ลำดับตอนที่ #6
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #6 : *รักสามเส้า*
3 / 2 /49
^0^คุยกันก่อนนะคะ^0^
ต้องขอโทษเพื่อน ๆ ด้วยนะคะ ที่หายไปนานเลย พอดีพิ้งค์ไม่สบายเป็นไข้หวัดใหญ่ค่ะ ไปนอนโรงพยาบาลมาตั้งหนึ่งอาทิตย์แน่ะ ตอนแรกนึกว่าจะไม่รอดซะแล้ว เพราะมีปอดบวมเข้าแทรก แต่ก็หายจนได้ อิอิ ตอนนี้เหลือแต่เจ็บคอนิดหน่อยค่ะ เลยตัดสินใจอัพตอนใหม่ซะเลย แต่ยังงง ๆ อยู่นิดหน่อย ก็เด็กดีเล่นเปลี่ยนโฉมซะไม่เหลือคราบเก่าเลย และขอโทษอีกทีนะคะ ถ้าเพื่อน ๆ ที่จำได้แล้วเข้ามา ที่พิ้งค์ยังไม่ได้ไปเยี่ยมเลย ไว้จะไปเยี่ยมให้ครบหมดทุกคนเลยค่ะ แต่ตอนนี้ขอตัวไปศึกษาเด็กดีเพิ่มเติมก่อนนะคะ และสุดท้าย ขอบคุณทุกคนมากนะคะที่แวะเวียนมาหาพิ้งค์ตลอดเลยนะคะ บ๊ายบายค่ะ
*รักสามเส้า*
เมื่อจวนเจียนใกล้สว่าง ราชิทยิ่งกระวนกระวายอย่างบอกไม่ถูก เพราะนี่ก็เป็นเวลาสิบยามใกล้กับเส้นตายตามที่ศิลาบอกเข้าไปทุกขณะ และดูท่าเนริตาเอง .... ก็คงจะไม่ฟื้นง่าย ๆ เสียด้วย เขาครุ่นคิดถึงคำสอนของอาจารย์ปาจา พ่อมดดำผู้ยิ่งใหญ่ไม่แพ้กับเมซาตัว ที่เคยถ่ายทอดวิชาความรู้ให้แก่ชายหนุ่มเมื่อครั้งยังเยาว์วัย แต่ยิ่งนึกก็กลับเจอแต่เพียงความว่างเปล่า ผู้วิเศษหนุ่มถึงกับทรุดลงข้าง ๆ เนริตา เขาก้มหน้างุดอยู่แทบไหล่ของเธอด้วยใจท้อแท้หมดหวัง และก่อนที่ราชิทจะคิดผลีผลามทำอะไรลงไป เสียงครางน้อย ๆ ของหญิงสาวเบื้องหน้าก็บังเกิดให้ได้ยิน นับว่าเป็นนิมิตหมายอันดีมากที่สุด ชายหนุ่มประคองเธอลุกขึ้นนั่ง ก่อนจะไต่ถามอาการอย่างห่วงหาด้วยความดีใจจนปิดไม่มิด ใจจริงเขาอยากจะกอดหอมเธอแรง ๆ ให้ชื่นใจเสียด้วยซ้ำ แต่ก็กลัวเธอจะแบกรับน้ำหนักความโหยหาที่ถาโถมลงไปไม่ไหว ผู้วิเศษหนุ่มจึงทำได้เพียงฉีกยิ้มกว้างอย่างยับยั้งชั่งใจ
"เจ้าเป็นยังไงบ้าง ? ค่อยยังชั่วมั้ย ? เกิดอะไรขึ้น ? แล้วทำไมจู่ ๆ เจ้าถึงทรุดลงไป ?" ราชิทถามโดยไม่ได้หยุดหายใจแม้แต่เสี้ยวนาที สร้างความขบขันให้แก่หญิงสาวเป็นอย่างมาก เธออมยิ้มแก้มป่องพร้อมส่ายหน้าน้อย ๆ อย่างเหนียมอายแล้วเอ่ยด้วยเสียงอันแผ่วเบาจนแทบเป็นเสียงกระซิบ
"เดี๋ยวข้าค่อยตอบคำถามเจ้าได้มั้ย ? ตอนนี้ขอข้าทำหน้าที่ของข้าให้เสร็จก่อนนะ เดี๋ยวมันจะไม่ทันการณ์เสียเปล่า ๆ" ผู้วิเศษหนุ่มจึงพยักหน้าน้อย ๆ พร้อมพยุงเนริตาไปหาไคเชอร์ในร่างฟิกซ์ที่ยังคงสลบเหมือดอยู่ทันทีโดยไม่รีรอ พร้อมกับใช้ผ้าคงสภาพห่อหุ้มดวงวิญญาณของมิรันตีที่สลบไสลไม่ได้สติ แล้วผละออกไปเพื่อปล่อยเนริตาทำหน้าที่ของตนเองให้เสร็จสิ้น แต่ก็คงคอยเฝ้าดูอยู่ห่าง ๆ
ผู้วิเศษสาวจึงใช้กริชกรีดหน้าอกของฟิกซ์ตามรอยเดิมไม่บิดพลิ้ว พร้อมนำศิลาวิญญูสีแดงเลือดออกมา เธอจ้องมองมันอยู่ชั่วครู่ก่อนจะนำไปวางไว้บนศีรษะยังร่างไคเชอร์แล้วเริ่มท่องประโยคที่ราชิทเคยได้ยินในทางกลับกัน
"จงปรากฏ ข้าขอสั่ง มนต์อสูรสะท้านฟ้า ศิลาวิญญู" พลันเกิดแสงสว่างวาบสีแดง ก่อนจะกลับกลายเป็นเป็นชายหน้าตาอัปลักษณ์ผู้เดิม เขาเผยอปากพูดด้วยเสียงอันไพเราะเสนาะหูอีกคราแต่ทว่ากลับเต็มไปด้วยความไม่พอใจอย่างยิ่งยวด "ตามเพลา ข้าขอคืน ดวงวิญญาณ" กล่าวจบก็อ้าปากพ่นวิญญาณของไคเชอร์ให้กลับคืนสู่ร่างแน่นิ่งอย่างกระฟัดกระเฟียด พร้อมสลายตัวกลายเป็นผุยผงร่วงลงสู่พื้นดินอันตรธานหายไปในที่สุด จากนั้นหญิงสาวก็ร่ายมนต์สมานแผลและปลดวิญญาณของฟิกซ์ให้เป็นอิสระ ..... เท่านั้นเอง เจ้านกยักษ์ก็ออกโผบินกลับคืนสู่รัตติกาลอย่างโหยหาแทบจะในทันที
