ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ศึกชิงจ้าวพิภพ ภาค มนตราอัศวมณี

    ลำดับตอนที่ #5 : *อุปสรรคที่คาดไม่ถึง*

    • อัปเดตล่าสุด 12 เม.ย. 49



            12 / 12 / 48

            ^0^ คุยกันก่อนนะคะ ^0^


            ต้องขอโทษเพื่อน ๆ อีกครั้งนะคะ  ที่พิ้งค์ไม่ได้แวะไปเยี่ยมใครเลย  พอดีไม่ว่างจริง ๆ ค่ะ นี่ก็เลยเอาตอนใหม่มาลงให้อ่านอีกก่อนจะต้องไปหาคุณแม่ที่ต่างจังหวัดวันที่ 14 ค่ะ  ซึ่งกว่าจะกลับก็คงอีกประมาณเกือบสองอาทิตย์ (ปล่อยให้คุณพ่อเฝ้าบ้านเอง  อิอิ)  แต่พิ้งค์จะให้เพื่อนเอาเรื่องขึ้นหน้าเว็บให้เหมือนเคยนะคะ  แล้วถ้ากลับมาจะรีบไปหาเพื่อน ๆ ทันทีเลยค่ะ  ไม่ต้องกังวลนะคะ  พูดไปพูดมา  พิ้งค์นี่นิสัยไม่ดีเลยเนอะ  เฮ้อ !  เอาเป็นว่าขอโทษอีกครั้งนะคะ   รับรองจะไปหาทุกคนเหมือนเดิมแน่นอนค่ะ

            ขอให้มีความสุขกับนิยายของพิ้งค์นะคะ  อ้อ  !  คราวนี้ตั้ง 13 หน้าแน่ะ  มันตัดไม่ได้อีกเช่นเคย  ค่อย ๆ อ่านนะคะ  จะพยายามเว้นวรรคให้เยอะค่ะ  เพื่อถนอมสายตาผู้อ่าน

            *อุปสรรคที่คาดไม่ถึง*

            หลังสิ้นเสียงเนริตา  ไคเชอร์ในร่างฟิกซ์ก็รู้สึกเปล่าเปลี่ยวโดดเดี่ยวอย่างบอกไม่ถูก  ชายหนุ่มวิงเวียนอยากอาเจียน  ท้องไส้ปั่นป่วน  ตัวชาวูบวาบคล้ายกับจะเป็นลม  จิตใจสับสนว้าวุ่นพะว้าพะวง  จนความกลัวเริ่มเข้าครอบงำอีกครา  ทว่าชายหนุ่มกลับรู้สึกตัวก่อน  มิฉะนั้นเขาคงต้องยอมโอนอ่อนผ่อนตามศัตรูตัวฉกาจเป็นแน่แท้   ไคเชอร์สลัดหัวไล่ความหวาดวิตกออกไป   พร้อมยืดอกรับสิ่งที่จะเกิดขึ้นเบื้องหน้าอย่างอาจหาญไม่ย่อท้อ   ดวงตาสีดำวาวโรจน์ขึงขังดุดันปราศจากความอ่อนไหว  ดุจแสงตะวันที่มั่นคงเป็นหนึ่งเดียวกับจันทรา  ดั่งสกุณาที่ซื่อตรงแน่วแน่ต่อพื้นนภา  กับทั้งมัจฉาที่ปฏิญาณสัตย์ต่อสายธาร  ทุกอย่างล้วนหนักแน่นเป็นตัวของตัวเอง  ปราศจากความหวั่นไหวในจิตใจ  อีกทั้งยังกล้าหาญที่จะยืนหยัดในความคิดของตนเองอย่าเด็ดเดี่ยวลำพอง

            กษัตริย์หนุ่มสูดลมหายใจเข้าปอดเฮือกใหญ่  ก่อนจะมองออกไปยังเบื้องหน้าอันกว้างขวางมโหราฬสุดลูกหูลูกตาด้วยใจที่ชุ่มฉ่ำชื่นบาน    แต่แล้วก็ต้องทอดถอนใจอย่างหดหู่ให้กับสภาพที่ปรากฏสู่สายตา   พืชผลที่นี่ล้วนเเต่เเห้งเฉา  ล้มตายกันเป็นทิวเเถว   น้ำในลำธารก็สกปรกส่งกลิ่นเหม็นเน่าตลบอบอวล  ท้องฟ้าก็มีเเต่ความมืดมิดอ้างว้างไร้ซึ่งความสดใส   ดวงอาทิตย์กลมโตสีเเดงปราศจากเเสงก็มีไว้เเค่ประดับให้พิภพอสูรเหมือนกับพิภพอื่น ๆ เท่านั้น   ซึ่งในความเป็นจริงเเล้วไม่มีซะยังดีกว่า   ทุกสิ่งทุกอย่างในพิภพนี้อยู่กันอย่างยากเเค้นลำบาก   สัตว์ทุกตัวจำต้องเปลี่ยนเเปลงตัวเองเพื่อให้เข้ากับสภาพแวดล้อมจนกลายเป็นสัตว์ที่ดุร้ายอำมหิตไปโดยปริยาย  ~ นี่ล่ะมั้งที่เขาเรียกว่า  ชะตากรรม ~  ภาพเหล่านี้พาลทำให้ชายหนุ่มคิดทบทวนเรื่องราวที่เคยได้ฟังมานมนานกาเลตั้งแต่ตอนเป็นเด็กเกี่ยวกับนรก  

            "ตั้งเเต่สงครามล้างพิภพคราวนั้น"  เสียงแหบแห้งบ่งบอกถึงอายุของผู้พูดว่าชราภาพเอ่ยขึ้นอย่างกระท่อนกระแท่น   เขามองหน้าเด็กน้อยที่ตั้งใจฟังอย่างใจจดใจจ่อพร้อมแย้มยิ้มอย่างอารมณ์ดี   ก่อนจะเอ่ยต่อเพื่อให้เด็กน้อยตาดำ ๆ สมปรารถนา  

            "เเสงสว่างจากดวงอาทิตย์ก็มิอาจย่างกรายเล็ดลอดเข้ามายังพิภพอสูรได้อีกเลย    จะมีก็เเต่เพียงลูกกลม ๆ สีเเดงปราศจากเเสงคอยบอกวันใหม่เท่านั้น      ซึ่งมันก็ไม่ได้ปฏิบัติตามหน้าที่แม้แต่น้อย   จึงทำให้พิภพอสูรกลายเป็นความมืดมิดที่เเอบเเฝงซ่อนเร้นอยู่ในไตรภพอย่างช่วยไม่ได้   จ้าวอสูรมังตราจำต้องก้มหน้ารับวิบากกรรมที่ตนเองเป็นผู้ก่อไว้   เขาต้องอยู่โดดเดี่ยวเดียวดาย ขาดที่พึ่งไร้ซึ่งทุกสิ่งทุกอย่างที่เคยมี   เพียงเพราะความโลภเข้าครอบงำ   ทำให้สัตว์อสูรที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ต้องเเบกรับชะตากรรมที่ตัวเองไม่ได้ก่อ   บางตัวก็ตายลงเพราะทนการถูกเหยียดหยามดูหมิ่นจากมนุษย์และผู้วิเศษที่ตนเคยเคารพไม่ได้    บางตัวคิดสั้นก็เที่ยวไล่ฆ่าสิ่งมีชีวิตทั้งหลายเพราะโกรธแค้นเเทนมังตรานายเหนือหัว   

