ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ศึกชิงจ้าวพิภพ ภาค มนตราอัศวมณี

    ลำดับตอนที่ #7 : *ความจริงซึ่งยากจะยอมรับ*

    • อัปเดตล่าสุด 4 พ.ค. 49


     

              ^0^คุยกันก่อนนะคะ^0^

              หลังจากที่หายไปนานมาก  ตอนนี้กลับมาแล้วค่ะ  คิดว่าคงจะไม่หายไปนาน ๆ อีก  เพราะเรียนจบแล้ว  แต่กำลังคิดว่าจะเรียนต่อเลยค่ะ  ถ้าจะหายไปอีกทีก็คงเป็นช่วงสอบ  อิอิ

              ตอนนี้ตั้งใจแต่งมากเลยนะคะ  เพราะแต่งนานมาก ๆ ด้วย  หุหุ  ในตอนนี้จะเปิดตัวพาเทียสแล้วนะคะ  คนที่เคยอ่านศึกชิง ฯ เก่าหลายคนคงรู้จักดี  แต่มีอะไรแปลกใหม่ขึ้น  เพราะฉะนั้น  ห้ามยึดติดกับศึกชิง ฯ เก่าเด็ดขาดเลยนะคะ

              เอาเป็นว่าอ่านให้สนุกนะคะ  เริ่มได้เลย

              *ความจริงซึ่งยากจะยอมรับ*
             
              "พี่ราชิทครับ  ให้ผมเข้าไปหน่อยนะ"

             
    เสียงกษัตริย์หนุ่มปลุกเจ้าของห้องให้ตื่นจากภวังค์    เมื่อประตูเปิดผางออก   ผู้เป็นน้องก็ยิ้มเผล่พรวดเข้าไปข้างในทันทีอย่างถือวิสาสะ  เจ้าของห้องจึงทำได้แต่ส่ายหน้าอย่างเอือมระอาในนิสัยของเจ้าตัวยุ่งที่คงจะแก้ไม่ได้เสียแล้ว   ราชิทเดินตรงเข้ามาหากษัตริย์หนุ่มที่นอกจากจะบุกรุกห้องของเขาในยามวิกาล มิหนำซ้ำยังกระทำการอุกอาจลุกล้ำบนเตียงส่วนตัวของเขาอีกด้วย   ผู้วิเศษหนุ่มส่ายหน้าช้า ๆ พร้อมตั้งคำถามอย่างตรงไปตรงมา 

             
    "นายจะมาพูดเรื่องมิรันตีกับเนริตาใช่มั้ย ?"  คำถามที่ทำเอาผู้ฟังถึงกับสะดุ้งพรวดลุกขึ้นนั่งตาแป๋วใสซื่อ  ราวกับเด็กกำลังสงสัยในสิ่งที่ผู้ใหญ่พูด 

              แต่แล้วผู้ใหญ่ที่ว่าก็จัดการลงโทษเด็กด้วยมะเงกหลุน ๆ หนึ่งโป๊กเข้าตรงกลางกระหม่อม   จนเด็กน้อยคลำหัวป้อย ๆ ด้วยความเจ็บ  แต่ก็ไม่คิดที่จะปริปากโอดครวญแต่อย่างใด  กลับยิ่งจ้องลึกเข้าไปยังดวงหน้าขาว ๆ ที่ก้มลงต่ำอย่างเสียไม่ได้  จนในที่สุดสงครามประสาทก็ได้ฤกษ์ปราชัย  เพราะเด็กน้อยทนไม่ไหวกับท่าทางของผู้ใหญ่ที่เอาแต่นิ่งเฉย  ไม่พูดไม่จา  ราวกับไม่มีชีวิต

             
    "พี่ราชิทครับ  พี่จะทำยังไงต่อไป  พี่จะบอกพี่มิรันตี"  เพียงเท่านั้นผู้ใหญ่ก็เงยหน้ายุ่ง ๆ ขึ้นมองเด็กที่ได้แต่ยิ้มแหย ๆ อย่างน่าหมั่นไส้  "เอาน่า  !  ผมตกลงเป็นน้องพี่  เฮ้ย !  คุณมิรันตีแล้ว  พี่อย่าสงสัยมากความเลยน่า  ว่าแต่พี่เถอะ  พี่จะบอกพี่มิรันตีรึเปล่า  ?  ว่าผู้หญิงคนนั้นคือคุณเนริตา"  คำถามตรง ๆ พาซื่อ  แต่ทำเอาคนฟังขมวดคิ้วมุ่น  แล้วก็แปรเปลี่ยนเป็นหน้ายักษ์แทบจะในทันที 

             
    "ไคเชอร์ !"  เด็กน้อยที่รีบกุลีกุจอจะออกจากห้องต้องหยุดอย่างกะทันหันเพราะน้ำเสียงที่พิโรธราวฟ้าผ่าลงมากลางห้องก็ไม่ปานของผู้ใหญ่นั้น  ทำเอาเด็กตัวแสบกลืนน้ำลายลงคอเสียงดังเอื๊อกด้วยความกลัวอยู่เป็นนิจ  

             
    "นายใช้มนต์สกปรกนั่นอีกแล้วนะ คราวนี้พี่จะเตือนนายเป็นครั้งสุดท้าย"  ร่างคนพูดสั่นสะเทิ้ม   มือถูกกำแน่นจนเกร็งเห็นเส้นเลือด   พร้อมตวัดหันมองคนฟังที่หน้าเจื่อนลงไปทุกขณะ 

               "....  ครั้งสุดท้ายจริง ๆ  ถ้าครั้งหน้า  นายยังขืน ... ขืนใช้มันอีก  นายกับพี่ได้เห็นดีกันแน่ ๆ  ถึงแม้ว่ามันจะเป็นมนต์พิเศษที่ติดตัวนายมาก็ตาม  เข้าใจมั้ย  ?"
      ยังไม่ทันที่เด็กน้อยจะได้ตอบรับ   ร่างของผู้ใหญ่ก็เคลื่อนเข้าประชิดตัวแทบจะในทันที   มือสองข้างบีบหัวไหล่ของเด็กจนแน่น  พร้อมกับดวงตาที่เคยเป็นสีม่วงแปรเปลี่ยนเป็นสีแดงในบัดดล   ทำเอาเด็กดื้อตัวสั่นอยู่ในวงแขนของผู้ใหญ่   ที่ตอนนี้หายใจหอบแรง  ถี่ระรัว  เหงื่อเม็ดเล็ก ๆ เริ่มผุดพรายขึ้นที่ใบหน้าอันเกลี้ยงเกลา พร้อมเสียงร้องอันดังลั่นที่ปลุกคนทั่วทั้งวังให้ตื่นภายในฉับพลัน  จนเด็กต้องรีบยกมือปิดหูแทบจะในทันที   ก่อนที่แก้วหูจะระเบิดเป็นจุณโดยไม่รู้ตัว  

             
    ผู้ใหญ่ค่อย ๆ คลายมือออกจากเด็กพร้อมทรุดลงที่พื้นในทันที  ดวงตาสีแดงวาวโรจน์กราดมองทุกคนที่พังประตูห้องเข้ามาด้วยความเป็นห่วงอย่างไม่พอใจเต็มที่   แม้กระทั่งมิรันตีและเนริตาก็ไม่กล้าที่จะเชียดกรายเข้าใกล้   แต่ทั้งคู่ก็กังวลไม่แพ้กัน  หนักสุดเห็นจะเป็นมิรันตีที่อยากเข้าไปหาไคเชอร์ใจจะขาด  แต่ก็มิอาจย่างกรายเข้าไปได้  เพราะความจำเป็นบางอย่างค้ำคออยู่  

              คงเหลือแต่เด็กน้อยไคเชอร์ที่ยืนทำตาปริบ ๆ ด้วยความตกใจ เลือดในกายเย็นเฉียบเมื่อได้เห็นพี่ชายตัวเอง  แต่พลันเด็กน้อยก็รวบรวมความกล้าสาวเท้าเข้าหาผู้ใหญ่โดยไม่สนเสียงเรียก  เสียงทักท้วงของใครทั้งสิ้น  ราชิทเงยหน้ามองไคเชอร์อย่างเพ่งพิศ  แต่เหมือนเงาดำบดบัง  ผู้วิเศษหนุ่มแยกเขี้ยวใส่น้องชายอย่างไม่ยี่หระ  ทำเอาทุกคนใจหายวาบด้วยความกลัวระคนสงสัย  แต่ไคเชอร์มีหรือจะยอม  กษัตริย์หนุ่มจำได้เสมอว่าพี่ชายเคยบอกตนว่า 
    ~ในชีวิตของพี่มีแต่เจ้าเท่านั้น  ไคเชอร์~ 

