ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ศึกชิงจ้าวพิภพ ภาค มนตราอัศวมณี

    ลำดับตอนที่ #4 : *กลวิธีอันแยบยล*

    • อัปเดตล่าสุด 12 เม.ย. 49



            9 / 12 /48


            ^0^คุยกันก่อนนะคะ^0^

            ขอโทษที่พิ้งค์หายไปเกือบเดือนเลย  เพื่อน ๆ หลายคนคงลืมไปแล้ว  แต่ไม่เป็นไรค่ะ  ไม่ว่ากัน  (ก็พิ้งค์ผิดเองล่ะที่หายไปนาน)   พอดีช่วงนี้มีอะไรวุ่น ๆ น่ะค่ะ  ไหนจะต้องไปอยู่เป็นเพื่อนคุณป้า  ไปหาคุณแม่ที่เพชรบุรี  และยังต้องคอยซุ่มจับขโมยอีก  ตอนนี้เลยกลายเป็นว่าพิ้งค์ต้องนอนตอนกลางวันแล้วตื่นกลางคืนไปเลย  เฮ้อ  !  พิ้งค์เลยไม่มีอารมณ์แต่งเท่าที่ควร  ไม่ว่ากันนะคะ  

            แต่พอดีตอนนี้ยังไม่ง่วง  เลยขอลุยซะหน่อย  ลงต่อให้อีกตอนนะคะ  ขอบอกว่าตอนนี้ยาวมากเลย  ตัดไม่ได้จริง ๆ ค่ะ  ตั้ง 12 หน้าแน่ะ  ทุกทีแค่ 10 หน้าเอง  ทนอ่านหน่อยนะคะ  รับรองสนุกไม่แพ้กันแน่ ๆ (ไม่ค่อยหลงตัวเองเลยเนอะ)  อิอิ  

            สำหรับคนที่พิ้งค์ยังไม่ได้ไปเยี่ยม   ก็ขอโทษด้วยนะคะ  จะพยายามไปเยี่ยมให้ครบแน่นอนค่ะ  (ถ้าไม่ง่วงนอนซะก่อนนะ  เพราะตอนนี้เหลือบ้านพิ้งค์กับเพื่อนบ้านอีก 2 หลังที่ขโมยยังไม่ขึ้น  ต้องเข้มงวดสุด ๆ เลยค่ะ  ตอนกลางวันก็ใช่ว่าจะสงบสุข  พิ้งค์ต้องตื่นตลอดเลย   คอยดูน้องหมา  เพราะกลัวมันวางยาเบื่อ  เฮ้อ !  เหนื่อยสุด ๆ เลยค่ะ  สรุปวันหนึ่ง  24 ชั่วโมง  พิ้งค์ยังนอนไม่ถึง  10  ชั่วโมงเลย)  แต่ยังไงก็จะพยายามไปเยี่ยมทุกคนนะคะ   อาจจะนานสักหน่อย  รอหน่อยนะคะ อย่าเพิ่งน้อยใจ   และอย่าคิดว่าพิ้งค์จะทิ้งเรื่องนะ  ไม่มีทาง  !  200 % เลยค่ะ  อิอิ

            ขอบคุณทุกคนที่ยังคงติดตามและให้กำลังใจพิ้งค์นะคะ  เอาเป็นว่าไม่พูดมากดีกว่า  ลุยเลยนะคะ  

            *กลวิธีอันแยบยล*

            เมื่อทั้งสามรับประทานอาหารเสร็จ   พวกเขามานั่งพักผ่อนหย่อนใจที่ลานกว้างหน้าพระราชวังอันวิจิตรงดงาม   ซึ่งถูกปั้นแต่งโดยธรรมชาติ   ดวงเดือนเคลื่อนคล้อยอ้อยอิ่งอยู่บนฟากฟ้าส่องแสงระยิบระยับวิบวับ   ดวงจันทร์กลมโตสุกใสลอยนิ่งเด่นเป็นสง่าอยู่ท่ามกลางความมืดมิด    ที่รอบด้านประดับไปด้วยโคมไฟระย้าห้อยย้อยเป็นระยะ ๆ ติดอยู่กับหมู่แมกไม้ใหญ่ที่ขึ้นห้อมล้อมพระราชวังเป็นทางยาว   เรียงร้อยด้วยหมู่มวลไม้ดอกหลากสีสันที่ตั้งตรงดิ่งผงาดชูชันแข่งแสงดาราดวงอย่างไม่ย่อท้อ   พร้อมกับมีนักดนตรีเอกตัวจ๋อยส่งเสียงจ๊อกแจ๊กจอแจ   สร้างความครึ้นเครงให้บรรยากาศอันเงียบเชียบราวเนรมิต   สองชายหนึ่งหญิงกำลังนั่งคุยถกปัญหากันอย่างเคร่งเครียด   ท่ามกลางเพลงบรรเลงจากธรรมชาติที่สรรสร้างขึ้นมาเพื่อจรรโลงพิภพของเราให้คงอยู่อย่างร่มเย็นตลอดมา

            "เอาล่ะนะ  สิ่งแรกที่เจ้าจะต้องทำ   ไคเชอร์  ....  คือเรียกเหยี่ยวทมิฬออกมา   จากนั้นข้าจะนำวิญญาณของเจ้าไปใส่ไว้ในตัวเหยี่ยวทมิฬ    เพื่อเจ้าจักได้ควบคุมมันตามประสงค์    เสร็จแล้วเจ้าก็ลงไปทำภารกิจของเจ้าได้เลย   ข้าจะคอยนำทางเจ้าจนไปถึงนรก  จากนั้นก็เป็นหน้าที่ของเจ้าที่จะต้องใช้ฝีมือกับความชาญฉลาดในการฉกวิญญาณมิรันตีมาเอง   นี่คือการไปนรกอย่างปลอดภัยที่สุด"  เนริตาพูดด้วยน้ำเสียงจริงจังทำเอาสองพี่น้องทำหน้าเหยเกบอกบุญไม่รับ   ราชิทถึงกับสบถออกมา  "ปลอดภัยตรงไหนว่ะ"  แต่ก็มิอาจรอดพ้นหูของเนริตาไปได้   เธอยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์

            "ปลอดภัยตรงที่ข้าสามารถทำให้ไคเชอร์ควบคุมมันได้น่ะสิ   เพราะถ้าขืนปล่อยให้มันไปทำงานนี้เองล่ะก็   รับรองมันไม่มีทางกลับมาหาน้องเจ้าอย่างแน่นอน   ที่สำคัญ  !   น้องเจ้าจะต้องตายอย่างเจ็บปวดทรมานรวดร้าวเมื่อขาดมัน    เพราะทุกวันนี้มันก็ถือเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของไคเชอร์   รู้ไว้ซะด้วย  ราชิท"  เมื่อได้ฟังดังนั้นทั้งราชิทและไคเชอร์ก็หน้าซีดเจื่อนสนิท   จนหาสีเลือดไม่เจอ   ผู้เป็นพี่ถึงกับเบนหน้าหนีทันที   ส่วนกษัตริย์หนุ่มได้แต่ทำตาปริบ ๆ 


            ครั้นเมื่อถึงเวลา   ไคเชอร์สั่งเหล่าข้าราชบริพารที่เดินเตร็ดเตร่อยู่ด้านนอกเข้าไปอยู่วังคาราให้หมด   พร้อม ๆ กับที่ราชิทสำรวจสำทับอีกทีเพื่อให้แน่ใจก่อนจะลงมนต์ปิดตาย   กันมิให้มีใครเล็ดลอดออกมาได้แม้แต่ผู้เดียว  จากนั้นกษัตริย์หนุ่มจึงเริ่มลงมือท่องคาถา  "อัมเปลอัม  อูเรวากันตา   ปามียานะระกา"   ทันใดนั้นท้องฟ้าที่เคยสดใส  ก็เเปรเปลี่ยนเป็นดำทมิฬ  ร่างของเขาลอยสูงขึ้น  พร้อมเสียงกรีดร้องโหยหวนแสบแก้วหูจนราชิทและเนริตาต้องเอามือป้องหู   บังเกิดเป็นเเสงสีขาวสว่างจ้า   เผยให้เห็นร่างของนกยักษ์สีดำกำลังใช้กรงเล็บอันเเหลมคมแหวกอกไคเชอร์เพื่อดันร่างอันใหญ่โตออกมาอย่างทุลักทุเลยากลำบาก   เลือดสด ๆ ไหลรินเป็นสาย  ส่งกลิ่นเหม็นคละคลุ้งไปทั่ว  เจ้านกยักษ์ยันกายของกษัตริย์หนุ่มก่อนจะพุ่งทะยานเเผดเสียงคำรามกึกก้องกัมปนาททั่วพื้นนภา   

