะทำการตรวจการเปลี่ยนแปลงของมองเห็นการได้ยินการเปลี่ยนแปลงของการรับความรู้สึก หรือความผิดปกติเกี่ยวกับการพูด รวมถึงการตรวจ ปฏิกิริยารีเฟล็กซ์ (Reflex) ที่บริเวณข้อศอก ข้อมือ หัวเข่า ข้อเท้า และบริเวณเอ็นร้อยหวาย เพื่อดูว่ามีความผิดปกติเกิดขึ้นหรือไม่จากนั้นจะทำการตรวจการยืนการเดิน ท่าทาง การแกว่งแขนในระหว่างการเดินหรือยืนว่ามีกล้ามเนื้ออ่อนแรง หรือแข็งเกร็งหรือไม่ มีอาการเดินเซหรือการรับความรู้สึกที่ผิดปกติหรือไม่ อาการเหล่านี้อาจเป็นอาการเสดงจากความผิดปกติของไขสันหลังหรือสมอง นอกจากนี้แพทย์อาจจะทำการตรวจพิเศษบางอย่างเพิ่มเติม เช่น การตรวจลานสายตา

                    เส้นประสาทตาเป็นตำแหน่งที่เกิดพยาธิสภาพได้บ่อยตำแหน่งหนึ่งในผู้ป่วยโรค MS การตรวจประสาทตาได้แก่ การตรวจการมองเห็น ตรวจการนำกระแสไฟฟ้าของเส้นประสาทตา การตรวจจอประสาทตา และการตรวจลานสายตา

                    การทดสอบการมองเห็นทำได้ง่ายๆโดยใช้แผ่นตรวจสายตา (near chart vision หรือ snellen’s chart), การตรวจโดยใช้เครื่องมือออฟทาลโมสโคป (Ophthalmoscope) ทั้งหมดนี้เป็นการตรวจอย่างง่าย ๆ และไม่เจ็บปวด ส่วนการตรวจลานสายตาจะทำการตรวจโดยจักษุแพทย์

    อาการผิดปกติอื่นๆทางสายตา ได้แก่ การสั่นหรือกระตุกของลูกตาอาจมีสาเหตุจากโรค MS หรืออาจจะเกิดจากความผิดปกติของหูชั้นในหรือโรคอื่น ๆ ได้

                    นอกจากการตรวจทางระบบประสาทแล้วยังมีการตรวจอื่นๆ เช่น การตรวจคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (MRI) ซึ่งเป็นการตรวจชนิดเดียวที่สามารถมองเห็นได้จริงว่ามีพยาธิสภาพจากการเป็น MS อยู่ ผลการตรวจที่ได้อาจจะไม่ได้บอกถึงตำแหน่งรอยโรคทั้งหมด และผลที่ได้อาจจะคล้ายคลึงกับโรคอื่นในระบบประสาทได้ ดังนั้นจะเห็นได้ว่า ผล MRI เพียงอย่างเดียวไม่สามารถนำมาวินิจฉัยได้ว่า ท่านเป็นโรค MS

                    2.2   การตรวจคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (MRI)

                     MRI เป็นภาพเหมือนจริงของส่วนต่างๆของร่างกาย สร้างจาการใช้สนามแม่เหล็กความเข้มสูงกว่า คลื่นความถี่วิทยุทั่วไปส่งคลื่นความถี่เข้าสู่ร่างกายและรับคลื่นสะท้อนกลับโดยตัวรับสัญญาณจากนั้นนำมาประมวลผลและสร้างเป็นภาพด้วยคอมพิวเตอร์ ซึ่งสามารถให้รายละเอียด และความคมชัดเหมือนการตัดร่างกายออกเป็นแผ่นๆ ทำให้แพทย์สามารถมองเห็นจุดที่ผิดปกติในร่างกายคนเราได้อย่างละเอียด โดยไม่ก่ออันตรายใดๆต่อผู้รับการตรวจ MRI เป็นเครื่องมือที่มีประโยชน์ นอกจากจะสามารถแสดงถึงพยาธิสภาพที่เกิดขึ้นแล้วยังใช้ในการติดตามการดำเนินโรค โดยทำการตรวจติดตามเป็นระยะเพื่อดูการเปลี่ยนแปลงของพยาธิสภาพในเวลาต่างๆ การฉีดสารทึบรังสีร่วมในการทำ MRI นั้นจะทำให้เห็นพยาธิสภาพใหม่ในระยะที่มีการอักเสบได้ชัดเจนขึ้น

