ตอนที่ 10 : Kill Me | จุดจุดนึง
กึก !
คยองซูวางช้อนในมือลงเมื่อรู้สึกว่าอาหารที่มีหน้าตาดูดีและสีสันที่แสนจะน่ากินตรงหน้านี่มันไม่ได้ทำให้เขารู้สึกอยากกินมันต่อเลยแม้แต่น้อย
ไม่ใช่ว่ามันไม่อร่อย ...
มันอร่อยมาก
แต่ ... คยองซูเบื่อเหลือเกินกับการต้องกินข้าวคนเดียวในห้องกว้าง ๆ นี่
แน่นอนว่ามันเป็นตัวเลือกเดียวของเขาที่ทำได้ เพราะเขาคงไม่มีทางไปกินข้าวที่ห้องอาหารติดกับครัวนั่นแน่ ๆ ข้างนอกห้องของคนตัวเล็กมีลูกน้องของจงอินอยู่เต็มไปหมด ถึงแม้ว่าตอนนี้เขาจะเป็นคนที่ทำงานร่วมกับจงอินทำให้คนอื่น ๆ ค่อนข้างเกรงใจเขาเล็กน้อย แต่เขาก็ยังไม่อยากออกไปเจอใครอยู่ดี
ที่นี่กำลังทำให้คยองซูเปลี่ยนไปมาก ... คยองซูรู้ตัวว่าตัวเองกำลังอึดอัดกับการอยู่ในสภาพแบบนี้
ก๊อก ๆ ๆ
ตากลมโตหันไปมองยังประตูห้องของเขาสมองที่กำลังคิดอะไรเรื่อยเปื่อยถูกหยดและเปลี่ยนมาให้ความสนใจกับประตูบานนั้นแทน
ก๊อก ๆ ๆ
เสียงที่ถูกเคาะขึ้นสองสามครั้งแต่กลับไม่มีใครส่งเสียงอะไรมาทำให้คนตัวเล็กขมวดคิ้วเล็กน้อยก่อนจะต้องยอมเป็นฝ่ายตะโกนออกไปก่อน
“ใครน่ะ ...”
…
…
คำตอบที่มีเพียงความเงียบทำให้คยองซูกรอกตาขึ้นข้างบนและถอนหายใจอย่างเหนื่อยใจให้กับความไม่มีมารยาทของคนที่นี่ ก่อนที่คนตัวเล็กจะยันตัวเองลุกขึ้นจากเก้าอี้สีขาวสะอาดและเดินไปยังหน้าประตู ตากลมโตเพ่งสายตาลอดออกไปทางตาแมวก่อนจะเห็นใบหน้าของผู้ที่มาเคาะประตูห้องของเขา
“มีอะไร”
คยองซูพูดกับคนที่อยู่เบื้องหลังประตูเมื่อเขาเปิดออกมาแล้ว
“นายอยากเจอ” คำพูดนิ่ง ๆ ถูกส่งออกมาจากปากของที่คยองซูคิดว่าเขาพูดด้วยเยอะที่สุดแล้วในบ้านหลังนี้
ก็แอลนั่นแหละ
ทั้ง ๆ ที่มันก็เป็นประโยคธรรมดา ๆ ไม่ได้มีอะไรมากมายแต่คยองซูกลับรู้สึกว่าประโยคเมื่อครู่นั้นมันเป็นประโยคที่ทำให้เขาอยากฆ่าตัวตายซะจริง ๆ
“ไม่ไปได้ไหม” คนตัวเล็กถามและทำท่าจะปิดประตูแต่ก็ช้ากว่ามือใหญ่ของแอลที่เอื้อมมาดันประตูไว้ก่อนที่คยองซูจะปิดหนีได้ทัน
เยี่ยมไปเลย ...
คยองซูถอนหายใจอีกครั้งและเปิดบานประตูให้กว้างขึ้นก่อนจะเดินหันหลังให้กับแอล ไม่ใช่ไว้ใจให้แอลเข้ามาในห้องหรอกนะ แต่ทำยังไงก็คงห้ามไม่ได้อยู่ดีคยองซูจึงปล่อยเลยตามเลย
“...”