             
    ดังนั้นผู้เป็นน้องจึงค่อย ๆ เอื้อมมือจับตัวพี่ชายที่ยังคงก้มหน้าอยู่อย่างช้า ๆ ระแวดระวัง  ท่ามกลางความลุ้นระทึกของทุกคน  แต่แล้วความพยายามก็เป็นอันไร้ผล  เมื่อราชิทที่ทุกคนเคยรู้จัก  บัดนี้กลับกลายเป็นปีศาจในร่างผู้วิเศษก็ไม่ปาน   ชายหนุ่มปัดมือไคเชอร์ออก  แล้วเหวี่ยงกษัตริย์หนุ่มจนกระแทกกับกำแพงกระอักเลือด  มิรันตีกรีดร้องเสียงดังด้วยความตกใจสุดขีด  เธอเกือบถลาไปหาไคเชอร์แทบจะในทันทีแต่เนริตาห้ามไว้

             
    "ไม่ได้นะ  !  เจ้าจะเข้าไปยุ่งไม่ได้เด็ดขาด  เจ้าลืมไปแล้วหรือ  ไคเชอร์อาจสงสัยเอาได้  ที่สำคัญ  !  เดี๋ยวราชิทก็หายเป็นปกติเองนั่นล่ะ  !  ไคเชอร์เจอเรื่องแบบนี้มาตั้งแต่เด็ก  เขาไม่เป็นไรหรอก  ราชิทไม่มีทางทำให้ไคเชอร์ตาย  อย่างเก่งก็แค่บาดเจ็บสาหัส เชื่อข้าสิ ! มิรันตี  ตอนนี้เราต้องยอมถูกประณามว่าใจร้าย  เพราะราชิททำตัวเอง  เขาทำสัญญากับปีศาจ  ฉะนั้น  เขาต้องรับกรรมในสิ่งที่เขาทำ  ส่วนไคเชอร์ก็เป็นหนึ่งในบริวารของเขา  เข้าใจที่ข้าพูดมั้ย  ?  มิรันตี"  หญิงสาวพยักหน้าแล้วร่ำไห้ปานจะขาดใจ   เธอทำได้เพียงวิงวอนขอร้องผู้วิเศษหนุ่มที่ถูกปีศาจเข้าสิง  
            
             
    แต่ราชิทก็ยังไม่หยุด  กลับทำลาย  เขวี้ยงปาข้าวของจนวินาศสันตะโร   พร้อมพุ่งเข้าทำร้ายไคเชอร์อีกครั้งเป็นผลให้เหล่านายทหารที่เข้ามาปกป้องกษัตริย์ของพวกเขาทันเวลาได้รับบาดเจ็บไปตาม ๆ กัน  ไม่เว้นแม้แต่ผู้ที่ถูกปกป้อง  ก็ยังโดนลูกหลงจนได้รับบาดเจ็บสาหัส  อันเนื่องจากเหล่านายทหารไม่อาจต้านทางแรงของผู้ที่อยู่ตรงหน้าได้แม้แต่น้อย  

              ซึ่งมิรันตีมิอาจทนดูเหตุการณ์ได้อีกต่อไป  เธอสงสารไคเชอร์จับใจ หญิงสาวลืมเรื่องที่เนริตาบอกจนหมดสิ้น  ในตอนนี้ห้วงคิดของเธอมีเพียง  ไคเชอร์เท่านั้น เธอจะนิ่งดูดายยอมให้เขาเป็นอะไรไม่ได้ ว่าแล้วหญิงสาวก็ก้าวเข้าไปประชันกับราชิท   เชิดหน้าอย่างท้าทายเจ้าปีศาจที่ไม่มีทีท่าจะเหนื่อยอ่อนหรือหมดแรงง่าย ๆ เป็นผลให้เนริตาจำต้องปรากฎกายท่ามกลางความตกตะลึงระคนสงสัยของทุกคน 
      

             
    "อย่านะ  ! มิรันตี ตกลงข้าจะช่วยสกัดเขาให้  แต่เจ้าอย่าคิดสู้กับราชิทเป็นอันขาด ตอนนี้ราชิทกำลังต่อสู้กับความชั่วร้ายที่เข้าครอบงำ  เขาถึงได้เป็นแบบนี้  แต่ถ้าเจ้าตกลงยินยอมที่จะต่อสู้กับเขา  เจ้าอาจตายมือปีศาจตนนี้ก็ได้นะ  มิรันตี  !  มันไม่เหมือนกันนะ  กรณีไคเชอร์  ราชิทเข้าไปทำร้ายเอง   เจ้าก็รู้กฎดีมิใช่หรือ  ?  เมื่อใดก็ตามที่พลังชั่วร้ายสิงสู่  แล้วเกิดการต่อสู้ภายใน  ผู้ไม่เกี่ยวยินยอมตบปากรับคำ   ผู้นั้นจักถูกปลิดชีพทันที   เจ้าจงปล่อยให้มันเป็นไปตามแบบที่มันควรจะเป็นเถิด  ถ้าเจ้าไม่เสียดายชีวิต  เจ้าก็ควรคิดถึงน้องชายของเจ้าไว้มาก ๆ นะ  มิรันตี" 

             
    เนริตาตะโกนขึ้นเพื่อยับยั้งการตัดสินใจอันบุ่มบ่ามของมิรันตี   ซึ่งได้ผลชะงัก  มิรันตีหยุกกึกแล้วโผเข้าหาไคเชอร์ทันที   ผู้วิเศษสาวกอดกษัตริย์หนุ่มไว้แนบอก  ลูบหัวเขาด้วยความเอ็นดู  อีกทั้งรักษาบาดแผลให้อย่างทันท่วงที   พร้อมพร่ำขอโทษอย่างลืมตัว   ท่ามกลางความประหลาดใจของเหล่าข้าราชบริพาร  และตัวผู้ถูกกระทำ  ที่นั่งนิ่งเป็นหุ่น  อึ้งกับสิ่งซึ่งกำลังเผชิญ   กษัตริย์หนุ่มมองหน้าผู้อ้างตัวเองว่าเป็นพี่ของเขาแท้ ๆ อย่างไม่อยากเชื่อ ไคเชอร์กำลังสับสนอย่างหนัก 

             
    แต่สิ่งที่สำคัญเหนืออื่นใดในตอนนี้คือพี่ชายของเขานั่นเอง  !  กษัตริย์หนุ่มผละจากมิรันตีแทบจะในทันทีเมื่อได้สติ   พร้อมพุ่งไปหาราชิทที่กำลังตัวดิ้นทุรนทุรายเพราะเนริตา  ผู้วิเศษสาวที่ได้ชื่อว่าเก่งที่สุดรองจากเมซาตัว  หญิงสาวกำลังบรกรรมคาถาปิดผนึกอย่างยากลำบาก  เพราะเจ้าปีศาจฤทธิ์เยอะไม่ใช่ย่อย  แต่ก็ไม่เกินความสามารถของเจ้าหล่อนไปได้ เจ้าปีศาจจึงทำได้เพียงสบถคำพูดไม่น่าฟัง ดวงตาสีแดงเพลิงลุกโชนมองอย่างอาฆาตมาดร้ายยังหญิงสาว  มันกำลังรอคอยการเป็นอิสระ  เพื่อชำระแค้นให้สาสม  ไคเชอร์มองพี่ชายอย่างสมเพสเวทนาพร้อมทรุดลงกับพื้น  เขากอดขาผู้เป็นพี่น้ำตานองหน้า แล้วเรียกชื่อพี่ชายซ้ำไปมา  ปีศาจในคราบผู้วิเศษราชิทก้มมองผู้เป็นน้องอย่างเคียดแค้น

