คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : บทที่ 1 - ความมืดมิดแห่งยามราตรี
� � � � "��.........��........��............��"
��������เอ๋?��เสียงนั่น��อะไรกันน่ะ��เสียงใครกัน��ใครทำอะไรกันอยู่น่ะ��นี่มันที่ไหนกัน
� � � � เสียงซึ่งแว่วเข้าสู่โสตประสาทนั้นปลุกให้จิตใจที่หลับไหลอยู่ตื่นขึ้น �เสียงนั้นยังคงฟังไม่ได้ศัพท์ �พาลทำให้เจ้าของจิตใจรู้สึกระแวงและพยายามกวาดตามองสภาพรอบข้าง �หากแต่เมื่อภาพมัวๆ อันลางเลือนที่อยู่เบื้องหน้านั้นค่อยๆกระจ่างชัดขึ้นจนเห็นได้ชัดเจนว่าคือที่ใด �จิตใจของเขากลับเหมือนถูกฉุดกระชากลงไปกลางธารน้ำแข็งในทันใด
��������สถานที่นี่มัน!!��ใช่��ที่นั่นจริงๆ��ที่ที่ข้าไม่อยากหวนกลับไปอีกเป็นครั้งที่สอง��ที่ที่พวกนั้นพรากนางไปจากข้าอย่างไม่มีวันหวนกลับ��สิ่งสำคัญที่ข้ารักที่สุด
��������พวกนั้นพรากนางไปจากข้า��นางซึ่งได้เข้ามาทำให้หัวใจที่ด้านชาจนไม่ต่างจากน้ำแข็งที่ถูกปิดตายของข้าได้พบกับความอบอุ่นและแสงสว่างอีกครั้ง��ช่วยข้าให้พ้นจากความเปล่าเปลี่ยวเดียวดายอันไม่สิ้นสุด ทำให้ข้าที่หมดศรัทธาในความเชื่อใจเริ่มกลับมาเชื่อใจผู้อื่นได้อีกครั้ง��
��������แต่ทำไมกัน��ทำไมพวกเขาจึงต้องนำนางไปจากข้า��ทำไมจึงไม่ให้เรารักกัน��นางกับข้าอาจต่างกันก็จริง�แต่ข้าก็รักนางด้วยใจจริง��ข้าขอเพียงได้อยู่กับนางเท่านั้นเอง��ไม่ขออะไรอื่น
� � � � ภาพและเสียงของเหตุการณ์นั้นยังคงดำเนินต่อไปดังที่เคยเกิด
��������" เดินไปเร็วๆ��นังแม่มด!!��คนอย่างเจ้าน่ะ��มันควรจะถูกกำจัดสิ้นซากไปซะ "
������� คนพวกนั้นจับนางมัดใส่กรง��จะเอานางไปเผา
เหมือนที่ทำกับแม่มด��แม้แต่คนในหมู่บ้านก็ยังรังเกียจนาง... ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านั้นยังเคยเอ็นดูนางเหมือนลูก
��������" ไม่ใช่นะท่านพ่อ��ข้าไม่ใช่แม่มด��ข้าเป็นคนธรรมดา��ปล่อยข้านะ "
��������" หุบปาก!! "��ผู้ถูกเรียกว่า 'พ่อ' ตวาดกลับ �ซ้ำยังตวัดมือฟาดมือของนางที่ยื่นออกมาจากกรง
��
������� " อย่างเจ้าน่ะ��ถ้าไม่เรียกว่าแม่มดแล้วจะให้เรียกว่าอะไร��ไปคลุกคลีอยู่กับปิศาจแบบนั้นน่ะมันพฤติกรรมของคนธรรมดาที่ไหนกัน��มีแต่แม่มดเท่านั้นล่ะที่ทำแบบนั้น��ไม่ต้องมาเรียกข้าว่าพ่อ��เจ้าไม่ใช่ลูกข้า��ข้ากับเมียไม่เคยมีลูกสาวที่ใฝ่ต่ำไปเป็นแม่มดอยู่กินกับปิศาจอย่างเจ้า! "
������� แม้แต่พ่อบังเกิดเกล้าของนางเองก็ยังรังเกียจนาง��ไม่นับนางเป็นลูก� ตัดความสัมพันธ์ของครอบครัวไปอย่างไม่ไยดี
