ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    เทพนิยายกรีก

    ลำดับตอนที่ #45 : ^0^Tale of the Undeadค่ะ^0^

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 340
      0
      23 ส.ค. 48





                                                       ^0^Tale of the  Undeadค่ะ^0^





                          ขอบคุณคุณ  Sonic  เจ้าเก่าค่ะ





                          หมายเหตุ  จะไม่มีการเปลี่ยนเเปลงคำพูดใด ๆ ทั้งสิ้นนะคะ





                          แวมไพร์, มนุษย์หมาป่า (Werewolves) รวมไปถึงซอมบี้ สิ่งเหล่านี้คือตัวตนที่พวกเราทราบกันดีว่าพวกมันอาศัยอยู่ในรอยต่อของโลกปัจจุบันและโลกแห่งความตาย สิ่งเหล่านี้เป็นสัญลักษณ์ของความน่าพรั่นพรึง ซึ่งเกาะกุมหัวใจผู้คนมาไม่รู้กี่ยุคกี่สมัย แม้แต่ในปัจจุบันเองก็เถอะครับ พวกเรายังคงได้ยินได้เห็นเรื่องราวของตัวตนเหล่านี้อยู่เสมอๆ โดยเฉพาะที่เป็นนวนิยายและภาพยนตร์





                          โดยความหมายแล้ว Undead หมายถึงสิ่งมีชีวิตที่ตายไปแล้วแต่ยังไม่ยอมตายครับ ผิดวิสัยของสิ่งมีชีวิตที่เมื่อตายไปแล้ววิญญาณย่อมล่องลอยออกจากร่าง เพื่อไปสู่ภพภูมิใหม่หรือไปยังโลกหน้าก็ว่ากันไปตามความเชื่อของแต่ละศาสนา เจ้า Undead เหล่านี้ยังคงคอยวนเวียนอยู่ในโลกมนุษย์ และสร้างความสยดสยองแก่ผู้พบเห็นอยู่เนืองๆ และบ่อยครั้งทีเดียวที่มันนำเอาความตายมาสู่ผู้พบเห็นเข้า ชาวตะวันตกถือว่าตัวตนเหล่านี้เป็นสัญลักษณ์ของความชั่วร้ายครับ เนื่องจากการดำรงอยู่ของพวกมันฝืนลิขิตของพระผู้เป็นเจ้า พูดง่ายๆก็คือผิดธรรมชาตินั่นเอง ทางบ้านเราเรียกตัวตนจำพวกนี้ว่าผีดิบครับ (ไม่ได้หมายความว่ามันไม่สุกเพราะไม่ได้ฌาปนกิจหรอกนะครับ แต่หมายถึงผีที่ยังมีร่างกาย แตะต้อง สัมผัสได้ต่างหาก)





                          บ่อยครั้งทีเดียวที่เราพบการนำเสนอเรื่องของตัวตนเหล่านี้ในแง่ของความโหดร้ายกระหายเลือด แต่เชื่อไหมครับว่าตำนานโบราณและเอกสารที่เชื่อถือได้หลายแหล่ง กลับกล่าวถึง Undead ในมุมมองที่ต่างออกไป เนื่องจากบ่อยครั้งทีเดียวที่เอกสารโบราณบันทึกไว้ว่า ตัวตนอันน่ากลัวเหล่านี้หาได้ชั่วร้ายเสมอไปไม่ บางครั้งพวกมันนั่นแหละครับ คือผู้รับเคราะห์จากตลกร้ายทางโชคชะตา น่าสงสารมากกว่าน่ากลัวว่างั้นเถอะครับ





                          เมื่อกล่าวคำว่าแวมไพร์ (Vampire) เรามักไปติดกับภาพของวรรณกรรมคลาสสิคเรื่องแดร็คคิวลาของ บราม สโตเกอร์ ที่รังสรรค์ตัวละครอมตะอย่างท่านเคาท์แดร็คคิวลา (Dracula) โดยเอาแคแร็คเตอร์มาจากนักปกครองจอมโหดคนหนึ่งซึ่งมีตัวตนอยู่ในประวัติศาสตร์จริงๆ (รายละเอียดของเรื่องนั้นน้อง Salapao เคยเอามาเล่าสู่กันฟังสมัยเปิดเว็บใหม่ๆ หาอ่านกันได้ที่นี่ครับ) อิทธิพลจากวรรณกรรมเรื่องดังกล่าวทำให้คนรุ่นหลังเข้าใจกันไปเองว่า แดร็คคิวลาแหละเพื่อนผองชาวแวมไพร์จำต้องอาศัยเลือดมนุษย์สดๆมาดับกระหาย รวมทั้งยืดอายุขัยของตน พูดง่ายๆก็คือการสูบเลือดมนุษย์เป็นอาหารนั้นกลายเป็นโลโก้ของแวมไพร์ในปัจจุบันไปแล้วนั่นเอง แต่ทราบไหมครับว่าแวมไพร์ตามตำนานจริงๆนั้นมักเกิดขึ้นเมื่อมนุษย์เราตายไปภายใต้เงื่อนไขอันผิดปกติบางประการ เป็นต้นว่า ตายขณะที่กำลังคลอด พวกที่ฆ่าตัวตายหรือถูกฆาตรกรรมอย่างทารุณก็มีสิทธิ์กลายเป็นแวมไพร์ในภายหลังได้เช่นกัน ผู้รู้ที่เป็นฝรั่งอรรถาธิบายให้ผมฟังว่า การตายในภาวะผิดปกตินั้นทำให้วิญญาณไม่สามารถจากร่างไปอย่างสงบ วิญญาณเหล่านั้นจึงเหมือนถูกขังอยู่ในร่างซึ่งตายไปแล้วในเชิงชีววิทยา (หัวใจหยุดเต้น ไม่หายใจ คลื่นสมองไม่ทำงาน ฯลฯ) ส่วนทางพุทธคงอธิบายได้ว่า วิญญาณเหล่านั้นไม่อาจออกจากกายเนื้อเพื่อไปสู่โลกหน้าได้