             
    "เจ้าเศษมนุษย์  ถือดีเยี่ยงไรมาทำกับข้าเช่นนี้  ปล่อยมืออันโสโครกของเจ้าออกจากขาของข้าเดี๋ยวนี้นะ  เจ้าก็เหมือนกัน  ! นังผู้วิเศษดำปลายแถว  เชอะ ! เจ้าอย่าคิดว่าพันธนาการแค่นี้  ข้าจะหลุดไปไม่ได้นะ เพียงแต่ข้ายังไม่แข็งแรงดีพอเท่านั้นเอง  ถ้าข้าหลุดไปได้ล่ะก็ เจ้าจักได้เห็นพิษสงของข้ากันถ้วนหน้าเชียว"  ดวงตาสีแดงเพลิงคุกรุ่นไปด้วยความแค้นที่กำลังสุมตัวอย่างทวีคูณ  แต่ไคเชอร์กลับไม่ใส่ใจ  เขายิ่งกอดขาพี่ชายแน่นเข้าไปอีกพร้อมเอ่ยด้วยเสียงสั่นเครือ

             
    "พี่ราชิทครับ  กลับมาสิครับ  พี่ไม่เคยเป็นแบบนี้  ต่อสู้กับมัน ....  สู้กับมันนะครับ  ถ้าพี่เป็นอะไรไป  แล้วผมจะอยู่ยังไง  ผมไม่มีใครนอกจากพี่นะครับ" ด้วยคำพูดนี้เองทำให้มิรันตีถึงกับสะดุ้งเฮือก  ผู้วิเศษสาวเริ่มรู้ตัวแล้วว่าเธอทำอะไรลงไป  ดังนั้นเธอจึงทำได้แต่เพียงภาวนาให้ไคเชอร์อย่าใส่ใจกับเรื่องที่เกิดขึ้นระหว่างเธอกับเขาในวันนี้  ทั้ง ๆ ที่รู้อยู่เต็มอกว่ากษัตริย์หนุ่มคงไม่คิดที่จะลืมมันแน่นอน  หนำซ้ำเมื่อราชิทหายดีแล้ว  เธอคงเป็นรายต่อไปที่จะต้องตกเป็นจำเลย  ส่วนราชิทเมื่อได้ยินคำพูดนั้น ดวงตาสีแดงเพลิงก็สั่นระริกขึ้นมาทันใด  

             
    "เจ้าพูดบ้าอะไร  ไอ้พวกเศษเดน  ข้าไม่อยากฟัง  ไปพร่ามไกล ๆ ข้า  ออกไปนะ เดี๋ยวตัวข้ามันจะติดเสนียดจัญไรเสียเปล่า ๆ"  เจ้าปีศาจพยายามกลบเกลื่อนความรู้สึกเก่า ๆ ที่เริ่มเข้ามาครอบงำร่างที่ตนสิงสู่   แต่มีหรือที่เนริตาจะไม่รู้

             
    "เจ้าโง่เอ๊ย !  โง่แล้วยังทำอวดฉลาด  ให้ข้าพูดตามตรงนะ  ปีศาจปลายแถวอย่างเจ้าไม่น่าจะมาสิงสู่ร่างของผู้วิเศษราชิทหรอก  อย่างเจ้าน่าจะไปสิงร่างพวกอสูรชั้นต่ำมากกว่า   เจ้ากำลังปฏิเสธตัวเอง   ตอนนี้ตัวตนของราชิทกำลังร่ำร้องถึงน้องชายของเขา  เจ้ามิอาจพรากเขาทั้งคู่ได้หรอก  ไม่เชื่อก็คอยดู"  จบคำของผู้วิเศษสาวมโนภาพเก่า ๆ ก็ย้อนกลับมาในโสตประสาทอีกครา 

             
    ภาพเด็กหนุ่มสองคนกำลังวิ่งเล่นในสวนกุหลาบอันร่มรื่นในยามวิกาล  ฉับพลันเด็กหนุ่มตัวโตกว่าเริ่มมีอาการคลุ้มคลั่ง  ทำเอาเจ้าตัวเล็กร้องไห้จ้า  แต่ก็ไม่คิดที่จะวิ่งหนี  ผู้เป็นน้องนั่งเฉยยอมให้คนตัวโตกว่าทำร้ายจนเลือดตกยางออก  และในที่สุดผู้เป็นพี่ก็เริ่มได้สติกลับคืน  เขาพร่ำพรรณนาขอโทษน้องชายสุดรัก  พร้อมกับรักษาบาดแผลให้จนหายดี  ซึ่งเจ้าตัวเล็กก็ไม่มีทีท่าจะโกรธแม้แต่น้อย  กลับยิ้มร่าอย่างอารมณ์ดี  พร้อมชวนผู้เป็นพี่วิ่งเล่นต่ออย่างมีความสุข  เสียงหัวเราะนั้นยังคงดังก้องอยู่ในความทรงจำของราชิทมิมีวันเลือน   

             
    ถัดไปเป็นภาพไคเชอร์ในปัจจุบันที่กำลังนอนบิดเร่า ๆ พร้อมกับเกาะขาพี่ชายด้วยความเจ็บปวดรวดร้าว  แล้วตัวเขาก็ทรุดลงพร้อมกับพร่ำขอโทษอย่างที่เคยทำทุกครั้งเมื่อเกิดเรื่อง  ซึ่งผู้เป็นน้องก็ไม่มีทีท่าว่าจะโกรธอีกเช่นเคย  เมื่อมาถึงตรงนี้ เจ้าปีศาจในร่างราชิทเริ่มทุรนทุราย  ดวงตาเหลือกถลน  มันกัดเม้มริมฝีปากจนแน่น  กำมือจนเล็บจิกเข้าไปในเนื้อ ตัวสั่นเทิ้มด้วยความโกรธา  มันกรีดร้องเสียงแหลมสูง   เลือดกระฉูดจากทวารทั้งห้า  พร้อมกับเจ้าปีศาจพุ่งออกจากตัวผู้วิเศษหนุ่มแล้วสลายกลายเป็นผุยผงในชั่วพริบตา  เหลือเพียงความสยดสยองทิ้งไว้ให้ดูต่างหน้า

             
    ผู้วิเศษหนุ่มหลุดออกจากพันธนาการที่ถูกเนริตาตรึงไว้แทบจะในทันที   เขาทรุดลงกอดกับพื้นด้วยความเจ็บปวดทรมาน  แต่สุดท้ายก็สลายหายไปจนหมดสิ้นเพราะการรักษาของเนริตานั่นเอง ชายหนุ่มตรงเข้าไปกอดน้องชายผู้เป็นดั่งดวงใจด้วยความสำนึกผิด  พร่ำพรรณนาขอโทษจนผู้เป็นน้องร้องไห้โฮออกมาอย่างไม่อายใคร   ยังความสะเทือนใจให้แก่ทุกคนที่อยู่ในเหตุการณ์  กษัตริย์ของเขาช่างบอบบาง  อ่อนโยนยิ่งนัก

             
    "ผมขอโทษครับพี่  ถ้าไม่ใช่เพราะผมใช้มนต์บ้า ๆ นั่น  พี่คงไม่ต้องเป็นแบบนี้   ผมขอโทษ  ต่อไปผมจะไม่ใช้มนต์บ้าพรรค์นั้นแล้ว  ผมจะไม่ทำให้พี่ต้องผิดหวังอีกแล้วครับ"   ผู้เป็นพี่จึงทำได้เพียงแค่ลูบหัวน้องรักเบา ๆ อย่างอ่อนโยน  โดยหวังให้ความรักทั้งหมดถูกถ่ายทอดผ่านคนตรงหน้าด้วยสัมผัสอันนุ่มละมุน  พร้อมกระซิบเบา ๆ  จนคนฟังถึงกับเงยหน้าขึ้นมองด้วยความฉงน