            ไคเชอร์ร้องเสียงหลงด้วยความเจ็บปวดเป็นครั้งสุดท้าย  ก่อนจะตกฮวบลงสู่พื้น  เลือดสีเเดงฉานไหลทะลักออกมาจากตัวโดยไม่มีทีท่าว่าจะหยุด  ราชิทรีบปรี่มาดูน้องชายของตนด้วยความเป็นห่วง   เเต่จู่ ๆ กษัตริย์หนุ่มก็ลุกขึ้นมานั่งขัดสมาธิ  และพึมพำคาถาที่ราชิทไม่ได้ยิน  จนเกิดเป็นเเสงสีขาวห่อหุ้มตัวเอาไว้  เเสงนั้นแทรกซึมเข้าไปในบาดเเผลของไคเชอร์จนหายเป็นปกติ     เนริตาจึงรีบสั่งกษัตริย์หนุ่มให้เรียกเหยี่ยวทมิฬที่กำลังโผบินอย่างร่าเริงอยู่บนห้องนภากลางหาวลงมาทันที   ไคเชอร์พยักหน้าแล้วผิวปากเป็นจังหวะ  เจ้านกยักษ์ก็บินร่อนมาหาในทันที   มันใช้จะงอยปากอันใหญ่โตจิกลงบนไหล่ของเจ้านายอย่างทะนุถนอม  พร้อมใช้สายตาอันคมกริบจ้องมองแขกทั้งสองอย่างไม่ยินดีปรีดาเท่าไหร่นัก   กษัคริย์หนุ่มจึงเอ่ยปากถามเนริตาที่กำลังจ้องมองนกยักษ์อย่างเอาเป็นเอาตาย

            "แล้วเราจะทำยังไงต่อครับ"   ผู้วิเศษสาวพยักหน้าแล้วยิ้มน้อย ๆ 

            "ข้าจะสะกดวิญญาณฟิกซ์ให้หยุดนิ่ง   พร้อมใช้ศิลาวิญญูดึงวิญญาณของเจ้าใส่ไปในตัวฟิกซ์"   สองพี่น้องมองหน้ากันอย่างงุนงงเมื่อได้ยิน   เนริตาถอนหายใจเฮือกใหญ่   "นี่ละน้า  !  ราชิท  การที่เจ้ามาอยู่พิภพมนุษย์ตั้งแต่เด็ก   มันเลยทำให้เจ้าไม่รู้จักอะไรเลย   ศิลาวิญญูเป็นหินที่แฝงตัวอยู่ในภูผาอัคคียังพิภพอสูร   มันเป็นหินสูบวิญญาณ   เป็นมนต์ดำของพวกอสูร   เป็นมนต์ต้องห้ามของผู้วิเศษ   ในการใช้แต่ละครั้งผู้ทำพิธีจะต้องสูญเสียพลังหนึ่งในสี่ส่วนพร้อมกับเลือดสิบสองหยด   ที่สำคัญมันจะสามารถใช้ได้เพียงครึ่งเพลา*เท่านั้น   ถ้าเกินไปกว่านั้นศิลาวิญญูจะสูญสลายมลายมอดไหม้เป็นไฟบัลลัยกัลป์เผาผลาญร่างและวิญญาณที่มันอาศัยอยู่มิให้ได้ผุดได้เกิดจมอยู่ในห้วงอนธกาลไปชั่วนิรันดร์"   ชายหนุ่มทั้งสองอ้าปากค้างเมื่อได้ฟัง   เขาเอ่ยขึ้นพร้อมกันอย่างร้อนใจ   "สูญเสียพลังหนึ่งในสี่ส่วน"   ผู้วิเศษสาวได้ยินก็ยิ้มหน้าชื่นตาบานราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น   จนราชิทและไคเชอร์ขมวดคิ้วมุ่น   
     
            "ใช่  !  สูญเสียพลัง    แต่ก็ไม่เป็นไรหรอก   แค่หนึ่งในสี่ส่วนเอง   ในเมื่อวิธีนี้เป็นทางเลือกสุดท้ายแล้วนี่"  เนริตาบ่นกระปอดกระแปด   ผู้วิเศษหนุ่มได้ยินดังนั้นจึงโพล่งถามออกไป    "ทำไมถึงไม่เอาวิญญาณข้าไปใส่ในตัวฟิกซ์เล่า  ?"  หญิงสาวได้ยินก็ส่ายหน้าน้อย ๆ  

            "ไม่ได้หรอก  เพราะเจ้ายังไม่รู้จักการกลบกลิ่นไอเลยแม้แต่น้อย   กลิ่นไอของผู้วิเศษไม่มีอะไรสามารถกลบได้นอกจากเจ้าตัวเองเท่านั้น   และเจ้าไม่ต้องคิดจะถามข้าอีกนะ   ว่าทำไมข้าถึงไม่สอนเจ้า  ?"   เนริตาพูดอย่างรู้ทันเมื่อเห็นราชิทกำลังเผยอปาก   "การกลบกลิ่นไอไม่ใช่ว่าจะสอนกันได้แค่วันเดียวนะ   ขนาดผู้วิเศษอาวุโสบางคนฝึกมาเป็นพัน ๆ ปี  ยังทำไม่ได้เลย   มันเป็นศาสตร์ที่ละเอียดอ่อน   ต้องใช้ความอดทนความและความเชื่อมั่น  ซึ่งสำหรับเจ้า    ข้าไม่เถียงว่าอย่างแรกเจ้าอาจจะมี    แต่อย่างที่สองเจ้าไม่มีแน่แท้  ราชิท  !  

            เพราะการที่เจ้าตัดสินใจออกจากอัศวมณีแล้วมาอยู่ยังพิภพมนุษย์   ก็เท่ากับว่าเจ้าได้ขาดความเชื่อมั่นแล้ว  ส่วนเรื่องการนำวิญญาณของเจ้าไปใส่ในตัวฟิกซ์   ลืมไปได้เลย   เพราะมันคงไม่ยอมรับเจ้าเป็นแน่แท้    เจ้าอย่าลืมสิ   !  ว่ามันอาศัยร่างใครอยู่   ที่สำคัญถึงแม้เจ้าจะกลบกลิ่นไอได้แต่เจ้ากับข้าก็ลงไปไม่ได้อยู่ดี   เพราะนรกไม่ใช่ที่อันสมควรซึ่งผู้วิเศษจะต่อกลอนด้วย    ข้อนี้เจ้ารู้ดีกว่าใคร   เพราะเจ้าเคยผ่านมันมาแล้วมิใช่หรือ ?"  ราชิทได้ยินจึงเงียบเป็นเป่าสาก   ทว่ากษัตริย์หนุ่มกลับเริ่มสงสัยในตัวพี่ชายของเขามากยิ่งขึ้นแต่ทั้งนี้ทั้งนั้นความสงสารราชิทที่ถูกเนริตาตัดพ้อก็มีมากกว่า   ไคเชอร์จึงสลัดความคิดชั่ววูบเมื่อครู่ทิ้งไป   แต่ก็ไม่กล้าที่จะเข้าไปปลอบราชิทแม้แต่น้อย    เขาจึงทำได้เพียงเอ่ยขึ้นเพื่อทำลายความเงียบที่เริ่มโรยตัวมาอีกครา