                          เรื่องของการกลายสภาพจากคนเป็นมนุษย์หมาป่านั้น สามารถสืบสาวความเป็นมาไปจนถึงยุคชาวกรีกโบราณหรือก่อนหน้านั้นเล็กน้อย รายละเอียดก็เป็นอย่างที่เราเคยได้ยินกันมาเลยครับ นั่นคือเรื่องของคนหอนคืนโหดผู้สามารถแปลงร่างเป็นหมาป่ากระหายเลือดได้ ในยามที่ร่างต้องแสงจันทร์ในคืนเต็มดวง กรณีที่โด่งดังที่สุดในประวัติศาสตร์นั้นได้แก่เรื่องของ Peter Stubbe และ Jean Grenier เรื่องราวของสองกระทาชายมีส่วนคล้ายคลึงกันคือ พวกเขาสามารถกลายร่างเป็นตัวประหลาดขนรุงรังมีแรงเหมือนช้างสาร รวมทั้งไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ขณะกลายร่าง แต่คนทั้งสองมีส่วนต่างกันในเรื่องของสาเหตุการกลายร่างครับ จากการให้ปากคำกับศาล Peter Stubbe ได้ความสามารถในการกลายร่างเพราะการทำสัญญากับปีศาจ ส่วน Jean Grenier เป็นเพียงผู้เคราะห์ร้ายที่เกิดจากการต้องคำสาปจากแม่มดเท่านั้นเอง





                          นอกจากกรณีของ Jean Grenier แล้ว ยังมีตัวอย่างของ Undead ที่น่าสงสารอีกมากครับ เช่นเรื่องที่เกิดขึ้นในเกาะไฮติ แถบทะเลแคริบเบียน ที่ซึ่งชนพื้นเมืองมีศัทรธาในมนตร์มืดลัทธิวูดูอย่างแรงกล้า ชาวไฮติดำรงชีวิตอยู่อย่างหวาดระแวงว่าเมื่อตายไปศพของพวกเขา(หรือไม่ก็ญาติพี่น้อง) จะถูกนักบวชลัทธิวูดูขุดขึ้นมาจากหลุมเพื่อทำพิธีคืนวิญญาณ จนกลายสภาพจากคนตายมาเป็นซากที่เคลื่อนไหวที่ไร้ความนึกคิด - ซอมบี้ นั่นเองครับ





                          นักวิชาการที่เข้าไปศึกษาเรื่องนี้ได้ให้ข้อสังเกตบางประการครับว่า นักบวชลัทธิวูดูไม่ได้ปลุกศพขึ้นมาให้เป็นซอมบี้จริงๆหรอก แต่ใช้วิธีการวางยาเหยื่อให้มีสภาพคล้ายกับตายไปแล้ว(จะด้วยวิธีไหนก็ตาม) เพื่อจะได้ย่องมาขโมยร่างไปทำประโยชน์ในภายหลัง ความลับของมนตร์มืดวูดูและการปลุกซอมบี้เป็นความน่าพรั่นพรึงที่เกาะกุมหัวใจชาวไฮติ(รวมทั้งชาวโลก)มานาน จนกระทั่ง Alfred Metraux นักมานุษยวิทยาชาวฝรั่งเศสผู้สนใจปรากฏการณ์อันแปลกประหลาดนี้ได้ทำการศึกษาแบบลงลึกเพื่อพิสูจน์สมมติฐานของเขา รายละเอียดและผลสรุปการศึกษาของ Metraux เราจะกล่าวถึงในภายหลังครับ ก่อนอื่นเรามาดูเคสดังๆของ Undead ที่มีบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์กันดีกว่า





                          จากวลาดนักเสียบสู่เคาท์แดร็คคิวลา





                          นิยายเรื่อง Dracula ของบราม สโตเกอร์ ถูกตีพิมพ์ในปี ค.ศ. 1897 ได้กลายเป็นหนังสือฮิตติดอันดับภายในเวลาอันรวดเร็ว สมัยนี้นิยายดังๆมักกลายเป็นหนังอย่างรวดเร็ว ศตวรรษที่ 19 ก็เช่นกันครับ ละครเวทีที่อาศัยโครงเรื่องของนิยายเรื่องนี้ได้ถูกจัดแสดงขึ้นภายในปีเดียวกัน ภายใต้การควบคุมของผู้จัดละคร+นักแสดงเจ้าบทบาท Henry Irving ความแรงของหนังสือบวกละครทำให้ชื่อและภาพของแวมไพร์อมตะตนนี้ติดหูติดตาชาวยุโรปอย่างรวดเร็ว แต่สิ่งที่ทำให้ให้แดร็คคิวลาโด่งดังเป็นพลุแตกไปทั่วโลกคือภาพยนตร์ครับ ที่นำมาสร้างแล้วสร้างอีกจนจำเวอร์ชั่นไม่ไหว โครงเรื่องของแดร็คคิวลายืนพื้นอยู่บนอารมณ์พื้นฐานของมนุษย์อันได้แก่ความรักและความกลัว แต่น้อยคนนักครับที่จะทราบว่าเรื่องราวของแดร็คคิวลานั้น บราม สโตเกอร์เจ้าของบทประพันธ์ได้รับแรงบันดาลใจจากคนๆหนึ่งซึ่งมีตัวตนอยู่จริงในสมัยศตวรรษที่ 15 และก็มีบรรดาศักดิ์เป็นถึง Prince เชียวนะครับ ไม่ได้เป็นท่านเคาท์กระจอกๆเหมือนในนิยายด้วย แฮ่ม...





