ลำดับตอนที่ #4
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #4 : *กลวิธีอันแยบยล*
9 / 12 /48
^0^คุยกันก่อนนะคะ^0^
ขอโทษที่พิ้งค์หายไปเกือบเดือนเลย เพื่อน ๆ หลายคนคงลืมไปแล้ว แต่ไม่เป็นไรค่ะ ไม่ว่ากัน (ก็พิ้งค์ผิดเองล่ะที่หายไปนาน) พอดีช่วงนี้มีอะไรวุ่น ๆ น่ะค่ะ ไหนจะต้องไปอยู่เป็นเพื่อนคุณป้า ไปหาคุณแม่ที่เพชรบุรี และยังต้องคอยซุ่มจับขโมยอีก ตอนนี้เลยกลายเป็นว่าพิ้งค์ต้องนอนตอนกลางวันแล้วตื่นกลางคืนไปเลย เฮ้อ ! พิ้งค์เลยไม่มีอารมณ์แต่งเท่าที่ควร ไม่ว่ากันนะคะ
แต่พอดีตอนนี้ยังไม่ง่วง เลยขอลุยซะหน่อย ลงต่อให้อีกตอนนะคะ ขอบอกว่าตอนนี้ยาวมากเลย ตัดไม่ได้จริง ๆ ค่ะ ตั้ง 12 หน้าแน่ะ ทุกทีแค่ 10 หน้าเอง ทนอ่านหน่อยนะคะ รับรองสนุกไม่แพ้กันแน่ ๆ (ไม่ค่อยหลงตัวเองเลยเนอะ) อิอิ
สำหรับคนที่พิ้งค์ยังไม่ได้ไปเยี่ยม ก็ขอโทษด้วยนะคะ จะพยายามไปเยี่ยมให้ครบแน่นอนค่ะ (ถ้าไม่ง่วงนอนซะก่อนนะ เพราะตอนนี้เหลือบ้านพิ้งค์กับเพื่อนบ้านอีก 2 หลังที่ขโมยยังไม่ขึ้น ต้องเข้มงวดสุด ๆ เลยค่ะ ตอนกลางวันก็ใช่ว่าจะสงบสุข พิ้งค์ต้องตื่นตลอดเลย คอยดูน้องหมา เพราะกลัวมันวางยาเบื่อ เฮ้อ ! เหนื่อยสุด ๆ เลยค่ะ สรุปวันหนึ่ง 24 ชั่วโมง พิ้งค์ยังนอนไม่ถึง 10 ชั่วโมงเลย) แต่ยังไงก็จะพยายามไปเยี่ยมทุกคนนะคะ อาจจะนานสักหน่อย รอหน่อยนะคะ อย่าเพิ่งน้อยใจ และอย่าคิดว่าพิ้งค์จะทิ้งเรื่องนะ ไม่มีทาง ! 200 % เลยค่ะ อิอิ
ขอบคุณทุกคนที่ยังคงติดตามและให้กำลังใจพิ้งค์นะคะ เอาเป็นว่าไม่พูดมากดีกว่า ลุยเลยนะคะ
*กลวิธีอันแยบยล*
เมื่อทั้งสามรับประทานอาหารเสร็จ พวกเขามานั่งพักผ่อนหย่อนใจที่ลานกว้างหน้าพระราชวังอันวิจิตรงดงาม ซึ่งถูกปั้นแต่งโดยธรรมชาติ ดวงเดือนเคลื่อนคล้อยอ้อยอิ่งอยู่บนฟากฟ้าส่องแสงระยิบระยับวิบวับ ดวงจันทร์กลมโตสุกใสลอยนิ่งเด่นเป็นสง่าอยู่ท่ามกลางความมืดมิด ที่รอบด้านประดับไปด้วยโคมไฟระย้าห้อยย้อยเป็นระยะ ๆ ติดอยู่กับหมู่แมกไม้ใหญ่ที่ขึ้นห้อมล้อมพระราชวังเป็นทางยาว เรียงร้อยด้วยหมู่มวลไม้ดอกหลากสีสันที่ตั้งตรงดิ่งผงาดชูชันแข่งแสงดาราดวงอย่างไม่ย่อท้อ พร้อมกับมีนักดนตรีเอกตัวจ๋อยส่งเสียงจ๊อกแจ๊กจอแจ สร้างความครึ้นเครงให้บรรยากาศอันเงียบเชียบราวเนรมิต สองชายหนึ่งหญิงกำลังนั่งคุยถกปัญหากันอย่างเคร่งเครียด ท่ามกลางเพลงบรรเลงจากธรรมชาติที่สรรสร้างขึ้นมาเพื่อจรรโลงพิภพของเราให้คงอยู่อย่างร่มเย็นตลอดมา
