ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Demons of the night

    ลำดับตอนที่ #4 : บทที่3 - แสงที่เหลืออยู่

    • อัปเดตล่าสุด 28 มิ.ย. 56


            ทั้งสองนั่งพูดคุยกันอยู่ริมทะเลสาบจนใกล้รุ่ง  เมื่อรู้สึกตัว  เฟนเรียจึงชวนให้เอรีบัสหาที่หลบแดดก่อนพระอาทิตย์จะขึ้น  ส่วนหนึ่งก็เพราะตนเองก็รู้สึกเหนื่อยจากการเดินทาง  และอีกส่วนหนึ่งก็เพื่อเอรีบัสจะได้ไม่ต้องสร้างม่านพลังคุ้มกายจากแสงอาทิตย์  เป็นการเก็บพลังไว้ให้มากที่สุดเผื่อยามฉุกเฉิน  จะอย่างไรเสียพวกเขาก็คุ้นกับเวลากลางคืนมากกว่า  และมักจะใช้เวลาช่วงที่ตื่นในช่วงที่อาทิตย์ลับขอบฟ้าไปแล้ว  นอกจากมีเหตุจำเป็นที่ทำให้ต้องตื่นในยามที่อาทิตย์ยังทอแสงแรงกล้า  หลังจากปรึกษากันอยู่ครู่หนึ่งที่สุดจึงตกลงกันว่าจะกลับไปที่กระท่อมของเอรีบัสซึ่งอยู่ที่ชายป่าอีกด้านหนึ่งซึ่งอยู่ใกล้กว่า  จากนั้นค่อยลองไปดูสถานที่ซึ่งเฟนเรียเคยอาศัยอยู่กับพี่ๆ ในคืนต่อไป


     

            “ อืมม...ได้นอนเตียงนี่มันสบายดีจริงๆ  ไม่ได้นอนเตียงมาตั้งนาน...  เมื่อมาถึงกระท่อม  เฟนเรียก็ถลาไปทิ้งตัวลงบนเตียงหลังเดียวที่มีในกระท่อมทันที

            “ เจ้านี่...ยังไม่ทันได้เปลี่ยนเสื้อผ้าก็กระโดดขึ้นเตียงแล้ว  ตัวมีแต่ฝุ่น  เตียงข้าเปื้อนหมด   เอรีบัสบ่นเบาๆ อย่างอ่อนใจ  พลางดึงตัวเจ้าเพื่อนตัวดีออกมาจากเตียง

            “ เอ้า  เอาเสื้อผ้าข้าไปเปลี่ยนก่อน  ล้างหน้าล้างตาซะ  แล้วหลังจากนั้นเจ้าจะเกลือกกลิ้งบนเตียงแค่ไหนก็ตามใจ   เอรีบัสยัดเสื้อผ้าชุดหนึ่งใส่มือเฟนเรียแล้วลากให้ไปเปลี่ยนชุดพร้อมกัน

            เมื่อทั้งคู่ไปล้างหน้าล้างตาและเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จก็นึกปัญหาสำคัญขึ้นมาได้ เตียงมีแค่หลังเดียว...และไม่กว้างพอสำหรับสองคน

            “ ข้าก็อยู่คนเดียวมาเสียนานลืมนึกไปว่ามีเตียงแค่หลังเดียว  เจ้านอนเตียงไปแล้วกัน  เดี๋ยวข้านอนเปลเอง   เอรีบัสตัดสินใจแล้วเดินไปหาเปลเพื่อนำมาผูกนอนในห้อง  ปล่อยให้เฟนเรียเกลือกกลิ้งบนเตียงอย่างมีความสุข

            แต่เมื่อเอรีบัสกลับเข้ามาในห้องก็ต้องแปลกใจที่เห็นหัวสีน้ำตาลปุยๆของเฟนเรียฟุบหลับอยู่บนเตียงเสียแล้ว  ทั้งที่เมื่อก่อนหากไม่บังคับให้เข้านอนก็จะไม่ยอมหลับเด็ดขาด  อาการที่ผิดแปลกไปจากเคยทำให้เอรีบัสสะกิดใจสงสัย  แต่ก็ยังคงไม่แสดงท่าทีใดนอกจากสีหน้าแปลกใจปนอึ้งเล็กน้อย


            ...แปลกไปจริงๆ หรือว่าจะเหนื่อยมาก...ไปทำอะไรมานะ...แต่ถ้าเจ้านั่นไม่พูดออกมาคงไม่ใช่เรื่องใหญ่ที่ต้องเป็นห่วงสินะ...