��������" ไม่ใช่นะ��เอรีบัส ไม่ใช่ปิศาจสักหน่อย��เขาเป็นคนที่น่าสงสารที่ถูกทอดทิ้งต่างหาก��เขาก็มีจิตวิญญาณเหมือนกับพวกเรา��เขาแค่รู้สึกเดียวดาย�� ต้องการให้มีใครสักคนมาเข้าใจเขาเท่านั้นเอง...�"��
������� นางพยายามจะแก้ความเข้าใจผิดของชาวบ้าน��หวังให้พวกเขาเข้าใจ �แต่ไม่ว่านางจะพยายามสักเท่าใดก็ไม่เป็นผล��คำพูดของนางไม่ได้เข้าถึงจิตใจของชาวบ้านที่โกรธเกรี้ยวอยู่เลยแม้แต่น้อย��พวกเขาจับนางออกจากกรงมามัดติดกับเสาไม้��สุมฟืน��เตรียมจะจุดไฟเผานาง
��������เสียงของนาง...ไม่ว่าเมื่อไหร่ข้าก็จำได้��หากนางต้องการข้า��ไม่ว่าจะอยู่ไกลสักเท่าใดข้าก็จะไปหาในทันที��ข้าได้ยินเสียงของนางแว่วมากับสายลม...เป็นน้ำเสียงที่ตื่นตระหนกยิ่งนัก��ข้ารีบถลันออกจากที่พักพิงไปหานางที่หมู่บ้านทันที��แต่ไม่ว่าจะรีบเพียงใดก็มิอาจไปถึงตัวนางได้ก่อนพวกชาวบ้านที่รุมไล่จับนาง
������� " เธทีส !! "��
��������� �นางอยู่ที่ลานหมู่บ้าน��พวกเขาจับนางมัดติดกับเสาไม้��สุมฟืน��เตรียมจะจุดไฟเผานาง
������� "��เอรีบัส !! "�
������� นางได้ยินเสียงข้าและหันมาตามเสียงข้าด้วยน้ำตานองหน้า��แต่กระนั้นก็ยังมีแววยินดีที่ได้เห็นหน้าข้าแฝงอยู่ในแววตาของนาง
������� พวกชาวบ้านชะงักตกใจกลัวที่จู่ๆ ข้าก็ปรากฏตัว��แต่อาการชะงักนั้นก็หายไปรวดเร็วอย่างไม่น่าเชื่อและเริ่มทำการต่อ��ข้ารีบรุดเข้าไปหมายจะพานางไปจากที่นั่น แต่กลับถูกพลังบางอย่างดีดกลับมา
� � � � ข่ายอาคม!!��มิน่าพวกนั้นจึงยังใจเย็นนัก��ที่แท้ก็เชิญนักปราบปิศาจมาวางข่ายอาคมกันปิศาจไว้รอบลานหมู่บ้านแล้วนี่เอง��ข่ายอาคมที่แม้แต่ข้าก็ยังต้องใช้เวลานานกว่าจะแก้ได้��ไม่มีทางแก้ได้ทันเวลาแน่
������� "��เธทีส !!��ไม่นะ��เธทีส !!��"��
������� ข้าได้แต่เรียกชื่อนาง��กระเสือกกระสนพยายามทุกวิถีทางอย่างสุดกำลังเพื่อทำลายข่ายอาคมจนสำเร็จ....แต่ก็ยังช้าไป��กองไฟถูกจุด....แล้วเพลิงก็ลุกโหมกลืนร่างนางไปต่อหน้าข้าที่เหนื่อยอ่อนแทบหมดสิ้นพลังไปกับการเค้นพลังออกมาทำลายข่ายอาคม
� � � � ข้าไปทันเพียงได้พบหน้านางเพียงไม่นานก่อนที่กองเพลิงจะพรากนางไป....สู่ที่ที่ข้ามิอาจตามไปได้...สรวงสวรรค์...สถานที่ของเหล่าเทพและเทวดา...สถานที่ต้องห้ามสำหรับสิ่งซึ่งถูกเรียกว่าปิศาจบาปหนาอย่างข้า
� � � � ...หากการที่ข้าไม่ใช่มนุษย์ทำให้พวกเจ้ากลัว� ทำไมจึงไม่มากำจัดข้า� ทำไมต้องไปเล่นงานนางที่ไร้ความผิด �ทั้งที่เป็นมนุษย์เหมือนกันแท้ๆ
..... . ............... . ... .......
