คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #4 : บทที่3 - แสงที่เหลืออยู่
ทั้งสองนั่งพูดคุยกันอยู่ริมทะเลสาบจนใกล้รุ่ง เมื่อรู้สึกตัว เฟนเรียจึงชวนให้เอรีบัสหาที่หลบแดดก่อนพระอาทิตย์จะขึ้น ส่วนหนึ่งก็เพราะตนเองก็รู้สึกเหนื่อยจากการเดินทาง และอีกส่วนหนึ่งก็เพื่อเอรีบัสจะได้ไม่ต้องสร้างม่านพลังคุ้มกายจากแสงอาทิตย์ เป็นการเก็บพลังไว้ให้มากที่สุดเผื่อยามฉุกเฉิน จะอย่างไรเสียพวกเขาก็คุ้นกับเวลากลางคืนมากกว่า และมักจะใช้เวลาช่วงที่ตื่นในช่วงที่อาทิตย์ลับขอบฟ้าไปแล้ว นอกจากมีเหตุจำเป็นที่ทำให้ต้องตื่นในยามที่อาทิตย์ยังทอแสงแรงกล้า หลังจากปรึกษากันอยู่ครู่หนึ่งที่สุดจึงตกลงกันว่าจะกลับไปที่กระท่อมของเอรีบัสซึ่งอยู่ที่ชายป่าอีกด้านหนึ่งซึ่งอยู่ใกล้กว่า จากนั้นค่อยลองไปดูสถานที่ซึ่งเฟนเรียเคยอาศัยอยู่กับพี่ๆ ในคืนต่อไป
“ อืมม...ได้นอนเตียงนี่มันสบายดีจริงๆ ไม่ได้นอนเตียงมาตั้งนาน...” เมื่อมาถึงกระท่อม เฟนเรียก็ถลาไปทิ้งตัวลงบนเตียงหลังเดียวที่มีในกระท่อมทันที
“ เจ้านี่...ยังไม่ทันได้เปลี่ยนเสื้อผ้าก็กระโดดขึ้นเตียงแล้ว ตัวมีแต่ฝุ่น เตียงข้าเปื้อนหมด ” เอรีบัสบ่นเบาๆ อย่างอ่อนใจ พลางดึงตัวเจ้าเพื่อนตัวดีออกมาจากเตียง
“ เอ้า เอาเสื้อผ้าข้าไปเปลี่ยนก่อน ล้างหน้าล้างตาซะ แล้วหลังจากนั้นเจ้าจะเกลือกกลิ้งบนเตียงแค่ไหนก็ตามใจ ” เอรีบัสยัดเสื้อผ้าชุดหนึ่งใส่มือเฟนเรียแล้วลากให้ไปเปลี่ยนชุดพร้อมกัน
เมื่อทั้งคู่ไปล้างหน้าล้างตาและเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จก็นึกปัญหาสำคัญขึ้นมาได้ เตียงมีแค่หลังเดียว...และไม่กว้างพอสำหรับสองคน
“ ข้าก็อยู่คนเดียวมาเสียนานลืมนึกไปว่ามีเตียงแค่หลังเดียว เจ้านอนเตียงไปแล้วกัน เดี๋ยวข้านอนเปลเอง ” เอรีบัสตัดสินใจแล้วเดินไปหาเปลเพื่อนำมาผูกนอนในห้อง ปล่อยให้เฟนเรียเกลือกกลิ้งบนเตียงอย่างมีความสุข
แต่เมื่อเอรีบัสกลับเข้ามาในห้องก็ต้องแปลกใจที่เห็นหัวสีน้ำตาลปุยๆของเฟนเรียฟุบหลับอยู่บนเตียงเสียแล้ว ทั้งที่เมื่อก่อนหากไม่บังคับให้เข้านอนก็จะไม่ยอมหลับเด็ดขาด อาการที่ผิดแปลกไปจากเคยทำให้เอรีบัสสะกิดใจสงสัย แต่ก็ยังคงไม่แสดงท่าทีใดนอกจากสีหน้าแปลกใจปนอึ้งเล็กน้อย
...แปลกไปจริงๆ หรือว่าจะเหนื่อยมาก...ไปทำอะไรมานะ...แต่ถ้าเจ้านั่นไม่พูดออกมาคงไม่ใช่เรื่องใหญ่ที่ต้องเป็นห่วงสินะ...