            เมื่อผูกเปลเสร็จและขึ้นนอน  เอรีบัสก็หลับไปได้พักใหญ่  จนกระทั่งกลิ่นบางสิ่งปลุกเขาให้ตื่นขึ้น

            ...กลิ่นเลือด ...

            กลิ่นที่สัมผัสได้ทำให้เอรีบัสตื่นเต็มตาทันที  เมื่อกวาดสายตามองก็พบว่าร่างของเฟนเรียที่ควรจะนอนอยู่บนเตียงกลับกำลังบิดเกร็งด้วยความเจ็บปวดอยู่บนพื้นข้างเตียง  ที่ไหล่ขวามีเลือดซึมออกมาย้อมเสื้อจนเป็นสีเข้มเป็นวงกว้างทั้งที่เฟนเรียไม่มีท่าทีว่าได้รับบาดเจ็บให้เห็นมาก่อน

            "เฟนเรีย!  เป็นอะไรไปน่ะ!  นี่เจ้าบาดเจ็บงั้นรึ! "  เขารีบเปิดเสื้อเพื่อนออกดูอาการ พลางตำหนิตัวเองที่ไม่ได้สังเกตเพื่อนให้ดีกว่านี้  แต่ก็ต้องตกตะลึงเมื่อสิ่งที่ปรากฏอยู่บนไหล่ของเฟนเรียกลับไม่ใช่บาดแผลธรรมดา  แผลนั้นดุจถูกมีดคมกรีดลึกและกำลังปริขยายออกทีละน้อยเป็นรูปกางเขน  ทั้งยังมีรอยไหม้เป็นรูปกางเขนทาบซ้อนเป็นเงาอยู่คู่กับแผลนั้นดุจถูกประทับตราด้วยเหล็กร้อน  ไม่ใช่ลักษณะของบาดแผลตามธรรมชาติแม้แต่น้อย  ลักษณะแผลเช่นนี้  แม้จะเคยเห็นเพียงไม่กี่ครั้งแต่เขาไม่เคยลืม

            ...รอยแผลกางเขน...คำสาปแช่งจากผู้ไล่ล่าปิศาจ  แม้ไม่ทำให้ถึงตายในคราเดียวแต่ก็ทรงอานุภาพพอที่จะทำให้ผู้ต้องคำสาปนั้นต้องนอนซมไปหลายวัน...การทรมานที่พวกนั้นใช้กับพวกเรา ! ...


            สิ่งที่เห็นจุดไฟแห่งโทสะของเอรีบัสขึ้น  แต่ไฟนั้นก็ต้องมอดไปในบัดดลเมื่ออาการทุรนทุรายของเฟนเรียดึงให้เขากลับได้สติ  แผลที่ไหล่ของเฟนเรียกำลังขยายเปิดออกทำให้เสียเลือดมากขึ้นเรื่อยๆ  ยิ่งปล่อยไว้นานจะยิ่งต้องใช้เวลาฟื้นตัวนานขึ้น  เอรีบัสเริ่มร่ายเวทย์แก้คำสาป  ผลึกสีใสที่ถูกย้อมเป็นสีแดงด้วยเลือดลอยออกมาจากรอยแผลบนไหล่เฟนริลแล้วแตกสลายไป  บาดแผลหยุดขยาย  แต่ความลึกของบาดแผลทำให้เฟนริลเสียเลือดไปไม่น้อย

     

            “ เอ้า  เสร็จแล้ว   เอรีบัสตีไหล่เพื่อนเบา ๆ หลังทำแผลเสร็จเป็นสัญญาณว่าให้ขยับตัวได้