             
    "ทำไมถึงจะไม่ใช้มนต์นั้นอีกล่ะ ? ที่พี่ห้ามเพราะเห็นว่า  มันยังไม่ถึงเวลาที่จะต้องใช้ตังหาก  ถ้ามนต์พรรค์นั้นไม่ดีจริง  แล้วพ่อแม่ของนายมอบให้นายทำไมล่ะ  ?  มนต์พรรค์นั้นจะดีก็ต่อเมื่อใช้ให้ถูกกาลเทศะ  ถูกจังหวะ  ถูกเวลาและสถานที่  ไม่ใช่ใช้พร่ำเพรื่ออย่างนาย  รู้มั้ย  ?  แล้วที่พี่โมโหน่ะ  มันไม่เกี่ยวกับมนต์ของนายหรอก  มันเป็นที่ตัวพี่เอง  แต่เวลามันประจวบเหมาะกันพอดี  นายก็โดนบ่อย ๆ จำไม่ได้แล้วเหรอ" กล่าวจบเจ้าตัวก็อมยิ้มน้อย ๆ อย่างอบอุ่นให้แก่ไคเชอร์ที่พยักหน้าเนิบ ๆ อย่างเข้าใจ   พร้อมบุ้ยหน้าออกไปยังท้องฟ้าอันเวิ้งว้าง ที่เดือนดาราเคลื่อนคล้อยลงต่ำอย่างเป็นใจ  เผยให้เห็นดวงจันทร์กลมโตสุกสกาวกลางนภาหาว    แดนสุขาวดีรมย์ 

             
    เมื่อเนริตาทำการรักษานายทหารคนสุดท้ายพร้อม ๆ กับที่มิรันตีใช้เวทมนตร์เก็บกวาดห้องจนเสร็จสรรพ แล้วกำลังจะผละไปที่ประตู ไคเชอร์ไม่รอช้าแม้แต่เสี้ยววินาที   กษัตริย์หนุ่มชิงเอ่ยขึ้นท่ามกลางความตกตะลึงของทุกคน  โดยเฉพาะผู้ที่ตกเป็นจำเลย

             
    "คุณมิรันตีเป็นพี่สาวแท้ ๆ ของผมใช่มั้ยครับ ?"  ความเงียบเข้าครอบคลุมทุกคนที่อยู่ในเหตุการณ์  แม้แต่เหล่าข้าราชบริพารยังไม่กล้าแม้แต่จะมองหน้ากันและกัน   คนที่ไม่เกี่ยวข้องเริ่มทยอยเดินออกไปอย่างเงียบเชียบ   คงเหลือแต่ตัวต้นเรื่อง  กับพี่ชายและจำเลยพร้อมเพื่อนสนิทเท่านั้น  แต่ไคเชอร์ยังไม่ลดละ  เขายิงคำถามต่อแทบจะในทันที

             
    "ทำไมทุกคนต้องปิดเรื่องนี้กับผมด้วย  ปล่อยให้ผมเป็นคนโง่  มันสนุกนักใช่มั้ย ?"  ยังไม่มีเสียงใด ๆ เล็ดลอดออกจากปากทั้งสามคนที่ตอนนี้ตกเป็นจำเลยกันถ้วนหน้า   ทั้งหมดยืนนิ่งไม่ไหวติง   แม้แต่มิรันตีผู้ถูกพูดถึง   หญิงสาวกลืนไม่เข้าคายไม่ออกกับสภาพที่เป็นอยู่   เธอครุ่นคิดอย่างเคร่งเครียด  ~ ถ้ายอมรับออกไป   ไคเชอร์จะต้องเกลียดเราแน่นอน   แต่ถ้าไม่ยอมรับ  เขาก็เกลียดเหมือนกัน  เผลอ ๆ เราอาจจะไม่ได้เห็นหน้าเขาอีกเลย  จะทำยังไงดีนะ เนริตา  ราชิท   เจ้าว่าข้าจะบอกความจริงดีมั้ย ~  ผู้วิเศษสาวมองหน้าเพื่อนรักกับคนที่เคยรักสลับไปมา   ซึ่งทั้งคู่ก็พยักหน้าเห็นด้วยกับความคิดของเธอ  แต่ไม่ทันที่เธอจะพูดอะไร   กษัตริย์หนุ่มผู้วู่วามก็ตัดหน้าเธอซะก่อน

              "ปิดผมแล้วได้อะไรขึ้นมา  ยังไงถ้าคุณมิรันตีเป็นพี่สาวของผมจริง ๆ เรื่องนี้ก็ต้องแดงขึ้นสักวัน   แต่ถึงคุณมิรันตีจะเป็นพี่สาวผมจริง  ผมก็ไม่ทางเปลี่ยนความคิดว่าคุณเป็นลูกของเมซาตัวไปได้ และผมก็คงไม่เอาตัวเองลงไปเกลือกกลั้วกับเมซาตัวเป็นอันขาด  ที่สำคัญ  แม่ของผมคงไม่สำส่อนถึงขนาดนั้นด ..." 

             
    เพียะ  !

              ยังไม่ทันขาดคำ   หน้าของกษัตริย์หนุ่มก็เบนไปตามแรงตบอันมหาศาลของหญิงสาวตัวเล็ก ๆ คนหนึ่งนามว่า  มิรันตี  ท่ามกลางความตกตะลึงของเพื่อนทั้งสอง  เจ้าหล่อนร้องไห้น้ำตานองหน้า 

             
    "หยุดดูถูกท่านแม่เดี๋ยวนี้นะ  ไคเชอร์  !  ถึงข้าจะรักเจ้าเพียงใดก็ตาม  ข้าก็มิอาจให้อภัยเจ้าได้   ท่านแม่เป็นบุคคลที่ลูกควรจะเคารพ  ไม่ใช่ดึงท่านลงมาให้เสียหาย   ใช่ !  ข้าเป็นพี่สาวของเจ้า   เป็นพี่สาวที่เกิดจากท่านแม่คนเดียวกับเจ้า   ท่านแม่ของเจ้าก็คือท่านแม่ของข้า  เราเป็นพี่น้องกัน  เลือดของเจ้าอยู่ที่ข้าครึ่งหนึ่ง   อีกนัยหนึ่งเลือดของข้าก็เช่นกัน  ในเมื่อเจ้ารู้ความจริงเช่นนี้   จงอย่าดูถูกท่านแม่อีกเป็นอันขาด  ที่สำคัญ  ห้ามเจ้าดูถูกท่านพ่อของข้าด้วย  ถึงแม้ท่านพ่อจะไม่ดีในสายตาของคนอื่น   แต่ท่านก็ดีในสายตาของลูกอย่างข้าเสมอ   ถึงท่านจะทำให้ข้าน้อยใจ  โกรธแค้น  แต่ท่านก็เป็นท่านพ่อ  ผู้ให้กำเนิดข้า 

             
    เจ้าก็เหมือนกัน   ไคเชอร์  ! ห้ามดูถูกเสด็จพ่อของเจ้าเป็นอันขาด  เพราะพระองค์เป็นผู้ให้กำเนิดเจ้า   ถ้าไม่มีพระองค์ก็ไม่มีเจ้าในวันนี้   ไม่มีไคเชอร์ที่มาทำปากกล้าอยู่ตรงนี้   ไม่มีไคเชอร์น้องของราชิท   ไม่มีไคเชอร์กษัตริย์แห่งเมืองคาราบัส  สุดท้าย  ไม่มีไคเชอร์น้องชายที่ข้าถวิลหาทุกลมหายใจเข้าออก  ข้าอยากกอดเจ้า  อยากเป็นพี่สาวที่ดี   อยากปกป้องเจ้า   อย่าพาเจ้าไปเที่ยว   อยากทานอาหารกับเจ้า  ข้าอยากทำทุกสิ่งทุกอย่างที่พี่ควรจะทำให้น้อง   แต่ข้าไม่รู้ ... ไม่รู้จริง ๆ ข้าไม่รู้เลยว่าข้าควรจะเริ่มต้นจากอะไร  ....  ข้าควรจะเริ่มต้นยังไง  ไคเชอร์   บอกข้ามาสิ  ....  บอกมา"   มิรันตีคุกเข่าลงแทบเท้าของน้องชาย   ทำเอาผู้เป็นน้องถึงกับหายใจไม่ทั่วท้อง   ชายหนุ่มทรุดฮวบลงทันที  เขานั่งก้มหน้าไม่ปริปากใด ๆ ทั้งสิ้น 