                    MRI เป็นวิธีการตรวจที่ไวมาก ในการดูตำแหน่งพยาธิสภาพในสมองหรือไขสันหลัง การทำ MRI อาจจะเป็นเรื่องน่าเบื่อสำหรับผู้ป่วย เนื่องจากใช้เวลาประมาณ 30 – 45 นาทีในการตรวจโดยผู้ป่วยจะต้องนอนนิ่ง ๆ อยู่บนเตียงซึ่งจะถูกเลื่อนเข้าไปในอุโมงค์ขนาดใหญ่ และมีเสียงค่อนข้างดัง ในสถานที่ตรวจบางแห่งผู้ป่วยอาจจะได้รับที่อุดหู หรือให้ฟังเสียงดนตรีระหว่างการทำ นอกจากนี้ผู้ป่วยอาจได้รับรีโมทเพื่อใช้ติดต่อกับรังสีแพทย์ในระหว่างที่นอนอยู่ในอุโมงค์  (รูป 6.1)   

                    การทำ MRI จะไม่มีรังสีเอ็กซ์    ดังนั้น สามารถทำได้หลายครั้งเท่าที่ต้องการ ท่านอาจสอบถามแพทย์ของท่านถ้าต้องการข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการทำ MRI เมื่อรวมหลักฐานจากการซักประวัติ การตรวจร่างกายทางระบบประสาท และ ผลการตรวจ MRIและผลการตรวจทางห้องปฎิบัติการอื่นๆ เข้าด้วยกัน จะช่วยในการวินิจฉัยได้ว่าผู้ป่วยเป็นโรค MS

     

    2.3   การวัดการนำกระแสประสาท

                    การตรวจการนำกระแสประสาท  เป็นการตรวจที่ง่าย,ไม่เป็นอันตราย,สามารถทำซ้ำได้ ในโรค MS นั้นการนำกระแสประสาทจะช้าลงอย่างมาก เนื่องจากไมอิลินซึ่งทำหน้าที่เป็นฉนวนหุ้มเส้นประสาทได้ถูกทำลายลง ทำให้เหลือเพียงเส้นประสาทที่ไม่มีไมอิลินหุ้มซึ่งจะทำให้การนำกระแสประสาทเป็นไปอย่างช้ามาก (ดังบทที่ 1 รูปที่ 1.4.2)

    การวัดการนำกระแสประสาทนั้น อธิบายได้ง่าย ๆ โดยเราทำการกระตุ้นที่จุดหนึ่งของเส้นทางเดินประสาทและตั้งตัวรับไว้อีกจุดหนึ่ง แล้วจับเวลาที่ไฟฟ้าเดินทางจากจุดที่กระตุ้นถึงตัวรับ เมื่อเราทราบระยะทางระหว่างสองจุด เราจะสามารถคำนวณได้ว่า ความเร็วของการนำกระแสประสาทเป็นเท่าไร

                    ในผู้ป่วยโรค MS พบว่ามีความล่าช้าของการนำกระแสประสาทระหว่าง 2 จุดที่ทำการตรวจเมื่อเทียบกับคนที่ไม่เป็นโรค MS โดยอาจทำการตรวจการนำกระแสประสาทของเส้นประสาทส่วนปลายที่ต้องการเทียบกับด้านที่ปกติในกรณีที่มีความผิดปกติเพียงข้างเดียว หรือเทียบกับค่าปกติ (รูปที่ 6.3)

                    การตรวจนี้จะสามารถบอกถึงความผิดปกติได้แม้ว่าพยาธิสภาพนั้นจะยังไม่แสดงอาการทางคลินิก นอกจากจะมีประโยชน์ในการช่วยวินิจฉัยโรค MS แล้วยังใช้เป็นตัวบ่งชี้การดำเนินโรคได้ด้วย

                    2.4 การวัดการนำกระแสประสาทของเส้นประสาทตา

                    เป็นการตรวจที่ทำมากที่สุดการตรวจหนึ่งในการวินิจฉัย MS โดยจะวัดความเร็วของการนำกระแสประสาทในเส้นประสาทตาที่ใช้ในการนำภาพที่เห็นไปแปรเป็นความหมายที่สมอง