"เอาล่ะนะ สิ่งแรกที่เจ้าจะต้องทำ ไคเชอร์ .... คือเรียกเหยี่ยวทมิฬออกมา จากนั้นข้าจะนำวิญญาณของเจ้าไปใส่ไว้ในตัวเหยี่ยวทมิฬ เพื่อเจ้าจักได้ควบคุมมันตามประสงค์ เสร็จแล้วเจ้าก็ลงไปทำภารกิจของเจ้าได้เลย ข้าจะคอยนำทางเจ้าจนไปถึงนรก จากนั้นก็เป็นหน้าที่ของเจ้าที่จะต้องใช้ฝีมือกับความชาญฉลาดในการฉกวิญญาณมิรันตีมาเอง นี่คือการไปนรกอย่างปลอดภัยที่สุด" เนริตาพูดด้วยน้ำเสียงจริงจังทำเอาสองพี่น้องทำหน้าเหยเกบอกบุญไม่รับ ราชิทถึงกับสบถออกมา "ปลอดภัยตรงไหนว่ะ" แต่ก็มิอาจรอดพ้นหูของเนริตาไปได้ เธอยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์
"ปลอดภัยตรงที่ข้าสามารถทำให้ไคเชอร์ควบคุมมันได้น่ะสิ เพราะถ้าขืนปล่อยให้มันไปทำงานนี้เองล่ะก็ รับรองมันไม่มีทางกลับมาหาน้องเจ้าอย่างแน่นอน ที่สำคัญ ! น้องเจ้าจะต้องตายอย่างเจ็บปวดทรมานรวดร้าวเมื่อขาดมัน เพราะทุกวันนี้มันก็ถือเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของไคเชอร์ รู้ไว้ซะด้วย ราชิท" เมื่อได้ฟังดังนั้นทั้งราชิทและไคเชอร์ก็หน้าซีดเจื่อนสนิท จนหาสีเลือดไม่เจอ ผู้เป็นพี่ถึงกับเบนหน้าหนีทันที ส่วนกษัตริย์หนุ่มได้แต่ทำตาปริบ ๆ
ครั้นเมื่อถึงเวลา ไคเชอร์สั่งเหล่าข้าราชบริพารที่เดินเตร็ดเตร่อยู่ด้านนอกเข้าไปอยู่วังคาราให้หมด พร้อม ๆ กับที่ราชิทสำรวจสำทับอีกทีเพื่อให้แน่ใจก่อนจะลงมนต์ปิดตาย กันมิให้มีใครเล็ดลอดออกมาได้แม้แต่ผู้เดียว จากนั้นกษัตริย์หนุ่มจึงเริ่มลงมือท่องคาถา "อัมเปลอัม อูเรวากันตา ปามียานะระกา" ทันใดนั้นท้องฟ้าที่เคยสดใส ก็เเปรเปลี่ยนเป็นดำทมิฬ ร่างของเขาลอยสูงขึ้น พร้อมเสียงกรีดร้องโหยหวนแสบแก้วหูจนราชิทและเนริตาต้องเอามือป้องหู บังเกิดเป็นเเสงสีขาวสว่างจ้า เผยให้เห็นร่างของนกยักษ์สีดำกำลังใช้กรงเล็บอันเเหลมคมแหวกอกไคเชอร์เพื่อดันร่างอันใหญ่โตออกมาอย่างทุลักทุเลยากลำบาก เลือดสด ๆ ไหลรินเป็นสาย ส่งกลิ่นเหม็นคละคลุ้งไปทั่ว เจ้านกยักษ์ยันกายของกษัตริย์หนุ่มก่อนจะพุ่งทะยานเเผดเสียงคำรามกึกก้องกัมปนาททั่วพื้นนภา
ไคเชอร์ร้องเสียงหลงด้วยความเจ็บปวดเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนจะตกฮวบลงสู่พื้น เลือดสีเเดงฉานไหลทะลักออกมาจากตัวโดยไม่มีทีท่าว่าจะหยุด ราชิทรีบปรี่มาดูน้องชายของตนด้วยความเป็นห่วง เเต่จู่ ๆ กษัตริย์หนุ่มก็ลุกขึ้นมานั่งขัดสมาธิ และพึมพำคาถาที่ราชิทไม่ได้ยิน จนเกิดเป็นเเสงสีขาวห่อหุ้มตัวเอาไว้ เเสงนั้นแทรกซึมเข้าไปในบาดเเผลของไคเชอร์จนหายเป็นปกติ เนริตาจึงรีบสั่งกษัตริย์หนุ่มให้เรียกเหยี่ยวทมิฬที่กำลังโผบินอย่างร่าเริงอยู่บนห้องนภากลางหาวลงมาทันที ไคเชอร์พยักหน้าแล้วผิวปากเป็นจังหวะ เจ้านกยักษ์ก็บินร่อนมาหาในทันที มันใช้จะงอยปากอันใหญ่โตจิกลงบนไหล่ของเจ้านายอย่างทะนุถนอม พร้อมใช้สายตาอันคมกริบจ้องมองแขกทั้งสองอย่างไม่ยินดีปรีดาเท่าไหร่นัก กษัคริย์หนุ่มจึงเอ่ยปากถามเนริตาที่กำลังจ้องมองนกยักษ์อย่างเอาเป็นเอาตาย
"แล้วเราจะทำยังไงต่อครับ" ผู้วิเศษสาวพยักหน้าแล้วยิ้มน้อย ๆ
"ข้าจะสะกดวิญญาณฟิกซ์ให้หยุดนิ่ง พร้อมใช้ศิลาวิญญูดึงวิญญาณของเจ้าใส่ไปในตัวฟิกซ์" สองพี่น้องมองหน้ากันอย่างงุนงงเมื่อได้ยิน เนริตาถอนหายใจเฮือกใหญ่ "นี่ละน้า ! ราชิท การที่เจ้ามาอยู่พิภพมนุษย์ตั้งแต่เด็ก มันเลยทำให้เจ้าไม่รู้จักอะไรเลย ศิลาวิญญูเป็นหินที่แฝงตัวอยู่ในภูผาอัคคียังพิภพอสูร มันเป็นหินสูบวิญญาณ เป็นมนต์ดำของพวกอสูร เป็นมนต์ต้องห้ามของผู้วิเศษ ในการใช้แต่ละครั้งผู้ทำพิธีจะต้องสูญเสียพลังหนึ่งในสี่ส่วนพร้อมกับเลือดสิบสองหยด ที่สำคัญมันจะสามารถใช้ได้เพียงครึ่งเพลา*เท่านั้น ถ้าเกินไปกว่านั้นศิลาวิญญูจะสูญสลายมลายมอดไหม้เป็นไฟบัลลัยกัลป์เผาผลาญร่างและวิญญาณที่มันอาศัยอยู่มิให้ได้ผุดได้เกิดจมอยู่ในห้วงอนธกาลไปชั่วนิรันดร์" ชายหนุ่มทั้งสองอ้าปากค้างเมื่อได้ฟัง เขาเอ่ยขึ้นพร้อมกันอย่างร้อนใจ "สูญเสียพลังหนึ่งในสี่ส่วน" ผู้วิเศษสาวได้ยินก็ยิ้มหน้าชื่นตาบานราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น จนราชิทและไคเชอร์ขมวดคิ้วมุ่น
"ใช่ ! สูญเสียพลัง แต่ก็ไม่เป็นไรหรอก แค่หนึ่งในสี่ส่วนเอง ในเมื่อวิธีนี้เป็นทางเลือกสุดท้ายแล้วนี่" เนริตาบ่นกระปอดกระแปด ผู้วิเศษหนุ่มได้ยินดังนั้นจึงโพล่งถามออกไป "ทำไมถึงไม่เอาวิญญาณข้าไปใส่ในตัวฟิกซ์เล่า ?" หญิงสาวได้ยินก็ส่ายหน้าน้อย ๆ
"ไม่ได้หรอก เพราะเจ้ายังไม่รู้จักการกลบกลิ่นไอเลยแม้แต่น้อย กลิ่นไอของผู้วิเศษไม่มีอะไรสามารถกลบได้นอกจากเจ้าตัวเองเท่านั้น และเจ้าไม่ต้องคิดจะถามข้าอีกนะ ว่าทำไมข้าถึงไม่สอนเจ้า ?" เนริตาพูดอย่างรู้ทันเมื่อเห็นราชิทกำลังเผยอปาก "การกลบกลิ่นไอไม่ใช่ว่าจะสอนกันได้แค่วันเดียวนะ ขนาดผู้วิเศษอาวุโสบางคนฝึกมาเป็นพัน ๆ ปี ยังทำไม่ได้เลย มันเป็นศาสตร์ที่ละเอียดอ่อน ต้องใช้ความอดทนความและความเชื่อมั่น ซึ่งสำหรับเจ้า ข้าไม่เถียงว่าอย่างแรกเจ้าอาจจะมี แต่อย่างที่สองเจ้าไม่มีแน่แท้ ราชิท !
