ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ศึกชิงจ้าวพิภพ ภาค มนตราอัศวมณี

    ลำดับตอนที่ #6 : *รักสามเส้า*

    • อัปเดตล่าสุด 14 เม.ย. 49


               

               3 / 2 /49                           
           
           ^0^คุยกันก่อนนะคะ^0^

           
    ต้องขอโทษเพื่อน ๆ ด้วยนะคะ  ที่หายไปนานเลย  พอดีพิ้งค์ไม่สบายเป็นไข้หวัดใหญ่ค่ะ  ไปนอนโรงพยาบาลมาตั้งหนึ่งอาทิตย์แน่ะ  ตอนแรกนึกว่าจะไม่รอดซะแล้ว  เพราะมีปอดบวมเข้าแทรก  แต่ก็หายจนได้  อิอิ  ตอนนี้เหลือแต่เจ็บคอนิดหน่อยค่ะ  เลยตัดสินใจอัพตอนใหม่ซะเลย  แต่ยังงง ๆ อยู่นิดหน่อย  ก็เด็กดีเล่นเปลี่ยนโฉมซะไม่เหลือคราบเก่าเลย   และขอโทษอีกทีนะคะ  ถ้าเพื่อน ๆ ที่จำได้แล้วเข้ามา  ที่พิ้งค์ยังไม่ได้ไปเยี่ยมเลย   ไว้จะไปเยี่ยมให้ครบหมดทุกคนเลยค่ะ  แต่ตอนนี้ขอตัวไปศึกษาเด็กดีเพิ่มเติมก่อนนะคะ  และสุดท้าย   ขอบคุณทุกคนมากนะคะที่แวะเวียนมาหาพิ้งค์ตลอดเลยนะคะ    บ๊ายบายค่ะ                         

          *รักสามเส้า*


              เมื่อจวนเจียนใกล้สว่าง  ราชิทยิ่งกระวนกระวายอย่างบอกไม่ถูก   เพราะนี่ก็เป็นเวลาสิบยามใกล้กับเส้นตายตามที่ศิลาบอกเข้าไปทุกขณะ  และดูท่าเนริตาเอง  ....  ก็คงจะไม่ฟื้นง่าย ๆ เสียด้วย   เขาครุ่นคิดถึงคำสอนของอาจารย์ปาจา   พ่อมดดำผู้ยิ่งใหญ่ไม่แพ้กับเมซาตัว   ที่เคยถ่ายทอดวิชาความรู้ให้แก่ชายหนุ่มเมื่อครั้งยังเยาว์วัย   แต่ยิ่งนึกก็กลับเจอแต่เพียงความว่างเปล่า   ผู้วิเศษหนุ่มถึงกับทรุดลงข้าง ๆ เนริตา   เขาก้มหน้างุดอยู่แทบไหล่ของเธอด้วยใจท้อแท้หมดหวัง   และก่อนที่ราชิทจะคิดผลีผลามทำอะไรลงไป   เสียงครางน้อย ๆ ของหญิงสาวเบื้องหน้าก็บังเกิดให้ได้ยิน  นับว่าเป็นนิมิตหมายอันดีมากที่สุด   ชายหนุ่มประคองเธอลุกขึ้นนั่ง   ก่อนจะไต่ถามอาการอย่างห่วงหาด้วยความดีใจจนปิดไม่มิด ใจจริงเขาอยากจะกอดหอมเธอแรง ๆ ให้ชื่นใจเสียด้วยซ้ำ   แต่ก็กลัวเธอจะแบกรับน้ำหนักความโหยหาที่ถาโถมลงไปไม่ไหว   ผู้วิเศษหนุ่มจึงทำได้เพียงฉีกยิ้มกว้างอย่างยับยั้งชั่งใจ

            
    "เจ้าเป็นยังไงบ้าง  ?  ค่อยยังชั่วมั้ย  ?  เกิดอะไรขึ้น  ?  แล้วทำไมจู่ ๆ เจ้าถึงทรุดลงไป  ?" ราชิทถามโดยไม่ได้หยุดหายใจแม้แต่เสี้ยวนาที   สร้างความขบขันให้แก่หญิงสาวเป็นอย่างมาก  เธออมยิ้มแก้มป่องพร้อมส่ายหน้าน้อย ๆ อย่างเหนียมอายแล้วเอ่ยด้วยเสียงอันแผ่วเบาจนแทบเป็นเสียงกระซิบ

             
    "เดี๋ยวข้าค่อยตอบคำถามเจ้าได้มั้ย  ?  ตอนนี้ขอข้าทำหน้าที่ของข้าให้เสร็จก่อนนะ  เดี๋ยวมันจะไม่ทันการณ์เสียเปล่า  "   ผู้วิเศษหนุ่มจึงพยักหน้าน้อย ๆ พร้อมพยุงเนริตาไปหาไคเชอร์ในร่างฟิกซ์ที่ยังคงสลบเหมือดอยู่ทันทีโดยไม่รีรอ   พร้อมกับใช้ผ้าคงสภาพห่อหุ้มดวงวิญญาณของมิรันตีที่สลบไสลไม่ได้สติ   แล้วผละออกไปเพื่อปล่อยเนริตาทำหน้าที่ของตนเองให้เสร็จสิ้น    แต่ก็คงคอยเฝ้าดูอยู่ห่าง ๆ 

             
    ผู้วิเศษสาวจึงใช้กริชกรีดหน้าอกของฟิกซ์ตามรอยเดิมไม่บิดพลิ้ว  พร้อมนำศิลาวิญญูสีแดงเลือดออกมา   เธอจ้องมองมันอยู่ชั่วครู่ก่อนจะนำไปวางไว้บนศีรษะยังร่างไคเชอร์แล้วเริ่มท่องประโยคที่ราชิทเคยได้ยินในทางกลับกัน 

             
    "จงปรากฏ  ข้าขอสั่ง  มนต์อสูรสะท้านฟ้า  ศิลาวิญญู"   พลันเกิดแสงสว่างวาบสีแดง  ก่อนจะกลับกลายเป็นเป็นชายหน้าตาอัปลักษณ์ผู้เดิม  เขาเผยอปากพูดด้วยเสียงอันไพเราะเสนาะหูอีกคราแต่ทว่ากลับเต็มไปด้วยความไม่พอใจอย่างยิ่งยวด   "ตามเพลา  ข้าขอคืน  ดวงวิญญาณ"  กล่าวจบก็อ้าปากพ่นวิญญาณของไคเชอร์ให้กลับคืนสู่ร่างแน่นิ่งอย่างกระฟัดกระเฟียด   พร้อมสลายตัวกลายเป็นผุยผงร่วงลงสู่พื้นดินอันตรธานหายไปในที่สุด   จากนั้นหญิงสาวก็ร่ายมนต์สมานแผลและปลดวิญญาณของฟิกซ์ให้เป็นอิสระ  .....  เท่านั้นเอง   เจ้านกยักษ์ก็ออกโผบินกลับคืนสู่รัตติกาลอย่างโหยหาแทบจะในทันที    