ความเงียบที่ไม่มีแม้แต่เสียงฝีเท้าเดินตามหลังมาทำให้คยองซูต้องหันกลับไปทางประตูอีกครั้ง และตากลมโตก็พบว่าแอลยังยืนนิ่งอยู่ที่เดิม
“ก็รู้อยู่แล้วล่ะว่าไม่ไปไม่ได้ งั้นขอเวลา 10 นาทีละกัน” คยองซูพูดก่อนจะนั่งลงตรงเก้าอี้ตัวเดิมและตักอาหารที่วางอยู่บนโต๊ะใส่ปากอีกครั้ง
“นายให้เวลาแค่ 5 นาที”
คำพูดเรียบ ๆ ทำให้อาหารที่เกือบจะอร่อยอยู่แล้วของคยองซูเปลี่ยนเป็นอาหารรสชาติแย่ขึ้นมาในทันที
“โอ้ย ... งั้นก็ไปมันตอนนี้น่ะแหละ”
เคร้ง!
เสียงปล่อยช้อนอย่างหงุดหงิดใจของคยองซูไม่ได้ทำแอลรู้สึกอะไรเท่าไหร่ แต่สิ่งที่ทำให้แอลยิ้มออกมาเล็กน้อยก็เป็นเพราะไอ้ช้อนที่คยองซูปล่อยทิ้งมันดันไปปัดข้าวในจานจนหกใส่คนตัวเล็กและส่งผลให้คยองซูโวยวายเหมือนจะทะเลาะกับช้อนตาย
ก็นึกว่าจะมีแต่มุมเครียด ๆ หงอย ๆ เห็นทำตัวเหมือนลูกหมาโดนทิ้ง โหมดจะเหวี่ยงแบบบ้า ๆ ก็มีเหมือนกันแฮะ แอลคิดก่อนจะหุบยิ้มเมื่อคยองซูเดินตรงมาหาเขา
“ตลกอะไร จะไปก็ไปสิ” คยองซูพูดก่อนจะผลักหน้าอกแอลเบา ๆ ให้เดินถอยหลังออกไป หลังจากที่คนตัวเล็กปิดประตูแล้วคยองซูก็พาร่างของตัวเองเดินนำออกมาปล่อยให้แอลกลายเป็นฝ่ายเดินตามมาช้า ๆ ทั้ง ๆ ที่เป็นคนมาตาม
ขายาวก้าวตามหลังขาสั้น ๆ ที่กำลังรีบเดินด้วยอารมณ์ที่แสดงออกว่าไม่พอใจกับการถูกเจ้านายของแอลเรียกไปพบ แอลมองตามหลังคยองซูที่ตัวเล็กกว่าเขาไม่น้อยก่อนจะมีความคิดที่เริ่มไหลเข้ามาในหัวว่าเห็นตัวแค่นี้แต่ใจเด็ดชะมัด เพราะถ้าเขาเป็นคยองซู ...