เนริตาเดินกระย่องกระแย่งมาหาไคเชอร์ที่ชักกระตุกเล็กน้อยก่อนจะสะดุ้งพรวดกระเด้งตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว ตามติดมาด้วยการไอจามอย่างรุนแรงจนควบคุมไม่อยู่ ส่งผลให้เลือดกำเดาไหลทะลักออกมาเป็นสาย ราชิทจึงรีบปรี่มาดูอาการของน้องชายในทันที เขาวางผ้าคงสภาพลงข้างตัว พร้อมใช้ผ้ากำมะหยี่สีน้ำเงินเข้มที่เขาหวงเป็นหนักหนาค่อย ๆ บรรจงเช็ดเลือดให้กับน้องชายอย่างทะนุถนอมอ่อนโยน จนเนริตาอดที่จะชื่นชมเขาไม่ได้ เธอเบือนหน้าหนีไปด้วยความขวยเขินเมื่อราชิทสบตากับเธอเข้าอย่างจัง ชายหนุ่มรีบเปลี่ยนสีหน้าทันทีเมื่อแลเห็นสายตาสอดส่องช่างสงสัยของน้องชายตัวแสบที่เมียงมองมาอย่างใคร่รู้ พร้อมกับหันเหความสนใจโดยการเอ่ยขึ้นเพื่อทำลายสมาธิของเจ้าตัวดี
"เป็นยังไง ค่อยยังชั่วมั้ย ? ไคเชอร์" เขาถามด้วยน้ำเสียงเป็นห่วง กษัตริย์หนุ่มอมยิ้มอย่างรู้ทันก่อนจะแกล้งเฉไฉเออออกับพี่ชายเพื่อรักษาหน้าของเขา "อืม ! ค่อยยังชั่วแล้วครับ เพราะพี่พยาบาลผมไง" แต่ก็ไม่วายหยอดคำหวานเข้าไปอีก เจ้าตัวดีเลยโดนมะเงกต้อนรับการกลับมาเข้าไปหนึ่งโป๊กเต็ม ๆ ไคเชอร์จึงแสร้งหันไปขอความช่วยเหลือจากเนริตา แต่ปรากฏว่าสาวเจ้าไม่อยู่ให้เขาล้อเลียนเธอด้วยสายตาอีกแล้วพร้อมกับผ้าคงสภาพ ไคเชอร์ถึงกับถอนหายใจเฮือกใหญ่ ก่อนตัดสินใจเอ่ยขึ้นเพื่อทำลายความเงียบที่เริ่มเกาะกุมสองพี่น้องอย่างเสียไม่ได้
"พี่ชอบเธอ" คำกล่าวสั้น ๆ อย่างคาดไม่ถึงแต่แทงใจดำผู้วิเศษหนุ่มเข้าเต็มเปา ถึงกับทำเอาเขาหายใจไม่ทั่วท้อง ราชิทละล่ำละลักอยู่นานสองนานก่อนจะเอ่ยด้วยเสียงเบาหวิว
"นายรู้ ไคเชอร์" คำตอบสั้น ๆ แต่ทำเอาผู้ฟังถึงกับสะอึก มันเป็นคำตอบที่ยอมรับอยู่กราย ๆ เป็นคำตอบที่ไม่ต้องการต่อความยาวสาวความยืด และเป็นคำตอบที่อันตรายสุด ๆ ถ้ามิรันตีได้ยิน กษัตริย์หนุ่มไม่อยากนึกถึงวันนั้นเลย .... เขาไม่อยากนึกถึงวันที่เธอรู้ความจริง เธอคงจะปวดใจเป็นที่สุด เมื่อคนหนึ่งได้ชื่อว่าเป็นคนรัก และอีกคนที่ได้ชื่อว่าเป็นเพื่อนรัก ร่วมมือกันหักหลังทรยศเธอ ซึ่งมันก็คงต้องมีสักวัน และพี่ราชิทกับคุณเนริตาจะทำยังไงล่ะ ? กษัตริย์หนุ่มมิอาจคาดเดาจุดจบของรักสามเส้านี้ได้เลย เขาจึงตัดสินใจพูดขึ้นอีกครั้งตามจิตใต้สำนึกของเขาเรียกร้อง
"ความลับไม่มีในโลกหรอกครับพี่ราชิท และคุณมิรันตีก็ต้องรู้เข้าสักวัน ไม่ช้าก็เร็ว ทางที่ดีพี่ควรจะบอกเธอไปตรง ๆ เลยดีกว่า ถึงแม้ว่าเธอจะต้องเจ็บปวดทรมานก็ตาม แต่ก็ดีกว่าให้เธอมารู้เรื่องภายหลัง หรือรู้จากคนอื่นนะครับ เพราะเธอจะเจ็บใจมากกว่าเป็นร้อยเป็นพันเท่า ซึ่งมันอาจสะสมบ่มเพาะกลายเป็นความอาฆาตแค้นก็เป็นได้นะครับ และคนที่จะเจ็บที่สุดก็คือพี่นะ แทนที่พี่อาจจะได้กลับมาเป็นเพื่อนกับเธอ พี่อาจจะไม่เหลือใครเลยสักคนเดียวแม้แต่คุณเนริตา ลองคิดดูนะครับ"
กล่าวจบกษัตริย์หนุ่มก็ลุกเดินออกไปทันที โดยปล่อยให้พี่ชายนั่งครุ่นคิดอยู่เพียงลำพังท่ามกลางแสงจันทร์จาง ๆ ที่กำลังเลือนหายเข้ากลีบเมฆอย่างเชื่องช้า ไคเชอร์เดินกลับวังที่ถูกเปิดมนต์ปิดตายเรียบร้อยโดยเนริตา เขามุ่งหน้าตรงเข้าห้องบรรทมทันทีท่ามกลางความแปลกใจของเหล่าข้าราชบริพารที่เพิ่งฟื้นขึ้นจากการถูกสะกด แล้วล้มตัวลงนอนและจมอยู่ห้วงนิทราแทบจะในทันที เพื่อเป็นการเอื้อให้ฟิกซ์กลับเข้าร่างของเขาอย่างง่ายดายปราศจากความเจ็บปวด
.... และแล้วรุ่งอรุณเเห่งวันใหม่ก็มาเยือน ท้องฟ้าปลอดโปร่งสะอาดสดใส สุริยันทอเเสงผ่านหมู่เมฆรำไร สกุณาหลากหลายโผทะยานสู่นภากว้างอย่างขวักไขว่ เเมลงตัวจ๋อยบินรายล้อมมวลพฤกษาอย่างสบายใจ บ้างก็ดูดน้ำหวาน บ้างก็อ้อล้อหยอกเอินอย่างสนุกสนาน ฝูงมัจฉาแหวกว่ายคราคร่ำอย่างร่าเริง เหล่าดอกไม้ผลิดอกออกผลพลิ้วไหวตามสายลมราวเริงระบำทั้งหมดล้วนเเล้วเเต่เป็นผลิตผลของธรรมชาติที่รังสรรปลูกถ่ายตามกาลเวลามานานเนิ่นนาน ซึ่งเมื่อใครได้เห็นก็อดที่จะหยุดมองเเละชื่นชมกับความงดงามศิวิไลนี้ไม่ได้ เว้นแต่ราชิท ผู้วิเศษหนุ่มแห่งอัศวมณีที่หนีบ้านเกิดเมืองนอนมาอยู่ ณ พิภพมนุษย์อย่างจงใจ