เมื่อผูกเปลเสร็จและขึ้นนอน เอรีบัสก็หลับไปได้พักใหญ่ จนกระทั่งกลิ่นบางสิ่งปลุกเขาให้ตื่นขึ้น
...กลิ่นเลือด ! ...
กลิ่นที่สัมผัสได้ทำให้เอรีบัสตื่นเต็มตาทันที เมื่อกวาดสายตามองก็พบว่าร่างของเฟนเรียที่ควรจะนอนอยู่บนเตียงกลับกำลังบิดเกร็งด้วยความเจ็บปวดอยู่บนพื้นข้างเตียง ที่ไหล่ขวามีเลือดซึมออกมาย้อมเสื้อจนเป็นสีเข้มเป็นวงกว้างทั้งที่เฟนเรียไม่มีท่าทีว่าได้รับบาดเจ็บให้เห็นมาก่อน
"เฟนเรีย! เป็นอะไรไปน่ะ! นี่เจ้าบาดเจ็บงั้นรึ! " เขารีบเปิดเสื้อเพื่อนออกดูอาการ พลางตำหนิตัวเองที่ไม่ได้สังเกตเพื่อนให้ดีกว่านี้ แต่ก็ต้องตกตะลึงเมื่อสิ่งที่ปรากฏอยู่บนไหล่ของเฟนเรียกลับไม่ใช่บาดแผลธรรมดา แผลนั้นดุจถูกมีดคมกรีดลึกและกำลังปริขยายออกทีละน้อยเป็นรูปกางเขน ทั้งยังมีรอยไหม้เป็นรูปกางเขนทาบซ้อนเป็นเงาอยู่คู่กับแผลนั้นดุจถูกประทับตราด้วยเหล็กร้อน ไม่ใช่ลักษณะของบาดแผลตามธรรมชาติแม้แต่น้อย ลักษณะแผลเช่นนี้ แม้จะเคยเห็นเพียงไม่กี่ครั้งแต่เขาไม่เคยลืม
...รอยแผลกางเขน...คำสาปแช่งจากผู้ไล่ล่าปิศาจ แม้ไม่ทำให้ถึงตายในคราเดียวแต่ก็ทรงอานุภาพพอที่จะทำให้ผู้ต้องคำสาปนั้นต้องนอนซมไปหลายวัน...การทรมานที่พวกนั้นใช้กับพวกเรา ! ...
สิ่งที่เห็นจุดไฟแห่งโทสะของเอรีบัสขึ้น แต่ไฟนั้นก็ต้องมอดไปในบัดดลเมื่ออาการทุรนทุรายของเฟนเรียดึงให้เขากลับได้สติ แผลที่ไหล่ของเฟนเรียกำลังขยายเปิดออกทำให้เสียเลือดมากขึ้นเรื่อยๆ ยิ่งปล่อยไว้นานจะยิ่งต้องใช้เวลาฟื้นตัวนานขึ้น เอรีบัสเริ่มร่ายเวทย์แก้คำสาป ผลึกสีใสที่ถูกย้อมเป็นสีแดงด้วยเลือดลอยออกมาจากรอยแผลบนไหล่เฟนริลแล้วแตกสลายไป บาดแผลหยุดขยาย แต่ความลึกของบาดแผลทำให้เฟนริลเสียเลือดไปไม่น้อย
“ เอ้า เสร็จแล้ว ” เอรีบัสตีไหล่เพื่อนเบา ๆ หลังทำแผลเสร็จเป็นสัญญาณว่าให้ขยับตัวได้
“ อืม ขอบใจ โทษทีนะที่ต้องให้มาทำแผลให้กลางดึก ” เฟนริลพึมพำตอบเพียงเบา ๆ อย่างอ่อนแรงแล้วก็ปิดปากเงียบไป