              เนริตาเดินกระย่องกระแย่งมาหาไคเชอร์ที่ชักกระตุกเล็กน้อยก่อนจะสะดุ้งพรวดกระเด้งตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว   ตามติดมาด้วยการไอจามอย่างรุนแรงจนควบคุมไม่อยู่   ส่งผลให้เลือดกำเดาไหลทะลักออกมาเป็นสาย   ราชิทจึงรีบปรี่มาดูอาการของน้องชายในทันที   เขาวางผ้าคงสภาพลงข้างตัว   พร้อมใช้ผ้ากำมะหยี่สีน้ำเงินเข้มที่เขาหวงเป็นหนักหนาค่อย ๆ บรรจงเช็ดเลือดให้กับน้องชายอย่างทะนุถนอมอ่อนโยน   จนเนริตาอดที่จะชื่นชมเขาไม่ได้   เธอเบือนหน้าหนีไปด้วยความขวยเขินเมื่อราชิทสบตากับเธอเข้าอย่างจัง  ชายหนุ่มรีบเปลี่ยนสีหน้าทันทีเมื่อแลเห็นสายตาสอดส่องช่างสงสัยของน้องชายตัวแสบที่เมียงมองมาอย่างใคร่รู้   พร้อมกับหันเหความสนใจโดยการเอ่ยขึ้นเพื่อทำลายสมาธิของเจ้าตัวดี

             
    "เป็นยังไง   ค่อยยังชั่วมั้ย  ?  ไคเชอร์"   เขาถามด้วยน้ำเสียงเป็นห่วง  กษัตริย์หนุ่มอมยิ้มอย่างรู้ทันก่อนจะแกล้งเฉไฉเออออกับพี่ชายเพื่อรักษาหน้าของเขา   "อืม  !  ค่อยยังชั่วแล้วครับ   เพราะพี่พยาบาลผมไง"  แต่ก็ไม่วายหยอดคำหวานเข้าไปอีก   เจ้าตัวดีเลยโดนมะเงกต้อนรับการกลับมาเข้าไปหนึ่งโป๊กเต็ม ๆ  ไคเชอร์จึงแสร้งหันไปขอความช่วยเหลือจากเนริตา  แต่ปรากฏว่าสาวเจ้าไม่อยู่ให้เขาล้อเลียนเธอด้วยสายตาอีกแล้วพร้อมกับผ้าคงสภาพ   ไคเชอร์ถึงกับถอนหายใจเฮือกใหญ่   ก่อนตัดสินใจเอ่ยขึ้นเพื่อทำลายความเงียบที่เริ่มเกาะกุมสองพี่น้องอย่างเสียไม่ได้

             
    "พี่ชอบเธอ"   คำกล่าวสั้น ๆ อย่างคาดไม่ถึงแต่แทงใจดำผู้วิเศษหนุ่มเข้าเต็มเปา  ถึงกับทำเอาเขาหายใจไม่ทั่วท้อง   ราชิทละล่ำละลักอยู่นานสองนานก่อนจะเอ่ยด้วยเสียงเบาหวิว  

             
    "นายรู้   ไคเชอร์"   คำตอบสั้น ๆ  แต่ทำเอาผู้ฟังถึงกับสะอึก   มันเป็นคำตอบที่ยอมรับอยู่กราย ๆ  เป็นคำตอบที่ไม่ต้องการต่อความยาวสาวความยืด   และเป็นคำตอบที่อันตรายสุด ๆ ถ้ามิรันตีได้ยิน   กษัตริย์หนุ่มไม่อยากนึกถึงวันนั้นเลย  ....  เขาไม่อยากนึกถึงวันที่เธอรู้ความจริง   เธอคงจะปวดใจเป็นที่สุด   เมื่อคนหนึ่งได้ชื่อว่าเป็นคนรัก   และอีกคนที่ได้ชื่อว่าเป็นเพื่อนรัก   ร่วมมือกันหักหลังทรยศเธอ   ซึ่งมันก็คงต้องมีสักวัน   และพี่ราชิทกับคุณเนริตาจะทำยังไงล่ะ ?   กษัตริย์หนุ่มมิอาจคาดเดาจุดจบของรักสามเส้านี้ได้เลย   เขาจึงตัดสินใจพูดขึ้นอีกครั้งตามจิตใต้สำนึกของเขาเรียกร้อง

             
    "ความลับไม่มีในโลกหรอกครับพี่ราชิท   และคุณมิรันตีก็ต้องรู้เข้าสักวัน   ไม่ช้าก็เร็ว  ทางที่ดีพี่ควรจะบอกเธอไปตรง ๆ  เลยดีกว่า   ถึงแม้ว่าเธอจะต้องเจ็บปวดทรมานก็ตาม   แต่ก็ดีกว่าให้เธอมารู้เรื่องภายหลัง   หรือรู้จากคนอื่นนะครับ   เพราะเธอจะเจ็บใจมากกว่าเป็นร้อยเป็นพันเท่า   ซึ่งมันอาจสะสมบ่มเพาะกลายเป็นความอาฆาตแค้นก็เป็นได้นะครับ   และคนที่จะเจ็บที่สุดก็คือพี่นะ แทนที่พี่อาจจะได้กลับมาเป็นเพื่อนกับเธอ   พี่อาจจะไม่เหลือใครเลยสักคนเดียวแม้แต่คุณเนริตา  ลองคิดดูนะครับ"  

             
    กล่าวจบกษัตริย์หนุ่มก็ลุกเดินออกไปทันที   โดยปล่อยให้พี่ชายนั่งครุ่นคิดอยู่เพียงลำพังท่ามกลางแสงจันทร์จาง ๆ ที่กำลังเลือนหายเข้ากลีบเมฆอย่างเชื่องช้า   ไคเชอร์เดินกลับวังที่ถูกเปิดมนต์ปิดตายเรียบร้อยโดยเนริตา   เขามุ่งหน้าตรงเข้าห้องบรรทมทันทีท่ามกลางความแปลกใจของเหล่าข้าราชบริพารที่เพิ่งฟื้นขึ้นจากการถูกสะกด   แล้วล้มตัวลงนอนและจมอยู่ห้วงนิทราแทบจะในทันที   เพื่อเป็นการเอื้อให้ฟิกซ์กลับเข้าร่างของเขาอย่างง่ายดายปราศจากความเจ็บปวด 

             
    ....  และแล้วรุ่งอรุณเเห่งวันใหม่ก็มาเยือน   ท้องฟ้าปลอดโปร่งสะอาดสดใส  สุริยันทอเเสงผ่านหมู่เมฆรำไร    สกุณาหลากหลายโผทะยานสู่นภากว้างอย่างขวักไขว่     เเมลงตัวจ๋อยบินรายล้อมมวลพฤกษาอย่างสบายใจ  บ้างก็ดูดน้ำหวาน    บ้างก็อ้อล้อหยอกเอินอย่างสนุกสนาน   ฝูงมัจฉาแหวกว่ายคราคร่ำอย่างร่าเริง   เหล่าดอกไม้ผลิดอกออกผลพลิ้วไหวตามสายลมราวเริงระบำทั้งหมดล้วนเเล้วเเต่เป็นผลิตผลของธรรมชาติที่รังสรรปลูกถ่ายตามกาลเวลามานานเนิ่นนาน  ซึ่งเมื่อใครได้เห็นก็อดที่จะหยุดมองเเละชื่นชมกับความงดงามศิวิไลนี้ไม่ได้   เว้นแต่ราชิท   ผู้วิเศษหนุ่มแห่งอัศวมณีที่หนีบ้านเกิดเมืองนอนมาอยู่    พิภพมนุษย์อย่างจงใจ  