ชายหนุ่มนั่งทอดอาลัยอยู่ที่เดิมไม่ขยับเขยื้อน ดวงตาเหม่อลอยไร้การกลอกกลิ้ง ร่างกายแน่นิ่งไร้การเคลื่อนไหว ในตอนนี้ผู้วิเศษหนุ่มกำลังสับสนว้าวุ่นจนบอกไม่ถูก ใจหนึ่งเขาก็นึกสงสารมิรันตี แต่อีกใจเขาก็มิอาจพรากจากเนริตาได้อีกแล้ว ราชิทกำลังฟุ้งซ่าน เขาตะโกนออกมาเสียงดังลั่นเพื่อคลายความเครียดที่โหมกระหน่ำซัดราวพายุ สร้างความตกตะลึงคาดไม่ถึงให้เหล่าบรรดานายทหารที่กำลังเดินตรงมาหา ทั้งหมดจำต้องล่าถอยกลับทันทีเมื่อเห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เพราะคงไม่มีใครกล้าบ้าบิ่นเอาชีวิตตัวเองไปทิ้งโดยไม่จำเป็น ยกเว้นไคเชอร์ ! กษัตริย์หนุ่มผู้ชอบท้าทายต่อทุกสิ่งทุกอย่าง เขาตรงเข้าไปหาพี่ชายพร้อมโบกมือไล่พวกทหารที่มายืนออกันออกไปจนพ้นทาง
"ว่าไงครับ ? พี่ชาย .... ยังคิดไม่ตกอีกเหรอ ให้ผมช่วยเอามั้ย ?" ราชิทสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อได้ยินเสียงกระแนะกระแหนของน้องชาย เขาพ่นลมหายใจออกดังพรืดก่อนจะเอ่ยขึ้นด้วยเสียงแหบห้าว
"นายจะช่วยพี่ยังไง ไหนบอกมาสิ ? พ่อคนเก่ง" ราชิทถึงแม้จะเศร้าสร้อย แต่เขาก็ยังอารมณ์ดีเสมอเมื่อได้อยู่ใกล้น้องชายที่เขารัก นี่ล่ะคือข้อดีของเขาที่ไม่มีใครรู้ ! ราชิทมองหน้าไคเชอร์ที่เปื้อนไปด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์อย่างฉงนสนเท่ห์
"ผมก็ไม่รู้หรอกครับ ผมแค่อยากทำให้พี่อารมณ์ดี ผมว่าพี่เครียดไปก็เปล่าประโยชน์นะครับ พี่น่าจะทำให้สมองปลอดโปร่งมากกว่า พี่จะได้คิดอะไรออกมั่งไงครับ" กษัตริย์หนุ่มพาซื่อ ทำเอาราชิทซึ้งใจจนบอกไม่ถูก เขาลูบหัวน้องชายเบา ๆ พร้อมเอ่ยอย่างอ่อนโยน
"ขอบใจนะ ไคเชอร์ นายไม่จำเป็นต้องทำแบบนี้หรอก เพราะแค่พี่เห็นนาย พี่ก็อารมณ์ดีจนบอกไม่ถูกแล้ว พี่รักนายนะ นายเป็นคนที่พี่ไว้ใจที่สุด เป็นคนที่พี่จะปกป้อง และมันจะเป็นแบบนี้ตลอดไปไม่เปลี่ยนแปลง" เท่านั้นเองสองพี่น้องก็โผเข้าหากันด้วยความรักที่นับวันจะแน่นแฟ้นกลายเป็นความผูกพันจนยากจะลืมเลือน ความรักระหว่างพี่น้องเป็นความรักอันสะอาดบริสุทธิ์ที่จะไม่มีใครสามารถพรากมันออกไปจากจิตใจของคนทั้งคู่ได้ เป็นความรักอันยิ่งใหญ่ และเป็นความรักที่จะอยู่ยั่งยืนตลอดไปตราบเท่าที่ทั้งคู่ยังคงปรองดอง สมัครสมานเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน
เมื่อปรับความเข้าใจกันเสร็จเรียบร้อย ทั้งคู่ก็ตรงไปหาเนริตาแทบจะในทันที โดยไปไม่ทันตอนที่เธอกำลังปลูกวิญญาณถ่ายร่างให้แก่มิรันตี เพราะเมื่อไปถึงสองพี่น้องก็เห็นเจ้าหล่อนนั่งอยู่บนเตียงด้วยสีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส ตรงข้ามกับเนริตาโดยสิ้นเชิง สองสาวกำลังคุยกันอย่างออกรสออกชาติ จนกระทั่งมิรันตีเหลือบสายตามาเห็นไคเชอร์ เธอหยุดพูดอย่างกะทันหัน พร้อมจ้องมองกษัตริย์หนุ่มโดยไม่วางตาแม้แต่น้อย เนริตามองตามออกไปก็เริ่มเข้าใจ ผู้วิเศษสาวจึงทำท่าคล้ายกับจะเป็นลม และราชิทก็ปรี่เข้าไปรับแทบจะในทันทีโดยสัญชาตญาณ สร้างความฉงนให้แก่มิรันตีอยู่ไม่น้อย
แต่ ณ เวลานี้เจ้าหล่อนไม่สามารถคิดเรื่องอะไรได้อีกแล้ว เพราะบุรุษหนุ่มนามว่า ไคเชอร์ ทำให้เธอลืมทุกสิ่งทุกอย่างแม้กระทั่งการหายใจ ราชิทจึงพาเนริตาออกไปพักผ่อน โดยไม่ลืมหันมาส่งยิ้มพร้อมพึมพำคำอวยพรให้แด่มิรันตี ที่เอาแต่นั่งเงียบเป็นเป่าสากเมื่อต้องอยู่กับไคเชอร์สองต่อสอง ความเงียบกลายเป็นความอึดอัดที่พุ่งระดมใส่คนทั้งคู่อย่างไม่ลดละ จนกระทั่งความอดทนเริ่มดึงดัน ไคเชอร์จึงเป็นฝ่ายเริ่มบทสนาจำเป็นก่อน
"เออ ! คุณมิรันตีค่อยยังชั่วแล้วเหรอครับ ?" คำถามสั้น ๆ อย่างไม่เต็มใจแต่ทำเอาผู้ฟังถึงกับน้ำตาคลอเบ้าด้วยความปลื้มใจจนเก็บไม่อยู่ ทำเอาผู้ถามถึงกับหน้าเสียทันที กษัตริย์หนุ่มรีบออกตัวขอโทษขอโพยซะยกใหญ่ จนหญิงสาวหลุดหัวเราะออกมา ไคเชอร์จึงได้แต่ทำหน้าปุเลี่ยน ๆ บอกบุญไม่รับ