“ บอกข้ามาซิว่ามันเกิดอะไรขึ้น ทำไมเจ้าถึงถูกอาคม ‘กางเขนแฝด’ มาได้ วิชานี้มีแต่พวกระดับสูงที่ใช้เป็น และใช่ว่าจะใช้ได้ง่ายๆ ทำไมเจ้าถึงถูกคนระดับนั้นตามล่าได้ แล้วยังเข้าใกล้จนฝังผลึกอาคมได้อีก เท่าที่ข้าจำได้เจ้าหลบหนีได้เก่งกว่านี้นี่ ” เมื่อเห็นว่าเฟนริลเงียบไปไม่อธิบายสิ่งใดต่อ เอรีบัสจึงถามออกไปเพื่อผลักดันให้เพื่อนพูดต่อ เฟนริลมีท่าทีสะดุ้งตกใจเล็กน้อย หากยังคงไม่พูดอะไรมากไปกว่า “ ข้าไม่เป็นอะไรหรอก ไม่ต้องห่วง แวร์วูล์ฟอย่างข้าไม่เป็นอะไรง่ายๆหรอก ”
“ เจ้าไม่เห็นข้าเป็นเพื่อนแล้วหรือยังไง เฟนริล ” เฟนริลกลับไปปิดปากเงียบอีก จนในที่สุดเอรีบัสก็ทนรอต่อไม่ไหวและเป็นฝ่ายทำลายความเงียบลง
“ คิดว่าข้าไม่รู้จักอาคมนี้หรือไง แวมไพร์เป็นเผ่าพันธุ์ที่ใช้เวทมนตร์และอาคมมากเป็นอันดับต้นๆ ของเหล่าอมนุษย์นะ ต้องเจอกับอาคมของพวกนักปราบปิศาจมาใช่น้อย ทำไมข้าจะไม่รู้จัก ข้ารู้จักอาคมนี้ และรู้ด้วยว่าพลังของเจ้าไม่สามารถสลายอาคมนี้ได้ เจ้าคิดจะปิดเรื่องนี้จากข้าไปจนถึงเมื่อไหร่ คิดจะปล่อยให้เลือดไหลจนหมดตัวหรือยังไง ” ความเป็นห่วงเพื่อนทำให้เสียงที่พูดและการแสดงออกนั้นดังและรุนแรงกว่าที่เป็นตามปกติ หากไม่ติดว่าเฟนเรียเพิ่งได้รับบาดเจ็บมา เขาคงจะกระโจนเข้าไปกระชากคอเสื้อเฟนเรียขึ้นมาถามแล้ว
“ เฮ้อ นึกแล้วเชียวว่าต้องถูกจับได้แน่ แต่ไม่นึกว่าจะเร็วแบบนี้ นึกว่าจะพอปิดไปได้สักสองสามวันเสียอีก แต่อาคมนี่กลับแผลงฤทธิ์เร็วกว่าที่คิด ” เมื่อเห็นปฏิกิริยาที่รุนแรงของเพื่อนรัก ในที่สุดเฟนริลจึงเปิดปากเอ่ยออกมาหลังจากนิ่งเงียบอยู่พักหนึ่ง
“ เจ้าก็รู้ว่าไม่มีทางปิดเรื่องนี้จากข้าได้ แต่ว่าเมื่อกี้เจ้าบอกว่าอาคมนี่แผลงฤทธิ์เร็วกว่าที่คิด แสดงว่าเจ้ารู้จักอาคมนี้อยู่แล้วงั้นรึ ดูจากอาการแล้วดูเหมือนจะเพิ่งออกฤทธิ์เป็นครั้งแรก แสดงว่าเจ้าเพิ่งถูกฝังผลึกอาคมได้ไม่นานสินะ ”
“ อืม ประมาณหนึ่งสัปดาห์ก่อนจะได้มาเจอเจ้านี่แหละ ตอนนั้นข้าเหนื่อยมากเลยไม่ทันระวังตัว ” เฟนริลยอมรับพลางถอนใจเบาๆ
“ เหนื่อยรึ เท่าที่ข้าจำได้เจ้าไม่ใช่พวกที่เหนื่อยได้ง่ายๆนี่ แสดงว่านอกจากจะต้องเจอกับนักล่าปิศาจระดับสูงแล้วทางนั้นยังมากันหลายคนเลยเป็นคู่ต่อสู้ที่ตึงมือสินะ ” เอรีบัสเริ่มเดาสุ่มจากสาเหตุที่อาจเป็นไปได้ พยายามหาสาเหตุที่ทำให้เฟนริลมีสภาพเช่นนี้