             
    ในตอนนี้จิตใจส่วนลึกของเขากำลังสับสน  ว้าวุ่น   ยากแก้การเยียวยา  ใจหนึ่งก็บอกให้ยอมรับ  เพราะสงสารคนตรงหน้าเหลือเกิน  เขาต้องทนทรมานเท่าไหร่ถึงได้มีวันนี้ แต่อีกใจก็ปฏิเสธลั่นเนื่องจากทิฐิตัวดีครอบงำจนล้นทะลัก กษัตริย์หนุ่มคงทนไม่ได้ถ้าจะต้องร่วมวงศ์ตระกูลกับผู้วิเศษที่ตนเองเกลียดที่สุด  เพราะถูกสั่งสอนปลูกฝังมาตั้งแต่เล็ก  เขาจะทำยังไงกับสถานการณ์แบบนี้  มันช่างอืดอัดจนบอกไม่ถูก  ชายหนุ่มถอนหายใจซ้ำแล้วซ้ำเล่าก่อนตัดสินใจพูดในสิ่งที่แม้แต่ตัวเองก็ยังไม่แน่ใจ

             
    "ผมไม่รู้  .... ผมไม่สามารถบอกอะไรคุณได้ทั้งนั้น  ผมยังไม่พร้อมที่จะมีพี่อีกคน  เพราะผมมีพี่ราชิทอยู่แล้ว  คุณเข้าใจมั้ย  ?  ผมยังไม่อยากมีพี่"  กษัตริย์หนุ่มเบนหน้าหนีหญิงสาวที่ทำท่าจะร้องไห้อีกครั้ง  แต่ผิดคาด  มิรันตีไม่มีแม้กระทั่งหยาดน้ำตาสักหยด   ตรงกันข้าม  ....  เธอกลับยิ้มอย่างอ่อนโยนให้ไคเชอร์

             
    "ข้ารู้  ไคเชอร์  !  ว่าทำยังไง   เจ้าคงไม่มีทางรับข้าเป็นพี่  สายตาของเจ้าคงไม่มีทางจะมีข้าอยู่ในนั้น  แต่ในสายตา หัวใจและดวงวิญญาณของข้าจะมีเจ้าอยู่เสมอ  ไม่ว่าเวลาจะผันเปลี่ยนไปแค่ไหนก็ตาม  ข้าก็ยังรักเจ้า  ปกป้องเจ้า  ดูแลเจ้าอยู่ห่าง ๆ ข้าเฝ้าวิงวอนทุกวัน ขอให้มีวันนี้

              .... วันที่ข้าได้เปิดเผยทุกสิ่งทุกอย่างกับเจ้าถึงแม้ว่ามันจะต้องทำเพราะความจำเป็นก็ตาม   แต่ข้าก็ดีใจ  ที่ข้าได้บรรลุความตั้งใจไปแล้วประการหนึ่ง  เหลืออีกเพียงสองประการเท่านั้น  เจ้ารู้มั้ย 
    !  ไคเชอร์  ครั้งแรกที่ข้าเห็นเจ้าในเมืองมนุษย์  ข้าถามท่านแม่ว่า   เด็กน้อยผู้นี้คือน้องของข้าหรือ  ตอนนั้นเจ้ายังเด็กมาก  ท่านแม่ยิ้มให้ข้า   พร้อมบอกว่า  ~ใช่แล้วลูก  มิรันตี  ลูกต้องสัญญากับแม่นะ  ว่าลูกจะดูแลน้อง   ปกป้องน้อง  รักน้องมาก ๆ เหมือนที่แม่รัก ~"
     

             
    ผู้ฟังเริ่มเงยหน้าขึ้นมามองอย่างนึกสนใจ  "ความที่ข้ายังเด็ก  ข้าเลยตบปากรับคำ   ซึ่งมันกลับกลายเป็นฝันร้ายของข้าตลอดมา ข้าต้องรับภาระอันหนักอึ้ง  เมื่อท่านแม่หนีหายไปและไม่กลับมาอีกเลย  ข้าถูกสั่งห้ามให้ไปยังพิภพมนุษย์ทันทีที่ท่านพ่อล่วงรู้ถึงคำสัญญานั้น  สำหรับพวกเราผู้วิเศษ   คำสัญญาถือเสมือนดั่งพันธะผูกพันที่จะติดตัวผู้นั้นไปจนวันตาย  โดยไม่มีวันลบเลือน  มันจะคอยทิ่มแทงในเวลากลางวัน  ตามหลอกหลอนในฝันตอนกลางคืน   หนำซ้ำมันยังคอยตอกย้ำเราทุกเวลาทุกนาทีที่เราหายใจ   ถ้าเราไม่ได้ทำตามที่รับปากเอาไว้   

             
    เพราะเหตุนี้ .... เหล่าผู้วิเศษทั้งหลายจึงไม่มีทางที่จะรับปากใครง่าย ๆ เราจำต้องคิดให้ถี่ถ้วนก่อนถึงจะสัญญากับใครสักคน   แต่สำหรับข้ามันไม่ใช่  !  ท่านแม่อาศัยความเป็นเด็กของข้า   แต่ข้าก็ไม่เคยคิดเสียใจสักนิดที่สัญญาแบบนั้นลงไป   เพราะเจ้าเป็นน้องของข้า   นี่ก็คือความตั้งใจประการที่สอง  ข้าต้องทำให้เจ้ายอมรับข้าเป็นพี่สาวให้ได้  ข้ารู้ว่ามันเป็นสิ่งที่ยากแก่การจะยอมรับ   แต่ถ้าเจ้าลองเปิดใจสักนิด   ข้าจะพยายามจนสุดความสามารถ   ต่อให้เอาชีวิตเข้าแลก   ข้าก็จะทำ"  ดวงตาสีม่วงส่อประกายจริงจังทำเอาผู้ฟังถึงกับถอนหายใจช้า ๆ อย่างเริ่มจะใจอ่อน   แต่เหมือนกับนึกอะไรได้ขึ้นมาจึงโพล่งถามออกไป   ทำเอาผู้พูดแอบดีใจนิด ๆ ที่หมากของเธอมักจะวางได้ดีจนผู้ฟังหลงกลเสมอ

             
    "แล้วประการที่สามล่ะ ?" พูดเสร็จก็รีบเอามือตระครุบปากแทบไม่ทัน  หญิงสาวจึงแสร้งทำเป็นไม่สนใจ  แล้วเอ่ยต่ออย่างเศร้า ๆ

             
    "ประการที่สามคงไม่มีวันเป็นจริงได้ถ้าปราศจากประการที่สอง"  คำตอบที่เอาผู้ฟังนิ่งขึงไปในทันที  เขาถอนกายใจเฮือกใหญ่ก่อนจะเอ่ยขึ้น

             
    "เอาเป็นว่า  ผมขอเวลาหน่อยนะครับ  มันคงยากอย่างที่คุณพูดจริง ๆ ที่จู่ ๆ จะให้ผมยอมรับว่าคุณเป็นพี่สาวของผมแท้ ๆ ผมขอโทษนะครับที่เป็นต้นเหตุให้คุณต้องทรมานมาตลอด  ในตอนนี้ผมทำได้ดีที่สุดก็เท่านี้ล่ะครับ  ผมขอโทษ"  กล่าวจบก็ลุกพรวดแล้วเดินหนีหายไปทันที  ทิ้งให้คนฟังตัวชาวูบวาบ  หัวใจตกไปอยู่ที่ตาตุ่ม หายใจติดขัดคล้ายจะเป็นลม  จนเพื่อนทั้งสองรีบปรี่เข้ามาประคองด้วยความเป็นห่วง  เท่านั้นเองเจ้าตัวก็ปล่อยโฮจนลั่น 

             
    "ข้าหมดหวังแล้วใช่มั้ย  ? ราชิท  เนริตา  ข้าหมดหวังแล้ว  ไคเชอร์ไม่รับข้าเป็นพี่  เขาไม่มีวันรับข้า   ข้าจะทำยังไงดี  บอกข้าหน่อย  บอกข้า"  ตาสีม่วงเปรอะเปื้อนไปด้วยม่านหมอก  ปิดบังดวงตาที่เคยสุขสกาวซึ่งบัดนี้เลือนหายไปหมด  และไม่รู้อีกนานเท่าไหร่ที่จะย้อนกลับคืนมา  ทำเอาเพื่อนทั้งสองใจหาย  แต่ผู้วิเศษอย่างเนริตาน่ะหรือ  จะย้อท้อต่ออุปสรรคเพียงเท่านี้   หญิงสาวปลอบประโลมเพื่อนเพื่อคืนสติให้แก่เจ้าหล่อน

