ลำดับตอนที่ #3
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : บทที่ 2 แสงสว่างที่เคยสาดส่อง
เสียงที่ดังขึ้นโดยไม่คาดฝันนั้นทำให้ชายหนุ่มผมยาวหลุดจากห้วงภวังค์ในอดีต รีบหันไปตามเสียงนั้นทันที ด้วยคาดไม่ถึงว่าจะมีคนมาที่นี่ในเวลาเช่นนี้ เมื่อเห็นว่าเป็นใคร ดวงตาสีเข้มมีแววฉงนระคนดีใจ
" ไม่ได้เจอกันนานนะ เอรีบัส...ตั้งแต่วันนั้น.. " ชายหนุ่มผมสั้นทักอย่างเป็นมิตร แย้มยิ้มเศร้าๆ ดวงตาสีฟ้ามีประกายหม่นลง
" เจ้ามาอยู่ที่นี่ได้ยังไงกัน ! ข้าได้ยินว่าเจ้าไปหลบพวกมนุษย์อยู่ที่ป่าทางตะวันออกนี่ " ประกายแห่งชีวิตกลับคืนสู่ดวงตาสีเข้ม เอรีบัสเปิดปากถามออกไปทันที
" ก็ใช่ ข้าหนีไปหลบอยู่ในป่าตะวันตกอยู่หลายปีในร่างหมาป่า จนพวกนั้นวางมือเลิกหาตัวข้านี่ล่ะ ข้าถึงได้แอบหนีออกมา ดีนะที่ป่านั้นมีหมาป่าอยู่มาแต่เดิมแล้ว ข้าถึงได้ซ่อนตัวอยู่ได้ ไม่อย่างนั้นคงถูกจับถลกหนังทำเสื้อคลุมไปแล้ว " เจ้าของดวงตาสีฟ้าตอบพลางเดินมานั่งบนพื้นหญ้าข้างทะเลสาบใกล้ๆ กับเอรีบัส
" แล้วเกือบร้อยปีที่ผ่านมานี่เจ้าหายไปไหนมา หายหน้าไปนานจนข้านึกว่าเจ้าถูกจับถลกหนังทำพรมประดับห้องไปแล้วจริงๆเสียอีก " การได้พบเพื่อนทำให้เจ้าของผมสีรัตติกาลลืมความทุกข์ไปชั่วครู่ หันมาซักเจ้าเพื่อนที่ไม่ได้พบกันนานเป็นการใหญ่ด้วยแววตาจริงจัง
" อ้อ.....นั่นน่ะ........" เจ้าของดวงตาสีฟ้าแกล้งเสไปมองทะเลสาบ ยิ้มแห้งๆ
" พออยู่ร่างหมาป่านานๆแล้วข้าเกิดติดใจ พอหนีพวกนั้นมาได้ก็เลยไปอยู่ที่ป่าอื่นต่อทั้งร่างหมาป่านั่นล่ะ อยู่ง่ายดี ไม่วุ่นวาย แต่อยู่ไปอยู่มาก็เริ่มเบื่อ เลยกลับมาหาเพื่อนคุยที่นี่ แล้วก็มาเจอเจ้านี่ล่ะ "
" จริงสิ เจ้าไม่ชอบอยู่คนเดียวนี่นะ พอไม่ได้อยู่กับพวกหมาป่านานๆเลยเริ่มเหงาล่ะสิ ไม่เปลี่ยนไปจากแต่ก่อนเลยนะเจ้านี่ " หนุ่มผมยาวหยอกกลับ
ใช่ เจ้านี่ขี้เหงามาตั้งแต่ก่อนแล้ว ตั้งแต่ที่ได้เจอกันเมื่อสองร้อยกว่าปีก่อน หลังจากพบกับเธทีสได้ไม่นาน
เจ้ามนุษย์หมาป่า 'เฟนเรีย' ทั้งที่แปลงร่างยังไม่คล่อง แถมล่าสัตว์ไม่ค่อยเป็น แต่กลับจมูกดีตามกลิ่นอาหารที่เธทีสนำมาทานกับข้าจนตามมาถึงริมทะเลสาบได้ พอมาคุยกันก็ถูกคอ เลยคบเป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่นั้น
วันที่อากาศดีก็จะมาเล่นกันกับเธทีสที่ข้างทะเลสาบนี่ พอว่างก็ออกไปฝึกล่าสัตว์ ฝึกเวทมนตร์กับข้าจนเก่งขึ้น พวกเราสามคนจึงโตขึ้นมาเป็นเพื่อนสนิทกันแม้จะต่างเผ่าพันธุ์