“ เจ้าไปทำอะไรมากันแน่ เฟนริล ฝ่ายนั้นมากันไม่น้อยถึงขนาดตามไล่ตามจนเจ้าที่แสนอึดเหนื่อยขนาดนั้นได้ ต้องไม่ใช่เรื่องเล็กๆแน่ ” เมื่อเฟนริลยอมเปิดปากเล่าเอรีบัสจึงไล่ซักถามต่อ สีหน้าเริ่มฉายรอยเคร่งเครียดขึ้นเรื่อยๆ
...พวกปราบปิศาจมักออกปฏิบัติหน้าที่เป็นกลุ่มเล็กๆเพื่อไม่ให้เป็นที่สะดุดตา มิฉะนั้นเป้าหมายอาจรู้ตัวแล้วหนีไปเสียก่อน หากไม่ใช่เรื่องใหญ่นักปราบปิศาจระดับสูงคงไม่มารวมตัวเป็นกลุ่มใหญ่แน่...ยิ่งรวมตัวกันมากถึงขนาดไล่ล่าแวร์วูล์ฟที่เชี่ยวชาญการหลบหนีอย่างเฟนริลจนหมดแรงได้ต้องไม่ใช่ด้วยเรื่องธรรมดาอย่างไล่ให้ออกไปห่างชุมชนมนุษย์แน่...
ความจริงนี้ยิ่งทำให้เอรีบัสร้อนรน ไม่ว่าเฟนริลจะไปทำอะไรมา มันสำคัญมากพอที่จะทำให้นักปราบปิศาจรวมตัวกันมาไล่ตามล่าเขาได้ และคงจะไม่ยอมปล่อยไปง่ายๆ แน่จนกว่าจะจับตัวกลับไปได้
" ที่จริงข้าก็ไม่นึกว่ามันจะเป็นแบบนี้ ไม่นึกเลยว่าจะต้องมาเป็นภาระเจ้าแบบนี้ แค่อยากจะมาเยี่ยมเจ้าที่ถิ่นเก่าเท่านั้นเอง แต่กลับไปยุ่งกับเรื่องวุ่นๆเข้าจนได้ ”
“ เรื่องวุ่นๆรึ หมายความว่ายังไงกัน ”
“ เจ้าก็รู้ว่าข้าหูดี ระหว่างมาที่นี่ ข้าบังเอิญไปได้ยินเรื่องวงในของพวกนักปราบปิศาจเข้าน่ะสิ ”
“ เรื่องวงในของพวกนักปราบปิศาจงั้นรึ เจ้าไปได้ยินอะไรมากันแน่ เฟนเรีย ดูท่าจะเป็นเรื่องวงในที่ลึกมากเลยสินะถึงถูกตามล่าถึงขนาดนี้ ” คำพูดของเฟนเรียทำให้เอรีบัสยิ่งร้อนใจยิ่งกว่าเดิม หากเป็นเช่นนั้นพวกนักปราบปิศาจคงไม่มีวันยอมปล่อยเฟนเรียไปแน่
“ จะว่าใช่ไหมก็...ใช่ล่ะนะ ที่จริงข้าคิดว่าจะบอกเจ้าหลังจากนี้สักหน่อย แต่ในเมื่อเป็นแบบนี้เจ้าคงต้องรบเร้าให้ข้าบอกจนได้สินะ ”
“ ก็ใช่น่ะสิ คิดว่าข้าจะนิ่งเฉยปล่อยให้เพื่อนถูกตามล่าอย่างนี้ได้รึ ” เอรีบัสตอบกลับทันทีด้วยน้ำเสียงห้วนที่บอกชัดว่าไม่พอใจที่เฟนเรียปิดเรื่องไว้เช่นนี้
เฟนเรียแสดงสีหน้าลำบากใจเล็กน้อยเพราะรู้ว่าหากเอรีบัสรู้ว่าตนเข้าไปพัวพันกับเรื่องใหญ่เช่นนี้เข้าคงจะนิ่งเฉยไม่ได้แน่ แต่ในเมื่อความแตกแล้วก็คงไม่มีทางเลือก คงต้องเล่าให้ฟัง เพราะอย่างไรเสียเรื่องนี้ก็น่าจะเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับเอรีบัสโดยตรง
...แต่...