นับตั้งแต่วันที่รอดไปได้เขาจะไม่มีทางกลับมาวุ่นวายกับจงอินอีกแน่ ๆ
แอลทำงานกับจงอินมาได้สักพักก็รู้ว่าเจ้านายของเขาไม่ใช่คนดี อ่า ... ใช้คำว่าเป็นคนเลวเลยดีกว่า
หากเจ้านายคิดจะฆ่าคยองซูจริง ๆ ป่านนี้คนตัวเล็กนี่ไม่ได้มาเดินปึงปังอยู่ข้างหน้าเขาแบบนี้หรอก
ความคิดเรื่อยเปื่อยของแอลหยุดลงเมื่อมาถึงยังหน้าห้องที่เป็นจุดหมายของพวกเขาเรียบร้อยแล้ว คนตัวเล็กหยุดชะงักมือที่กำลังจะหมุนลูกบิดประตูก่อนจะหลุบตาลงต่ำเหมือนกำลังไม่มั่นใจอะไรบางอย่าง
“เข้าไปสิ”
เสียงแอลดังมากพอที่จะทำให้คนตัวเล็กนั่นได้ยินอย่างแน่นอน แต่กลับไม่มีผลอะไรเลยเมื่อคนตัวเล็กหันมามองที่เขาก่อนจะเอ่ยถามออกมา
“แล้วนายล่ะ”
“กูก็กลับไปทำงานของกูต่อสิ”
“อ่อ ... งั้นหรอ”
“เข้าไปสิ” แอลพูดเรียบ ๆ ก่อนจะมองไปทางบานประตูเพื่อเร่งให้คยองซูรีบ ๆ เปิดประตูเข้าไปซะ
เหงื่อหยดเล็ก ๆ ชื้นขึ้นที่ไรผมของคนตัวเล็กทันทีเมื่อมองไปยังบานประตูตรงหน้า ตอนแรกคยองซูก็ไม่ได้คิดอะไรหรอกแค่ไม่อยากเข้าไปข้างในเฉย ๆ แต่ระหว่างที่เดินมาคนตัวเล็กก็ดันนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้และมันก็เป็นสาเหตุที่ทำให้คยองซูกำลังใจเต้นตึกตักในตอนนี้
ในกระเป๋ากางเกงของเขามีอะไรบางอย่างที่เขาลืมเอามันออก ... มือเรียวค่อย ๆ กำขากางเกงตัวเองเบา ๆ ด้วยความรู้สึกอึดอัดก่อนจะชะงักไปเมื่อสัมผัสไม่ได้ถึงอะไรบางอย่างที่มันควรจะอยู่ในภายใต้กระเป๋ากางเกงของตัวเอง
ตากลมโตเริ่มมองไปยังพื้นรอบ ๆ ตัวว่ามันตกอยู่หรือเปล่า ... มันไม่ใช่เรื่องดีแน่ถ้ามันจะมาหล่นหายแล้วมีคนอื่นเก็บไอ้สิ่งนั้นของเขาไปได้
แกร๊ก!
ลูกบิดถูกหมุนออกโดยฝีมือจากคนข้างในในระหว่างที่คยองซูกำลังงก ๆ เงิ่น ๆ มองหาอะไรบางอย่าง ตากลมโตเบิกกว้างเมื่อถูกคว้าแขนให้เข้าไปในห้องทันทีอย่างไม่ทันตั้งตัว คยองซูพยายามขืนตัวเล็กน้อยก่อนจะถูกแรงกระชากทำให้สุดท้ายขาคู่นั้นก็ก้าวพ้นเขตประตูเข้าไปในห้องของจงอินอยู่ดี
ปึง ...
หลังจากที่ประตูถูกปิดลงและคนตัวเล็กก็ถูกดึงให้เดินตามมาจนถึงกลางห้อง ความสนใจสิ่งของที่หายไปถูกลืมไปทันทีเมื่อจงอินหันกลับมาพูดกับคนตัวเล็กด้วยน้ำเสียงที่ราบเรียบ
“ช้า”
“ปล่อย” คยองซูสะบัดมือออกจากเกาะกุมของจงอินและถอยหลังออกมาอีกสองสามก้าวก่อนจะจ้องไปที่ใบหน้าของคนที่สูงกว่าอย่างไม่เกรงกลัวและไม่ไว้ใจ
“หึ” จงอินหัวเราะเบา ๆ และยกยิ้มมุมปากเมื่อเห็นท่าทางอวดดีนั่น
ตัวเท่าลูกหมา แต่เสือก อวดเก่ง
“เรียกมาทำไม” คยองซูถามเมื่อรู้สึกว่าเขาควรจะรีบ ๆ คุย จะได้รีบ ๆ กลับห้องไปเสียที ยืนจ้องกันอยู่แบบนี้เขารู้สึกอึดอัด
“หึ รีบร้อนจังนะ” จงอินพูดเสียงเรียบจะยกแก้วกาแฟที่ถืออยู่อีกมือนึงขึ้นมาจิบช้า ๆ อย่างสบายใจ รสชาติของกาแฟขม ๆ ทำให้คนตัวสูงรู้สึกผ่อนคลายขึ้นและยิ่งเห็นคยองซูดูจะอยากอยู่ให้ห่าง ๆ เขาแบบนี้ จงอินยิ่งรู้สึกว่าทุกอย่างมันดีไปซะหมด
ดีต่อความสนุกของเขาจริง ๆ
“ถ้าเรียกมาเพื่อที่จะกวนประสาท ผมขอตัว” ปากเรียวเล็กพูดก่อนจะหันหลังอย่างไม่สนใจคนที่กำลังดื่มกาแฟอย่างสบายอารมณ์และเดินไปยังบานประตูทันทีเมื่อเห็นว่าคนตัวสูงกำลังทำเรื่องที่เขาคิดว่ามันไร้สาระ
การดื่มกาแฟมันไม่ได้ไร้สาระหรอก แต่เขาเห็นหน้าจงอินแล้วรู้สึกรำคาญมากกว่า !!