                          มาดูประวัติของสโตเกอร์กันดีไหมครับ บราม สโตเกอร์มีชื่อจริงว่า Abraham Stoker (ภาพขวาบน) เกิดในปี 1847 ในชุมชนเล็กๆใกล้เมืองดับลิน นอกจากความเป็นนักอ่านนิยายแฟนตาซีตัวยงแล้ว สโตเกอร์ยังหลงไหลในตำนานแวมไพร์เป็นที่สุด เขามีความสนใจเรื่องประวัติศาสตร์ยุโรป การเล่นแร่แปรธาตุ และอื่นๆอีกจิปาถะ จุดกำเนิดนิยายบรรลือโลกเรื่องแดร็คคิวลาเริ่มขึ้นเมื่อสโตเกอร์เข้าเป็นสมาชิกชมรม Golden Dawn ทำให้เขาได้มีโอกาสพบกับ Arminius Vambery ผู้เชี่ยวชายด้านภาษาตะวันออกแห่งมหาวิทยาลัยบูดาเปสต์ ว่ากันว่า Vambery นี่แหละครับเป็นผู้ถ่ายทอดเรื่องราวของ Vlad the Impaler นักปกครองจอมโหดแห่งโรมาเนียให้สโตเกอร์รับฟัง จนเป็นต้นแบบของแคแร็คเตอร์อมตะนามเคาท์แดร็คคิวลาในภายหลัง





                          Vlad the Impaler - - วลาดนักเสียบ เป็นบุคคลที่มีตัวตนอยู่จริงในประวัติศาสตร์ เขาเกี่ยวพันกับตำนานแวมไพร์อย่างลึกซึ้ง(อันนี้ไม่รู้เหมือนกันว่าเจ้าตัวรู้เรื่องไหม ใครพบก็ฝากถามด้วยนะครับ) วลาดเกิดในปี ค.ศ. 1431 โดยดำรงตำแหน่ง Prince แห่งอาณาจักรโบราณซึ่งปัจจุบันเป็นส่วนหนึ่งของประเทศโรมาเนีย วลาดมีสองนามสกุลครับ ได้แก่ Tepes (แปลว่า the Impaler) และ Dracul (เป็นชื่อบิดาของเขา มีความหมายว่า \"Dragon\" ซึ่งไม่ค่อยเป็นมงคลเท่าไหร่ เพราะฝรั่งเค้าถือครับว่ามังกรคือตัวแทนของความชั่วร้าย) ชาวโรมาเนียโบราณเรียกชื่อเขาเต็มๆว่า วลาด เทปีซ แดร็คคุล และยกย่องให้เขาดำรงตำแหน่งทรราชย์อันดับหนึ่งอย่างไร้คนเสมอเหมือน วลาดมีชื่อเสียงจากความโหดร้ายที่ชอบจับเอาเชลยฝ่ายตรงข้ามมาประหารชีวิต ด้วยวิธีเอาเหล็กแหลมเสียบจากทวารหนักทะลุปาก หรือไม่ก็ให้มือประหารแยกชิ้นส่วนนักโทษเป็นส่วนๆทั้งที่ยังมีชีวิตอยู่ ฟังดูแล้วโหดนะครับแต่ข้อดีของ วลาด เทปีซ แดร็คคุล ก็ยังมีอยู่นั่นคือความยุติธรรมครับ เขาคงกลัวประชาชนหาว่าเขาลำเอียงที่เลือกปฏิบัติแต่กับเชลยศึก ดังนั้น วันดีคืนดีเขาก็ใช้วิธีนี้กับพลเมืองของโรมาเนียโบราณบ้าง (นัยว่าเพื่อธำรงไว้ซึ่งความเสมอภาค ^^) ความเหี้ยมเกรียมของนักปกครองผู้นี้ทำให้พงศาวดารเยอรมันถึงกับบันทึกรายละเอียดเกี่ยวกับเขาเอาไว้ว่า \"ทรราชย์ในทรราชย์ กระหายเลือดที่สุดเท่าที่เคยมีมาในประวัติศาสตร์\" เลยทีเดียวแหละครับ





                          ท้ายที่สุดก็อย่างที่กล่าวไปข้างต้น บราม สโตเกอร์ ได้เอาประวัติเปื้อนเลือดของ วลาดนักเสียบมาเขียนนวนิยายเกี่ยวกับตัวตนอันชั่วร้ายกระหายชีวิตเหยื่อนาม เคาท์แดร็คคิวลา ให้คนรุ่นหลังได้อ่านกันในภายหลัง (มีบทความบางชิ้นกล่าวค้านเรื่องนี้ครับ ว่าสโตเกอร์ไม่ได้รู้จักมักคุ้นใดๆกับตำนานนี้เลย ทุกอย่างเป็นแค่การโยงเรื่องของคนรุ่นหลังเท่านั้น ไว้มีเวลาว่างผมจะแกะมาให้อ่านกันนะครับ)





                          Erzebet Bathory สตรีผู้อาบและดื่มเลือดหญิงสาว





                          บุคคลในประวัติศาสตร์อีกคนที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับตำนานแวมไพร์อย่างลึกซึ้งได้แก่ RayOn เอ๊ย Erzebet Bathory ครับ ข้อมูลหลายแหล่งกล่าวตรงกันว่าเธอเป็นเคาท์เตสผู้เลอโฉมคนหนึ่ง ซึ่งทำให้ผู้รับรู้เรื่องราวของเธอต้องตกตะลึงมานักต่อนักแล้ว เปล่าหรอกครับ... ไม่ได้ตะลึงเพราะความงามนะ แต่ตะลึงในความโหดร้ายของเธอหลังจากที่ได้รับการรายงานเรื่องความโหดร้ายของเธอ ในตอนสอบสวนคดี Bathory เมื่อปี 1611 ในฮังการีตะหากล่ะครับ