แม้แต่วันนั้นเจ้านี่ก็มาช่วยข้า แม้จะไม่ทันช่วยเธทีส แต่ก็ช่วยพาข้าที่ใกล้สิ้นแรงหนีออกมาจากวงล้อมของพวกนักปราบปิศาจและชาวบ้านได้
เจ้านี่ยอมเสี่ยงเข้าไปช่วย...ทั้งๆที่รู้ว่าจะทำให้ตัวเองถูกตามล่าไปด้วย
" นึกถึงสมัยก่อนนะ พวกเราสามคนเคยมาเล่นด้วยกันที่นี่บ่อยๆ เธทีสจะนำของกินติดมือมาแบ่งกันกิน เจ้าก็มาอาบแสงอาทิตย์อยู่ได้ทั้งที่เป็นแวมไพร์ที่ไม่น่าจะทนแสงอาทิตย์ได้แท้ๆ.... " เจ้าหนุ่มผมสั้นเริ่มย้อนความถึงอดีต
" เจ้าก็พอกันนั่นล่ะ ชอบทำอะไรติงต๊องๆอยู่เรื่อย เสียภาพลักษณ์มนุษย์หมาป่าที่น่าเกรงขามหมด ทำตัวอย่างกับลูกหมาน้อย ใครมาเห็นเข้าคงไม่เชื่อแน่ว่าเจ้าเป็นมนุษย์หมาป่า นึกว่าเป็นเจ้าหนุ่มติงต๊อง ! " เอรีบัสหยอกเจ้าเพื่อนเก่ากลับ
แท้จริงแล้วแวมไพร์ไม่จำเป็นต้องหลบแสงแดดเพื่อไม่ให้ถูกเผาเป็นเถ้าเสมอไป แวมไพร์ที่มีพลังมากพอสมควรจะสามารถอยู่ท่ามกลางแสงอาทิตย์ได้โดยไม่เป็นอันตราย ซึ่งยิ่งเป็นแวมไพร์เลือดแท้แล้วจะยิ่งมีพลังมาก ส่วนพวกที่ถูกเผากลายเป็นเถ้าเมื่อถูกแสงแดดนั้น เป็นพวกคนที่ได้รับเชื้อแวมไพร์แล้วเปลี่ยนร่างยังไม่สมบูรณ์ หรือพวกที่มีพลังไม่เพียงพอที่จะสู้แสงอาทิตย์ได้เท่านั้น
เอรีบัสเป็นแวมไพร์เลือดแท้ มีพลังค่อนข้างมาก จึงสามารถอยู่ใต้แสงตะวันได้โดยไม่เป็นปัญหานัก แต่ก็ใช่ว่าจะสามารถอยู่ใต้แสงแดดได้ทั้งวัน การทำเช่นนั้นต้องเสียพลังมาก ยิ่งแดดแรงก็ยิ่งต้องใช้พลังมาก ดังนั้นแม้จะสามารถถูกแสงอาทิตย์ได้ทั้งวันแค่เขาก็เลือกที่จะไม่ทำ พยายามอยู่ในที่ร่มให้มากเท่าที่ทำได้เมื่อไปเล่นกับเธทีส เพื่อเก็บออมพลังส่วนหนึ่งไว้เผื่อกรณีจำเป็นหรือเกิดเหตุฉุกเฉินที่จำเป็นต้องใช้พลังขึ้นมา
วันนั้น.... วันที่เสียนางไป.... เป็นวันที่ออกไปพบนาง แถมนานเป็นพิเศษเพราะนางเกิดอยากสอนพวกเขาให้เต้นรำเป็นอย่างคนในหมู่บ้านพอมีงานเทศกาลจะได้แอบเชิญพวกเขาไปร่วมงานที่หมู่บ้าน
ต้องถูกแสงอาทิตย์นานเป็นพิเศษ จึงใช้พลังไปมากพอดู เมื่อต้องไปพบกับข่ายอาคมของนักปราบปิศาจมืออาชีพจึงไม่สามารถแก้ได้ทันเวลาแม้จะเค้นเร่งพลังจนหมดร่าง
" เจ้านี่จริงๆเชียว ข้าหยอกเจ้าอย่างนี้ทีไร เจ้าเป็นต้องย้อนข้าอย่างนี้ทุกที เจ้าก็รู้นี่ว่าข้าเป็นน้องสุดท้องในกลุ่ม อยู่กับพี่สาวสามคนมาแต่เล็ก ข้าก็ต้องทำตัวเป็นน้องชายที่น่ารักสิ ยังดีนะที่ข้าได้พบกับเพื่อนคนอื่นบ้าง ไม่อย่างนั้นข้าคงกลายเป็นพวกวิปริตผิดเพศไปแล้ว อยู่กับพี่สาวตั้งสามคนแบบนั้น " เฟนเรียตอบยิ้มๆ กับเจ้าเพื่อนเก่าอย่างไม่ถือสา เพราะรู้ดีว่าสหายไม่ได้มีเจตนาร้ายใดแฝงอยู่