            เนื่องจากถ้าไม่มีผู้วิเศษชั่วร้าย   มังตราก็ไม่ต้องเผชิญวิบากกรรมถึงเพียงนี้รวมถึงพวกมันด้วย   จากพิภพอสูรที่เคยรุ่งเรืองอยู่บนนภากาศกลับตกต่ำจนถึงขีดสุด    พิภพอสูรถูกเนรเทศมาอยู่ใต้พื้นพิภพมนุษย์    มังตราจึงปรับปรุงเปลี่ยนเเปลงทุกอย่างจนหมดสิ้น  พร้อมสร้างเมืองโลกันตร์ขึ้นมาเพื่อเป็นแหล่งรวมเหล่าสัตว์อสูรทั้งหลาย   กับลงอักขระเวทมนตร์โบราณอย่างแน่นหนาเพื่อป้องกันการล่วงละเมิดจากพวกอยากรู้อยากเห็นและกองสอดแนมของเมซาตัว  เเต่ก็ไม่วายถูกระรานโดยเหล่ามนุษย์"  ชายชราหยุดกึกทันที   เมื่อมีเสียงเจื้อยแจ้วใสกังวานแทรกขึ้นมาอย่างไม่ตั้งใจเพราะความสงสัยเป็นเหตุ  

           "มนุษย์เราไประรานเขาได้ยังไงครับ ?  ท่านบาเก้"  ชายชราอมยิ้มน้อย ๆ ก่อนจะหรี่ตามองเด็กชายตัวจ๋อยตาใสแป๋ว   ที่กำลังนั่งรอคำตอบอย่างขะมักเขม้น   ก่อนจะเอ่ยขึ้นอย่างอ่อนโยน    "ก็จากอาคารบ้านเรือนทั้งหลายไงล่ะพะย่ะค่ะ  การก่อสร้างที่ต้องทะลวงลงไปในพื้นดิน  เป็นผลให้จ้าวอสูรขี้ระแวงพาลพโล   คิดว่าเรากำลังถากถาง  ซ้ำเติม   ทั้งที่ในความจริงแล้ว   มันไม่ใช่อย่างนั้นเลยสักนิด  พวกเราจำต้องสร้างที่ซุกหัวนอน   เพื่อให้พ้นกับสภาพแวดล้อมที่เลวร้าย  แต่มังตราก็ไม่เคยเข้าใจและไม่คิดจะเข้าใจด้วย"  ชายชราลูบหัวเด็กน้อยที่พยักหน้าเออออตาม   พร้อมคะยั้นคะยอผู้เฒ่าบาเก้ให้เล่าต่ออย่างสนใจใคร่รู้  

           "ทุกย่างก้าวของพวกเรา  ล้วนเเต่ทิ่มเเทงใจเเละเหยียบย่ำศักดิ์ศรีของมังตราจ้าวอสูรผู้หยิ่งทรนงอย่างร้ายกาจ   มังตราจึงทำการร่ายคำสาปปิดผนึกด้วยความพิโรธโกรธา    "มันผู้ใดก็ตามที่สิ้นชีพ   วิญญาณมันผู้นั้นจักต้องลงมาอยู่ในพิภพอสูรเเห่งนี้  เพื่อให้ข้าทำการตัดสินความ   เเละชำระโทษมันผู้นั้นให้สาสมกับความผิดที่มันกระทำ   เเต่ถ้ามันผู้ใดมิเคยทำชั่วตลอดอายุขัย   ข้าจักเป็นผู้นำมันไปส่งให้กับเหล่าทวยเทพ"   

            นี่เป็นสิ่งที่มิอาจถอนได้   เพราะคำสาปนี้กำเนิดจากความโกรธอันคุกรุ่น  ความคั่งเเค้นอันสะสม   ความชิงชังอันรุมเร้าโหมกระหน่ำ   ความอาฆาตอันลุกโชนโชติช่วงของมังตราจ้าวอสูรที่เคยได้ชื่อว่ายิ่งใหญ่ที่สุดในไตรภพ   จตุรพยาบาทไงพะย่ะค่ะ ?  ฝ่าบาท   เมื่อใดก็ตามผู้ที่มีมนตราได้ทำการร่ายคำสาปโดยมีสิ่งนี้อยู่   จักไม่สามารถทำการถอนได้ด้วยวิธีใด ๆ ทั้งสิ้น   เเม้เเต่ผู้วิเศษที่เก่งกาจ  ทวยเทพอันองอาจ   หรือกระทั่งผู้ร่ายคำสาปได้หมดอายุขัยลงก็ตาม  

            ฉะนั้นคำสาปนี้ก็ยังคงสถิตเรื่อยมา   เป็นผลให้ผู้คนต่างขนานนามพิภพอสูรว่า  นรก   เเละยกย่องให้มังตราจ้าวอสูรเป็น  มัจจุราช   สืบรื่อยมาจนถึงปัจจุบันพะย่ะค่ะ"  เสียงอันแหบแห้งของผู้เฒ่าบาเก้ผู้เปรียบเสมือนดั่งพ่อแท้ ๆ ของกษัตริย์หนุ่มดังก้องอยู่ภายในจิตใต้สำนึก   ไคเชอร์มักจะขอให้ผู้เฒ่าเล่าเรื่องนรกให้ฟังอยู่บ่อย ๆ  แต่ยังไงเรื่องเล่าก็ไม่เหมือนกับเรื่องจริง   ภาพที่วาดไว้ก็แตกต่างจากภาพที่เห็น   จึงไม่แปลกที่เขาจะเริ่มรู้สึกหนาว ๆ ร้อน ๆ ขึ้นมาตะงิด ๆ อีกครา  
     
            แต่กษัตริย์หนุ่มก็ปัดไล่ความคิดเหล่านี้ไปได้อีกครั้งอย่างหวุดหวิดก่อนจะหลวมตัวหลงเข้าไปในวังวนเดิม ๆ    เขาเริ่มออกเดินอย่างยากลำบากทันทีจนไปหยุดที่สะพานกันนรกะตามที่สัตว์อสูรตัวนั้นบอกเอาไว้ก่อนจะจากไป  ชายหนุ่มมองดูสะพานเก่าคร่ำคร่ายาวยืดสุดลูกหูลูกตาที่แกว่งไปมาส่งเสียงเอี๊ยดอ๊าดโหยหวน  ทั้งที่ไม่มีลมกระดิกไหวเลยแม้แต่น้อย   ด้วยใจเข้มแข็งขึ้นกว่าเดิมอีกหลายเท่า   

            เขาตัดสินใจย่างก้าวลงไปโดยไม่รีรอ  ฉับพลันเมื่อขาของเขาแตะลงไปที่สะพานบังเกิดเป็นลูกไฟมหึมากลิ้งเกลือกพุ่งตรงมาด้วยความเร็วสูง  แล้วหยุดตรงหน้ากษัตริย์หนุ่มในร่างฟิกซ์พอดิบพอดี   พร้อมกับแตกออกจนสะเก็ดไฟกระจายไปรอบทิศ  แต่น่าแปลกที่ไคเชอร์ไม่รู้สึกร้อนเลยสักนิด  ทว่ากลับรู้สึกหนาวสะท้านไปทั้งตัว   บังเกิดเป็นชายฉกรรจ์ผิวกายดุจโลหิต   ดวงตาดั่งเพลิง  ร่างสูงใหญ่  หน้าตาถมึงทึง   กำลังยืดกายขึ้นจากการนั่งคุดคู้มาในลูกไฟ  พร้อมถือหอกสีทองอันใหญ่แหลมคม   เขาจ้องมองไคเชอร์ในร่างฟิกซ์อย่างไม่วางตา  กษัตริย์หนุ่มตัวสั่นงันงกยืนแข็งทื่ออยู่กับที่   ตอนนี้เขากำลังต่อสู้กับความกลัวศัตรูตัวฉกาจอย่างถึงพริกถึงขิง  เหงื่อเม็ดเล็ก ๆ ผุดขึ้นบนขนหนา ๆ ของร่างฟิกซ์จนเห็นได้ชัด  ชายฉกรรจ์ถึงกับขมวดคิ้วด้วยความงงงวย  เขาเอื้อมมือไปลูบแผงคอของฟิกซ์เบา ๆ พร้อมเอ่ยด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นดีใจ     