.. .� . .. . ............ . . ..........
.. ............. . .....
" ไม่นะ��เธทีส !!��ไม่ !! "�
������� ชายหนุ่มสะดุ้งผวาลุกตื่นขึ้นจากเตียง��ตะโกนสุดเสียง��สองมือยื่นไขว่คว้าอากาศเบื้องหน้า��น้ำตาเอ่อคลออยู่ในดวงตาที่เบิกกว้าง��ดวงหน้าซีดเผือดไร้สีเลือด สายลมอันเยือกเย็นของยามค่ำคืนพัดผ่านช่องหน้าต่างที่เปิดไว้เข้ามาในห้องเล็กกระทบกับเรือนผมสีดำราวยามกลางคืน��เป็นสายลมที่เย็นสบาย��แต่สายลมนั้นเหมือนจะมิได้ช่วยคลายร้อนให้ร่างที่อยู่บนเตียงได้เลย��ร่างของผู้ที่อยู่บนเตียงมีเหงื่อผุดพรายขึ้นจนชุ่มเสื้อที่สวมอยู่ราวกับได้วิ่งมาแสนไกลก็ไม่ปาน
������� อึดใจผ่านไป��ชายหนุ่มก็รู้สึกตัว��กลับมารับรู้ความเป็นจริงอันแสนเจ็บปวด....ความจริงที่ว่านางได้จากไปแล้วอย่างไม่มีวันกลับ��และเขา...ต้องใช้ชีวิตโดยไร้นางเคียงข้าง...ตราบนานเท่านานที่เขายังมีลมหายใจ��ความจริงนั้นยังคงตอกย้ำหัวใจอยู่ไม่ห่างหายทุกวันเวลา��มือที่ยื่นไขว่คว้าอากาศตกลง��และถูกชักกลับมากุมใบหน้าอันซีดเผือด��พยายามสะกดกลั้นน้ำใสที่กำลังจะเอ่อขึ้นในดวงตา
������� ผ่านมานานเท่าไหร่แล้วนะ...ตั้งแต่ที่พวกชาวบ้านพรากนางไป��เกือบสองศตวรรษได้แล้วกระมัง��สองศตวรรษแห่งความขมขื่นทุกข์ทรมาน��ว่าแต่มันเกิดอะไรขึ้นกันนะถึงได้ไปฝันถึงเรื่องตอนนั้นได้อีก��ปกติไม่เคยเป็นแบบนี้เลยนี่��แม้จะเจ็บปวดทรมานใจในยามตื่น��แต่ยามหลับก็ยังพอจะหลบพ้นจากมันได้��ครั้งนี้มันเคราะห์กรรมอะไรกันนะมันถึงตามไปรังควาญถึงในฝันได้
������� ชายหนุ่มนั่งนิ่งรวบรวมสติอยู่บนเตียงอีกพักใหญ่จึงเงยหน้าขึ้นสูดหายใจยาวให้สมองปลอดโปร่ง
������� "��ฝันถึงตอนนั้นแล้วทำให้นึกได้��ถึงเวลานั้นแล้วสินะ��เธทีส��วันที่พวกนั้นพรากเจ้าไปจากข้าน่ะ�� คราวนี้ข้าจะเอาดอกอะไรไปให้เจ้าดีนะ��อีฟนิ่งพริมโรสดีไหม��เมื่อก่อนเจ้าชอบมากนี่��บอกว่ากลิ่นหอมและดูสว่างไสวแม้ยามกลางคืน��ขอให้ข้าเก็บมาให้อยู่เรื่อย��แล้วยังรบเร้าให้ข้าเอามาปลูกไว้ที่ข้างกระท่อมอีก "