“ ขอโทษทีเถอะนะ เอรีบัส แต่ข้ายังนอนไม่อิ่มเลย ยิ่งมาบาดเจ็บอย่างนี้อีกเรี่ยวแรงยิ่งลดลงไปอีก ขอเวลาข้าอีกสักสองสามวันเถอะ แล้วข้าจะเล่าให้ฟัง ” แม้จะเป็นการผิดต่อความคาดหวังของเอรีบัส แต่เขาเพลียมากจนเล่าอะไรไม่ไหวทั้งสิ้น หากไม่ได้พักคงจะสลบไปทั้งอย่างนี้แน่ คงต้องขอพักก่อน
คำขอนี้ทำให้เอรีบัสแย้งไม่ออก เฟนเรียเพิ่งจะได้พักมาไม่ถึงคืน แถมอาคมยังมาแผลงฤทธิ์ทำให้อ่อนแรงลงไปอีก จะฝืนให้เล่าตอนนี้คงจะไม่ไหว คงต้องรอให้เฟนเรียฟื้นตัวก่อน
" อะ อืม ขอโทษที ข้าลืมไป เอาเถอะ...ยังไงก็เอาผลึกอาคมออกแล้ว และที่นี่ก็อยู่ในเขตอาคมของข้า ไม่มีทางตามเจอได้แน่ มันทำอะไรเจ้าไม่ได้แล้วล่ะ เจ้าก็รีบพักแล้วฟื้นตัวไวๆ ล่ะ ” เอรีบัสตัดบทไปเพียงแค่นั้น เมื่อจัดการให้เฟนเรียนอนพักบนเตียงและเก็บกวาดข้าวของต่างๆ เรียบร้อยแล้วก็กลับไปนอนบนเปลตามเดิมเช่นก่อนที่จะเกิดเรื่องขึ้น
“ เฮ้ ลุกได้แล้วเฟนริล นี่วันที่สามแล้ว ดวงอาทิตย์ก็ตกไปนานแล้วด้วย เจ้าก็ฟื้นตัวขึ้นมากแล้วนี่ ลุกมาเล่าให้ข้าฟังได้แล้วว่าเรื่องมันเป็นยังไง ลุกขึ้นมาเดี๋ยวนี้ เฟนเรีย ซิลเวอร์ เจ้าแวร์วูล์ฟติงต๊อง ” เสียงของหนุ่มแวมไพร์ดังขึ้นเรียกเพื่อนรักอย่างหงุดหงิดในค่ำวันที่สามหลังเกิดเหตุขึ้น
“ ไม่ ข้ายังนอนไม่อิ่มเลย เตียงเจ้านี่มันนอนสบายดีจริงๆ ข้าไม่ได้นอนเตียงมาตั้งนาน แล้วก็ยังฟื้นตัวได้ไม่เต็มที่เลยด้วย ขอนอนต่ออีกหน่อยเถอะ ” อีกฝ่ายไม่ทำตามคำขอ กลับโต้กลับมาซ้ำมือยังยึดเตียงไว้แน่นไม่ยอมปล่อย
เอรีบัสพยายามลากเฟนริลออกจากเตียงหากไม่เป็นผล หนุ่มแวร์วูล์ฟยังคงเกาะเตียงเอาไว้อย่างเหนียวแน่นโดยไม่มีทีท่าว่าจะปล่อยแม้เขาจะขึ้นเสียงเรียกชื่อเต็มจนชายหนุ่มเริ่มเหนื่อยใจกับเพื่อนที่ทำตัวเหมือนเด็กทั้งที่ตัวก็ออกโตจนเกินจะเรียกได้ว่าเด็กแล้ว แต่หลังจากครุ่นคิดหาวิธีงัดเพื่อนออกมาเตียงอยู่พักหนึ่งความคิดดีๆอย่างหนึ่งก็แวบเข้ามาในหัวเขา