    ในการเตรียมผู้ป่วยนั้นจะมีการวางแผ่นตัวรับสัญญานบริเวณศีรษะซึ่งจะทำหน้าที่รับสัญญาณไฟฟ้าหรือคลื่นสมองที่บริเวณนั้น  จากนั้นจะมีการบันทึกกระแสประสาทที่วิ่งผ่านเส้นประสาทระหว่างตาและสมอง ผู้ป่วยจะได้รับการบอกให้มองตารางคล้ายหมากรุกบนฉากกั้น ถ้าเกิดความเสียหายของเส้นประสาทตาจะทำให้เกิดความล่าช้าในการตรวจนี้

    การตรวจนี้สามารถตรวจได้ละเอียด แม้ผู้ป่วยจะยังไม่มีอาการผิดปกติของการมองเห็นทางคลินิกก็อาจพบมีความผิดปกติจากการตรวจนี้ได้ถึง 75-97% (รูปที่ 6.4)



     

    3.การตรวจวิเคราะห์น้ำไขสันหลัง (Cerebrospinal fluid analysis )

                วิธีการตรวจทำได้โดยให้ผู้ป่วยนอนตะแคงข้าง จากนั้นแพทย์จะให้ยาชาเฉพาะที่ก่อนทำการเจาะน้ำไขสันหลัง (Lumbar Puncture)  การตรวจนี้ผู้ป่วยจะต้องนอนพักหลังการตรวจที่โรงพยาบาลเป็นเวลาประมาณ 4-6 ชั่วโมง        

    การเจาะน้ำไขสันหลังตรวจช่วยในการสนับสนุนหรืออาจใช้วินิจฉัยแยกโรคอื่นออกจากโรค MS  จากการศึกษาพบว่าประเทศทางตะวันตกนั้น 80-90% ของผู้ป่วยที่เป็นโรค MS จะพบว่ามีโปรตีนชนิดหนึ่ง เรียกว่า โอลิโกโคลนอลแบน (Oligoclonal band) ปรากฎในน้ำไขสันหลังต่างกับผู้ป่วยในภาคพื้นเอเชียซึ่งพบเพียง 20-30% เท่านั้น 

    กล่าวโดยสรุปแล้วจะเห็นได้ว่า การตรวจคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า การตรวจการนำกระแสประสาท หรือการเจาะน้ำไขสันหลังไปตรวจ เพียงวิธีใดวิธีหนึ่งไม่สามารถใช้เป็นวิธีวินิจฉัยว่าเป็นโรค MSได้ การตรวจเหล่านี้เป็นเพียงการตรวจเพิ่มเติมในการวินิจฉัยขั้นสุดท้าย และช่วยในการหาหลักฐานสนับสนุนหรือวินิจฉัยแยกโรคอื่นๆ ที่คล้ายกับโรค MS   ดังนั้นในการแปรผลจะต้องอาศัยความระมัดระวังจากผู้เชี่ยวชาญเท่านั้น 

    การวินิจฉัย MS   มีประโยชน์อย่างไร

    ดังกล่าวมาแล้วว่าโรค MS มีอาการได้หลายแบบ, อาการคล้ายโรคอื่นได้มากมาย ดังนั้นในการวินิจฉัยจึงต้องใช้ข้อบ่งชี้เฉพาะ ซึ่งในปัจจุบันมีหลายข้อบ่งชี้ในการวินิจฉัยโรค MS 

    อย่างไรก็ตามในปี 2544 จากการประชุมนานาชาติมีการกำหนดข้อบ่งชี้ใหม่ที่ใช้กันแพร่หลายในการวินิจฉัยว่าผู้ป่วยเป็นโรค MS เรียกว่า แมคโดนัลไคทีเรีย (Mcdonald’s Criteria) ซึ่งอาศัยอาการทางคลินิคร่วมกับผลการตรวจMRI

    ข้อดีของ Mcdonald’s Criteria คือ ทำให้สามารถวินิจฉัยว่าเป็นโรค MS ได้เร็วขึ้นโดยการนำ MRI เข้ามาใช้ นอกจากนี้ MRI ยังช่วยให้แพทย์วินิจฉัยแยกโรคที่อาจมาด้วยอาการคล้ายคลึงกับ โรค MS ได้ด้วย การวินิจฉัยที่เร็วขึ้นจะทำให้ผู้ป่วยได้รับการรักษาได้เร็วขึ้น ผลดีที่ตามมาก็คือ ลดความเสียหายที่เกิดจากการทำลายของระบบประสาทได้