            “ อืม  ขอบใจ  โทษทีนะที่ต้องให้มาทำแผลให้กลางดึก   เฟนริลพึมพำตอบเพียงเบา ๆ อย่างอ่อนแรงแล้วก็ปิดปากเงียบไป

            “ บอกข้ามาซิว่ามันเกิดอะไรขึ้น  ทำไมเจ้าถึงถูกอาคม กางเขนแฝดมาได้  วิชานี้มีแต่พวกระดับสูงที่ใช้เป็น และใช่ว่าจะใช้ได้ง่ายๆ  ทำไมเจ้าถึงถูกคนระดับนั้นตามล่าได้  แล้วยังเข้าใกล้จนฝังผลึกอาคมได้อีก  เท่าที่ข้าจำได้เจ้าหลบหนีได้เก่งกว่านี้นี่   เมื่อเห็นว่าเฟนริลเงียบไปไม่อธิบายสิ่งใดต่อ  เอรีบัสจึงถามออกไปเพื่อผลักดันให้เพื่อนพูดต่อ  เฟนริลมีท่าทีสะดุ้งตกใจเล็กน้อย หากยังคงไม่พูดอะไรมากไปกว่า  ข้าไม่เป็นอะไรหรอก  ไม่ต้องห่วง  แวร์วูล์ฟอย่างข้าไม่เป็นอะไรง่ายๆหรอก

         “ เจ้าไม่เห็นข้าเป็นเพื่อนแล้วหรือยังไง  เฟนริล   เฟนริลกลับไปปิดปากเงียบอีก จนในที่สุดเอรีบัสก็ทนรอต่อไม่ไหวและเป็นฝ่ายทำลายความเงียบลง

         “ คิดว่าข้าไม่รู้จักอาคมนี้หรือไง  แวมไพร์เป็นเผ่าพันธุ์ที่ใช้เวทมนตร์และอาคมมากเป็นอันดับต้นๆ ของเหล่าอมนุษย์นะ  ต้องเจอกับอาคมของพวกนักปราบปิศาจมาใช่น้อย  ทำไมข้าจะไม่รู้จัก  ข้ารู้จักอาคมนี้  และรู้ด้วยว่าพลังของเจ้าไม่สามารถสลายอาคมนี้ได้  เจ้าคิดจะปิดเรื่องนี้จากข้าไปจนถึงเมื่อไหร่  คิดจะปล่อยให้เลือดไหลจนหมดตัวหรือยังไง   ความเป็นห่วงเพื่อนทำให้เสียงที่พูดและการแสดงออกนั้นดังและรุนแรงกว่าที่เป็นตามปกติ  หากไม่ติดว่าเฟนเรียเพิ่งได้รับบาดเจ็บมา เขาคงจะกระโจนเข้าไปกระชากคอเสื้อเฟนเรียขึ้นมาถามแล้ว

            “ เฮ้อ  นึกแล้วเชียวว่าต้องถูกจับได้แน่  แต่ไม่นึกว่าจะเร็วแบบนี้  นึกว่าจะพอปิดไปได้สักสองสามวันเสียอีก  แต่อาคมนี่กลับแผลงฤทธิ์เร็วกว่าที่คิด ”  เมื่อเห็นปฏิกิริยาที่รุนแรงของเพื่อนรัก  ในที่สุดเฟนริลจึงเปิดปากเอ่ยออกมาหลังจากนิ่งเงียบอยู่พักหนึ่ง

            “ เจ้าก็รู้ว่าไม่มีทางปิดเรื่องนี้จากข้าได้  แต่ว่าเมื่อกี้เจ้าบอกว่าอาคมนี่แผลงฤทธิ์เร็วกว่าที่คิด  แสดงว่าเจ้ารู้จักอาคมนี้อยู่แล้วงั้นรึ  ดูจากอาการแล้วดูเหมือนจะเพิ่งออกฤทธิ์เป็นครั้งแรก  แสดงว่าเจ้าเพิ่งถูกฝังผลึกอาคมได้ไม่นานสินะ