" แล้วเจ้าทำตัวช่างอ้อนจริงหรือเปล่าล่ะ เจ้าหมาน้อย~ " เอรีบัสลากเสียง แล้วหันมาขยี้ผมสีน้ำตาลของเฟนเรียเล่นอย่างมันเขี้ยวพลางยิ้มน้อยๆเห็นเขี้ยวขาวที่มุมปาก
เฟนเรียไม่ว่าอะไร ปล่อยให้เอรีบัสขยี้ผมเล่น ยิ้มแห้งๆ แล้วใช้มือลูบผมกลับทรงเดิม ผมของเขาที่ซอยสั้นระต้นคอและฟูเล็กน้อยนั้นดูแลไม่ยาก ใช้มือสางก็เข้าทรงแล้ว เขาจึงไม่ว่าอะไรถ้าใครจะมาขยี้หัว จะชอบเสียอีก เพราะเขาชอบให้คนเอ็นดู เห็นทีคงจะติดมาจากการที่อยู่กับพี่สาวตั้งสามคนมาตั้งแต่เล็กนั่นล่ะ
" พวกเราเจอกันครั้งแรกที่นี่สินะ.... " เฟนเรียเปรยขึ้น ดวงตาสีฟ้าทอดมองไปยังทะเลสาบที่สะท้อนแสงจันทร์ระยิบระยับเป็นระลอก
" วันนั้นข้าตามกลิ่นอาหารมา จนมาพบกันพวกเจ้าที่นี่.... "
" ....เธทีสก็ใจดีแบ่งให้เจ้าด้วย แล้วเจ้าก็กินเสียเรียบในพริบตา อย่างกับอดอยากมานานอย่างนั้นละ " เอรีบัสต่อให้ อมยิ้มเล็กน้อย ดวงตาสีรัตติกาลฉายประกายสนุกระยิบระยับดั่งแสงดาวบนฟ้าเปิด
" เจ้านี่....จะไม่ 'กัด' ข้าสักทีไม่ได้หรือไงกันนะ "
" ข้าไม่ได้ 'กัด' สักหน่อย เจ้าก็รู้ว่าข้าไม่ดื่มเลือด ที่ 'กัด' น่ะ เจ้ามากกว่านะ "
"......... ....." เฟนเรียอึ้งไปชั่วครู่กับคำพูดของเพื่อน ได้แต่นั่งกระพริบตาปริบๆ มองเพื่อนด้วยสีหน้าที่สื่อความหมายว่า 'อะไรของเจ้า เล่นกันอย่างนี้เลยรึ' ไปให้เอรีบัส
" ก็สนุกดีนี่ ตั้งแต่วันนั้นข้าก็อยู่คนเดียวมาตลอดเลยนะ เจ้าจะไม่ให้ข้าได้เล่นสนุกบ้างหรือไง " ดวงตาสีท้องฟ้ายามค่ำคืนยังคงทอประกายเหมือนฟ้าพร่างดาว
" เจ้านี่นะ.....ข้าก็อยู่คนเดียวเหมือนกันล่ะน่า ถ้าไม่นับพวกหมาป่าน่ะนะ...เอาเถอะ ข้าจะยอมเป็นเพื่อนเล่นกับเจ้าก็ได้ กำลังเบื่อพอดี ยังไงข้าก็มาที่นี่เพื่อหาเพื่อนคุยแก้เบื่ออยู่แล้วนี่ " เจ้าหนุ่มผมสั้นยกมือสางผมของตนเล่นขณะมองเจ้าเพื่อนเก่าที่ยังตาเป็นประกายอยู่ไม่เลิก
แล้วทั้งสองก็นั่งพูดคุยถึงเรื่องในอดีตที่ได้ใช้ร่วมกับ 'นาง' ผู้นั้นกันอย่างสนุกสนาน
บรรยากาศอบอุ่นที่เคยมี ณ ชายป่าข้างทะเลสาบแห่งนี้ได้หวนย้อนกลับมาในความทรงจำอีกครั้ง ความเงียบเหงาแห่งยามราตรีที่เคยครอบคลุมหัวใจมาเกือบสองศตวรรษดูจะจางบางเบาลงท่ามกลางความทรงจำอันอบอุ่นนั้น
...อบอุ่น...