ปัง !!!
“ไม่ได้สั่งให้เดินหนี ...”
เสียงแหบห้าวถูกกระซิบเบา ๆ ที่ข้างใบหูของคนตัวเล็กหลังจากที่เจ้าของเสียงแหบนั่นตบประตูที่คยองซูกำลังจะเปิดจนมันสั่นสะเทือนและดังสนั่นไปทั่วทั้งบ้าน
คนตัวเล็กหายใจติดขัดเล็กน้อยเมื่อสัมผัสแบบเดิม ๆ กำลังกลับมาให้เจออีกครั้ง
ไม่ชอบเลย ... ไม่ชอบให้จงอินถึงเนื้อถึงตัวกับเขาแบบนี้
รังเกียจ !
คยองซูหันกลับมาจ้องหน้าจงอินก่อนจะผลักจงอินให้ถอยออกไปห่างจากตัว ซึ่งคนตัวสูงก็ไม่ได้ขัดขืนอะไร เว้นแต่สายตาที่กำลังโลมเลียคยองซูทางอ้อมนั่นแหละที่ทำให้คยองซูไม่พอใจ
“ตกลงคุณมีอะไร”
“สุดที่รักของมึงติดต่อมาสั่งของอีกแล้ว ...”
“...”
“กูควรจะทำยังไงดีกับเงินห้าแสนที่มันหายเข้ากลีบเมฆไปอย่างไร้ร่องรอย ?”
คยองซูเข้าใจความหมายของคำว่าสุดที่รักของจงอินในทันทีเมื่อมีคำว่าเงินห้าแสนเข้ามาเกี่ยวข้อง เขาลืมไปแล้วด้วยซ้ำว่ามาร์คเคยทำรุ่มร่ามกับเขาไว้ เอาจริง ๆ เขาไม่ได้สนใจเลยด้วยซ้ำกับอะไรไร้สาระพวกนั้นที่ผ่าน ๆ มา ดูท่าจะมีแต่จงอินนี่แหละที่พูดว่ามาร์คเป็นสุดที่รักของคยองซูอยู่ฝ่ายเดียว
“ผมจะเป็นคนจัดการเรื่องนั้นเอง เอาเบอร์ของมาร์คมา” คยองซูพูดเรียบ ๆ
คนตัวเล็กไม่อยากจะต่อความยาวสาวความยืดอะไรโดยการเถียงออกไปให้มากความ อยากจะพูดอะไรก็พูดไปเขาไม่สนใจนักหรอกกับวาจาพวกนั้น
“ไม่ปฏิเสธ ... แปลว่ามึงสนใจมันแล้วงั้นสิ”
“ก็ถ้าผมจะสนใจใครมันเกี่ยวอะไรกับคุณ”
“เกี่ยวสิ ... มายคยองซู”
ประโยคที่เคยหลอกหลอนเขามาแล้วครั้งนึงกลับมาให้ได้ยินอีกครั้งจนคนตัวเล็กมองหน้าจงอินนิ่ง ๆ และนับว่าแปลกที่ครั้งนี้คยองซูไม่ได้รู้สึกว่าไอ้ประโยคบ้า ๆ นั่นมันน่าขนลุกเหมือนครั้งแรกที่ได้ยิน จะด้วยเหตุผลอะไรก็ช่างคนตัวเล็กไม่จำเป็นต้องสนใจมัน เพราะตอนนี้สิ่งที่เขาสนใจก็คือเรื่องเงินห้าแสนนั่นมากกว่า
เขาอยากจะทำให้จงอินรู้ว่าเขาไม่ได้เป็นต้นเหตุทำให้เงินตรงนั้นหายไป แต่เป็นมาร์คเองนั่นแหละ ที่ให้เงินไม่ครบตั้งแต่แรก
“ผมขอเบอร์ติดต่อมาร์ค”