“ เฟนเรีย ถ้ายังไม่ยอมลุกล่ะก็ ข้าจะให้พวกค้างคาวรุมจั๊กจี้เจ้านะ ” เอรีบัสคลี่ยิ้มอย่างนึกสนุกที่จะได้แกล้งเพื่อนหลังจากต้องอยู่คนเดียวมานาน พลางนิรมิตค้างคาวตัวน้อยๆ นับสิบขึ้นรอบตัว เตรียมจะปล่อยไปหาเฟนเรียหากเจ้าเพื่อนตัวดียังไม่ยอมลุก
“ เหวอ อย่าๆ ไม่ต้อง ข้าลุกแล้ว ” คำขู่ของเอรีบัสทำให้เฟนเรียรีบกระโดดออกจากเตียงทันที จะอะไรเสียอีกเล่า ก็เขาเป็นพวกบ้าจี้น่ะสิ ตอนเด็กๆ ก็ถูกพวกพี่ๆ แกล้งเล่นอยู่ไม่น้อย แต่ถ้าโดนพวกค้างคาวน้อยของเอรีบัสรุมจั๊กจี้ล่ะก็ จะยิ่งทรมานกว่าที่ถูกพี่รุมจั๊กจี้อีกหลายเท่านัก โดนแค่เมื่อก่อนไม่กี่ครั้งก็เกินพอแล้ว
“ ดีมากๆ แต่ว่านะ เจ้ายังไม่ได้อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเลยนี่นา เอ้า เด็กๆ ไปช่วยพี่ชายเขาทีสิ ” เมื่อสิ้นคำของเอรีบัสบรรดาค้างคาวน้อยรอบตัวเขาก็พุ่งเข้าหาเฟนเรียทันที
" นี่เจ้ายังไม่หายโกรธอีกรึ จะทำหน้ามุ่ยอยู่อย่างนั้นไปถึงเมื่อไหร่กัน ข้าอุตส่าห์ทำอาหารดีๆ มาให้แล้ว กินซะจะได้เล่าซะทีว่าเรื่องมันเป็นยังไงกันแน่ ”
“ เจ้าจงใจแกล้งข้า ! ”
หลังปล่อยพวกค้างคาวน้อยไปทำหน้าที่เมื่อตอนค่ำแล้ว เสียงร้องของแวร์วูล์ฟหนุ่มก็ดังก้องไปทั่วบ้านอยู่หลายนาทีกว่าจะเงียบลงในระหว่างที่เอรีบัสเตรียมอาหารอยู่ เมื่อภารกิจเสร็จสิ้นแล้วพวกค้างคาวน้อยจึงกลับมาหาเอรีบัส ปล่อยตัวเฟนเรียออกมาในสภาพอ่อนแรงแทบจะทรงตัวเดินไม่อยู่ ซึ่งเฟนเรียยังคงเคืองอยู่
“ เอาน่า ให้พวกค้างคาวเปลี่ยนเสื้อผ้าให้ก็สบายดีไม่ใช่หรือยังไง เห็นว่าเจ้ายังฟื้นตัวไม่เต็มที่ข้าก็เลยให้พวกค้างคาวช่วยเปลี่ยนเสื้อผ้าให้ยังไงเล่า จะได้เบาแรงลงหน่อย ” เอรีบัสพยายามกล่อมให้เฟนเรียทานอาหารไปด้วยขณะที่เขาทานอาหาร เพื่อจะได้ประเมินสถานการณ์และหาวิธีรับมือได้ถูก แต่เฟนเรียก็ยังคงไม่หายเคือง ยังไม่ยอมทานอาหาร แม้เขาจะทานอาหารเสร็จไปแล้วก็ตาม