������� ชายหนุ่มเอ่ยด้วยน้ำเสียงเจือเศร้า��แล้วลุกขึ้นเก็บที่นอน ล้างหน้า แต่งตัว��ผมดำสลวยยาวถึงกลางหลังนั้นถูกหวีและผูกรวบไว้ด้วยเชือกสีเดียวกับเรือนผม� สีแห่งรัตติกาลอันหนาวเหน็บ� คว้าเสื้อคลุมดำประจำตัวมาเหวี่ยงสวม แล้วก็ออกเดินทางไปยังสถานที่นั้นที่ได้เคยใช้เวลาแสนสุขสงบร่มกับนาง� โดยไม่ลืมที่จะเก็บช่อดอกอีฟนิ่งพริมโรสที่ขึ้นอยู่ข้างหน้าต่างกระท่อมไปด้วย
������� บริเวณนั้นเป็นบริเวณชายป่าที่แสนร่มรื่น� เหล่าต้นหญ้าพลิ้วไหวน้อยๆ ไปมาตามแรงลมเอื่อย� พุ่มพฤกษาออกดอกงามดอกน้อยๆ อยู่สะพรั่ง� มีลำธารเล็กๆ ที่ใสราวกระจกไหลเรื่อยรินลงสู่ทะเลสาบส่งเสียงขับกล่อมบางเบาไปทั่งบริเวณ� ดูงามสล้างมีมนต์เสน่ห์ภายใต้แสงจันทรายามเต็มดวง� ปรากฏร่างของชายหนุ่มในเสื้อคลุมดำตัวยาวนำช่อดอกไม้สีขาวนวลตามาวางที่พื้นหญ้าริมทะเลสาบไม่ห่างจากชายป่านัก� และนั่งอยู่ภายใต้แสงจันทร์ที่อาบไล้อย่างอ่อนโยนคู่กับช่อดอกไม้สีขาวนวลนั้น� ผมยาวก็ปลิวไสวตามสายลมอ่อนๆล้อแสงจันทร์� ภาพที่เกิดขึ้น แม้จะงดงาม แต่เปี่ยมด้วยความเงียบเหงาเปล่าเปลี่ยวที่บาดลึกถึงหัวใจ� ไม่ผิดกับสายลมเหน็บหนาวที่บาดเนื้อในฤดูหนาวอันทารุณ
" ที่นี่สินะ เธทีส� ที่ที่พวกเราพบกันครั้งแรก� วันนั้นเจ้าแอบหนีออกมาเล่นในป่าจนหลงทางกลับหมู่บ้านไม่ถูก� มาหมดแรงอยู่ที่ทะเลสาบนี่� แล้วข้าก็มาพบเจ้าเข้า..."� ชายหนุ่มรำพึงขึ้น� กล่าวย้อนถึงความหลัง� นัยน์ตาเหม่อลอยทอดออกไปไกลยังผืนน้ำในทะเลสาบ
����������� " ...ตอนที่ข้ามาพบเจ้า� เจ้าหลับอยู่ใกล้ๆ กับทะเลสาบ� ดูท่าทางจะหมดแรง� หลับสนิทเชียวละ� น่ารักน่าถนอมราวกับนางฟ้า...� จนข้านึกว่าเจ้าเป็นนางพรายที่อาศัยอยู่ในทะเลสาบนี้เสียอีก� นึกว่าจะได้เห็นนางพรายเป็นบุญตาซะแล้วสิ� แต่มองไปมองมาเสื้อผ้าเจ้าจะมองอย่างไรก็ไม่ใช่อย่างของนางพราย� ข้าจึงเดาได้ว่าเจ้าเป็นมนุษย์� ข้าน่ะกลัวและไม่ไว้ใจมนุษย์มาแต่ไหนแต่ไร� เพราะมนุษย์มักหาทางกำจัดแวมไพร์อย่างเราทุกครั้งเมื่อมีโอกาสจนพวกเราลดจำนวนลงมาก� ข้าจึงยังไม่กล้าเข้าใกล้เจ้า� ได้แต่แอบมองอยู่ห่างๆ� พอเจ้าตื่นขึ้นเจ้าก็เอาแต่นั่งเซื่องซึมอยู่นาน� ข้าทนสงสารไม่ได้ก็เลยเข้าไปหาและนำทางกลับไปหมู่บ้าน..."