            "ฟิกซ์  เจ้ากลับมาหาข้าแล้ว  ข้าดีใจจริง ๆ เจ้าตัวโตขึ้นมากเลยนะ  แถมเดินได้ด้วย   ว่าไงนายมนุษย์เลี้ยงเจ้าไม่ดีหรือ  ?"   ไคเชอร์ในร่างฟิกซ์ถึงกับฉงนในคำพูดของชายผู้นี้   แต่ก็เข้าไปจิกบ่าของผู้พูดเบา ๆ เช่นเดียวกับที่ฟิกซ์เคยทำกับเขา   เป็นผลให้ชายฉกรรจ์คลี่ยิ้มกว้างอย่างมีความสุข  ดวงตาสีเพลิงทอประกายวิบวับแพรวพราว  เขาหัวเราะร่วนอย่างอารมณ์ดีเปลี่ยนเป็นคนละคนจากที่เจอในตอนแรกราวพลิกฝ่ามือ  เขากระโดดกอดฟิกซ์จนตัวลอย  "ข้าดีใจ  ข้าดีใจ  เจ้ากลับมาหาข้า" เขาพร่ำพูดพรรณนาซ้ำแล้วซ้ำเล่าระหว่างทางบนสะพานอันโคลงเคลงที่ออกจะเหนียวแน่นเป็นพิเศษอย่างเหลือเชื่อ   เพื่อไปยังสัญชีวนรกหรือนรกขุมที่หนึ่ง   

            เมื่อถึงเบื้องหน้าสัญชีวนรกสิ่งที่ปรากฎสู่สายตาของกษัตริย์หนุ่มก็ทำให้เจ้าตัวถึงกับขนลุกชันด้วยความกลัวจับขั้วหัวใจอย่างเดิม   เนื่องจากมีลมเย็นยะเยือกพัดผ่านตลอดเวลา   ทำให้วิญญาณกลายเป็นสัตว์นรกและตายลงเพราะถูกชายฉกรรจ์หลายคนซึ่งชายหนุ่มไม่รู้ว่าคือใครถือพร้าเเละขวาน  จอบเเละตะบองคอยสับ ฟัน ทิ่ม แทง แล่เนื้อ เถือหนัง  กลับฟื้นขึ้นมาอีกครั้งโดยมีเนื้อและเลือดเป็นปกติดังเก่า   เพื่อทนทุกขเวทนาสืบต่อไปเเบบนี้ไม่มีที่สิ้นสุด  รวมถึงเหล่าวิญญาณที่ยืนเรียงรายระเกะระกะขวางทางอยู่จำนวนมาก  เพื่อรอรับการชำระโทษ   

            ชายฉกรรจ์ที่เดินนำฟิกซ์เข้ามาพยายามเหวี่ยงอาวุธที่อยู่ในมือตลอดเวลาเพื่อไล่พวกเศษสวะให้พ้นทาง  เขาหงุดหงิดฉุนเฉียวอย่างเกรี้ยวกราด   ตะโกนอย่างบ้าคลั่งพร้อมมีลูกไฟมหึมาพวยพุ่งออกจากปากเป็นระลอก ๆ เข้าถาโถมเหล่าวิญญาณรวมไปถึงชายฉกรรจ์จำนวนมาก   บังเกิดเป็นทะเลเพลิงโหมลุกไหม้โชติช่วงชัชวาล  ไคเชอร์ในร่างฟิกซ์ถึงกับใจหายวาบ  เขาสบถกับตัวเองอย่างโกรธเกรี้ยว   เพราะเขาเองก็พยายามสอดส่ายสายตาหาวิญญาณเว้าแหว่งครึ่งดวงอยู่เช่นกัน   แต่นี่เหล่าวิญญาณต่างลอยตัวอยู่บนทะเลเพลิงพร้อมกระเจิดกระเจิงไปคนละทิศละทาง  มันช่างเป็นอุปสรรคชิ้นโตที่เขาจะต้องเผชิญไปให้ได้   ไม่ว่าจะด้วยวิธีใดก็ตาม   ไคเชอร์ปฏิญาณกับตัวเองอย่างแน่วแน่   ดังนั้นกษัตริย์หนุ่มในร่างฟิกซ์จึงจิกเบา ๆ ที่บ่าของชายฉกรรจ์เป็นทำนองตักเตือนด้วยใจตุ๊ม ๆ ต่อม ๆ  ในตอนแรกเขาคิดว่าชายฉกรรจ์คงจะไม่ละเว้นชีวิตของฟิกซ์เป็นแน่แท้   แต่ผิดคาด  !  ชายฉกรรจ์หันหน้ามาพร้อมกับพ่นลมหายใจ

           "ข้าขอโทษ  ฟิกซ์  !  ข้าแค่โมโห ....  รำคาญ ....  หงุดหงิดน่ะ  ขอบใจที่เตือนนะ"  เขาลูบแผงคอฟิกซ์เบา ๆ อย่างรักใคร่   พร้อมกับอ้าปากดูดทะเลเพลิงกลับคืนจนหมดสิ้นภายในพริบตา   เป็นผลให้บรรดาวิญญาณต่าง ๆ ไม่กล้าเฉียดกรายเข้าใกล้ชายฉกรรจ์ผู้นี้อีกเลย   แต่แล้วไคเชอร์ก็เห็นชายฉกรรจ์อีกคนถือพร้าวิ่งกระหืดหระหอบมาทางชายฉกรรจ์ผู้นี้   เขาก้มตัวลงต่ำก่อนจะเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ 

            "ขะ ...  ขอประทานโทษขอรับ  ทะ .... ท่านนิมมาน  พวกกระผมจะเร่งจัดการเหล่าวิญญาณเร่ร่อนให้พ้นจากประตูนรกให้เร็วที่สุดขอรับ"  เท่านั้นเองไคเชอร์ก็กระจ่างแจ้งทันทีว่าชายฉกรรจ์ผู้นี้คือนิมมานที่สัตว์อสูรต่างพากันขยาด  ยำเกรง  และกลัวจนหัวหดรองจากมังตราจ้าวอสูร  แต่เขาสงสัยจริง ๆ ว่า  ~ ใครเป็นผู้ตัดสินคดีความ   เพราะเท่าที่เขารู้ผู้ตัดสินคดีความคือมังตราซึ่งเป็นมัจจุราช  แล้วในเมื่อนิมมานว่าทางกร่างใหญ่โตที่นี่   ก็แปลว่ามังตราคงไม่อยู่    แล้วใครกันที่เป็นผู้ทำหน้าที่นั้น  ? ~ เขาคิดทบทวนไปมาอย่างครุ่นคิดสงสัย   แต่ก็มิอาจอ้าปากถามได้  

            ดังนั้นเขาจึงทำได้เพียงมองหาวิญญาณเว้าแหว่งครึ่งดวงตามหน้าที่ซึ่งได้รับมอบหมายมาเท่านั้น   แต่แล้วชายหนุ่มก็ต้องสะดุ้งโหยงเมื่อมีสัตว์นรกบางตัวหนีการถูกทำโทษคลานมาจับขาเขาซึ่งแท้จริงเป็นฟิกซ์   โดยที่ตัวของมันเหลือเพียงครึ่ง   ดวงตากลวงโบ๋   ปากก็ถูกกรีดจนเห็นเนื้อสีเเดงสด   มันพยายามออกเเรงดึงขาใหญ่ ๆ อย่างสุดกำลัง  นิมมานหันมาเห็นจึงจ้องมันพร้อมเผาร่างจนเป็นจุณไม่มีวันได้ผุดได้เกิดอีกต่อไป  เขากล่าวเบา ๆ อย่างปลงตก   "หมดเวรหมดกรรมต่อกัน  เจ้าสิ้นสุดเพียงเท่านี้"