            “ อืม  ประมาณหนึ่งสัปดาห์ก่อนจะได้มาเจอเจ้านี่แหละ  ตอนนั้นข้าเหนื่อยมากเลยไม่ทันระวังตัว   เฟนริลยอมรับพลางถอนใจเบาๆ


            “ เหนื่อยรึ  เท่าที่ข้าจำได้เจ้าไม่ใช่พวกที่เหนื่อยได้ง่ายๆนี่  แสดงว่านอกจากจะต้องเจอกับนักล่าปิศาจระดับสูงแล้วทางนั้นยังมากันหลายคนเลยเป็นคู่ต่อสู้ที่ตึงมือสินะ     เอรีบัสเริ่มเดาสุ่มจากสาเหตุที่อาจเป็นไปได้  พยายามหาสาเหตุที่ทำให้เฟนริลมีสภาพเช่นนี้

              “ เจ้าไปทำอะไรมากันแน่ เฟนริล  ฝ่ายนั้นมากันไม่น้อยถึงขนาดตามไล่ตามจนเจ้าที่แสนอึดเหนื่อยขนาดนั้นได้  ต้องไม่ใช่เรื่องเล็กๆแน่   เมื่อเฟนริลยอมเปิดปากเล่าเอรีบัสจึงไล่ซักถามต่อ  สีหน้าเริ่มฉายรอยเคร่งเครียดขึ้นเรื่อยๆ


            ...พวกปราบปิศาจมักออกปฏิบัติหน้าที่เป็นกลุ่มเล็กๆเพื่อไม่ให้เป็นที่สะดุดตา  มิฉะนั้นเป้าหมายอาจรู้ตัวแล้วหนีไปเสียก่อน  หากไม่ใช่เรื่องใหญ่นักปราบปิศาจระดับสูงคงไม่มารวมตัวเป็นกลุ่มใหญ่แน่...ยิ่งรวมตัวกันมากถึงขนาดไล่ล่าแวร์วูล์ฟที่เชี่ยวชาญการหลบหนีอย่างเฟนริลจนหมดแรงได้ต้องไม่ใช่ด้วยเรื่องธรรมดาอย่างไล่ให้ออกไปห่างชุมชนมนุษย์แน่...


            ความจริงนี้ยิ่งทำให้เอรีบัสร้อนรน  ไม่ว่าเฟนริลจะไปทำอะไรมา  มันสำคัญมากพอที่จะทำให้นักปราบปิศาจรวมตัวกันมาไล่ตามล่าเขาได้  และคงจะไม่ยอมปล่อยไปง่ายๆ แน่จนกว่าจะจับตัวกลับไปได้

            " ที่จริงข้าก็ไม่นึกว่ามันจะเป็นแบบนี้  ไม่นึกเลยว่าจะต้องมาเป็นภาระเจ้าแบบนี้  แค่อยากจะมาเยี่ยมเจ้าที่ถิ่นเก่าเท่านั้นเอง  แต่กลับไปยุ่งกับเรื่องวุ่นๆเข้าจนได้

            “ เรื่องวุ่นๆรึ  หมายความว่ายังไงกัน

            “ เจ้าก็รู้ว่าข้าหูดี  ระหว่างมาที่นี่  ข้าบังเอิญไปได้ยินเรื่องวงในของพวกนักปราบปิศาจเข้าน่ะสิ

            “ เรื่องวงในของพวกนักปราบปิศาจงั้นรึ  เจ้าไปได้ยินอะไรมากันแน่ เฟนเรีย  ดูท่าจะเป็นเรื่องวงในที่ลึกมากเลยสินะถึงถูกตามล่าถึงขนาดนี้   คำพูดของเฟนเรียทำให้เอรีบัสยิ่งร้อนใจยิ่งกว่าเดิม  หากเป็นเช่นนั้นพวกนักปราบปิศาจคงไม่มีวันยอมปล่อยเฟนเรียไปแน่