                          Erzebet Bathory ได้สังหารหญิงสาวไปมากกว่า 300 นาง จากนั้นจึงนำเอาร่างอันปราศจากลมหายใจของเหยื่อไปใส่ไว้ในโลงที่มีเหล็กแหลม เพื่อทำการคัดเอาเลือดสดๆของเหยื่อออกมา ผู้ติดตามของ Bathory พากันสารภาพว่าที่เคาท์เตสแสนสวยทำลงไปเช่นนั้นเพราะต้องการดื่มเลือดสดๆของเหยื่อ วันดีคืนดีก็มีการนำมาอาบบ้าง ด้วยเชื่อว่าเลือดสดๆของหญิงสาวจะช่วยรักษาความเยาว์วัยและยืดอายุขัยของเธอออกไปได้ (โหดแฮะ... เจอเข้าแบบนี้นางแม่มดวาชิกาแห่งเพชรพระอุมากลายเป็นสุภาพสตรีไปเลยเนี่ย)



      

                          กิจกรรมโหดของ Bathory ต้องสิ้นสุดลง เพราะทางการทนฟังเสียงร้องเรียนจากประชาชนกรณีหญิงสาวหายตัวไปอย่างลึกลับไม่ไหว กองทหารเล็กๆกองหนึ่งได้รับคำสั่งลับให้สืบสวนเรื่องนี้โดยด่วน (ผู้นำกองทหารดังกล่าวนี้เป็นญาติของ Bathory เองครับ) สายสืบรายงานว่าหญิงสาวที่หายไปนั้น ร่องรอยสุดท้ายของพวกเธอมักขาดหายไปบริเวณคฤหาสน์ของเคาท์เตส Erzebet Bathory ภายหลังจากตรวจสอบจนแน่ใจแล้ว ผู้นำกองทหารจึงตัดสินใจบุกเข้าตรวจค้นคฤหาสน์ของเคาท์เตส Bathory โดยไม่ต้องอาศัยหมายศาล





                          พวกเขาต้องตกตะลึงภายหลังจากพังประตูปราสาทเข้าไปแบบไม่บอกกล่าว และพบว่า Bathory และสาวกกำลังประกอบกิจกรรมชนิดไหนกันอยู่ การจับกุมแบบยกแก๊งเกิดขึ้นโดยไม่ต้องมีการสอบสวนเนื่องจากพยานวัตถุมีให้เห็นอยู่ทนโท่ ตัว Erzebet Bathory เองพยายามติดสินบนเจ้าหน้าที่เพื่อให้ปล่อยตัวเธอไปแต่ไม่มีใครยอมเล่นด้วยครับ เธอรอดโทษทัณฑ์ประหารชีวิตไปได้เพราะความที่มีเชื้อเป็นเจ้าใหญ่นายโต ถึงกระนั้นการโดนจองจำในห้องขังที่ไม่มีทั้งประตูและหน้าต่างไปตลอดชีวิต ก็ไม่ถือว่าสาสมกับบาปที่ตัวเธอได้ก่อขึ้น Bathory ใช้เวลาที่เหลือจากวันไต่สวนจวบจนสิ้นอายุขัยในห้องขังดังกล่าวนั้นเองครับ





                          เข้าใจว่า บราม สโตเกอร์ นำเรื่องของปราสาท Csejthe ของ Erzebet Bathory อันเป็นปราสาทที่เต็มไปด้วยห้องใต้ดินและกลไกอันซับซ้อนมาเป็นโมเดลของปราสาทมืด เอ๊ย... ปราสาทของท่านเคาท์แดร็คคิวลาในนิยายของเขาในภายหลัง ส่วนใครที่สงสัยว่าปราสาทที่เต็มไปด้วยกลไกอันตรายนั้นเป็นอย่างไร ลองหา Castlevania มาเล่นดูซักภาคสิครับ เดี๋ยวก็บางอ้อเองแหละ ^.^





                          Detecting Vampires





                          ผมได้กล่าวไปในข้างต้นแล้วนะครับว่า ความเชื่อของชาวยุโรปโบราณก็คือคนเราสามารถกลายเป็นแวมไพร์ได้ในทุกขณะจิต หากเกิดการตายที่ผิดปกติวิสัยขึ้น เป็นต้นว่าการฆ่าตัวตาย (ซึ่งถือเป็นบาปร้ายแรงสำหรับชาวคริสต์) การตายเพราะคำสาปมนตร์ดำ, ตายขณะที่กำลังคลอด หรือแม้แต่การตายเนื่องจากถูกฆาตรกรรม ความตายเหล่านี้จะทำให้วิญญาณของผู้ตายผูกติดอยู่กับร่าง และกลายเป็น Undead หรือแวมไพร์ไปในที่สุด โทษานุโทษที่แวมไพร์มีกับมนุษย์ก็สุดแต่จะว่ากันไปตามความเชื่อของชนชาติครับ แต่ที่แน่ๆคือคนตายน่าจะอยู่ส่วนคนตาย อย่าว่าแต่ชาวยุโรปโบราณเลย แม้แต่ในบ้านเราก็ไม่มีคนเป็นที่ไหนอยากจะวิสาสะกับคนตายหรอกครับ หรือว่าคุณอยาก?





                          เมื่อมีกรณีของการตายที่ล่อแหลมต่อการเป็นแวมไพร์เกิดขึ้นในชุมชน ชาวยุโรปเค้าก็มีวิธีแก้เคล็ดครับ เป็นต้นว่าตัดคอของศพออกเสียจากนั้นจึงแยกฝังไว้คนละโลงกัน ในบางครั้งพวกเขาจะใส่ของขลังลงไปในโลงด้วย เช่น ขนมปังที่ผ่านการทำพิธีจากโบสถ์, มะนาว, ที่ฮิตสุดๆก็ต้องเป็นนี่เลยครับ กาลิค-กลีบกระเทียม นัยว่าแวมไพร์กลัวของเหล่านี้ การใส่ของขลังดังกล่าวลงไปจะช่วยมิให้วิญญาณของแวมไพร์กลับมาเข้าร่างได้ภายหลังที่เงามืดของรัตติกาลแผ่ปกคลุม ที่กล่าวไปแล้วคือการป้องกันมิให้ศพกลายเป็นแวมไพร์ไปเสียนะครับ ส่วนศพที่แน่ใจว่าเป็นแวมไพร์ไปแล้วล่ะ จะทำอย่างไร?