            แล้วเขาก็หันมามองฟิกซ์พร้อมกับพูดเจื้อยแจ้วอย่างอารมณ์ดีอีกครั้ง

            "เจ้าจากข้าไปตั้งแต่เด็ก ๆ คงจะไม่เคยเห็นล่ะสิ  ตัวสั่นเชียว"  เขาลูบขนของฟิกซ์เบา ๆ  เพื่อปลอบแล้วเอ่ยต่อไม่ให้ขาดตอน   "รู้มั้ย ? ฟิกซ์  ข้าคิดว่าข้าเสียเจ้าให้มนุษย์นั่นไปแล้ว   แต่ในที่สุดเจ้าก็กลับมา   เจ้าจำข้าได้ด้วย   ข้าดีใจจริง ๆ ...  เฮ้อ ...  ข้าอยากไปเที่ยวพิภพมนุษย์บ้างจัง  มันสวยมั้ย  ?"  นิมมานหันมามองฟิกซ์ที่เอาแต่หันไปทางอื่น  แล้วเอ่ยต่ออย่างเศร้าสร้อย  

            "ใช่ ๆ มันคงสวยงามมาก  ข้าเบื่อ  !  เบื่อที่จะต้องมานั่งคุมพวกนายนิรยบาลเหล่านี้   ข้าเบื่อที่จะต้องผจญกับวิญญาณชั่วร้าย   ทำไมมนุษย์ไม่รู้จักทำความดีกันบ้างนะ  อย่างว่าแหละ ....  ความชั่วมันทำง่ายกว่ากันเป็นไหน ๆ  แต่อย่างน้อย  ....  ข้าก็ดีใจที่ท่านจ้าวมีความสุข   ถึงแม้ตอนนี้ท่านจะปลดระวางการเป็นมัจจุราชแล้วก็ตาม   เพราะท่านต้องมีภาระดูแลน้องสาวที่ป่วยกระเซาะกระแซะ  แต่ก็ยังดี  .... ที่ท่านเห็นใจข้า   หาผู้รับช่วงแทน   สงสัยท่านคงกลัวข้าอาละวาดล่ะมั้ง  ?"  นิมมานหัวเราะกับตัวเองอย่างเบิกบาน   เขาลูบผงคอฟิกซ์เล่นอย่างเพลิดเพลิน   แต่ไคเชอร์กลับไม่รู้สึกสนุกด้วยเลยสักนิด   เขาเฝ้ามองวิญญาณดวงแล้วดวงเล่า    แต่ก็ไม่มีทีท่าว่าจะเจอแม้แต่น้อย   มันเหมือนกับงมเข็มในมหาสมุทรชัด ๆ   พวกวิญญาณดวงอื่น ๆ ก็ช่างทำให้สับสนยิ่งนัก   แต่ดีที่ฟิกซ์มีสายตาเฉียบแหลมแม่นยำ  ~  มิน่าล่ะ !  คุณเนริตาถึงพึ่งฟิกซ์ ~  ชายหนุ่มเปรยในใจ   

            ชั่วครู่เขาเผลอหันไปมองใบหน้ายิ้มแย้มของนิมมานอย่างเวทนาสงสาร  แต่สติก็ดึงเขากลับมาสู่ห้วงแห่งความเป็นจริง   ~  นิมมานเป็นข้ารับใช้ของจ้าวอสูร   เราเอาเขาไปด้วยไม่ได้  ~  ชายหนุ่มสกัดกั้นใจตัวเองอย่างสุดฤทธิ์   เขาเบือนหน้าหนีจากนิมมานที่กำลังจำนรรจาเรื่องต่าง ๆ เป็นเผาเต่า   อย่างไม่คิดจะหยุด   แต่แล้วกษัตริย์หนุ่มก็จำต้องเบนเข็มหันมาสนใจนิมมานทันที  เมื่อเขากำลังเล่าประวัติเจ้าอสูรให้แก่ฟิกซ์ฟัง

            "เจ้ารู้มั้ย  ?  ฟิกซ์  ท่านจ้าวเป็นชายหนุ่มรูปงามมากเลย   ท่านเป็นลูกครึ่งอสูรผู้วิเศษ  ผมสีเงินยาวถูกรวบไว้อย่างเรียบร้อย   จนบางครั้งข้ายังอดสงสัยไม่ได้ว่าท่านต้องให้ผู้หญิงทำเป็นแน่แท้"   เขาพูดอย่างกระหยิ่มยิ้มย่อง   "แต่ข้าก็ไม่เคยเห็นท่านสนใครสักที"  เขามองหน้าฟิกซ์   พร้อมเอามือไล้ใบหน้านกยักษ์เบา ๆ   "เจ้ารู้มั้ย  ?  ดวงตาของท่านน่ะ  สีขาวโพลนเลยนะ  ข้าไม่กล้าสบตากับท่านเลย   น่ากลัวออก"  ประโยคหลังดูเหมือนนิมมานจะพึมพำกับตัวเอง   แต่แล้วเขาก็ถอนหายใจพร้อมทรุดตัวนั่งลง   แล้วเล่าต่ออย่างขมีขมัน   

            "จมูกท่านนะโด่งเข้ารูปกับใบหน้ามากเลย   ผิวขาวผุดผ่องราวเพชรเจียระไน    มารดาของท่านน่ะเป็นผู้วิเศษ   แต่ทว่ากลับโดนท่านมังคาบิดาบังเกิดเกล้าฆ่าตายเมื่อนางรู้ความจริงว่าเขาเป็นอสูร    จากนั้นก็ปลิดชีพตัวเองตาม    แล้วทิ้งท่านจ้าวกับท่านนรดีน้องสาวให้ตกระกำลำบากตกอยู่ในเงื้อมมือของเหล่าสัตว์อสูร   ที่เมื่อปราศจากท่านมังคาก็เริ่มก่อกบฏ    พวกมันจับท่านนรดีขึงพืดแล้วสมสู่อย่างเมามัน   จากนั้นก็ฆ่าทิ้งอย่างโหดร้าย   ซึ่งเป็นเหตุท่านจ้าวโกรธสุดขีดเลยล่ะ   ท่านฟาดฟันพลังเท่าที่มีใส่พวกสัตว์ชั้นต่ำไม่ยั้ง   จนพวกมันนอนจมกองเลือด   เละเทะไม่มีชิ้นดีเลย   ทำให้พวกที่เหลือจำต้องโอนอ่อนผ่อนตามยกท่านขึ้นเป็นผู้นำ    แต่ท่านก็ยังไม่หายโศกเศร้าหรอกนะ   ข้ายังจำหน้าตาซีดเซียวปานจะขาดใจของท่านได้แม่นยำเลยล่ะ"  นิมมานหันมองฟิกซ์แวบหนึ่งก่อนจะเล่าต่อ   

            "ท่านจมอยู่กับความโดดเดี่ยวเดียวดาย   ชอกช้ำหม่นหมอง   ขังตัวเองอยู่ในความมืดมิด   ครุ่นคิดหาทุกวิถีทางเพื่อให้ท่านนรดีฟื้น   จนกระทั่งวันหนึ่ง   ท่านจ้าวเข้าไปในห้องบิดา   และพบกล่องซึ่งท่านจำได้ว่าท่านจ้าวมังคาหวงแหนมันยิ่งกว่าอะไรดี   ท่านจึงตัดสินใจเปิดมันออก   จนได้พบกับหวังครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดนั่นคือ   คันฉ่องเปิดชีพ   พร้อมด้วยคัมภีร์ฟ้าฟื้น   ท่านดีใจจนหายซึมเศร้าเลยล่ะ   แล้วซุ่มศึกษาคัมภีร์จนถ่องแท้    จากนั้นจึงทำพิธีเปิดชีพแก่ท่านนรดีน้องสาว   แต่ท่านก็จำต้องสูญเสียหัวใจครึ่งดวงสำหรับหล่อเลี้ยงคัมภีร์ฟ้าฟื้นให้มีชีวิตอีกครา   เพื่อแลกกับการมีชีวิตของน้องสาวอันเป็นที่รัก   