ความอุ่นใจที่ไม่ได้สัมผัสมาเกือบสองศตวรรษ ความทรงจำที่เป็นดั่งแสงแดดอันอบอุ่นที่ฉายมาคลายความหนาวเหน็บ แม้จะเป็นช่วงเวลาเพียงไม่กี่ปี แต่ความอบอุ่นนั้นยังคงตราตรึงอยู่ในความทรงจำอย่างชัดเจน
ความอุ่นใจที่ได้มีคนที่ไม่รังเกียจตัวตนของตน มีคนยอมรับ ได้พูดคุย เล่นสนุก อยู่ด้วยกัน ความเป็นมิตรที่ยากนักที่จะได้รับ โดยเฉพาะจากมนุษย์ มนุษย์ที่เกลียดกลัวพวกเขาเพียงเพราะต่างกันที่ไม่ใช่มนุษย์แม้จะคล้ายมนุษย์
*********************************************************
เป็นยังไงเอ่ย บทนี้ พอใช้ได้มั้ยฮะ
พอดียังไม่คุ้นกับการจัดหน้ากระดาษ
ถ้ามีอะไรจะติก็เชิญได้นะฮะ ยินดีรับ
จากนี้คงอีกพักใหญ่(มากๆ)ล่ะฮะกว่าอีกตอนจะเสร็จ ถ้าใจร้อนอยากอ่านต่อก็ต้อง เม้น! กันหน่อยนะฮะ
" ไม่ได้เจอกันนานนะ เอรีบัส...ตั้งแต่วันนั้น.. " ชายหนุ่มผมสั้นทักอย่างเป็นมิตร แย้มยิ้มเศร้าๆ ดวงตาสีฟ้ามีประกายหม่นลง
" เจ้ามาอยู่ที่นี่ได้ยังไงกัน ! ข้าได้ยินว่าเจ้าไปหลบพวกมนุษย์อยู่ที่ป่าทางตะวันออกนี่ " ประกายแห่งชีวิตกลับคืนสู่ดวงตาสีเข้ม เอรีบัสเปิดปากถามออกไปทันที
" ก็ใช่ ข้าหนีไปหลบอยู่ในป่าตะวันตกอยู่หลายปีในร่างหมาป่า จนพวกนั้นวางมือเลิกหาตัวข้านี่ล่ะ ข้าถึงได้แอบหนีออกมา ดีนะที่ป่านั้นมีหมาป่าอยู่มาแต่เดิมแล้ว ข้าถึงได้ซ่อนตัวอยู่ได้ ไม่อย่างนั้นคงถูกจับถลกหนังทำเสื้อคลุมไปแล้ว " เจ้าของดวงตาสีฟ้าตอบพลางเดินมานั่งบนพื้นหญ้าข้างทะเลสาบใกล้ๆ กับเอรีบัส
" แล้วเกือบร้อยปีที่ผ่านมานี่เจ้าหายไปไหนมา หายหน้าไปนานจนข้านึกว่าเจ้าถูกจับถลกหนังทำพรมประดับห้องไปแล้วจริงๆเสียอีก " การได้พบเพื่อนทำให้เจ้าของผมสีรัตติกาลลืมความทุกข์ไปชั่วครู่ หันมาซักเจ้าเพื่อนที่ไม่ได้พบกันนานเป็นการใหญ่ด้วยแววตาจริงจัง
" อ้อ.....นั่นน่ะ........" เจ้าของดวงตาสีฟ้าแกล้งเสไปมองทะเลสาบ ยิ้มแห้งๆ
" พออยู่ร่างหมาป่านานๆแล้วข้าเกิดติดใจ พอหนีพวกนั้นมาได้ก็เลยไปอยู่ที่ป่าอื่นต่อทั้งร่างหมาป่านั่นล่ะ อยู่ง่ายดี ไม่วุ่นวาย แต่อยู่ไปอยู่มาก็เริ่มเบื่อ เลยกลับมาหาเพื่อนคุยที่นี่ แล้วก็มาเจอเจ้านี่ล่ะ "