             
    ชายหนุ่มนั่งทอดอาลัยอยู่ที่เดิมไม่ขยับเขยื้อน   ดวงตาเหม่อลอยไร้การกลอกกลิ้ง  ร่างกายแน่นิ่งไร้การเคลื่อนไหว   ในตอนนี้ผู้วิเศษหนุ่มกำลังสับสนว้าวุ่นจนบอกไม่ถูก  ใจหนึ่งเขาก็นึกสงสารมิรันตี   แต่อีกใจเขาก็มิอาจพรากจากเนริตาได้อีกแล้ว   ราชิทกำลังฟุ้งซ่าน   เขาตะโกนออกมาเสียงดังลั่นเพื่อคลายความเครียดที่โหมกระหน่ำซัดราวพายุ   สร้างความตกตะลึงคาดไม่ถึงให้เหล่าบรรดานายทหารที่กำลังเดินตรงมาหา   ทั้งหมดจำต้องล่าถอยกลับทันทีเมื่อเห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น   เพราะคงไม่มีใครกล้าบ้าบิ่นเอาชีวิตตัวเองไปทิ้งโดยไม่จำเป็น   ยกเว้นไคเชอร์  !  กษัตริย์หนุ่มผู้ชอบท้าทายต่อทุกสิ่งทุกอย่าง   เขาตรงเข้าไปหาพี่ชายพร้อมโบกมือไล่พวกทหารที่มายืนออกันออกไปจนพ้นทาง  

              "ว่าไงครับ  ? พี่ชาย  .... ยังคิดไม่ตกอีกเหรอ  ให้ผมช่วยเอามั้ย  ?"  ราชิทสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อได้ยินเสียงกระแนะกระแหนของน้องชาย   เขาพ่นลมหายใจออกดังพรืดก่อนจะเอ่ยขึ้นด้วยเสียงแหบห้าว

              
    "นายจะช่วยพี่ยังไง  ไหนบอกมาสิ  ? พ่อคนเก่ง"   ราชิทถึงแม้จะเศร้าสร้อย   แต่เขาก็ยังอารมณ์ดีเสมอเมื่อได้อยู่ใกล้น้องชายที่เขารัก   นี่ล่ะคือข้อดีของเขาที่ไม่มีใครรู้  !  ราชิทมองหน้าไคเชอร์ที่เปื้อนไปด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์อย่างฉงนสนเท่ห์

             
    "ผมก็ไม่รู้หรอกครับ  ผมแค่อยากทำให้พี่อารมณ์ดี  ผมว่าพี่เครียดไปก็เปล่าประโยชน์นะครับ   พี่น่าจะทำให้สมองปลอดโปร่งมากกว่า   พี่จะได้คิดอะไรออกมั่งไงครับ"  กษัตริย์หนุ่มพาซื่อ  ทำเอาราชิทซึ้งใจจนบอกไม่ถูก  เขาลูบหัวน้องชายเบา ๆ พร้อมเอ่ยอย่างอ่อนโยน

             
    "ขอบใจนะ  ไคเชอร์   นายไม่จำเป็นต้องทำแบบนี้หรอก   เพราะแค่พี่เห็นนาย   พี่ก็อารมณ์ดีจนบอกไม่ถูกแล้ว  พี่รักนายนะ  นายเป็นคนที่พี่ไว้ใจที่สุด  เป็นคนที่พี่จะปกป้อง   และมันจะเป็นแบบนี้ตลอดไปไม่เปลี่ยนแปลง"  เท่านั้นเองสองพี่น้องก็โผเข้าหากันด้วยความรักที่นับวันจะแน่นแฟ้นกลายเป็นความผูกพันจนยากจะลืมเลือน   ความรักระหว่างพี่น้องเป็นความรักอันสะอาดบริสุทธิ์ที่จะไม่มีใครสามารถพรากมันออกไปจากจิตใจของคนทั้งคู่ได้   เป็นความรักอันยิ่งใหญ่   และเป็นความรักที่จะอยู่ยั่งยืนตลอดไปตราบเท่าที่ทั้งคู่ยังคงปรองดอง  สมัครสมานเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน

             
    เมื่อปรับความเข้าใจกันเสร็จเรียบร้อย  ทั้งคู่ก็ตรงไปหาเนริตาแทบจะในทันที   โดยไปไม่ทันตอนที่เธอกำลังปลูกวิญญาณถ่ายร่างให้แก่มิรันตี   เพราะเมื่อไปถึงสองพี่น้องก็เห็นเจ้าหล่อนนั่งอยู่บนเตียงด้วยสีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส   ตรงข้ามกับเนริตาโดยสิ้นเชิง   สองสาวกำลังคุยกันอย่างออกรสออกชาติ   จนกระทั่งมิรันตีเหลือบสายตามาเห็นไคเชอร์   เธอหยุดพูดอย่างกะทันหัน   พร้อมจ้องมองกษัตริย์หนุ่มโดยไม่วางตาแม้แต่น้อย  เนริตามองตามออกไปก็เริ่มเข้าใจ   ผู้วิเศษสาวจึงทำท่าคล้ายกับจะเป็นลม   และราชิทก็ปรี่เข้าไปรับแทบจะในทันทีโดยสัญชาตญาณ  สร้างความฉงนให้แก่มิรันตีอยู่ไม่น้อย  

             
    แต่ ณ เวลานี้เจ้าหล่อนไม่สามารถคิดเรื่องอะไรได้อีกแล้ว  เพราะบุรุษหนุ่มนามว่า  ไคเชอร์  ทำให้เธอลืมทุกสิ่งทุกอย่างแม้กระทั่งการหายใจ   ราชิทจึงพาเนริตาออกไปพักผ่อน  โดยไม่ลืมหันมาส่งยิ้มพร้อมพึมพำคำอวยพรให้แด่มิรันตี   ที่เอาแต่นั่งเงียบเป็นเป่าสากเมื่อต้องอยู่กับไคเชอร์สองต่อสอง   ความเงียบกลายเป็นความอึดอัดที่พุ่งระดมใส่คนทั้งคู่อย่างไม่ลดละ  จนกระทั่งความอดทนเริ่มดึงดัน  ไคเชอร์จึงเป็นฝ่ายเริ่มบทสนาจำเป็นก่อน

             
    "เออ !  คุณมิรันตีค่อยยังชั่วแล้วเหรอครับ ?"  คำถามสั้น ๆ อย่างไม่เต็มใจแต่ทำเอาผู้ฟังถึงกับน้ำตาคลอเบ้าด้วยความปลื้มใจจนเก็บไม่อยู่    ทำเอาผู้ถามถึงกับหน้าเสียทันที  กษัตริย์หนุ่มรีบออกตัวขอโทษขอโพยซะยกใหญ่  จนหญิงสาวหลุดหัวเราะออกมา   ไคเชอร์จึงได้แต่ทำหน้าปุเลี่ยน ๆ บอกบุญไม่รับ