"ขอโทษทำไมล่ะ ? เจ้ามิได้ทำอะไรข้านี่ แค่เจ้ายอมพูดกับข้า ข้าก็ดีใจจนบอกไม่ถูกแล้ว ไคเชอร์" มิรันตีพูดอย่างเปิดเผย ในตอนนี้เธออยากจะเข้าไปกอดหอมกษัตริย์หนุ่มใจจะขาด ให้สมกับความคิดถึง แต่ไคเชอร์เมื่อเห็นท่าทางของเธอก็เริ่มตีหน้ามุ่ยอย่างฉงน พร้อมกับไม่คิดที่จะต่อความยาวสาวความยืดให้วุ่นวาย เขาจึงเปลี่ยนประเด็นทันควัน
"คุณจะพักอยู่ที่นี่นานมั้ยครับ ? ผมจะได้ให้คนจัดเตรียมห้องหับให้ ?" เท่านั้นเองมิรันตีก็เริ่มน้ำตาคลอเบ้าอีกครั้ง แต่คราวนี้เธอไม่ได้ดีใจเหมือนเมื่อครู่ หญิงสาวกล่าวด้วยน้ำเสียงเศร้าสร้อยตัดพ้อ
"ทำไมเหรอ ? ที่เจ้าถาม .... เจ้าไม่อยากให้ข้าอยู่แม้แต่เสี้ยววินาทีเดียวใช่มั้ยล่ะ ? เพราะข้าเป็นลูกศัตรูตัวฉกาจของเหล่ามนุษย์ ผู้วิเศษขาวและอสูรใช่มั้ย ?" คำตอบปนคำถามที่แทงใจดำกษัตริย์หนุ่มราวกับเธอเข้าไปนั่งในใจของเขา ถึงกับทำเอาไคเชอร์ใจหายวาบ เขามองหน้าเธอที่เปื้อนไปด้วยหยาดน้ำตา พร้อมกับกำลังขบคิดสรรหาคำพูดดี ๆ ให้กำลังใจเธอ
"คุณมิรันตีครับ .... ผมอาจจะเกลียดเมซาตัว แต่นั่นก็เป็นเพราะผมถูกสอนมาตั้งแต่เด็ก ๆ ว่าผู้วิเศษดำเป็นต้นเหตุให้เกิดสงครามล้างพิภพ จึงจงใจที่จะปกปิดตัวเองในตำนาน ทั้งที่ความจริงอาจไม่ใช่ก็ได้ และผมอาจจะเคยตั้งแง่ไม่ชอบคุณเพราะคุณเป็นลูกสาวของเมซาตัว แต่ถึงยังไงคุณก็เป็นคนรักของพี่ราชิท ซึ่งพี่ผมรักใครผมก็ต้องรักด้วย อีกอย่างผมมั่นใจว่าคุณต้องนิสัยดีอย่างแน่นอน มิฉะนั้นพี่ผมคงไม่รักคุณ และที่สำคัญ ผมมาคิดดูดี ๆ คุณก็ไม่ใช่เมซาตัว แล้วทำไมผมต้องเกลียดคุณด้วยล่ะครับ ผมโตพอที่จะแยกแยะว่าใครดีใครไม่ดีได้แล้วนะครับ ผมไม่เอาไปปนกันหรอกครับ คุณมิรันตีอย่าคิดมากเลยนะครับ ที่ผมถาม .... ก็เพราะจะได้จัดห้องให้ถูก เพราะถ้าคุณแค่พักวันสองวัน ผมจะได้ไม่ต้องจัดหาอุปกรณ์อะไรมากมายมาเสริมให้ครับ"
สิ้นเสียงไคเชอร์ มิรันตีโผเข้ากอดเขาทันที พร้อมพร่ำขอบคุณซ้ำแล้วซ้ำเล่าด้วยความตื้นตัน เธอสะอื้นไห้แนบอกกษัตริย์หนุ่ม สร้างความแปลกใจระคนประหลาดใจให้แก่ไคเชอร์เป็นอย่างมาก แต่เขาก็ทำหน้าที่ของสุภาพบุรุษได้ดีทีเดียว กษัตริย์หนุ่มลูบผมเธอเบา ๆ อย่างปลอบประโลมอ่อนโยน เขาปล่อยให้เธอใช้อกอันแข็งแรงบึกบึนเป็นที่ยึดเหนี่ยวครู่ใหญ่ พาลคิดไปต่าง ๆ นานาอย่างควบคุมไม่อยู่ นี่ถ้าไม่ติดตรงที่เธอเป็นคนรักของราชิทพี่ชายกษัตริย์หนุ่ม เขาต้องคิดว่าเธอชอบเขาเป็นแน่แท้ เพราะท่าทีที่แสดงออกมามันบ่งบอกอย่างชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นสายตาดีใจจนออกนอกหน้าเมื่อพบกัน คำพูดตัดพ้อน้อยอกน้อยใจที่เอ่ยอย่างเปิดเผย หรือการโผเข้ากอดทั้งที่วันนี้ก็เป็นเพียงครั้งแรกที่ไคเชอร์ได้เจอกับหญิงสาว หรือเขาอาจจะเคยรู้จักเธอมาก่อนแต่จำไม่ได้ ..... ใช่ ! ..... มันอาจจะเป็นอย่างนี้ก็ได้ มิเช่นนั้นเธอคงไม่กล้าทำแบบนี้กับเขา ไคเชอร์หยุดลงได้ที่ความเห็นสุดท้ายซึ่งแวบเข้ามาพอดี และเขาก็เริ่มเฉไฉเอนเอียงไปทางเธอนิด ๆ อย่างห้ามใจไม่อยู่เสียแล้วด้วย
กษัตริย์หนุ่มถอนหายใจอย่างโล่งอกเมือนมิรันตียันตัวออกจากเขา แต่ช่างน่าแปลกที่เธอไม่มีอาการขวยเขินแม้แต่น้อย ผิดกับเขาที่หน้าแดงแป๊ดเป็นลูกตำลึง ร่างกายชาวูบวาบบอกไม่ถูก คงเป็นเพราะกษัตริย์หนุ่มไม่เคยได้รับการกอดจากหญิงสาวนอกจากแม่นมเลยก็เป็นได้ เขาอ้ำอึ้งอยู่นานพอสมควรก่อนเอ่ยอย่างอ้อมแอ้ม
"เอ่อ .... เอ่อ ...." มิรันตีได้ยินดังนั้นจึงเริ่มเอะใจถึงท่าทางแปลก ๆ ของกษัตริย์หนุ่ม เธอจึงรวบรัดตัดความทันที เพราะเธอคงจะทนไม่ได้เป็นแน่แท้ถ้าปล่อยให้ไคเชอร์เข้าใจอะไรผิด ๆ