� � � � " ...แต่เจ้าก็ยังไม่เข็ด� แอบหนีออกมาที่ทะเลสาบอีกอยู่เรื่อยๆ� ข้าเองก็อยู่คนเดียวไม่มีเพื่อน� พอเจ้ามาบ่อยๆเข้าก็จำใจเป็นเพื่อนเล่นกับเจ้า� ไม่รู้เจ้าเห็นข้ามีอะไรดี� แอบมาหาเสียบ่อย...จนตั้งแต่เมื่อใดกันนะ...ที่ความสัมพันธ์อย่างเพื่อนของเรากลายเป็นความรัก �ตั้งแต่เมื่อใดกันนะที่ข้าตั้งตารอที่จะได้พบเจ้าที่ริมทะเลสาบ...�"
� � � � แม้จะมีความทรงจำดีๆ ที่มีร่วมกันอยู่มาก �แต่การที่ต้องรับรู้ความจริงว่าไม่มีอีกฝ่ายหนึ่งอยู่แล้วก็ยังคงทำให้ผู้ที่เหลืออยู่เจ็บปวดเสมอ �และสำหรับเขาผู้มีอายุยืนยาวผิดกับมนุษย์ �ชีวิตที่ยืนยาวนั้นเหมือนการลงทัณฑ์มากกว่าของขวัญ �ชายหนุ่มยังคงนั่งรำพึงอยู่คนเดียวราวกับกำลังสนทนากับหญิงสาวในความทรงจำ �โดยไม่ได้รู้เลยว่าบัดนี้เขามิใช่คนเดียวที่อยู่ที่นั่น
��������" อะไรกัน� นี่เจ้ายังไม่เลิกคร่ำครวญถึงนางอีกรึ� เธทีสคงไม่อยากให้เจ้าต้องทุกข์ทรมานคิดถึงนางมากขนาดนี้หรอกนะ...แต่ก็เอาเถอะ� นางออกจะน่ารักขนาดนั้นนี่นะ �ข้าคงว่าเจ้าไม่ได้�" �อีกเสียงหนึ่งดังขึ้นจากชายป่าที่มืดสลัวด้านหลัง� ทำเอาชายหนุ่มสะดุ้งหันไปมอง� เห็นเป็นร่างชายหนุ่มผมสั้นอีกคนปรากฏออกมาจากเงามืดชายป่าพร้อมนัยน์ตาสีฟ้าใสทอประกายวาวเมื่อต้องแสงจันทร์
*****************************************************************
ลงครั้งแรก 08/10/2005
จบบทครั้งแรก 26/02/2006
จบบทแก้ใหม่ 31/08/2006
แก้อีกครั้ง 27/06/2013
ถ้ามีข้อสงสัยในเรื่องก็ถามได้นะคะ
ความคิดเห็น