             
    "ขอโทษทำไมล่ะ ?  เจ้ามิได้ทำอะไรข้านี่   แค่เจ้ายอมพูดกับข้า  ข้าก็ดีใจจนบอกไม่ถูกแล้ว  ไคเชอร์"   มิรันตีพูดอย่างเปิดเผย   ในตอนนี้เธออยากจะเข้าไปกอดหอมกษัตริย์หนุ่มใจจะขาด  ให้สมกับความคิดถึง   แต่ไคเชอร์เมื่อเห็นท่าทางของเธอก็เริ่มตีหน้ามุ่ยอย่างฉงน   พร้อมกับไม่คิดที่จะต่อความยาวสาวความยืดให้วุ่นวาย  เขาจึงเปลี่ยนประเด็นทันควัน

             
    "คุณจะพักอยู่ที่นี่นานมั้ยครับ  ?  ผมจะได้ให้คนจัดเตรียมห้องหับให้  ?"  เท่านั้นเองมิรันตีก็เริ่มน้ำตาคลอเบ้าอีกครั้ง   แต่คราวนี้เธอไม่ได้ดีใจเหมือนเมื่อครู่   หญิงสาวกล่าวด้วยน้ำเสียงเศร้าสร้อยตัดพ้อ

             
    "ทำไมเหรอ  ?  ที่เจ้าถาม ....  เจ้าไม่อยากให้ข้าอยู่แม้แต่เสี้ยววินาทีเดียวใช่มั้ยล่ะ ?   เพราะข้าเป็นลูกศัตรูตัวฉกาจของเหล่ามนุษย์  ผู้วิเศษขาวและอสูรใช่มั้ย  ?"  คำตอบปนคำถามที่แทงใจดำกษัตริย์หนุ่มราวกับเธอเข้าไปนั่งในใจของเขา   ถึงกับทำเอาไคเชอร์ใจหายวาบ  เขามองหน้าเธอที่เปื้อนไปด้วยหยาดน้ำตา   พร้อมกับกำลังขบคิดสรรหาคำพูดดี ๆ ให้กำลังใจเธอ 

             
    "คุณมิรันตีครับ  ....  ผมอาจจะเกลียดเมซาตัว  แต่นั่นก็เป็นเพราะผมถูกสอนมาตั้งแต่เด็ก ๆ ว่าผู้วิเศษดำเป็นต้นเหตุให้เกิดสงครามล้างพิภพ  จึงจงใจที่จะปกปิดตัวเองในตำนาน  ทั้งที่ความจริงอาจไม่ใช่ก็ได้  และผมอาจจะเคยตั้งแง่ไม่ชอบคุณเพราะคุณเป็นลูกสาวของเมซาตัว  แต่ถึงยังไงคุณก็เป็นคนรักของพี่ราชิท   ซึ่งพี่ผมรักใครผมก็ต้องรักด้วย   อีกอย่างผมมั่นใจว่าคุณต้องนิสัยดีอย่างแน่นอน   มิฉะนั้นพี่ผมคงไม่รักคุณ   และที่สำคัญ   ผมมาคิดดูดี ๆ คุณก็ไม่ใช่เมซาตัว   แล้วทำไมผมต้องเกลียดคุณด้วยล่ะครับ   ผมโตพอที่จะแยกแยะว่าใครดีใครไม่ดีได้แล้วนะครับ  ผมไม่เอาไปปนกันหรอกครับ   คุณมิรันตีอย่าคิดมากเลยนะครับ   ที่ผมถาม  ....  ก็เพราะจะได้จัดห้องให้ถูก   เพราะถ้าคุณแค่พักวันสองวัน   ผมจะได้ไม่ต้องจัดหาอุปกรณ์อะไรมากมายมาเสริมให้ครับ"  

             
    สิ้นเสียงไคเชอร์  มิรันตีโผเข้ากอดเขาทันที   พร้อมพร่ำขอบคุณซ้ำแล้วซ้ำเล่าด้วยความตื้นตัน  เธอสะอื้นไห้แนบอกกษัตริย์หนุ่ม   สร้างความแปลกใจระคนประหลาดใจให้แก่ไคเชอร์เป็นอย่างมาก   แต่เขาก็ทำหน้าที่ของสุภาพบุรุษได้ดีทีเดียว   กษัตริย์หนุ่มลูบผมเธอเบา ๆ อย่างปลอบประโลมอ่อนโยน   เขาปล่อยให้เธอใช้อกอันแข็งแรงบึกบึนเป็นที่ยึดเหนี่ยวครู่ใหญ่   พาลคิดไปต่าง ๆ นานาอย่างควบคุมไม่อยู่  นี่ถ้าไม่ติดตรงที่เธอเป็นคนรักของราชิทพี่ชายกษัตริย์หนุ่ม   เขาต้องคิดว่าเธอชอบเขาเป็นแน่แท้   เพราะท่าทีที่แสดงออกมามันบ่งบอกอย่างชัดเจน  ไม่ว่าจะเป็นสายตาดีใจจนออกนอกหน้าเมื่อพบกัน   คำพูดตัดพ้อน้อยอกน้อยใจที่เอ่ยอย่างเปิดเผย  หรือการโผเข้ากอดทั้งที่วันนี้ก็เป็นเพียงครั้งแรกที่ไคเชอร์ได้เจอกับหญิงสาว  หรือเขาอาจจะเคยรู้จักเธอมาก่อนแต่จำไม่ได้   .....  ใช่ ! .....  มันอาจจะเป็นอย่างนี้ก็ได้   มิเช่นนั้นเธอคงไม่กล้าทำแบบนี้กับเขา  ไคเชอร์หยุดลงได้ที่ความเห็นสุดท้ายซึ่งแวบเข้ามาพอดี   และเขาก็เริ่มเฉไฉเอนเอียงไปทางเธอนิด ๆ อย่างห้ามใจไม่อยู่เสียแล้วด้วย

             
    กษัตริย์หนุ่มถอนหายใจอย่างโล่งอกเมือนมิรันตียันตัวออกจากเขา  แต่ช่างน่าแปลกที่เธอไม่มีอาการขวยเขินแม้แต่น้อย   ผิดกับเขาที่หน้าแดงแป๊ดเป็นลูกตำลึง  ร่างกายชาวูบวาบบอกไม่ถูก   คงเป็นเพราะกษัตริย์หนุ่มไม่เคยได้รับการกอดจากหญิงสาวนอกจากแม่นมเลยก็เป็นได้   เขาอ้ำอึ้งอยู่นานพอสมควรก่อนเอ่ยอย่างอ้อมแอ้ม

             
    "เอ่อ ....  เอ่อ ...."  มิรันตีได้ยินดังนั้นจึงเริ่มเอะใจถึงท่าทางแปลก ๆ ของกษัตริย์หนุ่ม    เธอจึงรวบรัดตัดความทันที   เพราะเธอคงจะทนไม่ได้เป็นแน่แท้ถ้าปล่อยให้ไคเชอร์เข้าใจอะไรผิด ๆ