             จะว่าใช่ไหมก็...ใช่ล่ะนะ  ที่จริงข้าคิดว่าจะบอกเจ้าหลังจากนี้สักหน่อย  แต่ในเมื่อเป็นแบบนี้เจ้าคงต้องรบเร้าให้ข้าบอกจนได้สินะ

            “ ก็ใช่น่ะสิ  คิดว่าข้าจะนิ่งเฉยปล่อยให้เพื่อนถูกตามล่าอย่างนี้ได้รึ ”  เอรีบัสตอบกลับทันทีด้วยน้ำเสียงห้วนที่บอกชัดว่าไม่พอใจที่เฟนเรียปิดเรื่องไว้เช่นนี้

            เฟนเรียแสดงสีหน้าลำบากใจเล็กน้อยเพราะรู้ว่าหากเอรีบัสรู้ว่าตนเข้าไปพัวพันกับเรื่องใหญ่เช่นนี้เข้าคงจะนิ่งเฉยไม่ได้แน่  แต่ในเมื่อความแตกแล้วก็คงไม่มีทางเลือก  คงต้องเล่าให้ฟัง  เพราะอย่างไรเสียเรื่องนี้ก็น่าจะเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับเอรีบัสโดยตรง

       ...แต่...

            “ ขอโทษทีเถอะนะ  เอรีบัส  แต่ข้ายังนอนไม่อิ่มเลย  ยิ่งมาบาดเจ็บอย่างนี้อีกเรี่ยวแรงยิ่งลดลงไปอีก  ขอเวลาข้าอีกสักสองสามวันเถอะ  แล้วข้าจะเล่าให้ฟัง   แม้จะเป็นการผิดต่อความคาดหวังของเอรีบัส  แต่เขาเพลียมากจนเล่าอะไรไม่ไหวทั้งสิ้น  หากไม่ได้พักคงจะสลบไปทั้งอย่างนี้แน่  คงต้องขอพักก่อน

            คำขอนี้ทำให้เอรีบัสแย้งไม่ออก  เฟนเรียเพิ่งจะได้พักมาไม่ถึงคืน  แถมอาคมยังมาแผลงฤทธิ์ทำให้อ่อนแรงลงไปอีก  จะฝืนให้เล่าตอนนี้คงจะไม่ไหว  คงต้องรอให้เฟนเรียฟื้นตัวก่อน

            " อะ อืม  ขอโทษที  ข้าลืมไป  เอาเถอะ...ยังไงก็เอาผลึกอาคมออกแล้ว  และที่นี่ก็อยู่ในเขตอาคมของข้า  ไม่มีทางตามเจอได้แน่  มันทำอะไรเจ้าไม่ได้แล้วล่ะ  เจ้าก็รีบพักแล้วฟื้นตัวไวๆ ล่ะ   เอรีบัสตัดบทไปเพียงแค่นั้น  เมื่อจัดการให้เฟนเรียนอนพักบนเตียงและเก็บกวาดข้าวของต่างๆ เรียบร้อยแล้วก็กลับไปนอนบนเปลตามเดิมเช่นก่อนที่จะเกิดเรื่องขึ้น

     


            “ เฮ้  ลุกได้แล้วเฟนริล  นี่วันที่สามแล้ว  ดวงอาทิตย์ก็ตกไปนานแล้วด้วย  เจ้าก็ฟื้นตัวขึ้นมากแล้วนี่  ลุกมาเล่าให้ข้าฟังได้แล้วว่าเรื่องมันเป็นยังไง  ลุกขึ้นมาเดี๋ยวนี้  เฟนเรีย ซิลเวอร์  เจ้าแวร์วูล์ฟติงต๊อง   เสียงของหนุ่มแวมไพร์ดังขึ้นเรียกเพื่อนรักอย่างหงุดหงิดในค่ำวันที่สามหลังเกิดเหตุขึ้น

            “ ไม่  ข้ายังนอนไม่อิ่มเลย    เตียงเจ้านี่มันนอนสบายดีจริงๆ  ข้าไม่ได้นอนเตียงมาตั้งนาน  แล้วก็ยังฟื้นตัวได้ไม่เต็มที่เลยด้วย ขอนอนต่ออีกหน่อยเถอะ   อีกฝ่ายไม่ทำตามคำขอ  กลับโต้กลับมาซ้ำมือยังยึดเตียงไว้แน่นไม่ยอมปล่อย