" จริงสิ เจ้าไม่ชอบอยู่คนเดียวนี่นะ พอไม่ได้อยู่กับพวกหมาป่านานๆเลยเริ่มเหงาล่ะสิ ไม่เปลี่ยนไปจากแต่ก่อนเลยนะเจ้านี่ " หนุ่มผมยาวหยอกกลับ
ใช่ เจ้านี่ขี้เหงามาตั้งแต่ก่อนแล้ว ตั้งแต่ที่ได้เจอกันเมื่อสองร้อยกว่าปีก่อน หลังจากพบกับเธทีสได้ไม่นาน
เจ้ามนุษย์หมาป่า 'เฟนเรีย' ทั้งที่แปลงร่างยังไม่คล่อง แถมล่าสัตว์ไม่ค่อยเป็น แต่กลับจมูกดีตามกลิ่นอาหารที่เธทีสนำมาทานกับข้าจนตามมาถึงริมทะเลสาบได้ พอมาคุยกันก็ถูกคอ เลยคบเป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่นั้น
วันที่อากาศดีก็จะมาเล่นกันกับเธทีสที่ข้างทะเลสาบนี่ พอว่างก็ออกไปฝึกล่าสัตว์ ฝึกเวทมนตร์กับข้าจนเก่งขึ้น พวกเราสามคนจึงโตขึ้นมาเป็นเพื่อนสนิทกันแม้จะต่างเผ่าพันธุ์
แม้แต่วันนั้นเจ้านี่ก็มาช่วยข้า แม้จะไม่ทันช่วยเธทีส แต่ก็ช่วยพาข้าที่ใกล้สิ้นแรงหนีออกมาจากวงล้อมของพวกนักปราบปิศาจและชาวบ้านได้
เจ้านี่ยอมเสี่ยงเข้าไปช่วย...ทั้งๆที่รู้ว่าจะทำให้ตัวเองถูกตามล่าไปด้วย
" นึกถึงสมัยก่อนนะ พวกเราสามคนเคยมาเล่นด้วยกันที่นี่บ่อยๆ เธทีสจะนำของกินติดมือมาแบ่งกันกิน เจ้าก็มาอาบแสงอาทิตย์อยู่ได้ทั้งที่เป็นแวมไพร์ที่ไม่น่าจะทนแสงอาทิตย์ได้แท้ๆ.... " เจ้าหนุ่มผมสั้นเริ่มย้อนความถึงอดีต
" เจ้าก็พอกันนั่นล่ะ ชอบทำอะไรติงต๊องๆอยู่เรื่อย เสียภาพลักษณ์มนุษย์หมาป่าที่น่าเกรงขามหมด ทำตัวอย่างกับลูกหมาน้อย ใครมาเห็นเข้าคงไม่เชื่อแน่ว่าเจ้าเป็นมนุษย์หมาป่า นึกว่าเป็นเจ้าหนุ่มติงต๊อง ! " เอรีบัสหยอกเจ้าเพื่อนเก่ากลับ
แท้จริงแล้วแวมไพร์ไม่จำเป็นต้องหลบแสงแดดเพื่อไม่ให้ถูกเผาเป็นเถ้าเสมอไป แวมไพร์ที่มีพลังมากพอสมควรจะสามารถอยู่ท่ามกลางแสงอาทิตย์ได้โดยไม่เป็นอันตราย ซึ่งยิ่งเป็นแวมไพร์เลือดแท้แล้วจะยิ่งมีพลังมาก ส่วนพวกที่ถูกเผากลายเป็นเถ้าเมื่อถูกแสงแดดนั้น เป็นพวกคนที่ได้รับเชื้อแวมไพร์แล้วเปลี่ยนร่างยังไม่สมบูรณ์ หรือพวกที่มีพลังไม่เพียงพอที่จะสู้แสงอาทิตย์ได้เท่านั้น