             
    "ขอโทษนะ  ไคเชอร์  ข้าคงดีใจไปหน่อย   ข้าเคยเจอเจ้าตอนเด็ก ๆ ....  เจ้าคงจำข้าไม่ได้   แต่เจ้าก็เปลี่ยนไปเยอะเหมือนกันนะ  ตอนนั้นเจ้าตัวผอมกะล่องยังกับไม้เสียบผีแน่ะ"   เธอหัวเราะร่วนอย่างอารมณ์ดี  แล้วมองหน้ากษัตริย์หนุ่มที่หลบสายตาแทบจะในทันที   ไคเชอร์กำลังตั้งสติต่อสู้กับความคิดของตัวเอง   ใจหนึ่งก็คิดอยากได้เธอมาครอบครองเพราะเธอก็น่ารักมิใช่น้อย  ซึ่งมันก็คงจะไม่ยากเท่าไหร่   เพราะดูท่าเธอก็คงมีใจให้เขาเช่นกัน   และยังไงพี่ราชิทก็รักคุณเนริตาอยู่แล้ว   เขาจะได้เป็นคนรักษาแผลใจให้เธอ  นี่คงเป็นความรักครั้งแรกของเขาใช่มั้ย ?  กษัตริย์หนุ่มคิดทบทวนอยู่ชั่วครู่   แล้วความคิดที่สองก็แทรกเข้ามารบกวนจนปิดไม่มิด   ไม่ได้  !  เพราะพี่ราชิทคงไม่ชอบเป็นแน่แท้ถ้าเขาจะตีท้ายครัวพี่ชายตัวเอง   กับเขาเองก็ไม่มีนิสัยเห็นแก่ตัว    เห็นแก่ความสุขของตัวเองโดยไม่สนใจความรู้สึกของคนอื่น   และสำคัญเหนือสิ่งอื่นใดทั้งปวงคุณมิรันตีคงไม่ชายตาแลเขาอย่างแน่นอน 

             
    กษัตริย์หนุ่มหน้ายุ่งเป็นยุงตีกันถอนหายใจเฮือกแล้วเฮือกเล่า   จนสาวเจ้าเริ่มขบคิดทบทวนในสิ่งที่ตนได้ทำลงไป   เธอจึงเริ่มแน่ใจขึ้นมาทันทีว่าไคเชอร์ต้องชอบเธอเป็นแน่แท้   แต่มันคงเป็นความชอบที่ไม่ยั่งยืนชั่วประเดี๋ยว  เพราะเขาไม่เคยมีผู้หญิงที่ไหนมาวอแวด้วยเลยตั้งแต่เล็กจนโต   เมื่อจู่ ๆ เธอผลุนผลันทำการอุกอาจบุกรุก   เลยเป็นเหตุให้กษัตริย์หนุ่มจิตใจกระเจิดกระเจิงไม่อยู่กับเนื้อกับตัว   มิรันตีจึงตัดสินใจเด็ดขาดที่จะบอกความจริงกับชายหนุ่ม   แต่อีกใจก็ร่ำร้องบอกให้หยุด   เพราะเธออาจจะไม่ได้เห็นหน้าเขาเลยอีกตลอดชีวิตถ้าไคเชอร์รับรู้ความจริงว่าเธอเป็นใคร ?   หญิงสาวจึงเลี่ยงที่จะพูดอย่างตรงไปตรงมาแต่ก็แฝงไปด้วยความจริงที่ฉาบหน้าโรยทับอยู่

             
    "ไคเชอร์  ....  ข้ารู้นะว่าเจ้าคิดกับข้าเช่นไร  ?  แต่สิ่งที่เจ้าคิดกับความจริงที่เป็นไปมันอาจจะสวนทางกันก็ได้นะ    เจ้าล้มเลิกเสียเถิด   ข้าอยากให้เจ้าคิดว่าข้าเป็นพี่สาวของเจ้าแทนนะ  ....  เพราะเจ้าหน้าตาละม้ายคล้ายเขามาก"   เธอมองหน้ากษัตริย์หนุ่มที่เริ่มแบะปาก   พร้อมเอ่ยต่อโดยไม่สนใจสายตาวิงวอนขอร้อง    

              "....  น้องชายของข้าน่ะ   แต่เขาไม่รู้หรอกว่าข้าเป็นพี่   และข้าก็ไม่กล้าบอกด้วย    เพราะกลัวว่าเขาจะทำใจไม่ได้   เรารู้จักในฐานะของเพื่อนสนิทพี่ชายเขา   ....   และเมื่อข้าเจอเจ้า   .....  ข้าก็เลยนึกถึงเขาขึ้นมา  .....  ยังไงเจ้าช่วยทำให้ความปรารถนาของข้าสมหวังจะได้หรือไม่  ?" 

             
    หญิงสาวจ้องหน้าชายหนุ่มเหมือนเมื่อครู่   ดวงตาสีม่วงทอประกายระยิบระยับ   ทว่าความรู้สึกกลับเปลี่ยนไป   กษัตริย์หนุ่มใจหายวาบ   ตัวชาวูบ  เขาหลุดออกจากห้วงโคจรแห่งการต่อสู้ทันทีราวกับถูกกระชาก   เขาพยักหน้าน้อย ๆ อย่างผิดหวัง   แต่ความดีในตัวก็ฮึดสู้ขึ้นมาในทันใด  ~ ก็ดีไม่ใช่เหรอ ?  ไคเชอร์   ....  อย่างน้อยนายรู้ว่าเธอคิดกับนายยังไงในตอนนี้   ก็ดีกว่ารู้ทีหลังแล้วถลำลึกไปมากกว่านี้นะ ~  แล้วกษัตริย์หนุ่มก็ยิ้มอย่างจริงใจพร้อมเอ่ยด้วยเสียงดังหนักแน่น

             
    "ครับ  พี่มิรันตี"  พร้อมเปลี่ยนสรรพนามให้หญิงสาวจนเสร็จสรรพ  แล้วหลุดหัวเราะอย่างอารมณ์ดี   ทั้งคู่จึงเริ่มเปิดใจให้กันอีกครั้ง   แต่คราวนี้มันกลับสบายใจปลอดโปร่งอย่างบอกไม่ถูก   กษัตริย์หนุ่มลืมไปเสียสนิทว่าเคยคิดทรยศพี่ชายชั่ววูบ   พร้อมกับเลิกคิดว่ามิรันตีเป็นบุตรีของเมซาตัว   แต่คิดว่าเธอเป็นพี่สาวของเขาเข้าแทนที่   ส่วนมิรันตีถึงแม้เธอจะปิดกั้นความจริงบางส่วน   แต่ในตอนนี้เธอก็มีความสุขมากที่สุดตั้งแต่โตมา   มันเป็นความสุขที่หาไม่ได้จากราชิท   เป็นความสุขที่แอบแฝงอยู่ในใจส่วนลึก   เป็นความสุขที่เธอตั้งใจว่าจะรักษามันยิ่งกว่าชีวิตของเธอ   และหญิงสาวปฏิญาณกับตัวเองเป็นมั่นเหมาะว่าจะไม่บอกความจริงในส่วนที่เหลือกับไคเชอร์อีกเด็ดขาด   เธอขอแค่นี้ก็เพียงพอแล้ว  