คนตัวเล็กพูดความต้องการของตัวเองซ้ำอีกครั้งด้วยสีหน้าที่กำลังบ่งบอกว่าไม่สบอารมณ์อย่างมากเมื่อคนตรงหน้าเขากำลังยืนนิ่ง ๆ และไม่ได้แสดงสีหน้าอะไรออกมารวมถึงไม่สนใจฟังเขาด้วย
จงอินเดินกลับไปนั่งที่โต๊ะก่อนจะวางแก้วกาแฟดำที่มีไอร้อนจาง ๆ ไว้บนโต๊ะที่จานรองรออยู่ ตาคมมองสบกับตากลมโตก่อนที่เจ้าของร่างสูงจะเลื่อนเอกสารด้วยแรงที่ไม่มากเท่าไหร่แต่มันก็เพียงพอที่จะทำให้กระดาษขาว ๆ นั่นเลื่อนเลยจากขอบโต๊ะที่จงอินนั่งอยู่และปลิวลงมาโต๊ะที่ปลายเท้าของคยองซู
“อนุญาตให้ออกไปข้างนอกได้วันนึง ... แต่ไม่ได้ให้ไปเที่ยวเล่นหรอกนะ”
จงอินยกยิ้มมุมปากและพูดขึ้นเมื่อคยองซูก้มลงหยิบกระดาษแผ่นนั้นด้วยสายตาที่บ่งบอกว่าไม่พอใจกับนิสัยแย่ ๆ ของเขาที่ไม่ได้ส่งกระดาษนั่นให้คนตัวเล็กดี ๆ
โดยไม่ต้องให้พูดซ้ำว่าประโยคเมื่อครู่หมายถึงอะไรคยองซูก็เข้าใจความหมายของจงอินได้ในทันที ไม่มีคำตอบใด ๆ ออกมาจากปากบางแต่คนตัวเล็กก็เลือกที่จะหันหลังและก้าวขาเดินออกจากห้องสี่เหลี่ยมกว้าง ๆ ที่มีแต่เฟอร์นิเจอร์ราคาแพงและทิ้งให้คนไร้มารยาทนั่นนั่งอยู่ในห้องเพียงคนเดียว
เพราะขืนอยู่ต่ออีกแค่นาทีคยองซูคงได้ปะทะกับจงอินแน่ ๆ ...
----------------------------------------------
คนตัวเล็กสูดอาการข้างนอกเข้าเต็มปอดหลังจากที่ได้ออกมาผ่อนคลายสติอารมณ์อีกทั้งยังไม่ต้องอยู่ร่วมบ้านหลังเดียวคนที่เขาเกลียดแสนเกลียดในห้องทำงานนั่นอีกด้วย ในมือเรียวถือโทรศัพท์มือถือก่อนจะมองไปรอบ ๆ ตัว เพื่อหาร้านที่ใครบางคนนัดเขามาที่นี่
และเมื่อสายตาหันไปพบป้ายชื่อร้านขนาดใหญ่ตามที่ได้นัดกันไว้คนตัวเล็กก็ไม่รีรอที่จะเดินเข้าไปทันที
คยองซูมองไปรอบ ๆ ร้านที่เหมือนจะเจ๊งแน่ ๆ ขืนยังมีลูกค้าอยู่เพียงแค่โต๊ะเดียวแบบนี้ทุก ๆ วัน ขายาวก้าวไปยังโต๊ะเพียงโต๊ะเดียวที่มีผู้ชายเจ้าของเรือนผมสีขาวสว่างนั่นนั่งอยู่
แน่นอนว่าจงอินไม่ได้ให้เขาออกมาเที่ยวเล่นเหมือนอย่างที่บอกนั่นแหละ คยองซูดึงเก้าอี้ออกและนั่งที่ตรงข้ามกับผู้ชายเจ้าของชื่อมาร์คซึ่งยิ้มกว้างอย่างดีใจที่เห็นเขานั่งลง
สุดท้ายก็ได้มากินข้าวสมใจมาร์คจนได้สินะ
“ชอบไหมครับกับบรรยากาศส่วนตัวแบบนี้ ?”