"ขอโทษนะ ไคเชอร์ ข้าคงดีใจไปหน่อย ข้าเคยเจอเจ้าตอนเด็ก ๆ .... เจ้าคงจำข้าไม่ได้ แต่เจ้าก็เปลี่ยนไปเยอะเหมือนกันนะ ตอนนั้นเจ้าตัวผอมกะล่องยังกับไม้เสียบผีแน่ะ" เธอหัวเราะร่วนอย่างอารมณ์ดี แล้วมองหน้ากษัตริย์หนุ่มที่หลบสายตาแทบจะในทันที ไคเชอร์กำลังตั้งสติต่อสู้กับความคิดของตัวเอง ใจหนึ่งก็คิดอยากได้เธอมาครอบครองเพราะเธอก็น่ารักมิใช่น้อย ซึ่งมันก็คงจะไม่ยากเท่าไหร่ เพราะดูท่าเธอก็คงมีใจให้เขาเช่นกัน และยังไงพี่ราชิทก็รักคุณเนริตาอยู่แล้ว เขาจะได้เป็นคนรักษาแผลใจให้เธอ นี่คงเป็นความรักครั้งแรกของเขาใช่มั้ย ? กษัตริย์หนุ่มคิดทบทวนอยู่ชั่วครู่ แล้วความคิดที่สองก็แทรกเข้ามารบกวนจนปิดไม่มิด ไม่ได้ ! เพราะพี่ราชิทคงไม่ชอบเป็นแน่แท้ถ้าเขาจะตีท้ายครัวพี่ชายตัวเอง กับเขาเองก็ไม่มีนิสัยเห็นแก่ตัว เห็นแก่ความสุขของตัวเองโดยไม่สนใจความรู้สึกของคนอื่น และสำคัญเหนือสิ่งอื่นใดทั้งปวงคุณมิรันตีคงไม่ชายตาแลเขาอย่างแน่นอน
กษัตริย์หนุ่มหน้ายุ่งเป็นยุงตีกันถอนหายใจเฮือกแล้วเฮือกเล่า จนสาวเจ้าเริ่มขบคิดทบทวนในสิ่งที่ตนได้ทำลงไป เธอจึงเริ่มแน่ใจขึ้นมาทันทีว่าไคเชอร์ต้องชอบเธอเป็นแน่แท้ แต่มันคงเป็นความชอบที่ไม่ยั่งยืนชั่วประเดี๋ยว เพราะเขาไม่เคยมีผู้หญิงที่ไหนมาวอแวด้วยเลยตั้งแต่เล็กจนโต เมื่อจู่ ๆ เธอผลุนผลันทำการอุกอาจบุกรุก เลยเป็นเหตุให้กษัตริย์หนุ่มจิตใจกระเจิดกระเจิงไม่อยู่กับเนื้อกับตัว มิรันตีจึงตัดสินใจเด็ดขาดที่จะบอกความจริงกับชายหนุ่ม แต่อีกใจก็ร่ำร้องบอกให้หยุด เพราะเธออาจจะไม่ได้เห็นหน้าเขาเลยอีกตลอดชีวิตถ้าไคเชอร์รับรู้ความจริงว่าเธอเป็นใคร ? หญิงสาวจึงเลี่ยงที่จะพูดอย่างตรงไปตรงมาแต่ก็แฝงไปด้วยความจริงที่ฉาบหน้าโรยทับอยู่
"ไคเชอร์ .... ข้ารู้นะว่าเจ้าคิดกับข้าเช่นไร ? แต่สิ่งที่เจ้าคิดกับความจริงที่เป็นไปมันอาจจะสวนทางกันก็ได้นะ เจ้าล้มเลิกเสียเถิด ข้าอยากให้เจ้าคิดว่าข้าเป็นพี่สาวของเจ้าแทนนะ .... เพราะเจ้าหน้าตาละม้ายคล้ายเขามาก" เธอมองหน้ากษัตริย์หนุ่มที่เริ่มแบะปาก พร้อมเอ่ยต่อโดยไม่สนใจสายตาวิงวอนขอร้อง
".... น้องชายของข้าน่ะ แต่เขาไม่รู้หรอกว่าข้าเป็นพี่ และข้าก็ไม่กล้าบอกด้วย เพราะกลัวว่าเขาจะทำใจไม่ได้ เรารู้จักในฐานะของเพื่อนสนิทพี่ชายเขา .... และเมื่อข้าเจอเจ้า ..... ข้าก็เลยนึกถึงเขาขึ้นมา ..... ยังไงเจ้าช่วยทำให้ความปรารถนาของข้าสมหวังจะได้หรือไม่ ?"
หญิงสาวจ้องหน้าชายหนุ่มเหมือนเมื่อครู่ ดวงตาสีม่วงทอประกายระยิบระยับ ทว่าความรู้สึกกลับเปลี่ยนไป กษัตริย์หนุ่มใจหายวาบ ตัวชาวูบ เขาหลุดออกจากห้วงโคจรแห่งการต่อสู้ทันทีราวกับถูกกระชาก เขาพยักหน้าน้อย ๆ อย่างผิดหวัง แต่ความดีในตัวก็ฮึดสู้ขึ้นมาในทันใด ~ ก็ดีไม่ใช่เหรอ ? ไคเชอร์ .... อย่างน้อยนายรู้ว่าเธอคิดกับนายยังไงในตอนนี้ ก็ดีกว่ารู้ทีหลังแล้วถลำลึกไปมากกว่านี้นะ ~ แล้วกษัตริย์หนุ่มก็ยิ้มอย่างจริงใจพร้อมเอ่ยด้วยเสียงดังหนักแน่น
"ครับ พี่มิรันตี" พร้อมเปลี่ยนสรรพนามให้หญิงสาวจนเสร็จสรรพ แล้วหลุดหัวเราะอย่างอารมณ์ดี ทั้งคู่จึงเริ่มเปิดใจให้กันอีกครั้ง แต่คราวนี้มันกลับสบายใจปลอดโปร่งอย่างบอกไม่ถูก กษัตริย์หนุ่มลืมไปเสียสนิทว่าเคยคิดทรยศพี่ชายชั่ววูบ พร้อมกับเลิกคิดว่ามิรันตีเป็นบุตรีของเมซาตัว แต่คิดว่าเธอเป็นพี่สาวของเขาเข้าแทนที่ ส่วนมิรันตีถึงแม้เธอจะปิดกั้นความจริงบางส่วน แต่ในตอนนี้เธอก็มีความสุขมากที่สุดตั้งแต่โตมา มันเป็นความสุขที่หาไม่ได้จากราชิท เป็นความสุขที่แอบแฝงอยู่ในใจส่วนลึก เป็นความสุขที่เธอตั้งใจว่าจะรักษามันยิ่งกว่าชีวิตของเธอ และหญิงสาวปฏิญาณกับตัวเองเป็นมั่นเหมาะว่าจะไม่บอกความจริงในส่วนที่เหลือกับไคเชอร์อีกเด็ดขาด เธอขอแค่นี้ก็เพียงพอแล้ว