             
    ทั้งคู่ต่างไม่ปล่อยให้บทสนทนาต้องหยุดเลยแม้แต่น้อย   สองคนสรรหาเรื่องมาพูดกันอย่างไม่มีใครยอมใคร  พลอยทำให้ราชิทกับเนริตาที่แอบดูอยู่รู้สึกอิ่มเอิบใจตามไปด้วย   แต่แล้วความรู้สึกนั้นก็หยุดลงอย่างกะทันหัน  เมื่อทั้งคู่มองหน้ากัน   กลับกลายเป็นความรู้สึกผิดที่รุมเร้าถากถางดึงทึ้งทั้งคู่ให้จมดิ่งอยู่ในห้วงแห่งความทุกข์    ราชิทและเนริตาผละออกจากกันทันที   ผู้วิเศษทั้งสองหันหลังให้กันแล้วเดินจากไปคนละทาง   แต่ก็มิอาจรอดพ้นสายตาของไคเชอร์ไปได้   กษัตริย์หนุ่มรับรู้ถึงปัญหาอันใหญ่หลวงของทั้งคู่   ซึ่งก็มิอาจยื่นมือเข้าไปช่วยได้   เพราะความรักเป็นสิ่งละเอียดอ่อนบอบบางของคนสองคน  ที่ไม่ใช่ว่าใคร ๆ จะเข้าไปยุ่มย่ามได้ง่าย ๆ  แต่นี่เป็นรักสามเส้าเสียด้วย   ไคเชอร์จึงทำได้แต่เพียงอวยพรภาวนาให้พวกเขาทั้งสามยอมรับสิ่งที่จะเกิดขึ้นพร้อมเผชิญหน้าและปรับความเข้าใจกันให้เร็วที่สุด   เขาเหลือบสายตามองเนริตากับราชิทที่ยืนอยู่คนละมุมนอกห้อง   ก่อนจะหันกลับมาพูดกับมิรันตีตามปกติ 

             
    "เจ้าเป็นอะไร  ?  ไคเชอร์  ....  ทำไมทำหน้าแบบนั้นล่ะ ?"  หญิงสาวถามขึ้นเมื่อเห็นหน้ามู่ทู่ของกษัตริย์หนุ่ม  ไคเชอร์จึงส่ายหน้าพร้อมยิ้มน้อย ๆ แล้วรีบกลบเกลื่อนปรับเปลี่ยนสีหน้าให้เป็นปกติทันที   ทั้งคู่คุยกันได้พักใหญ่พอควร   และต้องจำใจหยุดลงเมื่อราชิทเดินเข้ามา  เขาหน้าตาเศร้าหมองจนมิรันตีต้องเอ่ยปากถามด้วยความเป็นห่วง   ไคเชอร์ถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนจะขอตัวออกไปข้างนอก  เพื่อปล่อยให้สองคนได้อยู่กันตามลำพัง   เพราะเขารู้ว่าพี่ชายต้องมีเรื่องจะพูดคุยกับมิรันตีเป็นการส่วนตัวอย่างแน่นอน  

             
    "เอ่อ ...  เจ้าเป็นยังไงบ้าง ?  มิรันตี"  ราชิทเริ่มเปิดฉากการสนทนาด้วยน้ำเสียงเศร้าสร้อยจนผู้ฟังสัมผัสถึง   แต่ก็มิกล้าเอ่ยปากถาม   เธอจึงได้แต่พยักหน้าน้อย ๆ

             
    "ค่อยยังชั่วแล้ว   ขอบใจเจ้ามากนะที่เป็นห่วง" 

             
    "ไม่เป็นไร  ไม่ต้องขอบใจหรอก   ยังไงข้าต้องห่วงเจ้าอยู่แล้ว   มันเป็นเรื่องธรรมดา  ในเมื่อเจ้าเป็นคนรักของข้านี่"   ราชิทหลบสายตาหญิงสาวที่จ้องมองอย่างสำรวจ   "ใช่สิ ?  ข้าเป็นคนรักของเจ้า   แต่หลายปีมานี้   ข้ากับเจ้าก็ไม่ได้เจอกันเลยนะ  เจ้ายังรักข้าอยู่เหมือนเดิมใช่มั้ย  ?"   คำถามย้ำอย่างจงใจที่ทำเอาผู้ฟังถึงกับสะอึก   หญิงสาวรอคอยคำตอบอย่างใจจดใจจ่อ  พร้อมภาวนาขออย่าให้สิ่งที่เธอนึกหวังจงเป็นจริง   เวลาผ่านไปชั่วครู่   ราชิทเริ่มเหงื่อแตกพลั่ก ๆ  พร้อมกับความหวังของมิรันตีก็เริ่มจางหายไปอย่างช้า ๆ  เช่นกัน   เธอแทบจะขาดใจตายตรงหน้าชายหนุ่ม   ดวงตาสีม่วงส่อประกายระริกอย่างเว้าวอน  แต่จนแล้วจนเล่า  ....  ก็ไม่มีแม้ซึ่งเสียงใด ๆ หลุดออกจากปากผู้วิเศษหนุ่มเลย 

             
    มิรันตีทรุดกายลงนั่งช้า ๆ  เธอหมอบลงบนเตียงอย่างอ่อนระโหยโรยแรง  เสียงครางน้อย ๆ ของเธอทำเอาราชิทสะดุ้งเฮือก  เขาย่อตัวลงแล้วก้มหัวแทบเท้าเธอ    "ข้าขอโทษ   ข้าผิดที่ไม่หักห้ามใจตัวเอง  ข้าผิดต่อเจ้า   มิรันตี  แต่ข้า  ...  ข้าไม่สามารถกลับไปรักเจ้าได้อีก  ข้าขอโทษ"   หญิงสาวมองคนรักของเธอด้วยสายตาตัดพ้อเสียใจ   เธอดึงตัวราชิทขึ้นมาเทียบเท่า   พร้อมตะเบ็งเสียงอย่างคนสิ้นสติ

             
    "ข้าผิดอะไร ?  ราชิท ....  ข้าไม่ดีตรงไหน  บอกข้าสิ  บอกข้ามา  ...."  มิรันตีเขย่าตัวผู้วิเศษหนุ่มจนร่างสะท้าน   แต่ก็ไร้ผล  !  เพราะสายตาของราชิทมิอาจกลับคืนดังเดิมได้อีกแล้ว   "ราชิท  !  เจ้าพูดอะไรก็ได้   พูดสิ  !  ข้าขอร้องล่ะ ?  อย่าเงียบเลย"  เธอโผเข้าหาคนรักอย่างมีความหวัง   "เจ้ายังรักข้าใช่มั้ย ?  ราชิท   ใช่  !  เจ้ายังรักข้า   แต่ที่เจ้าไม่พูด ....  เพราะท่านพ่อใช่มั้ย  ?  ทำไมนะ ?  ทำไมข้าลืมเรื่องนี้ไปเสียสนิท"   มิรันตีพยายามชักแม่น้ำทั้งห้ามาปิดกั้นความรู้สึกอันแท้จริง   เธอหลอกตัวเองอย่างหดหู่   น่าสังเวช   แต่มันก็ไม่ได้ทำให้อะไรดีขึ้น    เพราะผู้วิเศษหนุ่ม ....  นอกจากจะไม่กอดตอบเธอแล้ว   เขายังมองเธอด้วยสายตาแชเชือนเชือดเฉือน   เธอจึงตัดสินใจผละออกจากราชิทในที่สุด  น้ำตาเอ่อท้นพรั่งพรูด้วยรับรู้ถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นในภายภาคหน้า   เธอจ้องมองชายหนุ่มผ่านม่านใสที่เกาะกุมอย่างเข้มแข็งขึ้นมาทันใด   พร้อมฮึดสู้ฝืนยิ้มอย่างยากเย็น