            "แล้วเราจะเริ่มกันได้รึยังครับ  ?  คุณเนริตา"   หญิงสาวที่กำลังยืนครุ่นคิดถึงกับสะดุ้งโหยง   เธอพยักหน้าหงึกหงัก   พร้อมสะกดจิตฟิกซ์และร่ายมนต์สกัดวิญญาณ   แล้วหันมาปฏิบัติต่อกษัตริย์หนุ่มแบบเดียวกันจนดวงตาสีดำเวิ้งว้าง   เหม่อลอย  ไร้การสนองตอบใด ๆ   "ศิลาวิญญู    มนต์อสูรสะท้านฟ้า   ข้าขอสั่ง   จงปรากฏ"  ฉับพลันอากาศก็อบอ้าวร้อนระอุดั่งไฟบรรลัยกัลป์แผดเผา   หินสีเลือดได้ถือกำเนิด   มันพวยพุ่งขึ้นมาอย่างไม่หยุดยั้งราวกับน้ำพุพร้อมสะเก็ดเพลิงนับแสนนับล้าน  

             ทั้งหมดหล่อหลอมรวมกันจนเกิดเป็นศิลาวิญญูสีแดงเลือด   แวววาวเงาวับดุจมณีจรัสเจิดจ้าท้าทายแสงจันทร์สีนวลผ่องที่สาดส่องอย่างเย้ยหยัน   มันลอยมาอยู่ในมือของเนริตาที่ยืนกระหยิ่มยิ้มย่องอย่างพึงพอใจ   ท่ามกลางความอึ้งทึ่งของราชิทในความเก่งกาจชาญฉลาดของหญิงสาวซึ่งเขาสู้ไม่ได้แม้แต่น้อย   ผู้วิเศษสาวหันมายิ้มให้ชายหนุ่มนิดนึง   ก่อนจัดแจงนำมันไปวางไว้บนหน้าผากของไคเชอร์   บังเกิดเป็นแสงสีแดงยวงห่อหุ้มร่างของกษัตริย์หนุ่มไว้  หญิงสาวใช้กริชกรีดข้อมือตัวเอง   เลือดสีแดงสดไหลเป็นทางพร้อมค่อย ๆ บรรจงหยดลงบนศิลาวิญญูอย่างประณีตจนครบตามต้องการ   

            ฉับพลันผู้วิเศษสาวก็กรีดร้องเสียงดัง  ไอสีม่วงพวยพุ่งออกจากตัวไปยังศิลาที่ลอยเคว้งอยู่เหนือศีรษะกษัตริย์หนุ่ม   ศิลาหมุนติ้วอยู่สิบสองรอบ  หญิงสาวก็กระเด็นออกมาด้วยแรงดีดมหาศาลเกินคณานับ   ดีที่ราชิทเข้าไปรับร่างแบบบางของเธอได้ทัน  มิเช่นนั้นตัวเธอคงบอบช้ำจากแรงกระแทกเป็นแน่แท้    ศิลาวิญญูเริ่มเคลื่อนลงต่ำ   ปรากฏเป็นชายหนุ่มหน้าตาอัปลักษณ์   ผิวตะปุ่มตะปั่มมีแต่รอยไหม้เข้ามาแทนที่   ดวงตากลวงโบ๋สีแดงเลือดกำลังจับจ้องผู้วิเศษทั้งสองอย่างไม่วางตา   เขาสูดลมหายใจเข้าช้า ๆ   ฉับพลันไอสีขาวก็ลอยขึ้นเหนือร่างของไคเชอร์   แลเห็นดวงหน้าจาง ๆ ของกษัตริย์หนุ่มที่หันมายิ้มให้เนริตาและราชิทชั่วประเดี๋ยวก่อนจะถูกดูดเข้าไปในจมูกของชายหนุ่มหน้าตาอัปลักษณ์จนหมดสิ้น   พร้อม ๆ กับชายหนุ่มผู้นั้นก็อันตรธานหายไป   แต่ยังทิ้งซุ่มเสียงอันไพเราะซึ่งขัดกับหน้าตาราวฟ้ากับเหวลอยกระทบโสตประสาตของผู้วิเศษทั้งสอง  "จงอย่าลืม  จำขึ้นใจ   เมื่อเริ่มใช้  สิบสองยาม"   

            จบคำศิลาวิญญูตกดิ่งลงสู่พื้นหญ้าทันที   หญิงสาวใจหายวาบ   เธอกุลีกุจอวิ่งไปควานหาอย่างเร่งรีบด้วยใจเป็นกังวล   พร้อมพ่นลมหายใจเสียงดังเมื่อศิลาอยู่ในมือเล็ก ๆ ของเธอเป็นที่เรียบร้อย   เนริตาลุกพรวดทันทีและก็ต้องทรุดฮวบทันใด   ราชิทเข้ามาประคองเธอด้วยความรู้สึกเดิม ๆ ที่ถาโถมเข้ามาราวระลอกคลื่นเมื่อได้ใกล้ชิดกัน    ชายหนุ่มพาเธอมานั่งพักเอาแรงตรงลานหน้าพระราชวัง  แต่เพียงชั่วครู่ผู้วิเศษสาวจอมเฮี้ยวก็ดึงดันจะไปจัดการให้เสร็จสรรพ   ราชิทจึงไม่คิดจะรั้งเธอไว้ต่อไป   ชายหนุ่มได้แต่คอยดูห่าง ๆ และเดินตามหญิงสาวที่เซตุปัดตุเป๋ไปตลอดทางทุกฝีก้าวอย่างห่วงหาอาทร   เธอเดินโอนเอนกระย่องกระแย่งจนมาถึงร่างของฟิกซ์และไคเชอร์   

            จากนั้นผู้วิเศษสาวก็รวบรวมกำลังทั้งหมดใช้กริชกรีดหน้าอกอันหนาเทอะทะมโหราฬของฟิกซ์ทันที   พร้อมใช้มือแหวกออกแล้วเอาศิลาวิญญูใส่เข้าไป   แต่ก็ไม่วายต้องออกแรงกด   เพราะศิลาวิญญูนับว่าเป็นสิ่งสูงส่งถึงแม้จะอยู่ในพิภพอสูรก็ตาม   ดังนั้นมันจึงถือตัวไม่ยุ่งเกี่ยวกับพวกสวะชั้นต่ำอย่างฟิกซ์และสัตว์อสูร   ศิลาวิญญูกำลังต่อสู้อย่างสุดกำลังกับเนริตา   มันพยายามอย่างสุดความสามารถที่จะดันตัวให้โผล่พ้นออกมาจากสองมือเล็ก ๆ ที่เริ่มอ่อนระโหยโรยแรง   หญิงสาวกัดฟันสุดฤทธิ์ดันมันลงไป   น้ำตาของเธอไหลพรากด้วยความเจ็บปวดเมื่อศิลาวิญญูเริ่มเปลี่ยนสภาพตัวเองเป็นกริชแหลมคมเพื่อกรีดมือเล็ก  ๆ ของเธอ  

            บัดนี้ผู้วิเศษสาวนัยน์ตาพร่ามัว  สมองเริ่มเรือนลางไม่สั่งการ   ร่างกายชาเชือนไร้ความรู้สึก   แต่ในความมืดมนย่อมมีแสงสว่างเสมอ    หญิงสาวสัมผัสถึงการมาของใครคนหนึ่ง   เธอรับรู้ท่วงท่าที่มือใหญ่กว่ากดทับมือเธอลงไปอีกที   ความอบอุ่นแผ่ซ่านทั่วทุกอณูของหญิงสาว   ชั่วพริบตาเธอนึกรักชายหนุ่มผู้นี้ขึ้นมาทันใด  แต่แล้วห้วงคนึงก็พังทลาย   เมื่อเขาถอนมือออก   แล้วเขย่าเธอเบา ๆ พร้อมเรียกชื่อ   เจ้าหล่อนหลุดออกจากภวังค์ทันที   ดวงตาปรือ   อื้ออึงกึ่งรับรู้   และสรรพเสียงสุดท้ายที่เธอสำนึกได้ก่อนที่ทุกอย่างจะดับวูบลง   "เสร็จแล้ว  เนริตา  เราทำได้   ฟื้นสิ  ! เจ้าอย่าหลับนะ  ฟื้นสิ" ราชิทกอดร่างแน่นิ่งแนบแน่นกับอกตัวด้วยความสงสารระคนกังวล    