“ถ้าไม่คิดว่ามันจะเป็นการทำให้ร้านเขาเจ๊งล่ะก็ ต้องบอกเลยว่าผมชอบมากเพราะมันทำให้เราคุยกันได้สะดวก” คนตัวเล็กพูดและไม่ได้แสดงสีหน้าอะไรออกไปทั้งดีใจหรือเสียใจหรืออะไรก็ตาม
บอกตามตรงว่าคยองซูเองก็ไม่ได้ไว้ใจมาร์คหรอกนะถึงได้ยอมมานั่งกินข้าวที่นี่ด้วยน่ะ
รอยจูบบนหลังมือและสายตาที่มาร์คมองเขาในวันนั้นยังคงทำให้คนตัวเล็กระแวงได้อยู่ดีนั่นแหละ
“ผมลงทุนปิดร้านเพื่อการทานอาหารของเราเลยนะครับ” มาร์คพูดและยิ้มหวานให้คยองซูพร้อม ๆ กับที่ดูเมนูของทางร้าน
คยองซูทำหน้าเซ็งขึ้นมาทันทีเมื่อได้ยินประโยคเมื่อครู่ออกมาจากปากของผู้ชายผมขาวตรงหน้า ให้ตายสิ เขาขอถอนคำพูดละกันที่บอกว่าร้านนี้จะเจ๊ง ... แสดงว่าปกติร้านนี้ก็ขายได้เหมือนร้านอื่น ๆ แต่เพราะวันนี้มีบางคนเหมามันงั้นสินะ
นี่คิดว่าจะทำให้เขาประทับใจหรือไง ? บอกตามตรงสำหรับคยองซูมันดูเป็นการกระทำที่โง่มาก
“คิดยังไงถึงติดต่อมาอีกล่ะครับ” คยองซูถามหลังจากที่หยิบเมนูมาเปิดขึ้นดูบ้าง ราคาอาหารแต่ละจานถือว่าหนักเอาเรื่องอยู่เหมือนกันทำให้คยองซูต้องกวาดสายตาดูอย่างละเอียด
“ก็อยากได้ของเพิ่มน่ะครับ”
“ลอตนั้นหมดแล้วเหรอครับ ?” คยองซูชะงักเมื่อรู้สึกว่าเขาเพิ่งเจอกับมาร์คแค่ยังไม่ถึงไม่ถึงสองอาทิตย์แต่ไอ้ยาผิดกฏหมายถุงเบ้อเริ่มนั่นกลับถูกขายออกไปจนมาร์คต้องติดต่อขอซื้ออีกครั้งแล้วงั้นเหรอ
สิ่งต่าง ๆ บนโลกเรานี่มันชักน่ากลัวขึ้นทุกวันแล้วสิ
“ขายออกไปไวจนไม่น่าเชื่อเลยล่ะครับ”
“แปลกนะครับที่พระเจ้าเข้าข้างการประกอบอาชีพชั่ว ๆ แบบนี้” ปากเล็ก ๆ พูกออกไปเหมือนประโยคสนทนาปกติแต่ก็แฝงไว้ด้วยข้อความจิกกัดแสบ ๆ ตามจริงที่คนตัวเล็กพูด