    เมื่อได้รับการวินิจฉัยว่าเป็น MS ผู้ป่วยจะต้องทำอะไรต่อไป

                    หลังจากผู้ป่วยทราบว่าเป็น MS ซึ่งอาจเป็นชนิดใดชนิดหนึ่งตามที่ได้กล่าวมาข้างต้น    ผู้ป่วยจะมีชีวิตอยู่อย่างไรกับ MS

    ถ้าท่านได้รับการวินิจฉัยว่าเป็น MS หลายท่านอาจจะเกิดปัญหาต่างๆ เกี่ยวกับอาการที่มีอยู่ซึ่งคนที่ไม่เป็นโรคนี้อาจจะไม่เข้าใจ ผู้ป่วยควรจะพูดคุยกับแพทย์ที่ดูแลในเรื่องที่สงสัยหรือเกี่ยวกับความกลัวกังวลต่าง ๆ

    ผู้ป่วยบางคนอาจมีประสบการณ์เกี่ยวกับอาการใหม่ๆที่เกิดขึ้น หรืออาการที่ผิดปกติไปจากเดิม หรืออาการเก่ากลับเป็นซ้ำอีกหลังจากเป็นปกติอยู่เป็นเดือนเป็นปีหรือบางคนอาจจะกินเวลา 10 ปีหลังจากเป็นครั้งแรก  

    ปัจจุบันการทำคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าสามารถช่วยให้ผู้ป่วย MS ได้รับการวินิจฉัยและการรักษาที่เร็วขึ้นกว่าเดิม ทำให้ปัญหาความทุพพลภาพจากอาการของ MS ที่เกิดจากการสะสมของการกลับเป็นซ้ำแต่ละครั้งน้อยลงด้วย

                    ผู้ป่วยส่วนใหญ่เมื่อทราบว่าเป็นโรค MS จะเกิดปฏิกิริยาทางจิตใจเริ่มต้นด้วยอาการตกใจ ตามด้วยการปฏิเสธไม่ยอมรับว่าตัวเองเป็นโรคนี้ จากนั้นจะตามด้วยความกลัวซึ่งเกิดขึ้นเมื่อตนเองไม่รู้แน่นอนว่าจะต้องต่อสู้กับอะไร ความจริงแล้วอาการกลัวนี้จะทำลายการใช้ชีวิตประจำวันของท่านมากกว่าอาการที่เป็นจากโรค MS เอง ความกลัวอาจจะเกิดขึ้นในระหว่างที่มีอาการกำเริบ หรือเกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำอีกในระหว่างการดำเนินโรคได้ การให้ข้อมูลเกี่ยวกับโรค MS จะช่วยให้ท่านเข้าใจ และสามารถต่อสู้กับสถานการณ์เหล่านี้ได้  ความวิตกกังวลเหล่านี้สามารถบรรเทาลงได้หลังจากได้ท่านได้พูดคุยกับผู้เชี่ยวชาญในด้านการให้คำปรึกษา นอกจากนี้การพบปะพูดคุยกับกลุ่มคนโรคเดียวกันอาจจะช่วยทำให้ผู้ป่วยมีกำลังใจมากขึ้น

    อาการหนึ่งที่พบได้บ่อยในผู้ป่วยโรค MS คือ อารมณ์เศร้า เสียใจ รวมทั้งอารมณ์หดหู่  อารมณเศร้าส่วนมากมักจะเป็นเพียงชั่วคราว ในขณะที่อารมณ์หดหู่มักจะเป็นตลอดช่วงเวลาที่เป็นโรค MS

    จากการศึกษาพบว่าอารมณ์หดหู่พบบ่อยในผู้ป่วยที่เป็น MSเมื่อเทียบกับคนปกติหรือป่วยจากโรคเรื้อรังอื่น

    ถ้าท่านมีอาการเศร้า หดหู่  ท่านควรพูดคุยกับเพื่อนสนิทของท่าน ผู้ป่วยบางคนอาจจะต้องการความช่วยเหลือจากจิตแพทย์และต้องการการบำบัดทางจิตใจ ผู้ป่วยบางคนอาจพยายามต่อสู้กับอารมณ์เศร้าหดหู่ด้วยตัวเอง แต่ในบางครั้งอารมณ์เศร้าหดหู่นั้นรุนแรงมาก ในกรณีนี้การใช้ยาลดความวิตกกังวลอาจจะช่วยได้