เอรีบัสเป็นแวมไพร์เลือดแท้ มีพลังค่อนข้างมาก จึงสามารถอยู่ใต้แสงตะวันได้โดยไม่เป็นปัญหานัก แต่ก็ใช่ว่าจะสามารถอยู่ใต้แสงแดดได้ทั้งวัน การทำเช่นนั้นต้องเสียพลังมาก ยิ่งแดดแรงก็ยิ่งต้องใช้พลังมาก ดังนั้นแม้จะสามารถถูกแสงอาทิตย์ได้ทั้งวันแค่เขาก็เลือกที่จะไม่ทำ พยายามอยู่ในที่ร่มให้มากเท่าที่ทำได้เมื่อไปเล่นกับเธทีส เพื่อเก็บออมพลังส่วนหนึ่งไว้เผื่อกรณีจำเป็นหรือเกิดเหตุฉุกเฉินที่จำเป็นต้องใช้พลังขึ้นมา
วันนั้น.... วันที่เสียนางไป.... เป็นวันที่ออกไปพบนาง แถมนานเป็นพิเศษเพราะนางเกิดอยากสอนพวกเขาให้เต้นรำเป็นอย่างคนในหมู่บ้านพอมีงานเทศกาลจะได้แอบเชิญพวกเขาไปร่วมงานที่หมู่บ้าน
ต้องถูกแสงอาทิตย์นานเป็นพิเศษ จึงใช้พลังไปมากพอดู เมื่อต้องไปพบกับข่ายอาคมของนักปราบปิศาจมืออาชีพจึงไม่สามารถแก้ได้ทันเวลาแม้จะเค้นเร่งพลังจนหมดร่าง
" เจ้านี่จริงๆเชียว ข้าหยอกเจ้าอย่างนี้ทีไร เจ้าเป็นต้องย้อนข้าอย่างนี้ทุกที เจ้าก็รู้นี่ว่าข้าเป็นน้องสุดท้องในกลุ่ม อยู่กับพี่สาวสามคนมาแต่เล็ก ข้าก็ต้องทำตัวเป็นน้องชายที่น่ารักสิ ยังดีนะที่ข้าได้พบกับเพื่อนคนอื่นบ้าง ไม่อย่างนั้นข้าคงกลายเป็นพวกวิปริตผิดเพศไปแล้ว อยู่กับพี่สาวตั้งสามคนแบบนั้น " เฟนเรียตอบยิ้มๆ กับเจ้าเพื่อนเก่าอย่างไม่ถือสา เพราะรู้ดีว่าสหายไม่ได้มีเจตนาร้ายใดแฝงอยู่
" แล้วเจ้าทำตัวช่างอ้อนจริงหรือเปล่าล่ะ เจ้าหมาน้อย~ " เอรีบัสลากเสียง แล้วหันมาขยี้ผมสีน้ำตาลของเฟนเรียเล่นอย่างมันเขี้ยวพลางยิ้มน้อยๆเห็นเขี้ยวขาวที่มุมปาก
เฟนเรียไม่ว่าอะไร ปล่อยให้เอรีบัสขยี้ผมเล่น ยิ้มแห้งๆ แล้วใช้มือลูบผมกลับทรงเดิม ผมของเขาที่ซอยสั้นระต้นคอและฟูเล็กน้อยนั้นดูแลไม่ยาก ใช้มือสางก็เข้าทรงแล้ว เขาจึงไม่ว่าอะไรถ้าใครจะมาขยี้หัว จะชอบเสียอีก เพราะเขาชอบให้คนเอ็นดู เห็นทีคงจะติดมาจากการที่อยู่กับพี่สาวตั้งสามคนมาตั้งแต่เล็กนั่นล่ะ
" พวกเราเจอกันครั้งแรกที่นี่สินะ.... " เฟนเรียเปรยขึ้น ดวงตาสีฟ้าทอดมองไปยังทะเลสาบที่สะท้อนแสงจันทร์ระยิบระยับเป็นระลอก
" วันนั้นข้าตามกลิ่นอาหารมา จนมาพบกันพวกเจ้าที่นี่.... "
" ....เธทีสก็ใจดีแบ่งให้เจ้าด้วย แล้วเจ้าก็กินเสียเรียบในพริบตา อย่างกับอดอยากมานานอย่างนั้นละ " เอรีบัสต่อให้ อมยิ้มเล็กน้อย ดวงตาสีรัตติกาลฉายประกายสนุกระยิบระยับดั่งแสงดาวบนฟ้าเปิด