            ท่านจ้าวต้องอยู่อย่างทนทุกข์ทรมานแสนสาหัส    แต่ในขณะเดียวกันท่านก็มีความสุขมากที่ได้ท่านนรดีกลับคืน   ท่านทุ่มเทเวลาทั้งหมดอยู่กับการฝึกปรือเวทมนตร์จนแข็งแกร่ง   ฝึกอาวุธจนชำนาญ   ฝึกการต่อสู้จนเชี่ยวชาญ   เป็นผลให้เหล่าสัตว์อสูรต่างกลัวจนหัวหด    ครั้นพอเกิดสงครามล้างพิภพ   ท่านจ้าวถูกพวกผู้วิเศษฝ่ายขาวเนรเทศลงมาอยู่ใต้พิภพมนุษย์   เพราะโดนกลาวหาว่าร่วมมือกับผู้วิเศษดำทำลายมนุษย์  ซึ่งเป็นสิ่งไม่ยุติธรรมเลยเพราะเมซาตัวผู้ถูกสงสัยยังลอยนวลอยู่   เหตุการณ์ครั้งนี้ทำให้ท่านจ้าวถึงกับกล่าวโทษต่อว่าเทพเบื้องบนอย่างอาจหาญ   จึงทำให้ท่านกับท่านนรดีน้องสาวที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่อะไรด้วยต้องจมอยู่ในห้วงอนธกาลชั่วกัลปาวสาน  ! 

            ท่านจ้าวและน้องสาวต้องใช้ชีวิตอย่างตายทั้งเป็นเช่นนี้มานานนับพันปี   แต่ทั้งคู่ก็ไม่เคยทะเลาะเบาะแว้งกันแม้แต่น้อยเลยนะ   ท่านนรดีผู้เป็นน้องไม่คิดโกรธพี่ชายเลยสักนิด   นางยังคงรักเทิดทูนบูชาท่านจ้าวราวกับเป็นหยาดทิพย์ล่อเลี้ยงจิตใจ    ท่านจ้าวเองก็เช่นกัน    ท่านทั้งรักและดูแลเอาใจใส่ท่านนรดีอย่างสุดความสามารถ    ถึงขนาดกับยอมกรีดเลือดของตัวเองให้นางได้ดื่มกินอยู่ทุกวันเพื่อประคองพลังชีวิตที่เริ่มถดถอย  

            เนื่องจากคัมภีร์ฟ้าฟื้นมิอาจต้านทานกฎแห่งธรรมชาติได
    ้   แต่เลือดของท่านก็มิอาจเพียงพอ   จวบจนปัจจุบันเหล่าสัตว์อสูรที่จงรักภักดีถึงต้องวางกับดักฆ่ามนุษย์บริสุทธิ์เพื่อนำเลือดมาถวายแด่จ้าวอสูรมังตราผู้ยิ่งใหญ่เหนือใครไตรภพ"   นิมมานกล่าวอย่างภาคภูมิใจในนายเหนือหัวของเขา   ชั่วประเดี๋ยวไคเชอร์นึกอยากจะเจอจ้าวอสูรมังตราขึ้นมาอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว   จนกระทั่งนิมมานลูบแผงคอของไคเชอร์ในร่างฟิกซ์อย่างละมุนละไมอ่อนโยนนั้นล่ะ  ถึงทำให้ชายหนุ่มหลุดออกจากความคิดบ้า ๆ ที่ชอบแวะเวียนมาเยี่ยมเยียนอยู่บ่อย ๆ จนเขาชักจะฟุ้งซ่านเข้าไปทุกที  นิมมานมองหน้าฟิกซ์อยู่นานสองนาน  ก่อนเอ่ยขึ้นอย่างแอบหวังอยู่ลึก ๆ 

            "เจ้าจักขึ้นไปอยู่กับนายมนุษย์หรือไม่  ?  ฟิกซ์"  ไคเชอร์ได้ยินน้ำเสียงตัดพ้อน้อย ๆ แต่เขาจำต้องตกลง   กษัตริย์หนุ่มในร่างฟิกซ์จึงจิกเบา ๆ ที่ไหล่ของนิมมานผู้ที่เคยได้ชื่อว่าเป็นนายอย่างปลอบโยน   เป็นผลให้นิมมานถึงกับพ่นลมหายใจออกมาดังพรืด   เขาบ่นเสียดายอุบอิบอยู่ในลำคอ  แต่ก็ไม่วายเอ่ยขึ้นอย่างเศร้าสร้อย   "ก็แน่อยู่แล้วล่ะ  ถึงข้าไม่ถามเจ้า  ข้าก็รู้คำตอบ   เฮ้อ !  พรายอายาดานี่เชื่อไม่ได้เลย   ไหนบอกว่าสัตว์นรกอเวจีเมื่อได้กลับมาเยือนถิ่น  มันจะลุ่มหลงไม่จากไปไหน   ไหนบอกว่าเป็นคำสาปที่สืบทอดต่อกันมา  เฮ้อ !  สงสัยคงแก่จนเลอะเลือน"  นิมมานบ่นกระปอดกระแปด   แต่แล้วก็เหมือนกับคิดอะไรได้   เขาจึงโพล่งถามออกมา

            "ว่าแต่  ....  ถ้าเจ้าไม่ได้กลับมาหาข้า  แล้วเจ้ามาทำไมล่ะ ?  อ๋อ  !  หลงเข้ามาใช่มั้ย   ?  ฟิกซ์  สงสัยเจ้าคงจะตกลงมาตอนที่เหมันต์กำลังล่าเหยื่อแน่ ๆ เลย" ชายฉกรรจ์พูดเองเออเองเสร็จสรรพ   พร้อมกล่าวอำลาฟิกซ์แล้วผลุนผลันไปทันทีเมื่อมีนายนิรยบาลเข้ามากระซิบกระซาบ

            "ข้าต้องไปแล้วนะ  ฟิกซ์   ถ้าเจ้าอยากจะกลับไปหานายมนุษย์ของเจ้า   เจ้าจงรออยู่ชั่วครู่   เมื่อนรกสั่นสะเทือน   เจ้าจงรีบไปที่สะพานโดยเร็ว   ใช้ปีกของเจ้าโผบินไปยังเมืองโลกันตร์   แล้วเจ้าจะเจอทางออก   จำไว้  !  อย่าเอาเท้าหนาเตอะของเจ้าเหยียบสะพานเป็นอันขาด  แม้ว่าความร้อนจะถาโถมเพียงไร   แม้ว่าปีกของเจ้าจะหลุดร่อนเป็นชิ้น ๆ  เจ้าจงตั้งจิตให้แน่วแน่   กำหนดทิศทางยังเมืองโลกันตร์    ปีกของเจ้าจะงอกคืนอย่างรวดเร็วเมื่อเจ้าปลอดภัยและถึงจุดหมาย   เพราะเจ้าเกิดที่เมืองโลกันตร์  ไม่ใช่อเวจีอย่างที่เจ้าหรือใครเข้าใจ  โชคดีนะฟิกซ์   ข้ารักเจ้านะ   หวังว่าเราคงได้เจอกันอีก  ข้าจะไม่มีวันลืมเจ้าเลย   เจ้านกยักษ์ ....  ข้ามีความสุขมาก   แม้จะชั่วประเดี๋ยวก็เถอะ  ขอบใจนะ  ฟิกซ์"   