             
    "มิรันตี  ความหวังใช่ว่าอาจจะไม่มีนะ  เจ้ามิได้ฟังที่ไคเชอร์พูดหรือ  ว่าเขาขอเวลากับเจ้า  การที่เขาพูดเช่นนี้ก็เท่ากับว่า   เขาเริ่มเปิดใจรับเจ้าบ้างแล้ว  มิเช่นนั้นเขาคงตัดสัมพันธ์จนไม่เหลือเยื่อใย  และเวลาก็มิอาจช่วยได้   แต่สิ่งที่ข้ามิอาจล่วงรู้คือ  เวลาที่เขาขอกับเจ้านั้น  มันจะนานสักเท่าไหร่กว่าเขาจะเปิดใจยอมรับเจ้าได้  ฉะนั้นสิ่งที่เจ้าจักต้องทำตอนนี้  ก็คือเลิกเสียใจ  แล้วคืนสติกลับสู่สมอง  พร้อมกับพยายามทำให้ไคเชอร์เห็นว่าเจ้ารัก  หวังดี  และจริงใจกับเขามากเพียงไร  เพื่อกำจัดกำแพงเวลาที่ไคเชอร์ตั้งเอาไว้  ให้พังทลายลงไปโดยเร็วที่สุด   

             
    ทั้งนี้ทั้งนั้นนับต่อจากนี้  เจ้าจักต้องลงสนามประลองด้วยตัวเจ้าเอง  ซึ่งการแข่งขันครั้งนี้   ข้ากับราชิทและคนอื่น ๆ มิอาจยื่นมือเข้าไปช่วยได้แม้แต่น้อย  พวกเราทำได้อย่างดีที่สุดแค่คอยหนุนหลังและเป็นกำลังใจให้เจ้าเท่านั้น เจ้าจงใช้ความรู้ความสามารถที่มีทั้งหมด  เอาชนะฝ่าฟันอุปสรรคไปให้ได้  ต่อให้มันจะมีขวากหนามมากมายมหาศาลเท่าไหร่ก็ตาม   เจ้าต้องห้ามท้อ  ห้ามล้มเลิก  หากเหนื่อยก็จงหยุดพัก  แต่อย่าพักนานจนเกินควร  มิเช่นนั้นเจ้าอาจถูกตัดสิทธิ์ออกจากการแข่งขัน ที่เจ้าสามารถลงแข่งได้เพียงแค่ครั้งเดียว โดยไม่มีสิทธิ์แก้ตัวใด ๆ ทั้งสิ้น 

             
    ซึ่งถ้าเจ้าทำสำเร็จ  ผลที่ได้รับกลับมามันจะมีค่าจนเหลือคณานับ  และเจ้าก็จะได้รับการยกย่องพร้อมคืนสู่ฐานะเดิมในทันที เข้าใจที่ข้าพูดมั้ย ? มิรันตี"  ผู้ถูกเรียกพยักหน้าช้า ๆ พร้อมสูดลมหายใจจนเต็มปอด  ในขณะนี้ผู้วิเศษสาวนามว่า  มิรันตี  พร้อมที่จะลงแข่งเพื่อชิงสิ่งที่มีค่ามากที่สุด  คือการได้รับความยอมรับ  ความเชื่อใจ  และความรักจากน้องชายแท้ ๆ  ของเจ้าหล่อนนั่นเอง !  การแข่งขันครั้งนี้มีชีวิตของเจ้าหล่อนเป็นเดิมพัน  บทสรุปจะออกมาเป็นยังไงก็มิอาจมีใครทราบได้  เนริตาและราชิททำได้แต่เพียงภาวนาขอพรต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์  จงช่วยดลบันดาลให้เพื่อนรักของพวกเขาเป็นผู้กำชัยชนะในการแข่งขันครั้งนี้ด้วย เพราะหากปราชัยแล้ว  ผลที่ตามมาจะร้ายแรงจนมิอาจหยุดยั้งได้อีกเลย !

             

    *********


              ถัดไปยังบ้านหลังเล็กอันอบอุ่น ซึ่ง
    ทุกอย่างล้วนเเล้วเเต่งดงามประณีตยิ่งนัก  ไม่ว่าจะเป็นผ้าปูโต๊ะถักลายราชสีห์  ม่านบางโปร่งใสถักลายพญานาคราช  ผนังที่ปูด้วยกระเบื้องสีฟ้าเนื้อดี  โคมไฟระย้าห้อยอยู่กึ่งกลางบันได  ห้องครัวที่สะอาดเรียบร้อยหมดจด  ห้องน้ำที่ปูด้วยกระเบื้องลายอินทรีย์  ผ้าปูโซฟาถักลายมังกรคู่  บวกกับพื้นไม้สักเป็นเงามันดูเเล้วมีมนต์ขลังชวนให้น่าหลงใหล  เว้นเสียก็แต่หนุ่มน้อยคนหนึ่งที่กำลังนั่งทำหน้ามู่ทู่อยู่ริมหน้าต่างซึ่งเมื่อแลเห็นแล้วช่างไม่น่าพิศมัยเอาซะเลย เพราะนอกจากไม่เข้ากับบรรยากาศภายในบ้านแล้ว  หนำซ้ำยังฉุดดึงบ้านให้ดูน่ากลัวอึมครึมอีกด้วยหนุ่มน้อยผู้นี้เพิ่งถูกเอ็ดจากหญิงสาวที่ได้ชื่อว่าเป็นป้า  เนื่องจากเจ้าตัวดีเอาไก่อบตัวเบ้อเริ่มไปให้น้องหมาที่เลี้ยงไว้ในสวนหลังบ้านนั่นเอง

             
    "พอเถอะ นาริเซ่ย์  เลิกดุหลานสักที  ดูสิ  ! พาเทียสหน้าบูดยังกับตูดลิงแล้ว  เธอก็รู้ไม่ใช่หรือ ?  ว่าพาเทียสเลี้ยงเจ้าสามตัวอยู่  กับแค่ไก่อบตัวหนึ่ง  จะดุจนพาเทียสโตเลยหรือไง  มันเป็นไปไม่ได้หรอกนะ  เด็กน่ะ.... มันต้องโตตามกาลเวลา" ว่าแล้วเจ้าตัวก็หัวเราะร่วนชอบอกชอบใจ แต่ก็ต้องกลืนน้ำลายลงคอทันใดเมื่อหญิงสาวนามว่า  นาริเซ่ย์  หันมาค้อนขวับยังกับจะกินเลือดกินเนื้อให้ได้ซะเดี๋ยวนั้น  

             
    นาริเซ่ย์  หญิงสาววัยประมาณยี่สิบต้น ๆ ผมสีดำสนิทดุจใยไหม  ผิวสีแทน  ดวงตากลมโตสีเทา  กับคิ้วโก่งได้รูป  และริมฝีปากสีชมพูอ่อนช่างเข้ากับแก้มแดงระเรื่อยิ่งนัก  เธอนับว่าเป็นป้าที่สาวมาก ๆ ในสายตาของเด็ก ๆ  และผู้ใหญ่ภายในหมู่บ้าน  แต่ก็ไม่มีใครคิดสงสัยหรือเอะใจใด ๆ ทั้งสิ้น  เพราะเธอมีมนุษยสัมพันธ์ดี  เข้ากับคนได้ง่าย  แถมใจดี  ใจกว้าง  เรียบร้อย  ใครอยู่ใกล้ก็มีความสุข  ทุกคนจึงพากันรักใคร่และเคารพเธอประหนึ่งหัวหน้าหมู่บ้าน  แม้เธอจะมีอายุน้อยก็ตามที 

             
    "ท่านพี่  !  ทำเป็นเล่นอยู่ได้ น้องไม่สนุกด้วยนะ  เอะอะก็ดีแต่ให้ท้ายหลาน  แล้วดูสิ  ! เป็นยังไง  พาเทียสกลายเป็นขโมยไปแล้ว"  โดยเฉพาะประโยคสุดท้ายนาริเซ่ย์ขึ้นเสียงแหลมปรี๊ดจนทั้งลุงและหลานต้องเอามือปิดหูทันที  ด้วยเกรงว่าแก้วหูที่ตนอุตส่าห์ประคบประหงมไม่ให้ระคายมาตลอดชีวิต  อาจต้องมีอันจากลาก่อนวัยอันควร 

             
    "โธ่ !  พาเทียสไม่ใช่ขโมยสักหน่อย  เขาเป็นนักเรียน  เธอเข้าใจอะไรผิดรึเปล่า  ?"  แล้วหนึ่งในสองผู้นั่งฟังก็เริ่มปฏิบัติการยั่วโทสะหญิงสาวอีกครั้งด้วยความอดไม่ได้  

             
    แต่ครั้งนี้หาเหมือนครั้งอื่นไม่
    ! นอกจากหญิงสาวจะไม่ตอบโต้แล้ว  เธอกลับปล่อยโฮร้องไห้ท่ามกลางความตกใจของสองหนุ่มต่างวัย  ที่ทำอะไรไม่ถูก  ได้แต่มองหน้าสลับกันไปมา  แล้วกลืนน้ำลายลงคอเสียงดังเอื๊อก 

             
    "ท่านลุง  ท่านลุงไม่น่ายั่วท่านป้าเลย  ดูสิ !  ท่านป้าร้องไห้จนตาบวมหมดแล้ว   แล้วทีนี้ผมจะทำยังไงล่ะ ?  ผมจะเข้าหน้าท่านป้าติดได้ยังไง" หนุ่มน้อยเอ่ยขึ้นราวกระซิบ  ดวงตาสีน้ำตาลไหม้ซึ่งเป็นสีเดียวกับผม   กำลังต่อว่าท่านลุงอยู่เป็นนิจ  คิ้วโก่งมนได้รูปขมวดเข้าหากันด้วยความหงุดหงิดนิด ๆ ปากสีแดงเป็นกระจับกำลังเม้มจนไร้สีเลือด  แต่ดูท่าผู้เป็นลุงจะไม่สะทกสะท้านแม้แต่น้อย  หากแต่ยิ้มกว้างจนเกือบเห็นฟันครบทั้งสามสิบสองซี่  ชายหนุ่มเดินเข้ามาหาภรรยาที่กำลังใช้ผ้าซับน้ำตาสั่งน้ำมูกอย่างเอาเป็นเอาตาย  พร้อมกับลูบหัวเบา ๆ ด้วยความรัก

              "เธออย่าคิดมากไปเลยน่า  นาริเซ่ย์ !  แค่พาเทียสขโมยไก่อบตัวเดียวเท่านั้น  ที่สำคัญ ! ฉันจำได้ว่าเขาขออนุญาตเธอแล้วมิใช่หรือ  ?  แต่เพราะเธอนั้นล่ะ  ที่มัวแต่สนใจอย่างอื่นจนไม่ได้ฟังคำขอจากหลาน"  ผู้ฟังเงยดวงหน้างาม ๆ ขึ้นสบกับดวงตาสีเทาที่เปี่ยมไปด้วยความอบอุ่น  เจ้าของดวงตาคู่สวยก้มลงกระซิบเบา ๆ ที่หู  

              "พาเทียสไม่มีทางเป็นขโมยไปได้หรอก  นาริเซ่ย์  ! เราเลี้ยงเขาอย่างดีตามคำสั่งท่านบาลู  พวกเราทุกคนเลี้ยงเด็กในตำนานทั้งสี่อย่างดี  เรารักเขาด้วยความจริงใจตามคำสัญญา  ความรักของเราจะสะกัดกั้นสันดานดิบในตัวเขาไม่ให้เจริญเติบโต   ความอบอุ่นของเราจะยับยั้งความคิดชั่วร้ายไม่ให้แพร่พันธุ์   และความดูแลเอาใจใส่ของเราจะหลอมละลายให้เขาลืมเผ่าพันธุ์จนหมดสิ้น  เว้นเสียแต่ว่า  เจ้าผิดคำสัญญา  น้องรักของข้า"  ดวงตาสีเทาคู่สวยกำลังจ้องมองคนตรงหน้าอย่างเพ่งพินิจ  พร้อมลูบหัวเบา ๆ เพื่อถอดสลักความหวาดกลัวให้หมดสิ้นไปจากจิตใจอันสับสน  แล้วเดินมาหาหลานชายที่กำลังนั่งรอผลอยู่อย่างใจจดใจจ่อ

             
    "ไปง้อป้าเขาหน่อยนะลูกนะ  พาเทียส  !  แค่ลุงพูดอย่างเดียวไม่ได้ผลหรอก  ต้องหลานลงมือเอง  ลุงจะคอยเอาใจช่วยนะ"  พูดจบก็จับเจ้าตัวดีดันไปหานาริเซ่ย์ทันที  พร้อมขยิบตาให้อย่างขี้เล่น  ก่อนจะเดินออกไป   แต่ก็มิวายหันกลับมามองเจ้าหลานตัวแสบที่ตอนนี้พุ่งเข้าไปกอดผู้เป็นป้าพร้อมหอมซ้ายหอมขวากอดหมับจนแน่นเป็นตุ๊กแก  ทำเอานาริเซ่ย์ยิ้มแก้มแทบปริ  

             
    "เมื่อไหร่เวลาของพาเทียสจะมาถึง ฉันไม่อยากให้มันเกิดขึ้นสักเสี้ยววินาทีเลย  ฉันไม่อยากจากพาเทียส  นาริเซ่ย์ก็คงเหมือนกัน  ท่านพอจะรู้มั้ย  พญาปักษา"   ชายหนุ่มหันมองบุรุษกึ่งปักษา  บุรุษผู้นี้มีครึ่งบนเป็นนกครึ่งล่างเป็นมนุษย์   ดวงตาสีน้ำตาลวาวโรจน์   ปีกกว้างใหญ่กำลังขยับขึ้นลงเพื่อกั้นอาณาเขต  บ่งบอกถึงอำนาจอันแผ่ไฟศาลทั่วผืนนภา 

             
    "นายท่านบอกว่าอีกไม่นานเกินรอหรอก แต่ยังไงก็อยากให้เด็กนั่นใช้ชีวิตเยี่ยงมนุษย์ธรรมดาไปก่อน  เพราะถ้าเวลานั้นมาถึง  ชีวิตของเด็กนั่นจะเปลี่ยนไปตลอดกาล  และมิอาจหวนกลับคืนได้อีกเลย  เด็กนั่นจะเป็นนายของข้า  มียศศักดิ์เทียบเท่านายท่าน  จ้าวแห่งวายุ   หนึ่งในจ้าวแห่งจตุรธาตุ  ฉะนั้น  เจ้าต้องเลี้ยงเด็กผู้นั้นให้ดีที่สุด  จงอย่าให้ออกนอกกรอบ  และอย่าให้อันตรายใด ๆ มาแผ้วพานเป็นอันขาด  มิเช่นนั้น !  ดวงตาสีน้ำตาลไหม้ที่ท่านบาลูสะกดไว้ก็จะถูกฉีกออกเป็นสีฟ้าตามตำนานในทันที"  พูดจบก็ตวัดมองชายหนุ่มข้าง ๆ ที่ทำหน้าเครียดคิดตาม  ก่อนจะคลี่ยิ้มนิด ๆ

             
    "แต่ก็เอาเถอะ  !  ถ้ามันเป็นเหตุสุดวิสัยจริง ๆ ก็ไม่เป็นไร  เพราะถึงอย่างไรก็มิมีมนุษย์ผู้ใดรู้เรื่องตำนานนี้อย่างลึกซึ้งอยู่แล้ว  ยกเว้นผู้เป็นกษัตริย์เพียงเท่านั้น  เจ้าไม่ต้องเป็นกังวลไปหรอก  อะไรจะเกิดก็ต้องปล่อยให้มันเกิด  ตอนนี้เจ้าและนาริเซ่ย์มีหน้าที่ดูแลเด็กผู้นั้นให้ดีก็เพียงพอแล้ว"  เมื่อได้ยินดังนั้นชายหนุ่มก็เงยหน้ามองผู้พูดที่ยังคมยิ้มอย่างอารมณ์ดี  แล้วถอนหายใจเฮือกใหญ่  ก่อนจะเอ่ยถามขึ้น