                          ไม่ยากเลยครับ(แต่ต้องกล้ากันหน่อย) วิธีจัดการเราเห็นกันถมถืดในภาพยนตร์ คือหลังจากที่แน่ใจว่าศพไหนกลายเป็นแวมไพร์ไปแล้ว ก่อนที่พระอาทิตย์จะตกดินคนโบราณจะพากันขุดศพนั้นขึ้นมาครับ (ไม่รู้เป็นไงสิน่า ดูหนังทีไรมันขุดเสร็จช่วงพระอาทิตย์ตกพอดี ร้อยทั้งร้อยเรื่องไหนก็เรื่องนั้น) จากนั้นให้เอาลิ่มแหลมที่ทำจากไม้มาตอกอกให้ทะลุหัวใจ หรือไม่ก็ตัดคอเสีย บางตำราบอกว่าเท่านั้นยังไม่ได้ผลครับ ต้องลากขึ้นมาณาปนกิจกันตรงนั้นแหละ ทีนี้ถ้าโชคดีเจอแวมไพร์ที่มีฤทธิ์แก่กล้าเข้าเราจะไม่สามารถทำอันตรายมันได้ด้วยลิ่มหรือการจับย่างเลยครับ ต้องอาศัย Option เพิ่มเติมในการปราบ อุปกรณ์ยอดนิยมสำหรับการนี้ได้แก่กางเขนหรือกริชที่ทำจากโลหะเงินครับ ลองเจอไอ้นี่เข้าเหอะน่ารับรองว่าแวมไพร์ตนนั้นเป็นต้องสลายกลายเป็นขี้เถ้าในพริบตาเลยครับ





                          แต่ส่วนใหญ่แล้วแวมไพร์มักถูกกำจัดลงง่ายๆด้วยวิธีการเผาหรือตัดคออย่างที่ว่าไปแล้ว หลังจากที่เผาแวมไพร์จนกลายเป็นขี้เถ้าคณะปราบแวมไพร์จะแยกกองขี้เถ้าออกเป็นสี่ส่วนเพื่อโปรยไปตามลมทั้งสี่ทิศ นัยว่าเป็นการแก้เคล็ดมิให้เกิดโรคระบาดขึ้น แต่ในกรณีที่ทั้งตอกลิ่ม ตัดคอ เอากริชเงินจิ้ม ทั้งเผาไฟแต่มันยังไม่ยอมไหม้นี่ ตำราเค้าไม่ได้ระบุไว้นะครับว่าต้องทำยังไงกันต่อ ^^!





                          Lycanthropy: คนหอน คืนโหด





                          ไลแคนโทรป หรือ ไลแคนโทรปี้ เป็นศัพท์ทางวิชาการที่ใช้เรียกความผิดปกติที่เกิดขึ้นกับมนุษย์ในกรณีที่เราเรียกกันว่ามนุษย์หมาป่า (การกลายเป็นสางหรือเสือสมิงของไทยก็จัดอยู่ในจำพวกเดียวกันครับ) วงการวิทยาศาสตร์เชื่อว่าอาการนี้เกิดจากความผิดปกติของยีนในร่างกาย ที่ทำให้ขนงอกยาวผิดปกติจนคล้ายขนของหมาป่า หาได้เกิดจากเวทย์ดำมนตร์มืดแต่ประการใดไม่ ความผิดปกติดังกล่าวสามารถเกิดขึ้นได้ทั้งกับหญิงและชาย เคสคลาสสิคที่ได้รับการบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์ได้แก่เรื่องของ Petrus Gonsalvus ผู้ที่เกิดมามีขนปกคลุมร่างกายรุงรังจนผิดปกติ สารรูปของ Gonsalvus คงหล่อเหลาใช่เล่นชาวบ้านแถวนั้นจึงขนานนามให้เขาว่า the wolf-man of Bavaria แต่ไม่ปรากฏว่า Gonsalvus จะคลุ้มคลั่งเที่ยวไล่กินแพะกินแกะชาวบ้านเค้านะครับ เขายังดำเนินชีวิตในชุมชนได้อย่างปกติสุขอย่างปราศจากคนรังเกียจ หลักฐานก็คือเขามีภรรยาสาวสวยและลูกสาวที่เป็นที่รักใคร่ของคนทั้งหมู่บ้าน หา...ถามว่าอะไรนะครับ? ลูกสาวของ Gnsalvus สวยไหมยังงั้นรึ? สวยครับสวยถอดแบบจากพ่อเด๊ะๆ(แถมอาการหนักกว่าอีกต่างหาก) ดยุควิลเลียมแห่งบาวาเรียได้ขอวาดภาพเหมือนของเธอ จากนั้นนำทูลเกล้าถวายแด่ราชาแห่งโบฮีเมียในฐานะของแปลกครับ น่าภูมิใจไหมนี่....





                          ปรัชญาเมธีชาวโรมันหลายท่านเช่น Virgil, Petronius และ Ovid ล้วนเคยเขียนเรื่องราวเกี่ยวกับมนุษย์ที่สามารถกลายร่างเป็นหมาป่า เฮโรโดตัสแห่งกรีกเองก็เคยเขียนบันทึกทำนองนี้เอาไว้ เขากล่าวถึงประชาชนชาว Neuri เอาไว้ว่า \"พวกเขาล้วนเป็นผู้ใช้เวทย์ที่แก่กล้า ทุกครั้งในรอบปี พวกเขาสามารถแปลงร่างเป็นหมาป่าและดำรงร่างนั้นเอาไว้ได้นานเจ็ดวัน หลังจากนั้นจึงจะสามารถคืนร่างเดิมที่เป็นมนุษย์ได้\" ฟังๆแล้วก็คล้ายสางของทางบ้านเรานะครับ (สางคือผู้เรียนอาคมที่แก่ตัวลงแล้วไม่สามารถคุมอาคมตนอยู่ ทำให้กลายร่างเป็นเสือออกล่าเหยื่อในตอนกลางคืน ส่วนเสือสมิงนี่หมายถึงเสือที่กินคนมากๆเข้าตบะจะแก่กล้าสามารถกลายร่างเป็นคนเพื่อหลอกล่อเหยื่อได้ครับ พูดถึงความร้ายนี่สางร้ายกว่าสมิงแยะ เพราะรวมเอาความฉลาดของคนและความเหี้ยมโหดของเสือเอาไว้ในร่างเดียว)