            ไคเชอร์สลดหดหู่กับสิ่งที่ได้รับรู้   กษัตริย์หนุ่มคิดเลยเถิดไปถึงฟิกซ์ตัวจริง   ว่าถ้ามันได้รับรู้เรื่องราวเหล่านี้มันคงแทบไม่อยากจะกลับขึ้นไปยังพิภพมนุษย์เป็นแน่แท้   ในเมื่อที่นรกมีผู้ที่รักและรอคอยมันอย่างใจจดใจจ่อเช่นนี้    เพราะขนาดตัวเขาเองในตอนนี้   ยังไม่อยากจะจากที่นี่ไปเลยสักวินาทีเดียว   ชายหนุ่มปฏิญาณกับตัวเองเป็นมั่นเหมาะ  ว่าถ้าใครกล่าวหาว่านรกไม่ดี   มีแต่สิ่งชั่วร้าย   เขาจะเถียงแทนให้อย่างไม่ยี่หระเลยทันทีทันควัน     แต่สุดท้าย    กษัตริย์หนุ่มก็สามารถขจัดเชื้อโรคในสมองเหล่านี้ออกไปได้จนหมดสิ้น   แล้วเริ่มทำหน้าที่ของตนต่อ   เขาสอดส่ายสายตาไล่หาวิญญาณอย่างสุดความสามารถ   พร้อมกับก้าวเดินฝ่าฝูงวิญญาณที่ยั้วะเยี้ยะหนึบหนับเป็นตังเมอย่างรีบเร่ง   จนกระทั่งชายหนุ่มได้ยินเสียงกรีดร้องโหยหวนขอความช่วยเหลือ  แต่เสียงนี้ช่างผิดแผกไปจากเสียงของวิญญาณโดยทั่วไป  สัญชาตญาณจึงสั่งเขาให้ก้าวเดินออกไปตามเสียงร้องที่ดังขึ้นทุกที .....  ทุกทีอย่างไม่หยุดหย่อน 

            "ข้ายังไม่ตาย   ข้าไม่ได้ทำอะไรผิด  ไม่ !  พวกเจ้าจะพาข้าไปไหน  ปล่อยนะ  !  ไอ้พวกบ้า  ปล่อยข้านะ  ข้าสั่งให้ปล่อยไง   เจ้าไม่รู้รึว่าใครเป็นบิดาของข้า   ถ้าพวกเจ้าทำอะไรข้าแม้แต่ปลายก้อย  บิดาข้าไม่เอาเจ้าไว้แน่   พวกเจ้าจะต้องพังพินาศ  นรกของเจ้าจะสั่นคลอนอีกครั้ง  ปล่อยนะ  ปล่อยเดี๋ยวนี้"   เสียงหญิงสาวร้องโวยวาย  ทั้งกรี๊ด  ทั้งดิ้น   แต่วิญญาณของเจ้าหล่อนช่างน่าสมเพศยิ่งนัก   เพราะมันไม่เต็มดวงเหมือนวิญญาณอื่น ๆ  

            ไคเชอร์ที่ลอบแอบดูอยู่ดีใจจนบอกไม่ถูก  เขาอยากตะโกนร้องออกมาดัง ๆ  ชายหนุ่มลัดเลาะหลบหลังวิญญาณต่าง ๆ ด้วยความยากลำบากเนื่องจากร่างกายอันใหญ่โตเทอะทะของฟิกซ์นั่นเอง   เขาเห็นมิรันตีพยายามแกะโซ่ตรวนบรรณาการออก  เธอทั้งกัด  ทั้งแทะ  แกล้งหยุดเดิน   สาปแช่งหมู่นายนิรยบาล  กล่าวว่ามังตราอย่างอาจหาญ   และพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อให้หลุดพ้นจากการเกาะกุมของนายนิรยบาลทั้งสองที่กระชากลากถูเธออย่างไม่ใยดี   และดูท่าจะไม่สนใจคำพูดของเธอแม้แต่น้อย   พวกมันยังคงทำหน้าที่นำพาวิญญาณครึ่งดวงของมิรันตีไปรับโทษลงทัณฑ์กับมัจจุราชท่านใหม่

            ไคเชอร์ครุ่นคิดอย่างหนักหน่วง   จนกระทั่งเขาแลเห็นนิมมานเดินมาแต่ไกล   ชายหนุ่มทบทวนสิ่งที่ชายฉกรรจ์ผู้นี้บอกกล่าวเขาไว้ก่อนจะจากกัน   "เมื่อนรกสั่นสะเทือน   เจ้าจงรีบวิ่งไปที่สะพานโดยเร็ว   ใช้ปีกของเจ้าโผบินไปยังเมืองโลกันตร์   แล้วเจ้าจะเจอทางออก"  ชายหนุ่มพึมพำ  ~  ใช้ปีกของเจ้า  ~  แล้วรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ที่มุมปากก็เกิดขึ้นอย่างไม่ได้ตั้งใจ   เขาลอบมองอยู่ในหมู่เหล่าวิญญาณเร่ร่อน   พร้อมเงี่ยหูฟังการสนทนาระหว่างมิรันตีกับชายฉกรรจ์นามว่า  นิมมาน

            "เจ้ายมทูต  ปล่อยข้าไปเดี๋ยวนี้นะ  ข้ายังไม่ถึงเวลาตายสักหน่อย   เจ้าจับข้ามาเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร  ?"   มิรันตีตีโพยตีพายยกใหญ่ที่ได้เจอหน้านิมมาน  และคำพูดบางส่วนของนางก็เผยให้ไคเชอร์ได้รับรู้ว่า   นิมมาน  ชายฉกรรจ์ที่ได้ชื่อว่าเป็นเจ้านายของฟิกซ์ที่แท้แล้วคือ  ยมทูตนั่นเอง  เขาจึงตั้งสมาธิฟังการสนทนาต่อไปท่ามกลางเสียงโหยหวนกวนโสตประสาทของดงวิญญาณที่ชายหนุ่มยืนอยู่   

            "ข้าไม่สนว่าเจ้าจะถึงเวลารึยัง   ข้าสนแค่เจ้าเป็นวิญญาณดวงหนึ่งเท่านั้น   แต่ที่พิเศษกว่าใครอื่น   ก็ตรงที่เจ้าติดค้างอยู่ในมนต์น่าเกลียด ๆ ของพวกเทพงี่เง่านั่น   นี่ข้าอุตส่าห์ให้เกียรติไปรับเจ้าด้วยตัวเองแล้วนะ  บุตรียังเมซาตัวแห่งอัศวมณี    เจ้ามิภูมิใจหรอกหรือ  ?"  น้ำเสียงของนิมมานเย้ยหยันอย่างจงใจ  มิรันตีกัดฟันขบกรามแน่นด้วยความโมโห   เธอสบถคำหยาบคายต่าง ๆ นานาออกมาราวน้ำพุ   ทว่าดูท่านิมมานจะไม่ใส่ใจนางเลยแม้แต่น้อย   แต่กลับพยักหน้าให้นายนิรยบาลพาเธอเข้าไปพบมัจจุราชโดยเร็ว   

            ....  และแล้วการรอคอยก็สิ้นสุด   เมื่อนรกเริ่มสั่นสะเทือนขึ้นมากะทันหัน  ไคเชอร์ในร่างฟิกซ์พุ่งไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว   เขาฝ่าฝูงวิญญาณนับร้อยนับพันด้วยความทุลักทุเลพอสมควร   ชายหนุ่มจ้องมองภาพเบื้องหน้าด้วยใจจดจ่อแน่วแน่มั่งคง  ภาพวิญญาณเว้าแหว่งกำลังดิ้นรนให้หลุดพ้นจากการถูกควบคุมโดยหมู่นายนิรยบาลอย่างสุดกำลัง   เธอกรีดเสียงร้องแหลมสูงถูกถูลู่ถูกังไปตามพื้นอันร้อนระอุด้วยความไม่เต็มใจ   

            กษัตริย์หนุ่มจึงตัดสินใจเด็ดขาดทันที   เขากางปีกโผทะยานออกอย่างอาจหาญพร้อมใช้เท้าถีบนายนิรยบาลสองคนจนกระเด็นไปคนละทิศละทาง   จากนั้นก็ดึงวิญญาณของมิรันตีลอยขึ้นสูงพร้อมเหินหาวไปข้างหน้าด้วยท่วงท่าสง่างาม   ท่ามกลางความตกตะลึงของเหล่าวิญญาณ  หมู่นายนิรยบาล  และนิมมานที่แวบหนึ่งมีน้ำใส ๆ รินรื้นออกจากดวงตา   โดยไคเชอร์ก็บอกตัวเองว่าเขาไม่ได้ตาฝาดอย่างแน่นอน  แต่กษัตริย์หนุ่มก็ปัดเรื่องนี้ออกโดยไว    เขาบินไปเรื่อย ๆ อย่างเร็วจี๋ไม่คิดชีวิต   แต่ดูเหมือนว่าสะพานกันนรกะจะยาวจนไม่มีที่สิ้นสุด  