             
    "แล้วถ้ามันเกิดขึ้นจริง ๆ พลังของพาเทียส  จะรุนแรงมากมั้ย  พญาปักษา"  คำถามที่ทำเอาผู้ฟังถึงกับกลืนน้ำลายก่อนจะส่ายหน้านิด ๆ

             
    "ข้าก็มิอาจรู้ได้เช่นกัน  ว่ามีสิ่งใดที่ท่านบาลูใส่ลงไปในตัวมนุษย์ทั้งสี่ ข้ารู้เพียงเลือดของจ้าวแห่งจตุรธาตุตนก่อนเท่านั้น  แต่จะมีสิ่งอื่นด้วยหรือไม่  ข้ามิอาจทราบได้จริง ๆ  เด็กพวกนั้นเป็นผลิตผลที่ผิดพลาดจากการใช้มนต์ดำและมนต์อสูรโบราณ  อานุภาพอาจรุนแรงขนาดผู้วิเศษที่เก่งที่สุดรับมือไม่ไหว   หรืออาจไม่รุนแรงจนแม้แต่ผู้วิเศษฝึกหัดยังรับมือได้  ข้าก็ไม่แน่ใจ  แต่ที่รู้อย่างหนึ่งก็คือ  เด็กผู้นี้สามารถควบคุมข้าได้โดยที่ข้ามิอาจขัดขืน  เมื่อวันนั้นมาถึง"  พญาปักษากล่าวด้วยความกังวล จนผู้ฟังยังสามารถจับเนื้อเสียงได้อย่างชัดเจน

             
    "ท่านเป็นกังวล .....  ไหนท่านบอกฉันว่าไม่ให้ฉันเป็นกังวล  แต่เหตุไฉนท่านกลับเป็นเสียเองเล่า ? พญาปักษา"  เท่านั้นเองดวงตาสีน้ำตาลไหม้ก็เบิ่งกว้างจนผิดปกติ  พร้อมปีกที่แผ่ขยายออกผลุบเข้าข้างลำตัวจนเรียบลื่นอย่างน่าอัศจรรย์  ดวงหน้าที่เคยงองุ้มแปรเปลี่ยนเป็นปกติราวปุถุชนธรรมดา จนชายหนุ่มต้องหันกลับไปมองตามสายตาของพญาปักษา  และก็เข้าใจแจ่มแจ้งทันที

             
    "มีอะไรหรือลูก  พาเทียส  !  หลานถึงได้ออกมาหาลุงเช่นนี้" ผู้เป็นลุงกล่าวอย่างนุ่มลึกแต่แฝงไปด้วยความนัยที่หนุ่มน้อยมิอาจจับใจความได้  พาเทียสยิ้มแหย ๆ แล้วพลันไปสะดุดตรงบุรุษแปลกหน้าที่ยืนจ้องเขาอย่างไม่วางตา  ผู้เป็นลุงจึงกล่าวคำแนะนำอย่างเรียบง่าย

             
    "เพื่อนลุงเอง  ชื่อปักษา  สวัสดีสิลูก  พาเทียส" หนุ่มน้อยรีบทำตามคำสั่งของลุงทันทีโดยไม่อิดออด  สร้างความเอ็นดูให้พญาปักษาอยู่ลึก ๆ  ผู้ที่ถูกตั้งชื่อให้อย่างไม่เต็มใจยิ้มรับเล็กน้อยอย่างเริ่มถูกชะตา  พร้อมใช้ดวงตาสีน้ำตาลไหม้คมกริบถือวิสาสะสำรวจตัวเด็กหนุ่มอย่างรวดเร็ว  ก่อนจะก้มหน้านิดนึงแล้วเอ่ยขึ้น

             
    "ยินดีที่ได้รู้จัก  พาเทียส  หวังว่าเราคงจะได้พบกันอีก"  เมื่อคำทักทายกับคำจากลาอยู่ในประโยคเดียวกันทำเอาหนุ่มน้อยหน้าบอกบุญไม่รับ  เขาหันมองลุงที่ส่งสายตาดุ ๆ เป็นเชิงให้เข้าบ้านนัย ๆ แล้วก็รีบสาวเท้าออกไปทันที  โดยไม่หันกลับมาอีกเลย  ชายหนุ่มอมยิ้มน้อย ๆ ก่อนจะเอ่ยขึ้นกระเซ้าผู้ที่ถูกเปลี่ยนชื่อ

             
    "ใครเขาทักทายคนที่เพิ่งรู้จักกันแบบนั้นเล่า  พญาปักษา"  เมื่อได้ยินดังนั้นผู้ฟังตวัดหน้ามองผู้พูดอย่างโมโหนิด ๆ ก่อนจะรีบกลบเกลื่อน

             
    "แล้วใครกันถือวิสาสะตั้งชื่อให้ข้าโดยไม่ได้รับอนุญาตเล่า"  คำย้อนที่แสบทรวงไม่แพ้กัน  เล่นเอาผู้ถูกย้อนถึงกับหลุดหัวเราะเสียงดังพรืด  ก่อนจะแขวะสำทับเข้าให้อีก

              "สงสัยข้าคงต้องสอนมารยาทในสังคมของพวกมนุษย์เพิ่มให้ท่านแล้วจริง ๆ แล้วล่ะมั้ง  เพราะท่านคงต้องมาโลกมนุษย์บ่อยขึ้น  เนื่องจากถูกชะตากับพาเทียส  เป็นยังไงบ้างเล่า  ? ท่านมองไม่วางตาเลยนะ"  ผิดคาด ....  นอกจากพญาปักษาจะไม่โต้เถียงใด ๆ ทั้งสิ้น  หนำซ้ำยังพยักหน้าน้อย ๆ เป็นเชิงตกลงอีกด้วย  สร้างความงุนงงให้แก่ชายหนุ่มเป็นอย่างมาก 

            
    "ตกลง พรุ่งนี้ข้าจะมาหาเจ้าใหม่  เจ้าจงเตรียมการสอนเรื่องมารยาทของเจ้าให้เพียบพร้อม  รวมทั้งอาหารคาวหวานด้วย  เพราะข้าจะมาทานอาหารกับครอบครัวของเจ้า  เนื่องจากข้าถูกชะตากับพาเทียสมากเป็นพิเศษ"  ประโยคหลังดูเหมือนจงใจพูดประชดคนฟัง  แต่ก็ทำเอาชายหนุ่มยิ้มไม่หุบ  เพราะพญาปักษาผู้กล้าแกร่ง  ไม่ยอมลงให้ใคร แม้แต่จ้าวแห่งวายุผู้เป็นนาย อาจต้องศิโรราบต่อหลานเขาก็เป็นได้  ชายหนุ่มกระหยิ่มยิ้มย่องในใจแหงนมองพญาปักษาซึ่งบัดนี้โผบินออกสู่นภากว้างในยามราตรีเป็นที่เรียบร้อย

              แต่แล้วก็ต้องถอนหายใจเฮือกใหญ่เพราะเมื่อครุ่นคิดถึงคำพูดของพญาปักษาบวกกับความคิดบ้า ๆ ของตนเมื่อครู่ก็น่าให้ใจหาย  เพราะถ้าเหตุการณ์นั้นเกิดขึ้นจริง ถ้าพาเทียสควบคุมพญาปักษาได้ขึ้นมา ตัวเขาและน้องสาวรวมถึงผู้วิเศษที่เกี่ยวข้องจะทำเช่นไรกัน  ยิ่งคิดก็ยิ่งให้กลัดกลุ้ม  ชายหนุ่มไม่อยากนึกเลยว่าจะเกิดอะไรขึ้นในภายภาคหน้า  สงครามคงก่อตัวอีกครา  ถ้าพวกเขาไม่สามารถควบคุมมนุษย์ทั้งสี่ได้  
    !


             ขอบคุณสำหรับการติดตามค่ะ

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×