                          The case of Peter Stubbe กรณีของมนุษย์หมาป่าที่โด่งดังที่สุดในประวัติศาสตร์ถูกบันทึกไว้ในศตวรรษที่ 16 ครับ เหตุเกิดที่เยอรมันเมื่อกระทาชายนาม Peter Stubbe ก่อคดีฆาตกรรมต่อเนื่องอย่างไม่เกรงกลัวกฏหมายบ้านเมือง จากการสอบสวนทราบว่า Stubbe ได้ทำสัญญาขายวิญญาณให้แก่ปีศาจทำให้เขาได้รับเข็มขัดหนังหมาป่ามาเส้นหนึ่ง ที่เมื่อใส่แล้วเขาจะกลายร่างเป็นมนุษย์หมาป่ากระหายเลือดในทันที เรื่องนี้มีประจักษ์พยานมากมายครับ ทั้งชาวบ้านผู้เห็นเหตุการณ์และเจ้าหน้าที่บ้านเมืองซึ่งรอดชีวิตจากการพยายามเข้าไปจับกุมมนุษย์หมาป่า ^^





                          คดีของ Stubbe เป็นที่กล่าวขวัญถึงเสมอมาเนื่องจากความพิลึกพิลั่นของมัน เขาใช้ชีวิตอยู่บริเวณมณฑณโคโลญจน์เป็นเวลาถึง 25 ปี บุกเข้ากินแพะแกะชาวบ้านกลางวันแสกๆ ในบางครั้งผู้หญิงกับเด็กที่บังเอิญต้องสัญจรในทางเปลี่ยวก็ตกเป็นเหยื่อของเขา (ข่มขืน ฆ่า แล้วก็กิน โหดดีไหมครับ...) เรื่องที่ว่า Peter Stubbe ขายวิญญาณให้ปีศาจนั้นเห็นทีจะมีเค้าอยู่ครับ เพราะแม้แต่ครอบครัวของเขาเองก็หนีไม่พ้นชะตากรรมถูกสังหารหมู่ Stubbe กล่าวสารภาพต่อคณะลูกขุนว่า เขาเป็นคนฆ่าล้างครอบครัวตัวเอง ทำการข่มขืนลูกสาว พี่สาว และผู้หญิงทุกคนในบ้าน กระทั่งลูกชายของเขาเองก็ถูกทรมานก่อนที่เขาจะควักเอาสมองสดๆออกมากิน





                          นักวิชาการรุ่นหลังบางคนลงความเห็นว่า Stubbe เป็นผู้พิการทางจิต เขาให้การแบบเลื่อนเปื้อนกับคณะลูกขุนเพื่อแก้ต่างคดีฆาตรกรรมที่เขาก่อขึ้น ฟังดูก็เข้าเค้าครับเพราะสมัยนี้ชอบทำกัน แต่มันขัดกับพยานอื่นๆในที่เกิดเหตุน่ะสิ มีหลายคนให้การตรงกันว่ามนุษย์หมาป่า Peter Stubbe โหดร้ายกระหายเลือดแถมทรงพลังเกินมนุษย์ธรรมดา อาวุธของเจ้าหน้าที่บ้านเมืองไม่ระคายผิวของเขาเลย ซ้ำร้ายบางคนถูกจับกินต่อหน้าต่อตาอีกแน่ะ... อ้าว แล้วไปไงมาไงถึงจับเขาได้อย่างนั้นหรือครับ เรื่องมันเป็นงี้ พอชาวบ้านแน่ใจว่าเจ้ามนุษย์หมาป่าที่อาละวาดมาแสนนานคือนาย Peter Stubbe พวกเขาก็คอยจับตาดูอยู่เงียบๆจนระแคะระคายว่า Stubbe จะใช้เวลาช่วงหนึ่งนอนหลับไหลไม่ได้สติ ก็ช่วงเวลานั้นเองแหละครับ ที่ชาวบ้านพากันย่องไปกระชากเข็มขัดหนังหมาป่าและจับเขามัดเอาไว้ ทีนี้เก๊าะเสร็จ มนุษย์หมาป่าจอมพลังเมื่อแราศจากเข็มขัดแล้วก็ไม่ต่างจากคนธรรมดาๆเลย





                          ...จากการไต่สวนพบว่า Peter Stubbe ก่อคดีฆาตกรรมไว้ถึง 16 คดี ฆ่าวัวควายแพะแกะอีกไม่นับ ศาลพิพากษาให้ตัดศีรษะเขาเสียบประจานเพื่อมิให้เป็นเยี่ยงอย่าง ส่วนเข็มขัดเส้นนั้นหายไปอย่างไร้ร่องรอย ไม่ทราบเหมือนกันครับว่าปีศาจตนนั้นมาเอาคืนหรือมือดีที่ไหนแอบฉกไว้เป็นสมบัติส่วนตัว





                          Voodoo  and  Zombies





                          ก่อนเล่าเรื่องซอมบี้เราคงต้องเท้าความถึงที่มาของมันเสียก่อน ซอมบี้เป็นผีในลัทธิวูดู(Voodoo)ครับ วูดูตัวนี้ไม่ใช่การ์ด 3D ครับ แต่เป็นลัทธิทางไสยศาสตร์ของคนทางแถบหมู่เกาะ West Indies หรือ อินดิสตะวันตกนั่นเอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในไฮติ ซึ่งมีสาวกของลัทธิวูดูอยู่เป็นจำนวนมาก คำว่าวูดูนี้เดิมทีเจ้าของทาสในไฮติใช้เรียกพวกหมอผีครับ