ทั้งคู่ต่างไม่ปล่อยให้บทสนทนาต้องหยุดเลยแม้แต่น้อย สองคนสรรหาเรื่องมาพูดกันอย่างไม่มีใครยอมใคร พลอยทำให้ราชิทกับเนริตาที่แอบดูอยู่รู้สึกอิ่มเอิบใจตามไปด้วย แต่แล้วความรู้สึกนั้นก็หยุดลงอย่างกะทันหัน เมื่อทั้งคู่มองหน้ากัน กลับกลายเป็นความรู้สึกผิดที่รุมเร้าถากถางดึงทึ้งทั้งคู่ให้จมดิ่งอยู่ในห้วงแห่งความทุกข์ ราชิทและเนริตาผละออกจากกันทันที ผู้วิเศษทั้งสองหันหลังให้กันแล้วเดินจากไปคนละทาง แต่ก็มิอาจรอดพ้นสายตาของไคเชอร์ไปได้ กษัตริย์หนุ่มรับรู้ถึงปัญหาอันใหญ่หลวงของทั้งคู่ ซึ่งก็มิอาจยื่นมือเข้าไปช่วยได้ เพราะความรักเป็นสิ่งละเอียดอ่อนบอบบางของคนสองคน ที่ไม่ใช่ว่าใคร ๆ จะเข้าไปยุ่มย่ามได้ง่าย ๆ แต่นี่เป็นรักสามเส้าเสียด้วย ไคเชอร์จึงทำได้แต่เพียงอวยพรภาวนาให้พวกเขาทั้งสามยอมรับสิ่งที่จะเกิดขึ้นพร้อมเผชิญหน้าและปรับความเข้าใจกันให้เร็วที่สุด เขาเหลือบสายตามองเนริตากับราชิทที่ยืนอยู่คนละมุมนอกห้อง ก่อนจะหันกลับมาพูดกับมิรันตีตามปกติ
"เจ้าเป็นอะไร ? ไคเชอร์ .... ทำไมทำหน้าแบบนั้นล่ะ ?" หญิงสาวถามขึ้นเมื่อเห็นหน้ามู่ทู่ของกษัตริย์หนุ่ม ไคเชอร์จึงส่ายหน้าพร้อมยิ้มน้อย ๆ แล้วรีบกลบเกลื่อนปรับเปลี่ยนสีหน้าให้เป็นปกติทันที ทั้งคู่คุยกันได้พักใหญ่พอควร และต้องจำใจหยุดลงเมื่อราชิทเดินเข้ามา เขาหน้าตาเศร้าหมองจนมิรันตีต้องเอ่ยปากถามด้วยความเป็นห่วง ไคเชอร์ถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนจะขอตัวออกไปข้างนอก เพื่อปล่อยให้สองคนได้อยู่กันตามลำพัง เพราะเขารู้ว่าพี่ชายต้องมีเรื่องจะพูดคุยกับมิรันตีเป็นการส่วนตัวอย่างแน่นอน
"เอ่อ ... เจ้าเป็นยังไงบ้าง ? มิรันตี" ราชิทเริ่มเปิดฉากการสนทนาด้วยน้ำเสียงเศร้าสร้อยจนผู้ฟังสัมผัสถึง แต่ก็มิกล้าเอ่ยปากถาม เธอจึงได้แต่พยักหน้าน้อย ๆ
"ค่อยยังชั่วแล้ว ขอบใจเจ้ามากนะที่เป็นห่วง"
"ไม่เป็นไร ไม่ต้องขอบใจหรอก ยังไงข้าต้องห่วงเจ้าอยู่แล้ว มันเป็นเรื่องธรรมดา ในเมื่อเจ้าเป็นคนรักของข้านี่" ราชิทหลบสายตาหญิงสาวที่จ้องมองอย่างสำรวจ "ใช่สิ ? ข้าเป็นคนรักของเจ้า แต่หลายปีมานี้ ข้ากับเจ้าก็ไม่ได้เจอกันเลยนะ เจ้ายังรักข้าอยู่เหมือนเดิมใช่มั้ย ?" คำถามย้ำอย่างจงใจที่ทำเอาผู้ฟังถึงกับสะอึก หญิงสาวรอคอยคำตอบอย่างใจจดใจจ่อ พร้อมภาวนาขออย่าให้สิ่งที่เธอนึกหวังจงเป็นจริง เวลาผ่านไปชั่วครู่ ราชิทเริ่มเหงื่อแตกพลั่ก ๆ พร้อมกับความหวังของมิรันตีก็เริ่มจางหายไปอย่างช้า ๆ เช่นกัน เธอแทบจะขาดใจตายตรงหน้าชายหนุ่ม ดวงตาสีม่วงส่อประกายระริกอย่างเว้าวอน แต่จนแล้วจนเล่า .... ก็ไม่มีแม้ซึ่งเสียงใด ๆ หลุดออกจากปากผู้วิเศษหนุ่มเลย
มิรันตีทรุดกายลงนั่งช้า ๆ เธอหมอบลงบนเตียงอย่างอ่อนระโหยโรยแรง เสียงครางน้อย ๆ ของเธอทำเอาราชิทสะดุ้งเฮือก เขาย่อตัวลงแล้วก้มหัวแทบเท้าเธอ "ข้าขอโทษ ข้าผิดที่ไม่หักห้ามใจตัวเอง ข้าผิดต่อเจ้า มิรันตี แต่ข้า ... ข้าไม่สามารถกลับไปรักเจ้าได้อีก ข้าขอโทษ" หญิงสาวมองคนรักของเธอด้วยสายตาตัดพ้อเสียใจ เธอดึงตัวราชิทขึ้นมาเทียบเท่า พร้อมตะเบ็งเสียงอย่างคนสิ้นสติ
"ข้าผิดอะไร ? ราชิท .... ข้าไม่ดีตรงไหน บอกข้าสิ บอกข้ามา ...." มิรันตีเขย่าตัวผู้วิเศษหนุ่มจนร่างสะท้าน แต่ก็ไร้ผล ! เพราะสายตาของราชิทมิอาจกลับคืนดังเดิมได้อีกแล้ว "ราชิท ! เจ้าพูดอะไรก็ได้ พูดสิ ! ข้าขอร้องล่ะ ? อย่าเงียบเลย" เธอโผเข้าหาคนรักอย่างมีความหวัง "เจ้ายังรักข้าใช่มั้ย ? ราชิท ใช่ ! เจ้ายังรักข้า แต่ที่เจ้าไม่พูด .... เพราะท่านพ่อใช่มั้ย ? ทำไมนะ ? ทำไมข้าลืมเรื่องนี้ไปเสียสนิท" มิรันตีพยายามชักแม่น้ำทั้งห้ามาปิดกั้นความรู้สึกอันแท้จริง เธอหลอกตัวเองอย่างหดหู่ น่าสังเวช แต่มันก็ไม่ได้ทำให้อะไรดีขึ้น เพราะผู้วิเศษหนุ่ม .... นอกจากจะไม่กอดตอบเธอแล้ว เขายังมองเธอด้วยสายตาแชเชือนเชือดเฉือน เธอจึงตัดสินใจผละออกจากราชิทในที่สุด น้ำตาเอ่อท้นพรั่งพรูด้วยรับรู้ถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นในภายภาคหน้า เธอจ้องมองชายหนุ่มผ่านม่านใสที่เกาะกุมอย่างเข้มแข็งขึ้นมาทันใด พร้อมฮึดสู้ฝืนยิ้มอย่างยากเย็น