            ชายหนุ่มน้ำตาไหลอาบแก้มโดยไม่รู้ตัว  หยาดใส ๆ หยดลงบนดวงหน้าของหญิงสาวที่ไร้การตอบสนอง   ดั่งหยาดทิพย์ชโลมชีวิน  เนริตาค่อย ๆ เผยอเปลือกตาที่เต็มไปด้วยแพดกหนาขึ้นอย่างช้า ๆ ราวกับนกยุงรำแพน   ไหล่ไหวลู่เอนไปตามแรงไอ  เป็นผลให้ราชิทกระชับเธอแน่นเข้าไปอีกด้วยความดีใจ   ชายหนุ่มพร่ำพรรณนาอย่างสุดทน   "ข้าขอโทษ   ข้าช่วยอะไรเจ้าไม่ได้เลย   ข้าขอโทษนะ   ข้าดีใจที่เจ้าไม่เป็นอะไร   ยกโทษให้ข้านะ  เนริตา" หญิงสาวอมยิ้มน้อย ๆ  พยักเพยิดอย่างขวยเขิน   พร้อมซบลงฟังเสียงหายใจถี่ระรัวของเขาอย่างหลงรักเข้าเต็มเปา   ในตอนนี้ผู้วิเศษสาวพร้อมจะทำทุกวิถีทางเพื่อให้ได้ราชิทมาครอบครอง    แต่เมื่อเธอนึกถึงมิรันตีเพื่อนสาวที่ยอมให้เธอได้ทุกอย่างแม้แต่ชีวิตตั้งแต่เด็กจนโต   ความคิดชั่วร้ายเมื่อครู่ก็พลันสูญสลายมลายหายไปจนสิ้น  เนริตากระเด้งตัวขึ้นจากอ้อมกอดของราชิทในทันใด   

            เธอขอเพียงคอยดูเขาอยู่ห่าง ๆ .....  

            ให้กำลังใจเขาอยู่เบื้องหลังแม้เขาจะไม่รู้ก็ตาม  .....   

            เก็บเขาอยู่ในใจภายใต้ห้วงคะนึงถวิลหายามโดดเดี่ยว .....   

            ซึมซับความอบอุ่นเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่เขาอาจจะเผื่อแผ่มาถึง .....  

            สูดดมกระไอหอมจาง ๆ ที่ออกมาจากตัวเขายามได้ใกล้ชิดกัน  ......  

            เสียสละได้ทุกอย่างแม้นชีวิตเพื่อเขาคนที่เธอรัก .....

            และสุดท้ายจดจำความรู้สึกดี ๆ ที่เขามีให้เธอแม้จะมีเส้นด้ายบาง ๆ ของคำว่าเพื่อนกั้นกลางอยู่ก็เพียงพอแล้ว   แค่นี้เธอก็มีความสุขซาบซ่านจนยากจะลืมเลือนไปชั่วนิจนิรันดร์   มันเป็นความสุขของการไม่ได้ครอบครองเป็นเจ้าของ   แต่เป็นความสุขของการเสียสละและปล่อยวางที่เธอจะรู้สึกอิ่มเอิบชื่นบานเมื่อได้ปฏิบัติมันอย่างจริงใจ  

            เธอมองหน้าราชิทที่แสดงสีหน้าห่วงใยปริวิตก    จนเผยอยิ้มน้อย ๆ  ช่างดูน่ารักยิ่งนัก  แก้มบุ๋มที่เกิดจากลักยิ้มกรีดเป็นรอยลึก   ดวงหน้าที่แม้จะซีดเซียวแต่ยังคงความสดใสในดวงตาสีม่วงที่เป็นประกายงดงาม  แก้มสีชมพูฝาดดูสุขภาพดี   ปากอวบอิ่มไร้สีเลือดแต่ก็สวยงามแช่มช้อยยิ่งกว่าใคร  ๆ  ผู้วิเศษหนุ่มจ้องมองเธอด้วยใจสะท้านไหว   เขาเริ่มกลับสู่วังวนเดิม ๆ จนยากจะถอนตัวขึ้นอีกครา

            "ข้าไม่เป็นไรแล้ว   ขอบใจเจ้านะ   ราชิท"   เธอเรียกชื่อเขาอย่างเศร้าสร้อย   ชายหนุ่มได้ยินดังนั้นก็จ้องลึกเข้าไปในดวงตาสีม่วงที่หลุบลงต่ำจนเห็นได้ชัด   เขาประคองหน้าเธอเบา ๆ อย่างทะนุถนอม    พร้อมกระซิบแผ่วเบาด้วยใจที่จวนเจียนจะละลาย   "ข้า  ....  ข้าเลิกรักเจ้าไม่ได้   เนริตา"   กล่าวจบก็ดึงเธอเข้ามากอดด้วยความรู้สึกวาบหวามรัญจวนใจ    จนหญิงสาวเริ่มสะอึ้นไห้น้อย ๆ  ด้วยความรู้สึกผิด   ผู้วิเศษหนุ่มจึงกระชับเธอแน่นขึ้นอีกด้วยความหวงแหน    เขามิอยากให้ใครมาพรากเธอ   อยากให้เวลาหยุดเดินเพียงเท่านี้   ความรู้สึกที่ถูกปิดกั้นมานาน   ความรู้สึกที่ถูกกักเก็บบ่มเพาะจนกลายเป็นความรักที่ลึกซึ้งจนยากจะปฏิเสธ   

            .....  ผู้วิเศษทั้งสองเคยแอบลักลอบรักกันทางใจมานานเนิ่นนาน   แต่ทั้งคู่ก็พยายามปฏิเสธตัวเองอยู่ทุกคราวร่ำไป   จนกระทั่งกำแพงหลอกตัวเองเริ่มพังทลายไปทีละน้อย  ๆ  ด้วยความใกล้ชิด   ความสนิท  ความผูกพัน   จนไม่เหลือแม้แต่เศษเสี้ยวของอิฐและปูนที่เป็นรากฐาน   เลยทำให้ทั้งคู่ต้องเผชิญกับความจริงอันหนักหน่วงและยากเย็นของความรู้สึกโหยหาตราตรึง   เพราะคำว่าเพื่อนเพียงคำเดียว   ทั้งราชิทและเนริตามิอาจทรยศต่อมิรันตีได้    ผู้วิเศษทั้งสองจึงกลับมาสร้างกำแพงที่หนาและแข็งแรงกว่าเดิมอีกหลายเท่าจนกลายเป็นเขื่อนเพื่อขจัดความรู้สึกเห็นแก่ตัวเหล่านี้ออกไปจนหมดสิ้น   

            แต่แล้วความหวั่นไหวก็เรียกร้องสำนึกเดิม ๆ ให้กลับมาอีกครา  คราวนี้ทั้งคู่ไม่เพียงแต่ทุบเขื่อนทิ้งจนไม่เหลือซาก   แต่กลับเปิดใจให้กันจนหมดสิ้นทุกสิ่งทุกอย่าง    ราชิทดันเนริตาออกจากอ้อมอกช้า ๆ  ชายหนุ่มจ้องมองเธอด้วยความรู้สึกรักและถวิลหา   พร้อมประทับริมฝีปากลงบนปากนุ่มละมุนของหญิงสาว  เป็นจุมพิตแรกในชีวิตของผู้วิเศษหนุ่มที่โหยหามานานแสนนานแม้แต่มิรันตีก็มิเคยได้รับสิ่งนี้จากเขา   เขื่อนอารมณ์ที่ต่างฝ่ายต่างปิดกั้นก็ระเบิดออกจนล้นทะลัก   ทั้งคู่กำลังแลกเปลี่ยนถ่ายโอนความรู้สึกซึ่งกันและกัน   พร้อมผสานหล่อหลอมจนเกือบเป็นอันหนึ่งอันเดียว     ถ้าฟิกซ์ไม่รู้สึกตัวเสียก่อน   ผู้วิเศษทั้งสองรีบผละออกจากกันทันทีพร้อมสายตาเว้าวอนเสียดายของฝ่ายชาย   สาวเจ้าจึงเบนหน้าหนีด้วยความเขินอายก่อนจะหันเหความสนใจไปยังฟิกซ์ที่พูดเจื้อยแจ้วเพราะวิญญาณไคเชอร์นั้นเอง 