รอยยิ้มที่ไม่ได้แสดงออกมาว่าโมโหหรือไม่พอใจอะไรถูกเจ้าของเรือนผมสีขาวแสดงออกมาทางใบหน้าเมื่อรู้สึกว่าคยองซูมักจะเป็นคนที่พูดอะไรตรงไปตรงมาอย่างที่เขาคิดไว้ไม่มีผิด ปากสวย ๆ ที่น่าบดขยี้นั่นเฉือดเฉือนได้ไม่เลว ทำให้เขาไม่แปลกใจเลยว่าทำไมคยองซูถึงทำงานอยู่กับจงอินได้ และเพราะแบบนั้นเขาจึงรู้สึกชอบคยองซูเพิ่มขึ้นไปอีกจากครั้งแรก
“พูดตรงดีนะครับ”
คยองซูยิ้มให้กับมาร์คก่อนจะวางเมนูกลับที่เดิมและยกมือขึ้นสั่งอาหารกับพนักงานที่ไม่ได้เดินมายืนรอตั้งแต่แรกเพราะมาร์คอยากให้มีความเป็นส่วนตัวเวลาคุยกัน
พนักงานสาวจดออเดอร์และมองมาร์คไม่วางตาเมื่อหน้าหล่อ ๆ นั่นกำลังพูดรายชื่ออาหารออกมาไม่หยุดต่างกับคยองซูที่สั่งไปเพียงแค่อย่างเดียว
ราคาขนาดนั้นทำให้คยองซูแทบไม่อยากจะสั่งมันเลยสักนิด ไม่รู้ว่าเนื้อบ้าอะไรราคาถึงได้สูงนัก
หลังจากได้ออเดอร์ทั้งหมดคยองซูก็มองจ้องไปที่มาร์คหน้าขาว ๆ นั่นมองไปที่รายการของหวานในเมนูเล่มนั้น และอาจจะเป็นเพราะคยองซูนั้นจ้องมองคนตัวสูงนานไปหรืออะไรก็แล้วแต่มันทำให้หน้าหล่อคมไปทุกสัดส่วนนั่นมองตรงมาที่คยองซูที่สบตาเขาอยู่แล้วก่อนจะยิ้มเล็กน้อย
“มีอะไรครับ”
“คุณก็รู้ใช่ไหมว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับการซื้อขายในวันแรก” คยองซูตัดสินใจถามออกไปเมื่อรู้สึกว่าอะไรบางอย่างมันทำให้เขาอึดอัด
และเขาไม่ชอบที่ถูกคนอื่น ๆ มองว่าเขาไร้ความสามารถหรือทำงานไม่ได้เรื่อง
คนตัวสูงกว่าไม่ได้ตอบอะไรแต่ก็พยักหน้ารับช้า ๆ เพราะเหตุผลที่จงอินให้คยองซูมาในวันนี้มันก็ต้องเป็นเพราะเรื่องนั้นแน่ ๆ แน่นอนว่ามาร์คได้คุยกับจงอินเรียบร้อย และเขายืนยันได้ว่าเงินจำนวนนั้นมันถูกส่งไปครบตามจำนวนแล้วจริง ๆ ! เงินหายไปทีตั้งห้าแสนจะบอกว่าฝั่งเขาจงใจโกงก็จะเป็นการทำให้ฝั่งเขาดูโง่เกินไปหน่อยที่จะใช้วิธีโกงโดยการให้เงินไปไม่ครบแบบนั้น
ถ้าเขาคิดจะโกงจริง ๆ พิมพ์แบงค์ปลอมไปให้เลยจะง่ายกว่าไหมล่ะ ...
“ถ้างั้นผมก็ขอถามตรง ๆ ...”
“...”