    บางคนอาจจะมีความรู้สึกว่ามีแรงกดดันในจิตใจที่จะทำให้เกิดอารมณ์ซึมเศร้าเกิดขึ้น หลายคนที่เป็น MS มีความเครียดเกิดขึ้น หรือมีความรู้สึกสูญเสียหรือถูกแยกจากคนที่รักก่อนที่จะมีการกลับเป็นซ้ำของโรคเสียอีก

                    เมื่อผ่านภาวะต่างๆมาแล้วในที่สุดผู้ป่วยจะเริ่มยอมรับว่าตนเองเป็นโรค MS ซึ่งการยอมรับนี้ไม่ได้หมายถึงการสิ้นหวังหรือยอมรับชะตากรรม ผู้ป่วยควรจะเริ่มพูดคุยเพื่อหาแนวทางในการที่จะอยู่กับ MS อย่างไรให้ชีวิตมีความสุข ซึ่งจะกล่าวในรายละเอียดเกี่ยวกับอาการที่พบบ่อยใน MS ได้แก่  อาการเหนื่อยล้า ความผิดปกติทางการมองเห็น อาการปวดเกร็ง  ความผิดปกติของการขับถ่ายในบทต่อไป              

    โดยทั่วไปอาการของโรค MS อาจจะแตกต่างกันไปได้มากในผู้ป่วยแต่ละรายขึ้นอยู่กับตำแหน่งของระบบประสาทส่วนกลางที่ถูกทำลาย, ความรุนแรง นอกจากนี้ระยะเวลาที่มีอาการก็ยังแตกต่างกันในแต่ละคนด้วย ผู้ป่วยส่วนใหญ่จะเริ่มต้นด้วยอาการกำเริบเฉียบพลันรุนแรงซึ่งเรียกว่า อาการกลับเป็นซ้ำ ตามด้วยระยะการฟื้นฟูสภาพซึ่งอาจจะไม่พบอาการทางคลินิกใด ๆ อาการที่เกิดขึ้นอาจจะดีขึ้นภายในระยะเวลาเป็นวัน หลายวัน หลายอาทิตย์ จนกลับสู่สภาพปกติ หรือเกือบปกติ  ในขณะที่บางคนอาจไม่มีระยะเวลาที่โรคสงบเลย

                    อาการที่พบบ่อยในผู้ป่วย MS ได้แก่ อาการเหนื่อยล้าอ่อนแรง อาการแข็งเกร็ง อาการอ่อนแรง อาการเกร็งของแขนขา การรับความรู้สึกที่ผิดปกติเช่น อาการคัน เจ็บหรือชา ความผิดปกติของระบบขับถ่าย และปัญหาทางด้านเพศสัมพันธ์ อาการเหล่านี้บางอาการพบได้บ่อย บางอาการพบได้น้อย โดยทั่วๆ ไป การรักษาแบ่งเป็น

    1.   การรักษา โดยไม่ใช้ยา 

    แนวทางการรักษาอาจจะมีการปรับใช้ขึ้นกับอาการของผู้ป่วย การรักษาโดยไม่ใช้ยา เช่น กายภาพบำบัด, โภชนาการที่ดี, การพูดคุย, การทำจิตบำบัด  

    ไม่ว่าผู้ป่วย MS จะมีความรู้สึกอย่างไรต่อตนเอง และไม่ว่าความรุนแรงของอาการจะมากน้อยเพียงใด เป็นเรื่องที่ผู้ป่วยควรจะต้องพูดคุยกับแพทย์, พยาบาลและผู้ที่เกี่ยวข้อง เพื่อประโยชน์ในการรักษา นอกจากนี้การดูแลสุขภาพและกินอาหารที่มีประโยชน์ จะช่วยให้อาการของโรคโดยทั่วๆ ไป บรรเทาลง

    2. การรักษาโดยใช้ยา ขึ้นอยู่กับความรุนแรง และอาการที่มี แพทย์ผู้รักษาจะพูดคุยกับผู้ป่วย และให้การรักษาตามอาการ


    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    นิยายแฟร์ 2024

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×