            เหนือความคาดหมายใด ๆ  ชายหนุ่มได้ยินเสียงของนิมมานตะโกนไล่หลังมาติด ๆ  "ไปสิ ! หนีไปฟิกซ์   เร็วเข้า !  ตั้งสมาธิ   เจ้าถึงเมืองโลกันตร์แล้วนะ .....  สะพานเป็นเพียงภาพลวง   เป็นเวทมนตร์โบราณของท่านมังตรา   ข้าไม่อยากทำอะไรเจ้านะ  ฟิกซ์  !" ไคเชอร์ทำท่าจะเอี้ยวตัวไปมอง   แต่เขาก็ต้องหันกลับอย่างรวดเร็วด้วยความตกใจ  เมื่อนิมมานตวาดกร้าวด้วยเสียงแปล่งหู     

            "อย่าหันมา  ฟิกซ์  !  ถ้าเจ้าหันมา  ข้าจำต้องเอาเจ้ากลับ  ไม่ว่าจะด้วยวิธีใดก็ตาม  ขอร้องล่ะ  !  ได้โปรด   เจ้าคงไม่อยากเห็นข้าในตอนนี้   อ้า"   เสียงร้องแหลมสูงบาดจิตดังขึ้นขัดกลางลำประโยค    แต่แล้วเสียงนิมมานก็ดังขึ้นอีกครั้ง   คล้ายกับต่อสู้อยู่กับสิ่งใดสิ่งหนึ่งที่ไคเชอร์ไม่มีโอกาสแม้แต่จะหันกลับไปดู   มันเป็นความกดดันอย่างเหลือล้น   ยมทูตนิมมานระเบิดเสียงออกมาอย่างอัดอั้น   "ตั้งสติหน่อย  เจ้านกบ้า  เร็วเข้า  !  ข้าจะไม่ไหวอยู่แล้วนะ   ข้าไม่รู้ว่าเจ้าทำแบบนี้ทำไม   ข้ารู้ว่าเจ้าไม่ใช่ฟิกซ์ของข้า   แต่ข้าก็ดีใจที่เจ้าทำให้ข้ามีความสุข   เร็วเข้า  !  ข้าไม่สามารถต้านทานความรู้สึกได้นานหรอกนะ  เร็วเข้า  ฟิกซ์   ข้าไม่อยากทำ   ไม่ !"   ทุกอย่างเงียบกริบปราศจากสำเนียงใด ๆ   กษัตริย์หนุ่มอยากรู้ใจจะขาดว่าเหตุใดนิมมานถึงช่วยเขา   เขากำลังจะกลายเป็นอะไรงั้นหรือ  ?   เขาโดนคำสาปใช่มั้ย  ?   ใช่แล้ว  !  พิภพอสูรมีเวทมนตร์โบราณแฝงตัวอยู่เขาคงไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ใช่มั้ย  ?  โดยไม่ต้องรีรอ   ชายหนุ่มตอบคำถามตัวเองเสร็จสรรพ  แล้วรีบตั้งจิตอธิษฐานให้เขาพบเจอเมืองโลกันตร์  โดยลืมนึกถึงเนริตาเสียสนิท  ตอนนี้ปีกของฟิกซ์เริ่มหลุดร่วงเพราะอ่อนแรง     

            กษัตริย์หนุ่มรับรู้ถึงความร้อนที่ดาหน้าเข้ามาอย่างไม่ปรานีปราศรัย  และรับรู้ถึงสัญญาณอันตรายเบื้องหลังที่กำลังไล่ตามมาอย่างไม่ลดละ     เขาพยายามรวบรวมสติและสมาธิเพ่งไปที่เมืองโลกันตร์   ก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินไป   ไคเชอร์ได้ยินเสียงร้องโหยหวนหวีดหวิวของนิมมานปานขาดใจ   พร้อมกับลูกไฟมหึมาที่ลามเลียแพขนดกหนาของฟิกซ์จนเกิดเป็นแผลฉกรรจ์และคำสาปแช่งโบราณที่เขาหลบพ้นอย่างหวุดหวิด   หลังจากคำบอกรักห่วงใยของยมทูตนิมมานผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นเจ้านายฟิกซ์มาก่อน   กษัตริย์หนุ่มในร่างฟิกซ์พร้อมด้วยวิญญาณมิรันตีกลิ้งหลุน ๆ มาอยู่ต่อหน้าสัตว์อสูรจำนวนมากที่ยืนออกันอยู่เบื้องหน้าเพื่อดูเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น   บางตัวถึงขนาดกับลูกตาทะลักเลือดพุ่งกระฉูดด้วยความกลัว   บางตัวก็ส่งเสียงครวญครางอึ้งอึงขยาดหวาด   

            กษัตริย์หนุ่มตัดสินใจหันหลังกลับ  และเขาก็ต้องเบิกตาโพลงด้วยความตระหนกสุดขีด   เมื่อนิมมานไม่เหลือเค้าโครงร่างกายของมนุษย์เลยแม้แต่น้อย   ตาที่เคยมีเพียงสองขยายออกรอบหัว   จมูกที่มีเพียงหนึ่งถูกดูดกลืนเรียบรื่นไปกับใบหน้า     ปากที่เล็กกะทัดรัดกลับฉีกกว้างออกอย่างไม่มีที่สิ้นสุด   แขนขาที่เคยเรียวยาวกลับหนาเทอะทะเต็มไปด้วยเปลวอัคคี  ส่วนลำตัวที่เคยล่ำสันยืดตรงกลับขยายออกเป็นแนวกว้างแบนเรียบราวแผ่นกระดาษ   หัวใจสีแดงสดออกมาเต้นตุ๊บ ๆ อยู่ข้างนอกอย่างท้าทาย  ก้อนสมองสีชมพูยุ่บยั่บไหลย้อยคลอเคลียใบหน้าอันอัปลักษณ์   ลำไส้อันยาวยืดห้อยย้อยลากพื้นราวถูกควัก   สภาพของนิมมานน่าสมเพศยิ่งกว่าสัตว์อสูรตัวไหน ๆ เป็นที่สุด     "นี่หรือคือความร้ายกาจของคำสาปเวทมนตร์โบราณ"   ชายหนุ่มนึกย้อนไปถึงผู้เฒ่าบาเก้ที่เคยเปรยให้ฟังกราย ๆ ว่า  

            "คำสาปอันเกิดจากเวทมนตร์โบราณซึ่งเป็นมนต์ต้องห้าม   ไร้ปรานี  น่าขยะแขยง  สำหรับลงโทษผู้ซึ่งฝ่าฝืนกฎที่ผู้ลงอักขระได้กำหนดไว้ตามแต่จะประสงค์  คำสาปเวทมนตร์โบราณเป็นศาสตร์ของพิภพอสูร  ที่สำคัญมันจะสะท้อนตัวตนบุคลิกนิสัยของผู้ที่กำหนดคำสาป    ว่าแท้จริงแล้วเขาผู้นั้นมีจิตใจโหดร้ายเพียงไร   บางครั้งผู้ที่โดนคำสาปก็ไม่เป็นอะไรเลย    แต่บางครั้งก็หนักหนาสาหัสเอาการอยู่    แต่สิ่งที่เหมือนกันก็คือ   ผู้ที่โดนคำสาปจะสูญเสียความทรงจำไปและถูกขังอยู่ใต้นรกอเวจีตลอดกาลชั่วกัลปาวสานถ้าเขาพยายามฝ่าฝืนมันเกินสองครั้ง    แม้แต่ผู้สร้างคำสาปก็มิอาจถอนกลับคืนได้ถ้าเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้น   