            เอรีบัสพยายามลากเฟนริลออกจากเตียงหากไม่เป็นผล  หนุ่มแวร์วูล์ฟยังคงเกาะเตียงเอาไว้อย่างเหนียวแน่นโดยไม่มีทีท่าว่าจะปล่อยแม้เขาจะขึ้นเสียงเรียกชื่อเต็มจนชายหนุ่มเริ่มเหนื่อยใจกับเพื่อนที่ทำตัวเหมือนเด็กทั้งที่ตัวก็ออกโตจนเกินจะเรียกได้ว่าเด็กแล้ว  แต่หลังจากครุ่นคิดหาวิธีงัดเพื่อนออกมาเตียงอยู่พักหนึ่งความคิดดีๆอย่างหนึ่งก็แวบเข้ามาในหัวเขา

            “ เฟนเรีย  ถ้ายังไม่ยอมลุกล่ะก็  ข้าจะให้พวกค้างคาวรุมจั๊กจี้เจ้านะ เอรีบัสคลี่ยิ้มอย่างนึกสนุกที่จะได้แกล้งเพื่อนหลังจากต้องอยู่คนเดียวมานาน  พลางนิรมิตค้างคาวตัวน้อยๆ นับสิบขึ้นรอบตัว  เตรียมจะปล่อยไปหาเฟนเรียหากเจ้าเพื่อนตัวดียังไม่ยอมลุก

            “ เหวอ  อย่าๆ  ไม่ต้อง  ข้าลุกแล้ว ”  คำขู่ของเอรีบัสทำให้เฟนเรียรีบกระโดดออกจากเตียงทันที  จะอะไรเสียอีกเล่า  ก็เขาเป็นพวกบ้าจี้น่ะสิ  ตอนเด็กๆ ก็ถูกพวกพี่ๆ แกล้งเล่นอยู่ไม่น้อย  แต่ถ้าโดนพวกค้างคาวน้อยของเอรีบัสรุมจั๊กจี้ล่ะก็  จะยิ่งทรมานกว่าที่ถูกพี่รุมจั๊กจี้อีกหลายเท่านัก  โดนแค่เมื่อก่อนไม่กี่ครั้งก็เกินพอแล้ว

            “ ดีมากๆ แต่ว่านะ  เจ้ายังไม่ได้อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเลยนี่นา  เอ้า  เด็กๆ ไปช่วยพี่ชายเขาทีสิ   เมื่อสิ้นคำของเอรีบัสบรรดาค้างคาวน้อยรอบตัวเขาก็พุ่งเข้าหาเฟนเรียทันที

     


            " นี่เจ้ายังไม่หายโกรธอีกรึ  จะทำหน้ามุ่ยอยู่อย่างนั้นไปถึงเมื่อไหร่กัน  ข้าอุตส่าห์ทำอาหารดีๆ มาให้แล้ว  กินซะจะได้เล่าซะทีว่าเรื่องมันเป็นยังไงกันแน่

            “ เจ้าจงใจแกล้งข้า ! ”

            หลังปล่อยพวกค้างคาวน้อยไปทำหน้าที่เมื่อตอนค่ำแล้ว เสียงร้องของแวร์วูล์ฟหนุ่มก็ดังก้องไปทั่วบ้านอยู่หลายนาทีกว่าจะเงียบลงในระหว่างที่เอรีบัสเตรียมอาหารอยู่  เมื่อภารกิจเสร็จสิ้นแล้วพวกค้างคาวน้อยจึงกลับมาหาเอรีบัส  ปล่อยตัวเฟนเรียออกมาในสภาพอ่อนแรงแทบจะทรงตัวเดินไม่อยู่  ซึ่งเฟนเรียยังคงเคืองอยู่