                          วูดูมีต้นกำเนิดมาจากพิธีกรรมทางไสยศาสตร์ของชนพื้นเมืองในแอฟริกา ไล่ไปตั้งแต่แกมเบียไปจนถึงแองโกลานั่นแหละครับ ชาวพื้นเมืองเหล่านี้จะศรัทธาในตัวเทพเจ้าประจำท้องถิ่นเป็นอย่างมาก ทำให้หมอผีและคนทรงพลอยมีหน้ามีตา โดนนับถือไปกับเขาด้วย ในฐานะสื่อกลางระหว่างเทพเจ้าและคนพื้นเมือง ทีนี้เรื่องมันเริ่มยุ่งขึ้นเมื่อถึงยุคล่าอาณานิคม หัวหน้าเผ่าของชนพื้นเมืองจำนวนมากได้ขายลูกเผ่าหรือเชลยศึก ไปเป็นทาสของชาวตะวันตก ในจำนวนทาสเหล่านี้ก็มีพ่อมดหมอผีติดไปด้วย นัยว่าเพื่อเป็นที่พึ่งทางใจแก่เหล่าทาสพลัดถิ่นครับ ทำให้ความเชื่อและพิธีกรรมของวูดูแพร่กระจายไปยังส่วนต่างๆของโลก โดยเฉพาะโลกใหม่ของโคลัมบัส ซึ่งนำเข้าทาสมากเป็นพิเศษ





                         พ่อหมดหมอผีแห่งลัทธิวูดู ไม่ได้มีอำนาจแก่กล้าด้วยตัวเองเหมือนหนังกำลังภายในหรอกครับ พวกเขาจำเป็นต้องได้รับความร่วมมือจากภูตผีและวิญญาณต่างๆ จึงจะสามารถสำแดงฤทธิ์เดชได้เต็มที่ ในหมู่เกาะอินดิสตะวันตกเองนั้น พลังของภูตผีในชุมชนของพวกทาสได้ก่อให้เกิด \"เจ้า\" อีกประเภทหนึ่งขึ้นมาใหม่ เรียกว่าโล(Loa)ครับ โลนี้สามารถคุ้มครอง ช่วยเหลือ ลงโทษ ตลอดไปจนกลั่นแกล้งมนุษย์ได้เช่นเดียวกับภูตผีปีศาจทั่วไป





                         หมอผีทั้งหลายเรียกไสยศาสตร์แขนงใหม่นี้ว่า \"วูดู\" ครับ ชาววูดูทั้งหลายจะบูชาโลเป็นสรณะ ไม่มีใครรู้เหมือนกันว่า แท้ที่จริงแล้ว โลแต่ละตนมีที่มาที่ไปอย่างไร มีแต่พ่อมดหมอผีระดับสูงเท่านั้นที่รู้ และจะบอกกล่าวเฉพาะในหมู่พวกตน





                         หมอผีในลัทธิวูดูเรียกว่า โซบ๊อป(Zobop) พวกนี้เป็นได้ทั้งชายทั้งหญิง ซึ่งโซบ๊อปแต่ละคนต้องผ่านการฝึกฝนวิชามาอย่างแก่กล้าเสียก่อน จึงจะสามารถออกมาทำพิธีกรรมต่างๆได้ อำนาจของโซบ๊อปก็เหมือนแม่มดหมอผีในลัทธิมืดอื่นๆครับ คือสำแดงฤทธิ์ได้สารพัดประการ ปลุกคนตายขึ้นจากหลุมเอย เหาะเหินเดินอากาศเอย เครื่องรางของขลัง ยาแฝดคุณไสย พี่แกทำได้หมด เสกคาถาให้คนตายคาที่ก็ยังทำได้เลยครับ ตามตำรากล่าวเอาไว้ว่า โซบ๊อปที่เป็นชายจะมีพลังแก่กล้ากว่าโซบ๊อบหญิง ลักษณะพิเศษของโซบ๊อปชายก็คือ สามารถแปลงร่างเป็น ลูป-การู(Loup-Garou) หรือยุงผีเมื่อไรก็ได้ตามต้องการ เจ้ายุงผีนี่แหละครับแสบนัก เพราะมันชอบบินไปดูดเอาชีวิตของเด็กทารกในขณะหลับ โซบ๊อบหญิงเองก็แปลงเป็นยุงผีได้เหมือนกัน แต่มักแปลงไปเองโดยไม่ตั้งใจและไม่สามารถควบคุมได้เหมือนอีกเพศหนึ่ง





                         เคยมีการชุมนุม \"โล\" หรือเจ้าของพวกวูดูครั้งใหญ่ ซึ่งนำโดย ปาปาเลกบา และ เมเตอร์ แคร์รีโฟร์ โลที่ถูกอัญเชิญมามีชื่อและองค์แตกต่างกันไปครับ เช่น Amelia, Bazo, Dager Mina, Gangan, และ Erzilie เป็นต้น โดยเฉพาะโลองค์สุดท้ายนี้จะช่วยให้มนุษย์เกิดความพิศวาสรัญจวนครับ หมอผีจะติดต่อกับโลในการทำพิะทางไสยศาสตร์ ไม่ว่าจะเป็นจุดประสงค์ร้ายหรือดี หมอผีพวกนี้มีอิทธิพลครอบงำจิตใจของชุมชนชาวไฮติมาก เนื่องมาจากความเชื่อที่ว่า พวกเขาสามารถบงการภูตผีปีศาจให้กระทำการใดๆได้ตามต้องการ พิธีกรรมในการติดต่อกับโลจะกระทำอย่างปกปิดซ่อนเร้น ว่ากันว่าจะต้องใช้เลืดไก่ขาวปลอด มาทำการเซ่นไหว้ และโลจะปรากฏกายมาตามคำอัญเชิญในร่างของงูพิษครับ