            "ผมจะไปได้รึยังครับคุณเนริตา  ?"   หญิงสาวได้ยินก็อมยิ้มน้อย ๆ   "เดี๋ยวเจ้าก็ไปได้แล้วล่ะ  ?  อย่าใจร้อนนักเลย  อ้อ !  แล้วจำไว้อย่างนะ  เจ้าอย่าได้สบตากับใครนาน ๆ เป็นอันขาด   เพราะสิ่งเดียวที่ฟิกซ์ไม่สามารถปิดกั้นได้ก็คือดวงตา   ถึงแม้เจ้าจะมีดวงตาสีเดียวกับเจ้าเหยี่ยวทมิฬก็ตาม  แต่ดวงตาคือหน้าต่างของชีวิต  มันจะแสดงทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นตัวเจ้าออกมาโดยที่เจ้าจะไม่มีทางรู้ตัว  ที่สำคัญมันจะเปิดกว้างอยู่ตลอดเวลาเพื่อให้ผู้อื่นได้เชยชม   และถ้าเจ้าเปิดไว้นาน ๆ ล่ะก็  หึ !  มีหวังผู้เชยชมคงกักเจ้าไว้ในนรกเป็นแน่แท้  ไคเชอร"  กษัตริย์หนุ่มในร่างฟิกซ์ได้ยินก็กลืนน้ำลายลงคอเสียงดังเอื๊อกด้วยความกลัว    เนริตาเห็นก็ส่ายหน้าน้อย ๆ  

            "เอาล่ะ !  ได้เวลาแล้ว   ข้าจะเปิดทางให้  เจ้าจะต้องผ่านเมืองโลกันตร์ของพวกสัตว์อสูรก่อนเป็นลำดับแรก   ข้าจะทำสัญลักษณ์เป็นแสงสีขาวนวล   ซึ่งจะมีแต่เจ้าเท่านั้นที่จะเห็นได้   จากนั้นเมื่อถึงนรกขุมที่หนึ่งข้าจะไม่เฉียดกรายยุ่งด้วยเป็นอันขาดถ้าไม่จำเป็นจริง ๆ   เจ้าจงใช้สติปัญญาที่เจ้ามีทั้งหมดคิดหาวิธีเข้าไปโดยไม่ถูกสงสัยเอาเอง   ข้าเชื่อว่าเจ้าจักทำได้เมื่อไปถึง  ไคเชอร์  !  แล้วมองหาแต่ดวงวิญญาณเว้าแหว่งครึ่งหนึ่งเท่านั้น   ละเลยวิญญาณเต็มดวงทั้งหลาย    ครั้นเมื่อเจอนาง   จงนึกถึงข้าโดยเร็วไว  แล้วข้าจะรับเจ้าขึ้นมาในทันใด   จำไว้เจ้ามีเวลาเพียงหนึ่งเพลาเท่านั้น  ขอโชคจงอยู่กับเจ้า  ไคเชอร์"  

            กล่าวจบหญิงสาวก็นั่งขัดสมาธิบริกรรมคาถา  ท่ามกลางความกังวลของราชิทผู้พี่   เขาเดินมากอดน้องชายในร่างฟิกซ์พร้อมมอบกริชปลิดชีพซึ่งเป็นอาวุธคู่กายให้แก่น้องรัก  ซึ่งไคเชอร์อิดออดอยู่นานพอสมควรกว่าจะรับมา    จนกระทั่งพื้นเบื้องล่างสั่นสะเทือนเป็นการเตือนว่าถึงเวลาอันสมควรแล้ว    ราชิทจึงสาวท้าวถอยหลังออกช้า ๆ ด้วยสายตาเป็นกังวลห่วงหา    ดินแตกระแหงเเยกออกจากกันเป็นผลให้กษัตริย์หนุ่มในร่างฟิกซ์ดำดิ่งลงสู่เบื้องล่างทันที   เขาพยายามไขว่คว้าหาที่ยืดเหนี่ยว   เเต่ดูท่าจะไร้ผล  ชายหนุ่มไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตกลงมานานเท่าไหร่เเล้ว   รู้แต่เพียงเขาลอยตัวอยู่กลางอากาศเช่นนี้ได้ระยะหนึ่งแล้ว  ทันใดนั้นเองเขาเริ่มรู้สึกถึงความร้อนระอุที่เเผ่ซ่านมาเป็นระลอก   ไคเชอร์ตัดสินใจก้มหน้าลงไปทำให้เห็นเปลวไฟพวยพุ่งขึ้นมาจากเบื้องล่าง   เขาใจหายวาบ  ขนลุกซู่   เเต่เเล้วก็ต้องเบิกตาโพลงด้วยความตระหนกสุดขีด   หน้าซีดเผือด  เนื้อตัวสั่นเทิ้มด้วยความกลัวจับขั้วหัวใจ   

            ไคเชอร์ในร่างฟิกซ์หลับตาปี๋เมื่อสัมผัสถึงไอร้อนที่ประทะขึ้นมา  จนตัวของเขาเกือบไหม้เกรียม  ชายหนุ่มใช้มืออันใหญ่โตลูบขนไปมาด้วยความปวดเเสบปวดร้อนอย่างอดรนทนไม่ได้   สัตว์อสูรหน้าตาน่าเกลียดน่ากลัวสองตัวเงยหน้ามองเหยื่ออันโอชะ   ดวงตาเล็กกระจ้อยร่อยกำลังเพ่งมองเขาอย่างไม่วางตา  


            ...เเละเเล้ว...
       กษัตริย์หนุ่มก็บ้อท่า  เขาตกลงมากระเเทกกับพื้นอย่างเเรง  พร้อมกับกระเด้งตัวขึ้นอย่างรวดเร็วเพราะไอร้อนที่กำลังประทุจวนเจียนจะระเบิดของพื้นซึ่งเขาเหยียบย่างอยู่นั้นเอง   ชายหนุ่มโอดโอยครวญครางอย่างเคยชิน   จนลืมไปเสียสนิทว่าตัวอยู่ในร่างนกยักษ์   เขานอนชักดิ้นชักงอด้วยความทรมานท่ามกลางความแปลกใจฉงนสนเท่ของเหล่าสัตว์อสูรรูปร่างประหลาดเป็นร้อยเป็นพัน  มันฮุเลเข้ามาอย่างล้นทะลัก   โดยไม่มีทีท่าว่าจะหมด   ไคเชอร์กำลังตกที่นั่งลำบาก   ชายหนุ่มมองรอบด้านอย่างหวาด ๆ ..... ในชีวิตตั้งแต่เล็กจนโตเขาไม่เคยประสบพบเจอกับสัตว์อสูรแม้แต่น้อย   แต่แล้วเขาก็ได้ยินเสียงเนริตาลอยกระทบโสตประสาท  "อย่าลืมสิ !  เจ้าเป็นฟิกซ์นะ  เจ้าจะร้อนไม่ได้เด็ดขาด   ฟิกซ์ทนได้กับสิ่งพวกนี้   เจ้าก็ต้องทนได้เช่นกัน  !  ตั้งสติหน่อยไคเชอร์   อย่าวอกแวก   ความร้อนไม่ใช่อุปสรรคของเจ้า  จำไว้  !"  