“ฝั่งคุณโกงเงินนั่นจริง ๆ หรือเปล่า”
คยองซูรู้ว่าการถามออกไปแบบนี้มันเป็นอะไรที่โง่มาก ๆ แต่ไม่รู้อะไรดลใจให้เขาถามออกไปแบบนั้น
ถ้าคนตัวเล็กลองคิดดี ๆ เขาจะคิดได้ว่าขโมยที่ไหนจะยอมรับว่าตัวเองเป็นขโมย คงจะมีแต่คยองซูนี่แหละมั้งที่กล้าถามคำถามที่ต้องใช้ความซื่อสัตย์ในการตอบกับบุคคลที่ทำธุรกิจในด้านมืด
ต่อให้คยองซูจะเหมือนแข็งแกร่งขึ้นกว่าเมื่อก่อนแค่ไหนเขาก็เป็นแค่เด็กคนนึงที่คิดอะไรไม่ค่อยทันคนอื่นอยู่ดี
“คุณจงแดทำงานในวงการนี้มานาน และคงไม่โง่พอที่จะเอาชื่อเสียงไปแลกกับเงินแค่นั้น”
ประโยคที่มาร์คพูดไม่ได้มีรอยยิ้มออกมาเหมือนประโยคอื่น ๆ ก่อนหน้านี้ของเขา และนั่นมันทำให้คยองซูชะงัก ... กับแววตาที่แสดงออกมาอย่างแน่วแน่
“ผมเชื่อแววตาที่คุณแสดงออกมานะมาร์ค ... แต่อะไรมันก็ไว้ใจไม่ได้”
เพราะคยองซูก็ไม่รู้ว่าจริง ๆ แล้วในแววตาแน่วแน่คู่นั้นจะกำลังหัวเราะเขาอยู่หรือเปล่าที่กำลังจะทำให้คนตัวเล็กคนนึงหลงเชื่อในความโง่เง่าของตัวเอง
“ใช่ครับ ... เส้นทางนี้ไว้ใจไม่ได้ทั้งนั้น”
ตาคู่คมยังคงจ้องประสานสายตากลับคยองซูเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลงและปากแดง ๆ ของผู้ชายที่แสนจะหล่อตามแบบฉบับคนที่มีเชื้อจีนตรงหน้านั่นก็ยังคงพูดออกมาเรื่อย ๆ พูดอะไรบางอย่างที่ทำให้คยองซูคิดตาม
“ผมก็สงสัยเหมือนกัน ว่าฝั่งของคุณน่ะ ...”
และในความคิดนั้นคนตัวเล็กก็เพิ่งค้นพบ ... ว่าบางทีจุดเล็ก ๆ บางจุดที่คนหลาย ๆ คนต่างมองข้าม
“เชื่อใจคนของตัวเองมากเกินไปหรือเปล่า”
ก็ทำให้ระบบใหญ่การปกครองใหญ่ ๆ พังล้มไม่เป็นท่าได้เหมือนกัน
{ F }
หายไปนานมากจนแทบจะจำอะไรไม่ได้ ต้องมาอ่านเนื้อเรื่องใหม่และพบว่า โอ้วมายก็อตตตต คำผิดมันเยอะมากจีจีนะ อยากจะให้หลาย ๆ คนมองข้ามมันไป เพราะบางทีเราก็รีบพิมพ์จนพิมพ์ผิด ๆ ถูก ๆ ฮ่า ๆๆๆๆ แต่สัญญาว่าจะมาตามอ่านและแก้ไขเนื้อหาให้ถูกต้องเรื่อย ๆ แน่นอน
หากใครเห็นว่ามันผิดเยอะเกินไปก็แจ้งเราด้วยก็ดี และจะเป็นพระคุณมากกกกกกกก ถถถถถถ หลังจากนี้นิยายอาจจะขึ้นอัพเดตบ่อยกว่าเดิม (จากที่เมื่อก่อนก็แทบทุกวัน) เพราะเดี๋ยวเรากับเพื่อนอีกหนึ่งคนจะทำการอ่านทวนอีกคนละรอบเพื่อหาคำผิดนะจ๊ะ
สุดท้ายก็เหมือนเดิมคอมเม้นคือกำลังใจที่จะทำให้เราก้าวผ่านไปได้ และติดแท็ก #fickillme ก็ดีเช่นกัน ตะหู้ววว มีช่องทางให้ขนาดนี้แค่คอมเม้นหรือแท็กให้กำลังใจนิดนึงคงได้ใช่ไหม โอ้เย บ่นเยอะแยะไปดีกว่าเดี๋ยวโดนรองเท้าปา บั๊บบุยยยยยยยยยยยยยยย
ปล.แก้คำผิดหมดแล้วนะแจ้ะะะะะะ
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

ก้จะรอน้าาาา ><