            .....  คำสาปนี้ถือกำเนิดจากมังคาจ้าวแห่งพิภพอสูรอันชั่วร้าย   มังคาดัดแปลงมันจนกลายเป็นคำสาปอันน่าสยดสยอง   จากนั้นเมื่อผู้วิเศษขาวรับรู้ถึงความโหดเหิ้ยมนี้   พวกเขาก็ช่วยกันปิดผนึกคำสาปไว้ถ้ำเหมกาญที่อัศวมณี   แต่แล้วเมื่อเมซาตัวปรากฏ   มนต์ปิดผนึกก็ถูกทำลาย   คำสาปเวทมนตร์โบราณลอยคว้างไปตามอากาศ  มันแทรกซึมทุกอณูของพื้นพิภพเพื่อจะกลับไปยังถิ่นกำเนิด   จนกระทั่งศราณีได้ถือกำเนิดมังตราบุตรชาย   คำสาปจึงได้คืนสู้เหย้ายังพิภพอสูรเพราะเสียงร้องของมังตรานั่นเอง"  

            ไคเชอร์มองหน้านิมมานที่แผดเสียงร้องคำรามสลับกับเสียงร้องหงิง ๆ อย่างสงสารจับใจ  "นิมมานเคยกระทำการฝ่าฝืนมาแล้วถึงสามครั้ง  เขาคงไม่มีโอกาสกลับไปเป็นนิมมานผู้เดิมอีกต่อไป"  เสียงเนริตาลอยเข้ามา  เป็นผลให้กษัตริย์หนุ่มสะดุ้งโหยงสุดตัว   ไคเชอร์จะไม่มีวันลืมเลือนนิมมานผู้นี้เลย   เขาก้มหน้าไว้อาลัยให้แก่นิมมาน  ยมทูตหนุ่มผู้สง่างาม   พร้อมหลั่งน้ำตาออกมาอย่างพรั่งพรูหยุดไม่อยู่   เขาจะจดจำความอ่อนโยน  ความละมุนละไม  ความรักอันบริสุทธิ์ของนิมมานที่มีต่อฟิกซ์ไว้ในใจอย่างไม่เสื่อมคลายจวบจนชีวิตจะหาไม่   ถ้าเป็นไปได้  .....  ไคเชอร์ปฏิญาณกับตัวเอง   ว่าเขาจะถ่ายทอดเรื่องราวต่าง ๆ ให้ฟิกซ์ได้รับรู้อย่างแน่นอน   และกษัตริย์หนุ่มจะพึงระลึกถึงความดีของนิมมานเช่นนี้ไปนานแสนนานชั่วนิจนิรันดร  

            เนริตาที่นั่งทางในอยู่รับรู้เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างช่วยไม่ได้   หยาดน้ำใส ๆ  เอ่อล้นปริ่มดวงตาโดยไม่ได้ตั้งใจ   เธอแผ่เมตตาไปให้นิมมาน  และมันก็ได้ผลถึงแม้จะไม่มาก   เพราะนิมมานเงียบเสียงลงได้ถนัดใจ   ตอนนี้เขาหายทรมานแล้ว   พร้อมกำลังเดินตามหมู่นายนิรยบาลเพื่อไปยังอเวจีอย่างว่าง่าย   และภาพสุดท้ายของไคเชอร์ก่อนที่ทุกอย่างจะอันตรธานหายไป   นิมมานในร่างเดิมซ้อนทับกับร่างใหม่    กล่าวขอบคุณไคเชอร์ที่ทำให้เขามีความสุขก่อนวาระสุดท้ายจะมาถึง   กษัตริย์หนุ่มอมยิ้มอย่างปลื้มปิติ   ตอนนี้ตัวเขากลับมาอยู่บนพื้นพิภพมนุษย์เป็นที่เรียบร้อยพร้อมวิญญาณของมิรันตี   ด้วยความช่วยเหลือจากเนริตาที่สลบเหมือดเพราะสูญเสียพลังไปเยอะเกินอัตราและราชิทก็กำลังดูแลทั้งคู่อย่างขะมักเขม้น   ผู้วิเศษหนุ่มทำหน้าที่ได้อย่างไม่ขาดตกบกพร่องจนผล็อยหลับไปในที่สุด   ตอนนี้วิญญาณของนิมมานก็เช่นกันเขากำลังล่องลอยอยู่ในห้วงแห่งความสุขที่เขาจะได้พบเจอกับฟิกซ์แม้มันจะยังไม่ถึงเวลาก็ตาม

            ขอบคุณสำหรับการติดตามค่ะ 

            และเช่นเคย  ข้อคิดดี ๆ จากศึกชิง ฯ เก่าค่ะ

            ปรัชญาที่ชาวจีนถือว่าเป็นมนตรานำโชคมาสู่ชีวิต (เเต่ชาวไทยก็นำมาใช้ได้เจ้าค่ะ)  

    1. จงให้มากกว่าที่ผู้รับต้องการ  และทำอย่างหน้าชื่นตาบาน

    2. จงพูดกับคนที่ถึงแม้จะอายุน้อยกว่าแต่เขาก็มีความสำคัญเท่ากัน

    3. จงอย่าเชื่อทุกอย่างที่ได้ยิน ใช้ทั้งหมดที่มี และนอนเท่าที่อยากจะนอน

    4. เมื่อกล่าวคำว่า "ฉันรักเธอ" จงหมายความตามนั้นจริง ๆ

    5. เมื่อกล่าวคำว่า "ขอโทษ" จงสบตาเขาด้วย

    6. ก่อนจะตัดสินใจแต่งงาน จงหมั้นเสียก่อนอย่างน้อย 6 เดือน

    7. จงเชื่อในรักแรกพบ

    8. อย่าหัวเราะเยาะความฝันของผู้อื่น คนที่ไม่มีฝันก็เหมือนไม่มีอะไร

    9. เมื่อรักจงรักให้ลึกซึ้ง และ ร้อนแรง าจจะต้องเจ็บปวด แต่นั่นคือหนทางเดียวที่ทำให้ชีวิตถูกเติมเต็ม

    10. ในเหตุการณ์ขัดแย้ง จงโต้ตอบอย่างยุติธรรม ไม่มีการตะโกนใส่กัน

    11. อย่าตัดสินคนคนเพียงเพราะญาติๆ ของเขา

    12. จงพูดให้ช้าแต่ต้องคิดให้เร็ว

    13. ถ้าถูกถามด้วยคำถามที่ไม่อยากตอบ จงยิ้มแล้วถามกลับว่าจะรู้ไปทำไม

    14. จงจำไว้ว่า สองสิ่งที่ยิ่งใหญ่ คือความรัก และความสำเร็จล้วนต้องมีการเสี่ยง

    15. พูดว่า ขอพระคุ้มครอง เมื่อได้ยินใครจาม

    16. เมื่อพ่ายแพ้ จงอย่าสูญเสียบทเรียนไปด้วย

    17. จงจำ 3 R :- นับถือผู้อื่น นับถือตนเอง รับผิดชอบในสิ่งที่ตัวเองทำ

    18. จงอย่าให้ความขัดแย้งเล็กๆ น้อยๆ มาทำลายมิตรภาพที่ยิ่งใหญ่

    19. ทันทีที่รู้ตัวว่าทำผิด ลงมือแก้ไขทันที

    20. จงยิ้มเวลารับโทรศัพท์ ผู้ฟังจะเห็นได้จากน้ำเสียงของเรา

    21.จงหาโอกาสอยู่กับตัวเองบ้าง


    เอว่าเเต่ข้อ 7 เนี่ย  จะเชื่อได้รึเปล่านะ   ยังไงคนที่เคยมีประสบการณ์ก็บอกด้วยนะคะ  อิอิ
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×