            เมื่อชายหนุ่มได้ยินดังนั้น .... เขาจึงเริ่มสูดลมหายใจเข้าจนลึก   และปล่อยออกมาอย่างผ่อนคลาย   พร้อมหลับตาเพื่อเรียบเรียงเรื่องราวคืนสติ   จากนั้นเขาจึงชันกายลุกขึ้นอย่างลำบากท่ามกลางเสียงเฮฮุเลของเหล่าสัตว์อสูรที่มุงดู   ....  ราวปาฏิหาริย์  ....  ไคเชอร์ในร่างฟิกซ์ไม่รู้สึกร้อนเลยสักนิดเดียว  แต่ที่เขารู้สึกคงเป็นเพียงเพราะความกลัวที่อยู่ภายใต้เบื้องลึกในจิตใจของเขานั่นเอง 

            ....  กลัวความลึกที่มองไม่เห็น

            ....  กลัวความมึดที่ไม่มีทางสว่าง  

            ....  กลัวเหล่าสัตว์อสูรที่จะต้องเผชิญ  

            ....  กลัวทำพลาดจนถูกจับได้  

            ....  กลัวพ่ายแพ้จนหนีไม่พ้น

            ....  กลัวไปหมดทุกสิ่งทุกอย่าง    กลายเป็นความฟุ้งซ่านที่แฝงตัวอยู่ในมุมมืดคอยเกาะกินความคิดทีละน้อย ๆ จนเกิดเป็นมโนภาพว่าเขาคือฟิกซ์จริง ๆ  แต่อีกนัยหนึ่งจะให้เขาปฏิเสธงั้นหรือ  ?   ชายหนุ่มทำไม่ได้แม้แต่จะคิด   เขากลัว  ....  กลัวมากจนหลอมละลายเป็นความกดดัน   ความเครียดรุมเร้าถาโถมเข้ามาอย่างไม่ปรานี  .....  เสมือนคลื่นที่กำลังซัดเข้าฝั่งอย่างไม่ลดละ  และไม่มีทีท่าว่าจะหยุด   

            กษัตริย์หนุ่มมองไปรอบ ๆ ด้วยความหวาดวิตกกังวลไม่แพ้กับเนริตาที่นั่งทางในคอยดูเขาอยู่ห่าง ๆ   เจ้าหล่อนรับรู้และตระหนักถึงปัญหาที่กำลังจะตามมาในภายหน้า    แต่เธอกลับละทิ้งมันไปดื้อ ๆ และปล่อยให้ชายหนุ่มต่อสู้กับความกลัวที่ทยอยบดบังคืบคลานเข้ามาครอบงำอย่างไม่หยุดหย่อน   ไคเชอร์กำลังตั้งรับอย่างแน่วแน่   เขาสร้างกำแพงสูงตระหง่านขึ้นมาเพื่อปกป้องความกล้าแกร่งเข้มแข็งมิให้ถูกทำลายจากการรุกรานของศัตรูตัวฉกาจนามว่า    "กลัว"   ชายหนุ่มพึงพอใจในกลวิธีอันแยบยลของตนพอสมควร  

            ตอนนี้ศัตรูเริ่มล่าถอย   มันทยอยเลือนหายไปทีละน้อยอย่างรวดเร็ว  .....  แต่อะไรกัน  .....ทำไมมันถึงได้ง่ายดายถึงเพียงนี้   ชายหนุ่มคาดว่ามันยังคงซุ่มตั้งกองกำลังอยู่โดยพร้อมเตรียมออกมาประจัญบานได้ทุกเมื่อถ้ามีเสียงเรียกร้อง    เพราะความกลัวไม่มีวันจางหายและปราชัย   อีกทั้งมันจะคงอยู่ตลอดกาลชั่วกัลปาวสาน   ตราบใดที่มนุษย์และสิ่งมีชีวิตอื่น ๆ ยังคงมีความดีหล่อเลี้ยงในจิตใจภายใต้สามัญสำนึกซึ่งอยู่ลึกที่สุดจนยากจะหยั่งถึง   

            เมื่อความกลัวจากไป ..... ความกล้ากับการเผชิญหน้าก็เข้ามาแทนที่    กษัตริย์หนุ่มเริ่มวางหมากในหัวสมองต่อเนื่องเป็นเรื่องราวอย่างคล่องแคล่ว   พร้อมทางแก้ไขที่มาจ่อรอโดยมิได้นัดหมาย   ยังความปลื้มปิติให้แก่เนริตาเป็นยิ่งนัก   หญิงสาวคลี่ยิ้มออกมาอย่างเปิดเผย   จนราชิทพลอยใจชึ้นตามไปด้วย  ไคเชอร์ในร่างฟิกซ์มองสัตว์อสูรอย่างไม่ยี่หระ  สายตาคมกริบของฟิกซ์ที่กษัตริย์หนุ่มแสดงออกมานั้นยังผลให้เหล่าสัตว์อสูรทั้งหลายยอมศิโรราบอย่างง่ายดาย   พวกมันหลบหลีกให้ฟิกซ์เดินผ่านอย่างองอาจสง่างามท่ามกลางเสียงอึงคะนึงรั้งท้ายอย่างหวาด ๆ   

            "เฮ้  !  ฟิกซ์  นายมนุษย์หน้าโง่ของเจ้า   มันยอมปล่อยเจ้าลงมาได้ยังไงกัน  มันไม่รู้หรอกหรือ  ?  ว่าถ้าเจ้าลงมา   เจ้าอาจจะไม่กลับไปหามันอีก"  สัตว์อสูรท่าทางยโสตัวหนึ่งเอ่ยขึ้น   ปากของมันมีหนอนไชยั้วะเยี้ยะเต็มไปหมด  ตาปูดโปนกำลังกลิ้งกลอกอย่างถือดี   จมูกเวอะวะบิดเบี้ยวกำลังไล่ส่ายฟิกซ์อย่างบุกรุกจู่โจม  มันส่งเสียงครืดคราดโครมครามในลำคออย่างอึกทึก   พร้อมหันไปขู่สัตว์อสูรอีกเป็นร้อยที่กำลังทยอยเข้ามา   มันแยกเขี้ยวใส่อย่างองอาจทรนง   พร้อมพูดด้วยเสียงแหบห้าว  แต่แฝงไปด้วยอำนาจ   กษัตริย์หนุ่มจึงเดาได้ไม่ยากว่าสัตว์อสูรตนนี้คือหัวหน้าของพวกมันเป็นแน่แท้     

            "อย่ายุ่งกับมัน  ฟิกซ์เป็นเพื่อนข้า  มิเช่นนั้นข้าจะจับพวกเจ้าส่งให้ท่านนิมมาน  !"   แล้วเสียงร้องโหยหวนแสบแก้วหูก็ดังขึ้นทันทีเมื่อสัตว์อสูรตัวนั้นกล่าวจบ   บางตัวลงไปนอนดิ้นเร่า ๆ ทุรนทุรายราวถูกเชือด   บางตัวก็กระอักเลือด   ตาถลนออกนอกเบ้า  บางตัวก็ชักกระตุกแล้วทรุดลงทันที   บางตัวก็ละลายกลายเป็นเมือกเหนียว ๆ  ส่งผลให้ตัวที่วิ่งเปะปะชนกันล้มระเนระนาดไม่เป็นท่า  

            พวกมันพากันปิดหูส่ายหัวพร้อมส่งสายตาอาฆาตแค้นเคืองมายังสัตว์อสูรตัวหัวหน้าที่ยืนยิ้มเผล่อย่างเย้ยหยัน   ยังกับมันได้พูดอะไรที่ร้ายกาจเป็นเสนียดจัญไรต่อโสตประสาทของเหล่าสัตว์อสูร  .....   ไคเชอร์พะอืดพะอมกับภาพที่ได้เห็นจนแทบจะอ้วกรดใส่สัตว์อสูรตัวหัวหน้าที่ถือวิสาสะตอนชุลมุนจับจ้องเขาอย่างจาบจ้วงไร้มารยาท  มันเผยอปากเหนียวหนืดช้า ๆ พร้อมเปล่งเสียงห้าว ๆ อย่างกระท่อนกระแท่น

            "ว่าไง  ?  ฟิกซ์   นายมนุษย์หน้าโง่ของเจ้าไม่รู้หรอกหรือ"   มันถามซ้ำพร้อมมองฟิกซ์อย่างพินิจพิเคราะห์  หน้าผากเล็กกระจิ๊ดเต็มไปด้วยรอยแผลของมันยับย่นยู่ยี่น่าขยะแขยง  ตอนนี้ชายหนุ่มตกที่นั่งลำบากอย่างสุด ๆ เพราะเขาไม่รู้ว่าฟิกซ์เวลาอยู่ในพิภพอสูรมันสามารถพูดได้รึเปล่า  ?  เขาจึงนึกถึงเนริตาประจวบเหมาะกับเธอก็กำลังจะบอกเขาพอดี   "ข้ารู้มาว่าเวลาเหยี่ยวทมิฬอยู่ในถิ่นของมัน   มันจะสื่อสารโดยการกระพือปีกและจิกเบา ๆ ที่ไหล่ของผู้ที่พูดกับมัน   เหมือนที่มันทำกับเจ้าไงล่ะ ?"  