"ข้ารู้ .... ข้ารู้ว่าต้องมีวันนี้ วันที่เจ้าเจอใครที่ดีกว่าข้า แต่มันเร็วมาก .... เร็วจริง ๆ นะ จนข้าเกือบตั้งตัวไม่ติด" เธอกลืนน้ำลายเหนียวหนืดลงคอก่อนจะปั้นคำพูดใหม่ออกมาอย่างยากลำบาก "โปรดอย่าพูดให้กำลังใจข้า .... เพราะข้าเข้มแข็งพอ ที่สำคัญไม่ต้องบอกข้าว่าผู้หญิงผู้นั้นคือใคร ถึงข้าจะอยากรู้เพียงไรก็ตาม .... เพราะข้ายังอยากเก็บความรู้สึกดี ๆ ของเราสองคนเอาไว้เช่นกัน ข้าขอโทษที่ไม่ยอมรับความจริง ข้าขอโทษที่ดึงดันโดยไร้เหตุผล ข้าขอโทษที่หลอกตัวเองอยู่ในห้วงคะนึงที่ไม่มีวันเป็นจริง แต่ข้าก็มีความสุขนะที่ได้รักเจ้า ถึงแม้ว่าข้าจะไม่ได้เจอเจ้าบ่อย ๆ ก็ตาม เพราะเจ้าอยู่ในใจข้าคอยเป็นกำลังใจให้ข้า ทำให้ข้าอยากมีชีวิตอยู่บนพิภพที่ใครหลาย ๆ คนอยากตาย อยากหนีออกมาให้รู้แล้วรู้รอด ...." เธอมองหน้าชายหนุ่มที่เริ่มพร่าเลือนลงทุกขณะด้วยใจจวนเจียนจะละลาย
"ราชิท .... ผู้หญิงคนนั้นคงดีกว่าข้ามากสินะ นางคงไม่ไร้สาระ ดื้อดึง เอาแต่ใจตัวเอง ใช้แต่อารมณ์เช่นข้า .... เจ้าคงจะรักนางมากเลยสิ และนางคงจะรักเจ้ามากเช่นกัน เพราะเจ้าเป็นคนดี สุภาพ จำไว้นะ ! ราชิท .... เจ้าต้องดูแลนางดี ๆ อย่าปล่อยประละเลยนาง สนใจกับสิ่งเล็กละอันพันละน้อยของนางบ้าง ที่สำคัญอย่าเอาอารมณ์มาอยู่เหนือเหตุผลเป็นอันขาด มีอะไรก็ต้องคุยกันเพื่อจะได้ปรับความเข้าใจได้ทันท่วงทีถ้ามีปัญหา .... ฝากบอกนางด้วยนะ อย่าให้เป็นเหมือนข้า .... ที่ไม่เคยใส่ใจเจ้าเลย จนเจ้าเผลอใจไปให้คนอื่น .... ข้าขอแสดงความยินดีล่วงหน้าด้วยนะ ขอให้เจ้ามีความสุขกับคนที่เจ้ารัก ข้าดีใจที่เจ้าจะได้สมหวังรักแท้เสียทีหลังจากที่อยู่กับรักหลอกลวงมานานแสนนาน"
มิรันตีกัดฟันพูดทั้งน้ำตา ทำเอาราชิทสะอึกกับสิ่งที่ได้ยิน ผู้วิเศษหนุ่มรวบร่างเล็กบางที่กำลังทรุดลงช้า ๆ เข้าไว้ในอ้อมกอดอย่างทันท่วงที ชายหนุ่มบรรจงจูบหน้าผากเธอเบา ๆ ด้วยความสงสารระคนเวทนา ผ่านสายน้ำที่เปรอะเปื้อนเลอะเทอะเต็มดวงหน้าอันชอกช้ำของหญิงสาว พร้อมกับลูบหัวเธอเบา ๆ เพื่อปลอบประโลม เขาจ้องมองมิรันตีที่เอาแต่เหม่อลอยไร้ความรู้สึกด้วยใจเป็นกังวล ชายหนุ่มทอดถอนใจอย่างครุ่นคิด จนกระทั่งหญิงสาวเริ่มคลายความหม่นหมอง เธอยันตัวลุกขึ้นพร้อมกับเอ่ยคำพูดที่ทำเอาราชิทรู้สึกผิดจนหนักอึ้ง
"ความรักเป็นสิ่งสวยงาม มิใช่สิ่งผิดที่เจ้าจักต้องเป็นกังวล อย่าให้ความรู้สึกส่วนตัวของข้าทำให้ความรักต้องตกเป็นจำเลยในข้อหาทำร้ายเจ้าให้ปราศจากซึ่งความสุขเลย จงสงสารความรักให้มาก แล้วเจ้าก็จักปราศจากความทุกข์" กล่าวจบมิรันตีก็เดินออกไปด้วยสีหน้ายิ้มแย้มราวกับไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นแม้แต่น้อย สร้างความลำบากใจ เสียใจ และรู้สึกผิดให้แก่เนริตาที่ยืนแอบฟังทั้งสองอยู่เป็นอย่างมาก เธอตัดสินใจเดินเข้าไปหามิรันตีจากทางด้านหลังท่ามกลางความลุ้นระทึกของไคเชอร์ที่ยืนซุ่มดูอยู่ห่าง ๆ เนริตาค่อย ๆ เอื้อมมืออันสั่นเทาไปแตะที่ไหล่ของมิรันตีเบา ๆ เป็นผลให้ผู้วิเศษสาวสะดุ้งเล็กน้อยด้วยความตกใจ เธอหันมองเพื่อนรักพร้อมยิ้มอย่างชื่นบาน
"มีอะไรเหรอ ? เนริตา อืม ! เจ้าเป็นอะไรรึเปล่า ? หน้าซีด ๆ นะ" หญิงสาวเอื้อมมือแตะหน้าผากเพื่อนรักอย่างเป็นห่วง ดวงตาสีม่วงส่อประกายอ่อนละมุนอย่างจริงใจ ทำเอาเนริตาถึงกับน้ำตาคลอเบ้าขึ้นมาทันใด หญิงสาวแค่นยิ้มอย่างลำบากยากเย็น เป็นเหตุให้มิรันตีถึงกับงุนงงเพราะพฤติกรรมที่เปลี่ยนไปของเธออย่างกะทันหัน แต่ผู้วิเศษสาวก็มิได้เก็บมาคิดให้วุ่นวายรกสมอง เพราะความรักและความห่วงหาอาทรที่เธอมีให้เนริตานั้น มันมากมายมหาศาลเกินกว่าที่เธอจะเอาเวลามาใส่ใจในเรื่องไม่เป็นเรื่อง แต่ยังไงผู้หญิงก็คือผู้หญิงอยู่วันยังค่ำ .... เธอเริ่มผิดสังเกตเพื่อนรักขึ้นมาทันใด แต่ก็แสร้งยิ้มกลบเกลื่อนทันทีเมื่อเนริตาเมียงมองมา