             
    "ข้ารู้ .... ข้ารู้ว่าต้องมีวันนี้   วันที่เจ้าเจอใครที่ดีกว่าข้า  แต่มันเร็วมาก  .... เร็วจริง ๆ นะ  จนข้าเกือบตั้งตัวไม่ติด"  เธอกลืนน้ำลายเหนียวหนืดลงคอก่อนจะปั้นคำพูดใหม่ออกมาอย่างยากลำบาก  "โปรดอย่าพูดให้กำลังใจข้า ....  เพราะข้าเข้มแข็งพอ   ที่สำคัญไม่ต้องบอกข้าว่าผู้หญิงผู้นั้นคือใคร   ถึงข้าจะอยากรู้เพียงไรก็ตาม  .... เพราะข้ายังอยากเก็บความรู้สึกดี ๆ ของเราสองคนเอาไว้เช่นกัน  ข้าขอโทษที่ไม่ยอมรับความจริง   ข้าขอโทษที่ดึงดันโดยไร้เหตุผล  ข้าขอโทษที่หลอกตัวเองอยู่ในห้วงคะนึงที่ไม่มีวันเป็นจริง แต่ข้าก็มีความสุขนะที่ได้รักเจ้า  ถึงแม้ว่าข้าจะไม่ได้เจอเจ้าบ่อย ๆ ก็ตาม  เพราะเจ้าอยู่ในใจข้าคอยเป็นกำลังใจให้ข้า   ทำให้ข้าอยากมีชีวิตอยู่บนพิภพที่ใครหลาย    คนอยากตาย  อยากหนีออกมาให้รู้แล้วรู้รอด  ...."   เธอมองหน้าชายหนุ่มที่เริ่มพร่าเลือนลงทุกขณะด้วยใจจวนเจียนจะละลาย  

             
    "ราชิท  ....   ผู้หญิงคนนั้นคงดีกว่าข้ามากสินะ   นางคงไม่ไร้สาระ   ดื้อดึง   เอาแต่ใจตัวเอง  ใช้แต่อารมณ์เช่นข้า  ....   เจ้าคงจะรักนางมากเลยสิ  และนางคงจะรักเจ้ามากเช่นกัน  เพราะเจ้าเป็นคนดี  สุภาพ  จำไว้นะ  !  ราชิท .... เจ้าต้องดูแลนางดี ๆ  อย่าปล่อยประละเลยนาง  สนใจกับสิ่งเล็กละอันพันละน้อยของนางบ้าง  ที่สำคัญอย่าเอาอารมณ์มาอยู่เหนือเหตุผลเป็นอันขาด   มีอะไรก็ต้องคุยกันเพื่อจะได้ปรับความเข้าใจได้ทันท่วงทีถ้ามีปัญหา   ....  ฝากบอกนางด้วยนะ  อย่าให้เป็นเหมือนข้า  ....  ที่ไม่เคยใส่ใจเจ้าเลย  จนเจ้าเผลอใจไปให้คนอื่น   ....  ข้าขอแสดงความยินดีล่วงหน้าด้วยนะ  ขอให้เจ้ามีความสุขกับคนที่เจ้ารัก  ข้าดีใจที่เจ้าจะได้สมหวังรักแท้เสียทีหลังจากที่อยู่กับรักหลอกลวงมานานแสนนาน"  

             
    มิรันตีกัดฟันพูดทั้งน้ำตา  ทำเอาราชิทสะอึกกับสิ่งที่ได้ยิน   ผู้วิเศษหนุ่มรวบร่างเล็กบางที่กำลังทรุดลงช้า ๆ เข้าไว้ในอ้อมกอดอย่างทันท่วงที  ชายหนุ่มบรรจงจูบหน้าผากเธอเบา ๆ ด้วยความสงสารระคนเวทนา  ผ่านสายน้ำที่เปรอะเปื้อนเลอะเทอะเต็มดวงหน้าอันชอกช้ำของหญิงสาว   พร้อมกับลูบหัวเธอเบา ๆ เพื่อปลอบประโลม เขาจ้องมองมิรันตีที่เอาแต่เหม่อลอยไร้ความรู้สึกด้วยใจเป็นกังวล    ชายหนุ่มทอดถอนใจอย่างครุ่นคิด   จนกระทั่งหญิงสาวเริ่มคลายความหม่นหมอง   เธอยันตัวลุกขึ้นพร้อมกับเอ่ยคำพูดที่ทำเอาราชิทรู้สึกผิดจนหนักอึ้ง

             
    "ความรักเป็นสิ่งสวยงาม   มิใช่สิ่งผิดที่เจ้าจักต้องเป็นกังวล  อย่าให้ความรู้สึกส่วนตัวของข้าทำให้ความรักต้องตกเป็นจำเลยในข้อหาทำร้ายเจ้าให้ปราศจากซึ่งความสุขเลย  จงสงสารความรักให้มาก   แล้วเจ้าก็จักปราศจากความทุกข์" กล่าวจบมิรันตีก็เดินออกไปด้วยสีหน้ายิ้มแย้มราวกับไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นแม้แต่น้อย  สร้างความลำบากใจ  เสียใจ และรู้สึกผิดให้แก่เนริตาที่ยืนแอบฟังทั้งสองอยู่เป็นอย่างมาก   เธอตัดสินใจเดินเข้าไปหามิรันตีจากทางด้านหลังท่ามกลางความลุ้นระทึกของไคเชอร์ที่ยืนซุ่มดูอยู่ห่าง ๆ   เนริตาค่อย ๆ  เอื้อมมืออันสั่นเทาไปแตะที่ไหล่ของมิรันตีเบา ๆ  เป็นผลให้ผู้วิเศษสาวสะดุ้งเล็กน้อยด้วยความตกใจ   เธอหันมองเพื่อนรักพร้อมยิ้มอย่างชื่นบาน