            ชายหนุ่มจึงไตร่ตรองข้อมูลที่ได้รับมาสด ๆ ร้อน ๆ อย่างละเอียดถี่ถ้วน   แต่ก็ไม่วายคิดเลยเถิดไปถึง  ~ ต้องกระพือปีกและจิกกี่ครั้งล่ะ ~  เขาคิดไม่ตกอย่างกระวนกระวาย   พร้อมตัดสินใจเด็ดขาด  ~ เอา !  เป็นไงเป็นกัน  ~   กษัตริย์หนุ่มถอนหายใจอย่างแผ่วเบา ๆ แล้วกระพือปีกหนึ่งครั้ง   กับภาวนาให้มันถูกต้องแบบที่สัตว์อสูรตนนั้นต้องการ   ชายหนุ่มใจเต้นตุ้บตั้บครึกโครม   ไม่แพ้กับเนริตา  .....  ทั้งคู่กำลังลุ้นว่าจะออกหัวหรือก้อย   ไคเชอร์จ้องตาสัตว์อสูรตนนั้นที่ยังคงมองเขาอย่างไม่ลดละ   มันหรี่ตาลง   พร้อมระเบิดเสียงหัวเราะออกมาดังลั่น  แล้วเดินมาลูบแผงคอของฟิกซ์อย่างอารมณ์ดี  

            "แล้วเจ้าจะกลับไปมั้ยล่ะ ?"   ชายหนุ่มในร่างฟิกซ์จึงลองจิกที่ไหล่มันเบา ๆ    กลับยิ่งทำให้มันหัวเราะเสียงดังขึ้นไปอีก   เป็นผลให้ไคเชอร์ยิ้มกริ่มอย่างพึงพอใจในสติปัญญาของตนเอง

            "เจ้านี่   !  ไม่ต้องมายอข้าเลย   ไม่ได้เจอเจ้าตั้งนาน   เจ้าก็ไม่เปลี่ยนเลยนะ   ฟิกซ์  !  ไปเถิด   เดี๋ยวข้าจะพาเจ้าไปส่งที่สะพานนรกะนะ    ข้ามีเรื่องเล่าให้เจ้าฟังเยอะแยะเลย"   ฟิกซ์จึงปฏิบัติแบบเดิมอีกครา   เจ้าสัตว์อสูรถึงกับยิ้มกว้างไม่ยอมหยุด   มันพากษัตริย์หนุ่มในร่างฟิกซ์ลัดเลาะไปตามทางที่เต็มไปด้วยอักขระโบราณเเปลก ๆ ที่เขาไม่รู้จัก    สลักเสลาอย่างวิจิตรพร้อมรูปภาพงดงามเกินบรรยาย   เขาเดินเข้ามาลึกเรื่อย ๆ   เเสงสว่างก็เริ่มมากขึ้นเป็นทวีคูณ   พื้นที่มีสิ่งปฏิกูลโสโครกก็เเปรเปลี่ยนเป็นหินสีต่าง ๆ ที่ถูกเรียงรายอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย  ช่างเข้ากันได้ดีกับผนังผลึกเเก้วใส  มันสะท้อนเเสงระยิบระยับเป็นประกายเเวววาวเจิดจ้า  

            อากาศร้อนอบอ้าวกลับกลายเป็นเย็นยะเยือกชวนขนหัวลุกบอกไม่ถูก   เเถมยังมีต้นไม้สีต่าง ๆ ขึ้นอยู่เรียงรายดาหน้าเป็นเเถว ๆ   เเต่ละต้นช่างอวบอิ่มเเข็งเเรงราวกับได้รับการดูเเลเอาใจใส่เป็นอย่างดี   ต่างผลิดอกออกผลประชันขันเเข่งกันเป็นเเถบ ๆ   เเถมส่งกลิ่นหอมตลบอบอวลไปตลอดทาง    เเต่สิ่งที่น่าเเปลกเห็นจะเป็น  ต้นไม้พวกนี้ไม่ได้จมอยู่ในพื้นเหมือนต้นไม้ทั่วไป   หากเเต่ลอยตัวเหนือพื้นหินตังหาก  !   รากหลากสีสยายเป็นเเพกว้างเกิดเป็นซุ้มราวเนรมิต    จนชายหนุ่มอดสงสัยไม่ได้   ~ นี่นะหรือ  เมืองโลกันตร์ ~  เพราะสิ่งที่เเลเห็นอยู่เบื้องหน้าหากไม่เรียกว่าเป็นดั่งสรวงวรรค์น้อย ๆ ก็ไม่รู้จะสรรหาคำใดมาเปรียบเปรย   เจ้าสัตว์อสูรหันมองฟิกซ์ที่เดินช้าลง   มันอมยิ้มน้อย ๆ  

            "ฟิกซ์ !  นี่ถ้าข้าไม่เห็นว่าเจ้าเป็นเพื่อนนะ  ฮึ่ม !  เจ้าจงเลิกมองเลิกหลงใหลได้แล้ว  ....  อ๋อ !  ใช่สิ  เจ้าไม่เคยใช้ทางนี้ผ่านไปนรกนี่  ....  เฮ้อ !  ข้าก็ลืมไป   ขอโทษทีนะ  แม้แต่เจ้ายังหลงใหลมันเลยหรือเนี่ย"   เจ้าสัตว์อสูรเอ่ยอย่างเศร้าสร้อยสำนึกผิด   มันจึงหันหลังเดินกลับมาออกแรงกระชากไคเชอร์ในร่างฟิกซ์ให้ออกเดิน   พร้อมกับกำชับอย่างหนักแน่น   

            "มันอันตรายนะ  รู้มั้ย ? มีกี่ศพเเล้วที่ต้องสังเวยให้สิ่งสวยงามอย่างนี้   สวยเเต่อาบไปด้วยพิษ  มันเป็นมนต์ริษยาที่จะหลอกล่อดึงวิญญาณของใครก็ตามที่หลงเข้ามาในนี้   เจ้าเห็นมั้ยล่ะ  ?   ว่าต้นไม้พวกนี้ล้วนเเล้วเเต่ลอยตัวได้ทั้งนั้น  เพราะมันถูกหล่อเลี้ยงด้วยวิญญาณเเละเลือดของผู้ที่หลงเข้ามาทั้งเต็มใจเเละไม่เต็มใจไงล่ะ !  นี่เป็นสิ่งที่ข้าเบื่อหน่ายไม่อยากจะทำ  แต่ข้าก็จำต้องทำ  ข้าต้องปลอมตัวเป็นสัตว์ที่น่าสงสาร   เพราะรากฐานเเก่นเเท้ของสิ่งมีชีวิต  ล้วนมีความอ่อนโยนบอบบางซ่อนอยู่ด้วยกันทั้งนั้น   มันซึมซับติดมากับตัวตั้งเเต่กำเนิดเพียงเเต่ว่าเราจะรู้จักดึงมันออกมาใช้บ้างมั้ย   ก็เเค่นั้นเอง    