                          การประกอบพิธีกรรมของวูดู อาจต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกคนในชุมชน เพื่อเอาแรงใจของทุกคนมารวมกันให้เกิดพลัง ซึ่งกล่าวกันว่า ไม่สามารถมีอะไรมาต่อต้านได้ ลองนึกภาพดูนะครับ เมื่อเสียงกลองของวูดูดังขึ้นในป่ายามราตรี และเห็นแสงไฟวูบวาบวอมแวมลอดผ่านแนวต้นไม้ นั่นหมายถึงชายหญิงทุกคนในหมู่บ้านจะออกมาเต้นรำกันอย่างบ้าคลั่ง ใครที่ไม่มีส่วนเกี่นวข้องก็จงถอยให้ห่างเข้าไว้เถอะครับ เพราะคืนนั้นจะเต็มไปด้วยเสียงระงมของโลที่ขานรับคำวิงวอนจากหมอผี





                          เอาล่ะครับ คราวนี้ก็มาว่าถึงซอมบี้ของเราเสียที เกริ่นกันไปนานแล้วล่ะครับ ว่าซอมบี้เป็นผีที่โดนปลุกขึ้นมาด้วยพิธีกรรมแบบวูดู ซึ่งในพิธีหยั่งว่านี้ พวกหมอผีที่เรียกว่าฮาวน์แกน(Houngans) หรือ โซบ๊อป จะเป็นผู้จัดการพิธีกรรมทั้งหมด หมอผีพวกนี้น่ะร้ายนาครับ เพราะไม่แค่ปลุกคนตายขึ้นมาเป็นทาสรับใช้เท่านั้น หากคนเป็นๆคนไหนทำให้พ่อไม่ชอบขี้หน้าล่ะก็ พ่อก็ฆ่าซะแล้วปลุกศพให้ขึ้นมาเป็นทาสของตัวก็มี





                          ซอมบี้จะเคลื่อนไหวในเวลากลางคืนเท่านั้น ว่ากันว่า ถ้าหากบังเอิญมันปรากฏตัวในระยะเห็นไกลๆ แทบจะดูไม่ออกเลยครับว่าอันไหนคนอันไหนซอมบี้ พอเข้าใกล้เท่านั้นแหละครับ ชัดเลย อี๋...... แต่ว่าพวกซอมบี้นั้นสามารถมองเห็นได้ดีในที่มืด มันจึงหลีกเลี่ยงไม่ค่อยอยากจ๊ะเอ๋กับคนเท่าใดนัก เคราะห์หามยามซวยเกิดมาเจอกับคนจังๆเข้า มันก็จะหลบหน้าหลบตาเสีย ไม่ได้ป่าเถื่อนดุร้ายเหมือนที่เราเห็นกันในหนังหรอกครับ





                          ซอมบี้ไม่เหมือนนักการเมืองหรอกครับ มันค่อนข้างจะซื่อสัตย์และเชื่อฟังผู้เป็นนายมาก สามารถทำงานหนักๆที่มนุษย์ไม่ยอมทำโดยไม่ปริปากบ่น ข้อแม้อย่างเดียวของซอมบี้ก็คือ มันต้องกลับเข้าหลุมก่อนตะวันขึ้นใครมีซอมบี้ไว้ในบัญชาก็สบายไปสิครับ ไม่ต้องเปลืองข้าวเปลืองน้ำ ใช้งานมันอย่างเดียวไม่ต้องมีโบนัส ไม่ต้องมีสวัสดิการ (ก็ตายไปแล้วนี่นะ จะมาเจ็บป่วยอะไรอีก) ทว่า ข้อพึงระลึกของผู้เลี้ยงวอมบี้ทั้งหลายก็คือ อย่าให้มันโดนเกลือครับ นิดเดียวก็โดนไม่ได้ เพราะถ้าโดนเกลือปุ๊บ ซอมบี้จะคลายจากมนต์ดำที่สะกดไว้ทันที หลังจากนั้นมันจะกลับเข้าหลุมโดยไม่มีใครสามารถปลุกมันขึ้นมาได้อีก





                          ชาวไฮติมักจะทึกทักเอาว่า ชาวนาผู้ร่ำรวยโดยที่ไม่ยอมลงแรงให้คู่ควรกับผลผลิตที่ได้มา จะเป็นผู้ที่มีซอมบี้อยู่ในครอบครองเป็นส่วนใหญ่ แต่ถึงแม้เขาจะมีแรงงานทาสชนิดนี้อยู่ก้ไม่ได้หมายความว่า พวกเขาจะอยู่กันอย่างสุขสบายนัก ตรงกันข้ามกลับต้องคอยระวังคู่แข่งหรือศัตรูไม่ให้ดอดเข้ามาสืบความลับ ไม่อย่างนั้นศัตรูอาจจะหาหมอผีที่เก่งฉกาจกว่าคนเดิมมาร่ายเวทใหม่ ให้ซอมบี้ทั้งฝูงหันกลับมาเล่นงานเจ้านายระหว่างทำงานตอนกลางคืนก็เป็นได้





                          นอกจากซอมบี้พวกนี้แล้ว ยังมีอีกพวกหนึ่งครับ ที่นิยมเรียกกันว่า..โรนิน..เอ๊ย..ซอมบี้พเนจร เป็นผีดิบที่ดันตายไปแบบฉับพลัน เรียกว่าตายไม่รู้ตัวว่างั้นเหอะ พวกนี้ชอบลุกขึ้นมาจากหลุมเอง แล้วก็เที่ยวเดินท่อมๆไปในยามรัติกาล ไม่ทำร้ายใครหรอกครับ พี่แกแค่อยากจะชมโลกอีกสักพักเท่านั้นเอง พออยู่ไปได้สักช่วงหนึ่งเดี๋ยวก็รู้ตัวว่าตายแล้วเอง และพี่แกก็จะกลับหลุมโดยอัติโนมัติ





                          ขอบคุณสำหรับการติดตามนะคะ















    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×