" เจ้านี่....จะไม่ 'กัด' ข้าสักทีไม่ได้หรือไงกันนะ "
" ข้าไม่ได้ 'กัด' สักหน่อย เจ้าก็รู้ว่าข้าไม่ดื่มเลือด ที่ 'กัด' น่ะ เจ้ามากกว่านะ "
"......... ....." เฟนเรียอึ้งไปชั่วครู่กับคำพูดของเพื่อน ได้แต่นั่งกระพริบตาปริบๆ มองเพื่อนด้วยสีหน้าที่สื่อความหมายว่า 'อะไรของเจ้า เล่นกันอย่างนี้เลยรึ' ไปให้เอรีบัส
" ก็สนุกดีนี่ ตั้งแต่วันนั้นข้าก็อยู่คนเดียวมาตลอดเลยนะ เจ้าจะไม่ให้ข้าได้เล่นสนุกบ้างหรือไง " ดวงตาสีท้องฟ้ายามค่ำคืนยังคงทอประกายเหมือนฟ้าพร่างดาว
" เจ้านี่นะ.....ข้าก็อยู่คนเดียวเหมือนกันล่ะน่า ถ้าไม่นับพวกหมาป่าน่ะนะ...เอาเถอะ ข้าจะยอมเป็นเพื่อนเล่นกับเจ้าก็ได้ กำลังเบื่อพอดี ยังไงข้าก็มาที่นี่เพื่อหาเพื่อนคุยแก้เบื่ออยู่แล้วนี่ " เจ้าหนุ่มผมสั้นยกมือสางผมของตนเล่นขณะมองเจ้าเพื่อนเก่าที่ยังตาเป็นประกายอยู่ไม่เลิก
แล้วทั้งสองก็นั่งพูดคุยถึงเรื่องในอดีตที่ได้ใช้ร่วมกับ 'นาง' ผู้นั้นกันอย่างสนุกสนาน
บรรยากาศอบอุ่นที่เคยมี ณ ชายป่าข้างทะเลสาบแห่งนี้ได้หวนย้อนกลับมาในความทรงจำอีกครั้ง ความเงียบเหงาแห่งยามราตรีที่เคยครอบคลุมหัวใจมาเกือบสองศตวรรษดูจะจางบางเบาลงท่ามกลางความทรงจำอันอบอุ่นนั้น
...อบอุ่น...
ความอุ่นใจที่ไม่ได้สัมผัสมาเกือบสองศตวรรษ ความทรงจำที่เป็นดั่งแสงแดดอันอบอุ่นที่ฉายมาคลายความหนาวเหน็บ แม้จะเป็นช่วงเวลาเพียงไม่กี่ปี แต่ความอบอุ่นนั้นยังคงตราตรึงอยู่ในความทรงจำอย่างชัดเจน
ความอุ่นใจที่ได้มีคนที่ไม่รังเกียจตัวตนของตน มีคนยอมรับ ได้พูดคุย เล่นสนุก อยู่ด้วยกัน ความเป็นมิตรที่ยากนักที่จะได้รับ โดยเฉพาะจากมนุษย์ มนุษย์ที่เกลียดกลัวพวกเขาเพียงเพราะต่างกันที่ไม่ใช่มนุษย์แม้จะคล้ายมนุษย์
*********************************************************
เป็นยังไงเอ่ย บทนี้ พอใช้ได้มั้ยฮะ
พอดียังไม่คุ้นกับการจัดหน้ากระดาษ
ถ้ามีอะไรจะติก็เชิญได้นะฮะ ยินดีรับ
จากนี้คงอีกพักใหญ่(มากๆ)ล่ะฮะกว่าอีกตอนจะเสร็จ ถ้าใจร้อนอยากอ่านต่อก็ต้อง เม้น! กันหน่อยนะฮะ
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น