            ถ้าไม่ได้ผลจริง ๆ  ข้าก็จะต้องฉุดคร่าผู้นั้นลงมาอย่างทารุณโหดร้าย   จากนั้นก็ฆ่าทิ้งเเล้วเอาหัวใจและเลือดไปถวายให้จ้าวอสูร   ส่วนเนื้อเน่า ๆ ซูบซีดที่เหลือข้าก็ให้พวกลูกน้องไป   ตัวที่เเข็งเเกร่งก็จะได้กินเยอะ  ส่วนตัวอ่อนเเอถ้าไม่ถูกเหยียบตายก็จะได้กินน้อยกว่า   ความปรานีไม่มีอยู่ในสันดานของพวกเราหรอก  สัตว์อสูรเป็นสิ่งมีชีวิตชนิดเดียวที่ดิบเถื่อนบ้าคลั่งไร้ซึ่งความเมตตา   พวกเราฆ่าได้เเม้กระทั่งลูกของตัวเองในยามที่ไม่มีอะไรกิน  หรือผสมพันธุ์   ข้าน่ะเกือบถูกข้าตาย   เพราะแม่ข้าร่วมประเวณีกับตัวอื่นที่ไม่ใช่พ่อ   ข้ายังจำได้แม่นยำ  มั่วไม่เลือก  เชอะ !  ทุ-เรศ"  สัตว์อสูรพูดอย่างรังเกียจในเผ่าพันธุ์ของตนเอง   ปากบูดเบี้ยวของมันเบะออกอย่างเคียดแค้นโกรธเคือง  

            .....  ราวกับสิ่งมหัศจรรย์  .... ชั่วประเดี๋ยวไคเชอร์รู้สึกสงสารสัตว์อสูรตัวนี้ขึ้นมาจับใจ    จนเผลอคิดไปว่า   ถ้าเขาสามารถนำมันขึ้นไปด้วยได้ก็จะดีทีเดียว   แต่แล้วความคิดนี้ก็พลันหายไปเมื่อถึงจุดหมาย    มันลูบแผงคอฟิกซ์เบา ๆ อย่างทะนุถนอม   พร้อมเอ่ยเบา ๆ "หวังว่าข้าคงจะได้เจอกับเจ้าใหม่นะ   ฟิกซ์"   ถ้าเขามองไม่ผิด   กษัตริย์หนุ่มเห็นหยาดน้ำใส ๆ ไหลอาบแก้มของสัตว์อสูรตัวนั้นก่อนที่มันจะหันหลังกลับไป    ฟิกซ์จึงกระพือปีกอีกครั้งเพื่อขอบคุณ   สัตว์อสูรได้ยินเสียงก็หันกลับมาแล้วส่งยิ้มที่มันคิดว่าหวานสุด ๆ ให้แก่ฟิกซ์   จนกษัตริย์หนุ่มแทบสำลอกอาหารหมดท้อง   แต่เขาก็อดอมยิ้มน้อย ๆ กับตัวเองไม่ได้  ....  ยังไงเสียสัตว์อสูรก็ไม่ใช่ว่าจะไม่ดีเสมอไป   ไคเชอร์พึมพำกับตัวเองแล้วถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก  แล้วเขาก็ตั้งใจฟังคำพูดของเนริตาที่เอ่ยออกมาอย่างก้องกังวาน   "ต่อไปก็ถึงคราวที่เจ้าจักต้องพึ่งตนเองแล้วนะ  ไคเชอร์  !   โชคดีนะ"

            ขอบคุณสำหรับการติดตามค่ะ

            *ครึ่งเพลา = สิบสองยาม 

              ยาม = ชั่วโมง

            สุดท้ายมีข้อคิดดี ๆ จากศึกชิง ฯ เก่าค่ะ ไหน ๆ ตอนต้นก็กล่าวถึงน้องหมาแล้ว  เลยคัดมาฝากกันค่ะ

            กฎทองของน้องหมา  ( The Dogs 10 Commandments )

            1 ) ชีวิตของฉันอย่างมากก็จะสิ้นสุดเพียงแค่ 10-15 ปีเท่านั้น  การต้องแยกจากเธอไม่ว่าด้วยเหตุใดๆ นับเป็นความปวดร้าวอย่างยิ่งของฉัน  จึงโปรดสังวรให้จงหนัก..ก่อนจะรับฉันเข ้ามาในชีวิต

            2 ) ให้เวลากับฉันสักหน่อย  เพื่อทำความเข้าใจให้ชัดเจนว่าเธอต้องการอะไรจากฉัน

            3 ) จงเชื่อมั่นในตัวฉัน เพราะเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งสำหรับความเป็นอยู่ของฉัน

            4 ) อย่าโกรธฉันให้นานนัก  และอย่าลงโทษฉันด้วยการกักขัง  เธอมีทั้งหน้าที่การงาน ความบันเทิงและมิตรสหาย  แต่ฉันนั้น.....มีเพียงเธอ

            5 ) พูดกับฉันบ้าง  แม้ฉันจะไม่เข้าใจคำพูด  แต่ฉันก็เข้าใจเธอได้จากน้ำเสียง

            6 ) พึงระลึกอยู่เสมอว่า...  ไม่ว่าเธอจะปฏิบัติอย่างไรต่อฉัน  ฉันจะไม่มีวันลืมเลือนเลย

            7 ) โปรดอย่าทุบตีฉัน เพราะแม้ฉันจะทุบตีเธอกลับไม่ได้ แต่ฉันก็สามารถกัดหรือข่วนตะกุยเธอได้ ซึ่งเป็นสิ่งที่ฉันไม่อยากกระทำเลย

            8 ) ก่อนจะดุด่าฉันสำหรับท่าทีที่คล้ายไม่เชื่อฟัง  ดื้อดึง  เกียจคร้าน  ขอจงไ ด้ถามตัวเธอเองก่อนว่า เกิดสิ่งผิดปกติกับตัวฉันหรือไม่  บางทีอาจจะมาจากเรื่องของอาหาร  หรือถูกท ิ้งไว้กลางแดดนานเกินไป  หรือหัวใจของฉันแก่ชราและอ่อนล้าเสียแล้ว

            9 ) ดูแลฉันเมื่อยามแก่เฒ่าด้วย  เพราะวันหนึ่งเธอก็ต้องเป็นเช่นนั้น

            10 ) อยู่กับฉันเมื่อช่วงเวลาสุดท้ายของชีวิตมาถึง ขออย่าได้พูดเป็นอันขาดว่า " ฉันทนดูไม่ได้ ขออย่าให้มันเกิดขึ้นต่อหน้าเลย " เพราะเรื่องราวทั้งหมดจะง่ายขึ้นหาก...เธออยู่ด้วย

            สุดท้ายที่สุด...โปรดรำลึกเสมอว่า " ฉันรักเธอ "


            เพื่อน ๆ ที่ได้อ่านบทความที่พิ้งค์เอามาฝากเเล้ว   ใครที่มีน้องหมาอยู่ข้างกาย  จงรักเขาให้มาก ๆ นะคะ  ดูเเลเอาใจใส่เสมือนเขาเป็นสมาชิกในครอบครัว  เป็นเพื่อน  อย่าทิ้งขว ้างเขานะคะ   พึงระลึกไว้เสมอ  ว่าเขาขาดคุณไม่ได้  เเล้วเราก็จะมีความสุขทั้งสองฝ่ายค่ะ   อิอิ

            อ้อ !  เมื่อวันลอยกระทงพิ้งค์ไปเชียงรายมาด้วยค่ะ  ไปลอยกระทงตอนเที่ยงคืนพอดีเลย  เห็นน้ำหยุดไหลเท่าหูช้างกระดิกด้วย  น้ำนิ่งมากเลยค่ะ  มันเป็นจังหวะพอดีกับดวงจันทร์เต็มดวงพอดีเลย  สวยมากเลยค่ะ   ตอนแรกพิ้งค์ก็คิดว่าเป็นแค่เรื่องเล่าของผู้ใหญ่  แต่พอมาเห็นเองแล้ว  อึ้งเลยค่ะ  แล้วที่สำคัญนะคะ   คุณป้าบอกให้พิ้งค์เก็บน้ำตอนนิ่ง ๆ ไปดื่มด้วยล่ะ  จะโชคดี  เหมือนเราได้ดื่มน้ำแสงจันทร์ไงคะ  อิอิ  

            บ๊ายบายค่ะ  ตอนนี้ง่วงนอนแล้ว ไม่ไหว ๆ ขอโทษที่ไม่ได้ไปบอกนะคะ  

            อ่านแฮรี่ภาษาไทยแล้ว  เกลียดเสนปสุด ๆ เลย  ฮื่ม !  แต่ก็มีเซอร์ไพรส์แฮรี่ชอบจินนี่ !  โอ้พระเจ้าช่วยกล้วยทอด  อิอิ
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×