"ว่ายังไง ? ตกลงเจ้าเป็นอะไรไปเนริตา ทำไมถึงไม่บอกข้า ?" เสียงหวาน ๆ ถามย้ำอีกครั้ง ทว่ากลับเพิ่มทวีความกดดันให้แก่ผู้ที่ได้ยินอย่างยิ่งยวด เนริตากำลังต่อสู้กับความคิดของตัวเองอย่างหนักหน่วง ..... และแล้ว ..... เธอก็ตัดสินใจอย่างเด็ดขาดที่จะบอกความจริงกับเพื่อนรักที่ยืนรอฟังคำตอบอยู่เบื้องหน้า
"อืม ! มิรันตี ? .... ข้ามิได้เป็นอะไรหรอก ไม่ต้องเป็นกังวลไป ข้าแค่รู้สึกไม่ค่อยสบายน่ะ" มิรันตีได้ยินดังนั้นก็อมยิ้มน้อย ๆ พร้อมกับเดินไปทางอื่น เป็นผลให้เนริตาถึงกับลอบพ่นลมหายใจทางปากแทบจะในทันที หญิงสาวไม่กล้าที่จะพูดความจริงกับเพื่อนรัก เธอจึงทำได้แต่ก่นด่าตัวเองในใจอย่างแค้นเคืองในความพ่ายแพ้ซึ่งยับเยินไม่มีชิ้นดี ..... แต่ก็มิอาจรอดพ้นสายตาของมิรันตีไปได้แม้แต่น้อย จิตอันแน่วแน่และแข็งกล้าของสาวเจ้าคอยสอดส่องช่องว่างภายในใจของเพื่อนรักอย่างใคร่รู้ และสิ่งที่เธอสัมผัสได้ก็เป็นที่น่าตกใจพอสมควร เพราะความรู้สึกของเนริตามิได้แตกต่างไปจากราชิทในเวลาอยู่กับเธอตามลำพังเลย หญิงสาวจึงได้แต่เก็บงำความสงสัยเอาไว้ในใจแต่เพียงผู้เดียว แล้วเริ่มคิดทบทวนถึงอดีตที่ผ่านมาของตัวเธอ เนริตาและราชิทอย่างค่อยเป็นค่อยไป ด้วยความรู้สึกระส่ำระส่ายสั่นไหวปานจะขาดใจ จนผล็อยหลับไปในห้วงราตรีอันมืดมิดในที่สุด
ถัดจากพระราชวังไปยังหมู่บ้านเล็ก ๆ แห่งหนึ่ง ต้นไม้ต่างไหวลู่เอนโค่นล้มระเนระนาด สัตว์น้อยใหญ่หนีเอาตัวรอดกระเจิดกระเจิง ท้องสมุทรปั่นป่วนกระจายตัวสาดซัดเข้าฝั่ง ก้อนเมฆาแตกสะบั้นเกลื่อนกลาดดาษดา ชาวบ้านต่างปิดประตูหน้าต่างกันอลหม่านอย่างหวาดกลัว เว้นเสียแต่ชายนิรนามสองคนที่เดินอยู่ท่ามกลางลมพายุรุนแรง ซึ่งโหมกระหน่ำอย่างบ้าคลั่ง โดยไม่มีอาการสะทกสะท้านแม้แต่น้อย .... และแล้วชายผู้สูงวัยกว่าก็เอ่ยขึ้นท้าทายเสียงลมอันอึงคะนึงอย่างไม่ยี่หระ
"เด็กผู้นั้นเกิดแล้วหรือ ? เจ้าทราบหรือไม่ว่าเขาอาศัยอยู่ที่ใด ?" ชายอ่อนวัยก้มหัวเล็กน้อยก่อนจะตอบคำถามผู้เป็นนาย
"ทราบขอรับ นายท่านจะให้กระผมพาไปเลยมั้ยขอรับ ?" เกิดความเงียบครอบคลุมขึ้นชั่วขณะ ฉับพลันอากาศอันแปรปรวนก็กลับมาสงบตามเดิมราวปาฏิหาริย์ ชายสูงวัยกระแอมเล็กน้อยก่อนใช้มือลูบคางอย่างครุ่นคิด
"ยังไม่ต้อง พญาปักษา มันยังไม่ถึงเวลา .... และข้ายังอยากให้เด็กผู้นั้นใช้ชีวิตตามปกติให้นานที่สุด เพราะถ้าวันใดเขารู้ความจริง เขาจะไม่มีโอกาสร้องขอชีวิตปกติได้อีกเลย" พญาปักษามองหน้าผู้เป็นนายก่อนจะเอ่ยปากถามในสิ่งที่ตนอยากรู้
"แล้วเมื่อไหร่จะถึงเวลาเล่าขอรับ" ชายสูงวัยมองหน้าลูกน้องคนสนิทพร้อมถอนหายใจเฮือกใหญ่
"อีกไม่นานหรอก .... เด็กผู้นั้นจะยิ่งใหญ่ไม่แพ้กับข้าทีเดียว" ผู้เป็นนายมองหน้าลูกน้องคนสนิทที่จ้องอย่างสงสัย "เจ้าก็รู้นี่ จ้าวจตุรธาตุสายลมมิได้มีเพียงข้าผู้เดียว ผู้วิเศษบาลูใส่ความสามารถเหล่านี้ให้กับเด็กทั้งสี่ ... จะว่าไปข้าก็มิอาจรู้ได้ว่าจ้าวทั้งสามจักรู้เรื่องนี้กันรึยัง ? แล้วถ้ารู้ พวกเขาจะรับได้เหมือนข้ารึเปล่า ? เคยยิ่งใหญ่เพียงลำพัง กลับต้องแบ่งเป็นสอง เฮ้อ !" ชายสูงวัยทอดถอนใจอย่างครุ่นคิด ดวงตาเหม่อลอยจับจ้องไปยังท้องนภาอันกว้างใหญ่ไพศาลพร้อมภาวนารำพันอยู่ในใจ "ขอให้พวกท่านทั้งสามจงหลุดพ้นต่อการยึดมั่น ถือมั่นอันไม่จีรังด้วยเถิด"
ขอบคุณสำหรับการติดตามค่ะ
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น