            “ เอาน่า  ให้พวกค้างคาวเปลี่ยนเสื้อผ้าให้ก็สบายดีไม่ใช่หรือยังไง  เห็นว่าเจ้ายังฟื้นตัวไม่เต็มที่ข้าก็เลยให้พวกค้างคาวช่วยเปลี่ยนเสื้อผ้าให้ยังไงเล่า  จะได้เบาแรงลงหน่อย   เอรีบัสพยายามกล่อมให้เฟนเรียทานอาหารไปด้วยขณะที่เขาทานอาหาร  เพื่อจะได้ประเมินสถานการณ์และหาวิธีรับมือได้ถูก  แต่เฟนเรียก็ยังคงไม่หายเคือง  ยังไม่ยอมทานอาหาร  แม้เขาจะทานอาหารเสร็จไปแล้วก็ตาม

            “ ถ้าจะช่วยข้าเปลี่ยนเสื้อผ้าเจ้าก็มาช่วยเองสิ  ให้พวกค้างคาวช่วยทำไม  เจ้าก็รู้ว่าข้า...   เฟนเรียค้านขึ้น  แต่เสียงท้ายประโยคกลับค่อยลงเรื่อยๆ จนหายเงียบไป  มันเป็นจุดอ่อนที่เขาไม่อยากยอมรับ...มันอ่อนหัดเกินไปจนน่าขำสำหรับแวร์วูล์ฟเช่นเขา

            “ ถ้าข้าไปช่วยเจ้าแล้วใครจะเตรียมอาหารล่ะ  พวกค้างคาวทำไม่ได้หรอกนะ  แถมเจ้าน่ะพอตื่นมาได้ครู่หนึ่งท้องก็จะเริ่มร้องแล้วไม่ใช่รึ  ข้าไม่อยากให้คนป่วยต้องทนหิวหรอกนะ   เอรีบัสยกเหตุผลที่เฟนเรียไม่อาจแย้งได้ขึ้นมาอธิบาย  ทำให้แวร์วูล์ฟหนุ่มจนคำพูดจะโต้กลับ

            เฟนเรียนิ่วหน้าเล็กน้อยก่อนจะยอมทานอาหารส่วนของเขาที่เอรีบัสเตรียมมาให้  ดูเหมือนในที่สุดหลังจากนั่งตั้งแง่เคืองเอรีบัสอยู่กว่าครึ่งชั่วโมงความหิวก็ชนะทิฐิในใจเขาจนได้  ทิ้งให้เอรีบัสนั่งอมยิ้มมองเจ้าเพื่อนขี้งอนที่สุดท้ายก็แพ้ความหิวยอมทานอาหารในที่สุดอยู่เงียบๆอย่างอารมณ์ดี


    ******************************************************************

    มุมคุยกับคนแต่ง
    ยอมรับเจ้าค่ะว่าอัพช้า  ชอบดองอยู่เรื่อย  แต่ก็ตั้งใจเขียนนะเจ้าคะ  พยายามไม่เผางานเพื่อให้งานมีคุณค่าสมควรแก่การอ่านและให้คนอ่านมีความสุขกับการอ่านนิยายของข้าน้อย  ขอขอบคุณทุกท่านที่ติดตามอ่านนะคะ  แต่...

    เคยบอกไว้แล้วนะเจ้าคะว่าถ้าอยากอ่านต่อก็ขอให้เม้นต์ไว้ด้วย  ข้าน้อยจะได้รู้ว่ามีคนติดตามอยู่และมีกำลังใจเขียนต่อไป  จะเป็นเหมือนน้ำทิพย์ชโลมใจเลยล่ะเจ้าค่ะ 

    คอมเม้นต์เป็นกำลังใจของนักเขียนนะเจ้าคะ  ถ้าอ่านแล้วชอบก็ช่วยคอมเม้นต์บอกกันไว้หน่อยนะเจ้าคะ  แค่นิดเดียวก็ยังดีเจ้าค่ะ  ขอร้องล่ะเจ้าค่ะ (T^T)  /หมอบขอร้อง/

    รักน้อยๆแต่รักนานๆก็ยังดีค่ะ  ^ - ^

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×