             
    "มีอะไรเหรอ  ?  เนริตา  อืม  !  เจ้าเป็นอะไรรึเปล่า  ?  หน้าซีด ๆ นะ"  หญิงสาวเอื้อมมือแตะหน้าผากเพื่อนรักอย่างเป็นห่วง   ดวงตาสีม่วงส่อประกายอ่อนละมุนอย่างจริงใจ   ทำเอาเนริตาถึงกับน้ำตาคลอเบ้าขึ้นมาทันใด   หญิงสาวแค่นยิ้มอย่างลำบากยากเย็น เป็นเหตุให้มิรันตีถึงกับงุนงงเพราะพฤติกรรมที่เปลี่ยนไปของเธออย่างกะทันหัน แต่ผู้วิเศษสาวก็มิได้เก็บมาคิดให้วุ่นวายรกสมอง  เพราะความรักและความห่วงหาอาทรที่เธอมีให้เนริตานั้น   มันมากมายมหาศาลเกินกว่าที่เธอจะเอาเวลามาใส่ใจในเรื่องไม่เป็นเรื่อง   แต่ยังไงผู้หญิงก็คือผู้หญิงอยู่วันยังค่ำ  ....  เธอเริ่มผิดสังเกตเพื่อนรักขึ้นมาทันใด   แต่ก็แสร้งยิ้มกลบเกลื่อนทันทีเมื่อเนริตาเมียงมองมา

             
    "ว่ายังไง  ?  ตกลงเจ้าเป็นอะไรไปเนริตา  ทำไมถึงไม่บอกข้า  ?"  เสียงหวาน ๆ ถามย้ำอีกครั้ง  ทว่ากลับเพิ่มทวีความกดดันให้แก่ผู้ที่ได้ยินอย่างยิ่งยวด   เนริตากำลังต่อสู้กับความคิดของตัวเองอย่างหนักหน่วง ..... และแล้ว ..... เธอก็ตัดสินใจอย่างเด็ดขาดที่จะบอกความจริงกับเพื่อนรักที่ยืนรอฟังคำตอบอยู่เบื้องหน้า   

             
    "อืม ! มิรันตี  ?  ....  ข้ามิได้เป็นอะไรหรอก  ไม่ต้องเป็นกังวลไป  ข้าแค่รู้สึกไม่ค่อยสบายน่ะ"   มิรันตีได้ยินดังนั้นก็อมยิ้มน้อย ๆ พร้อมกับเดินไปทางอื่น   เป็นผลให้เนริตาถึงกับลอบพ่นลมหายใจทางปากแทบจะในทันที  หญิงสาวไม่กล้าที่จะพูดความจริงกับเพื่อนรัก   เธอจึงทำได้แต่ก่นด่าตัวเองในใจอย่างแค้นเคืองในความพ่ายแพ้ซึ่งยับเยินไม่มีชิ้นดี ..... แต่ก็มิอาจรอดพ้นสายตาของมิรันตีไปได้แม้แต่น้อย  จิตอันแน่วแน่และแข็งกล้าของสาวเจ้าคอยสอดส่องช่องว่างภายในใจของเพื่อนรักอย่างใคร่รู้  และสิ่งที่เธอสัมผัสได้ก็เป็นที่น่าตกใจพอสมควร  เพราะความรู้สึกของเนริตามิได้แตกต่างไปจากราชิทในเวลาอยู่กับเธอตามลำพังเลย หญิงสาวจึงได้แต่เก็บงำความสงสัยเอาไว้ในใจแต่เพียงผู้เดียว   แล้วเริ่มคิดทบทวนถึงอดีตที่ผ่านมาของตัวเธอ เนริตาและราชิทอย่างค่อยเป็นค่อยไป   ด้วยความรู้สึกระส่ำระส่ายสั่นไหวปานจะขาดใจ  จนผล็อยหลับไปในห้วงราตรีอันมืดมิดในที่สุด

             
    ถัดจากพระราชวังไปยังหมู่บ้านเล็ก ๆ แห่งหนึ่ง  ต้นไม้ต่างไหวลู่เอนโค่นล้มระเนระนาด สัตว์น้อยใหญ่หนีเอาตัวรอดกระเจิดกระเจิง ท้องสมุทรปั่นป่วนกระจายตัวสาดซัดเข้าฝั่ง ก้อนเมฆาแตกสะบั้นเกลื่อนกลาดดาษดา  ชาวบ้านต่างปิดประตูหน้าต่างกันอลหม่านอย่างหวาดกลัว เว้นเสียแต่ชายนิรนามสองคนที่เดินอยู่ท่ามกลางลมพายุรุนแรง  ซึ่งโหมกระหน่ำอย่างบ้าคลั่ง  โดยไม่มีอาการสะทกสะท้านแม้แต่น้อย .... และแล้วชายผู้สูงวัยกว่าก็เอ่ยขึ้นท้าทายเสียงลมอันอึงคะนึงอย่างไม่ยี่หระ

             
    "เด็กผู้นั้นเกิดแล้วหรือ  ?  เจ้าทราบหรือไม่ว่าเขาอาศัยอยู่ที่ใด  ?"  ชายอ่อนวัยก้มหัวเล็กน้อยก่อนจะตอบคำถามผู้เป็นนาย 

              
    "ทราบขอรับ  นายท่านจะให้กระผมพาไปเลยมั้ยขอรับ  ?"  เกิดความเงียบครอบคลุมขึ้นชั่วขณะ  ฉับพลันอากาศอันแปรปรวนก็กลับมาสงบตามเดิมราวปาฏิหาริย์  ชายสูงวัยกระแอมเล็กน้อยก่อนใช้มือลูบคางอย่างครุ่นคิด

             
    "ยังไม่ต้อง  พญาปักษา  มันยังไม่ถึงเวลา  ....  และข้ายังอยากให้เด็กผู้นั้นใช้ชีวิตตามปกติให้นานที่สุด   เพราะถ้าวันใดเขารู้ความจริง   เขาจะไม่มีโอกาสร้องขอชีวิตปกติได้อีกเลย"  พญาปักษามองหน้าผู้เป็นนายก่อนจะเอ่ยปากถามในสิ่งที่ตนอยากรู้

             
    "แล้วเมื่อไหร่จะถึงเวลาเล่าขอรับ"  ชายสูงวัยมองหน้าลูกน้องคนสนิทพร้อมถอนหายใจเฮือกใหญ่

             
    "อีกไม่นานหรอก .... เด็กผู้นั้นจะยิ่งใหญ่ไม่แพ้กับข้าทีเดียว"   ผู้เป็นนายมองหน้าลูกน้องคนสนิทที่จ้องอย่างสงสัย    "เจ้าก็รู้นี่   จ้าวจตุรธาตุสายลมมิได้มีเพียงข้าผู้เดียว   ผู้วิเศษบาลูใส่ความสามารถเหล่านี้ให้กับเด็กทั้งสี่ ...  จะว่าไปข้าก็มิอาจรู้ได้ว่าจ้าวทั้งสามจักรู้เรื่องนี้กันรึยัง   ?  แล้วถ้ารู้   พวกเขาจะรับได้เหมือนข้ารึเปล่า  ?  เคยยิ่งใหญ่เพียงลำพัง   กลับต้องแบ่งเป็นสอง  เฮ้อ !"  ชายสูงวัยทอดถอนใจอย่างครุ่นคิด  ดวงตาเหม่อลอยจับจ้องไปยังท้องนภาอันกว้างใหญ่ไพศาลพร้อมภาวนารำพันอยู่ในใจ  "ขอให้พวกท่านทั้งสามจงหลุดพ้นต่อการยึดมั่น  ถือมั่นอันไม่จีรังด้วยเถิด"

              ขอบคุณสำหรับการติดตามค่ะ

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×