“ ถ้าจะช่วยข้าเปลี่ยนเสื้อผ้าเจ้าก็มาช่วยเองสิ ให้พวกค้างคาวช่วยทำไม เจ้าก็รู้ว่าข้า... ” เฟนเรียค้านขึ้น แต่เสียงท้ายประโยคกลับค่อยลงเรื่อยๆ จนหายเงียบไป มันเป็นจุดอ่อนที่เขาไม่อยากยอมรับ...มันอ่อนหัดเกินไปจนน่าขำสำหรับแวร์วูล์ฟเช่นเขา
“ ถ้าข้าไปช่วยเจ้าแล้วใครจะเตรียมอาหารล่ะ พวกค้างคาวทำไม่ได้หรอกนะ แถมเจ้าน่ะพอตื่นมาได้ครู่หนึ่งท้องก็จะเริ่มร้องแล้วไม่ใช่รึ ข้าไม่อยากให้คนป่วยต้องทนหิวหรอกนะ ” เอรีบัสยกเหตุผลที่เฟนเรียไม่อาจแย้งได้ขึ้นมาอธิบาย ทำให้แวร์วูล์ฟหนุ่มจนคำพูดจะโต้กลับ
เฟนเรียนิ่วหน้าเล็กน้อยก่อนจะยอมทานอาหารส่วนของเขาที่เอรีบัสเตรียมมาให้ ดูเหมือนในที่สุดหลังจากนั่งตั้งแง่เคืองเอรีบัสอยู่กว่าครึ่งชั่วโมงความหิวก็ชนะทิฐิในใจเขาจนได้ ทิ้งให้เอรีบัสนั่งอมยิ้มมองเจ้าเพื่อนขี้งอนที่สุดท้ายก็แพ้ความหิวยอมทานอาหารในที่สุดอยู่เงียบๆอย่างอารมณ์ดี
มุมคุยกับคนแต่ง
ยอมรับเจ้าค่ะว่าอัพช้า ชอบดองอยู่เรื่อย แต่ก็ตั้งใจเขียนนะเจ้าคะ พยายามไม่เผางานเพื่อให้งานมีคุณค่าสมควรแก่การอ่านและให้คนอ่านมีความสุขกับการอ่านนิยายของข้าน้อย ขอขอบคุณทุกท่านที่ติดตามอ่านนะคะ แต่...
เคยบอกไว้แล้วนะเจ้าคะว่าถ้าอยากอ่านต่อก็ขอให้เม้นต์ไว้ด้วย ข้าน้อยจะได้รู้ว่ามีคนติดตามอยู่และมีกำลังใจเขียนต่อไป จะเป็นเหมือนน้ำทิพย์ชโลมใจเลยล่ะเจ้าค่ะ
คอมเม้นต์เป็นกำลังใจของนักเขียนนะเจ้าคะ ถ้าอ่านแล้วชอบก็ช่วยคอมเม้นต์บอกกันไว้หน่อยนะเจ้าคะ แค่นิดเดียวก็ยังดีเจ้าค่ะ ขอร้องล่ะเจ้าค่ะ (T^T) /หมอบขอร้อง/
รักน้อยๆแต่รักนานๆก็ยังดีค่ะ ^ - ^
ความคิดเห็น