เพราะการที่เจ้าตัดสินใจออกจากอัศวมณีแล้วมาอยู่ยังพิภพมนุษย์ ก็เท่ากับว่าเจ้าได้ขาดความเชื่อมั่นแล้ว ส่วนเรื่องการนำวิญญาณของเจ้าไปใส่ในตัวฟิกซ์ ลืมไปได้เลย เพราะมันคงไม่ยอมรับเจ้าเป็นแน่แท้ เจ้าอย่าลืมสิ ! ว่ามันอาศัยร่างใครอยู่ ที่สำคัญถึงแม้เจ้าจะกลบกลิ่นไอได้แต่เจ้ากับข้าก็ลงไปไม่ได้อยู่ดี เพราะนรกไม่ใช่ที่อันสมควรซึ่งผู้วิเศษจะต่อกลอนด้วย ข้อนี้เจ้ารู้ดีกว่าใคร เพราะเจ้าเคยผ่านมันมาแล้วมิใช่หรือ ?" ราชิทได้ยินจึงเงียบเป็นเป่าสาก ทว่ากษัตริย์หนุ่มกลับเริ่มสงสัยในตัวพี่ชายของเขามากยิ่งขึ้นแต่ทั้งนี้ทั้งนั้นความสงสารราชิทที่ถูกเนริตาตัดพ้อก็มีมากกว่า ไคเชอร์จึงสลัดความคิดชั่ววูบเมื่อครู่ทิ้งไป แต่ก็ไม่กล้าที่จะเข้าไปปลอบราชิทแม้แต่น้อย เขาจึงทำได้เพียงเอ่ยขึ้นเพื่อทำลายความเงียบที่เริ่มโรยตัวมาอีกครา
"แล้วเราจะเริ่มกันได้รึยังครับ ? คุณเนริตา" หญิงสาวที่กำลังยืนครุ่นคิดถึงกับสะดุ้งโหยง เธอพยักหน้าหงึกหงัก พร้อมสะกดจิตฟิกซ์และร่ายมนต์สกัดวิญญาณ แล้วหันมาปฏิบัติต่อกษัตริย์หนุ่มแบบเดียวกันจนดวงตาสีดำเวิ้งว้าง เหม่อลอย ไร้การสนองตอบใด ๆ "ศิลาวิญญู มนต์อสูรสะท้านฟ้า ข้าขอสั่ง จงปรากฏ" ฉับพลันอากาศก็อบอ้าวร้อนระอุดั่งไฟบรรลัยกัลป์แผดเผา หินสีเลือดได้ถือกำเนิด มันพวยพุ่งขึ้นมาอย่างไม่หยุดยั้งราวกับน้ำพุพร้อมสะเก็ดเพลิงนับแสนนับล้าน
ทั้งหมดหล่อหลอมรวมกันจนเกิดเป็นศิลาวิญญูสีแดงเลือด แวววาวเงาวับดุจมณีจรัสเจิดจ้าท้าทายแสงจันทร์สีนวลผ่องที่สาดส่องอย่างเย้ยหยัน มันลอยมาอยู่ในมือของเนริตาที่ยืนกระหยิ่มยิ้มย่องอย่างพึงพอใจ ท่ามกลางความอึ้งทึ่งของราชิทในความเก่งกาจชาญฉลาดของหญิงสาวซึ่งเขาสู้ไม่ได้แม้แต่น้อย ผู้วิเศษสาวหันมายิ้มให้ชายหนุ่มนิดนึง ก่อนจัดแจงนำมันไปวางไว้บนหน้าผากของไคเชอร์ บังเกิดเป็นแสงสีแดงยวงห่อหุ้มร่างของกษัตริย์หนุ่มไว้ หญิงสาวใช้กริชกรีดข้อมือตัวเอง เลือดสีแดงสดไหลเป็นทางพร้อมค่อย ๆ บรรจงหยดลงบนศิลาวิญญูอย่างประณีตจนครบตามต้องการ
ฉับพลันผู้วิเศษสาวก็กรีดร้องเสียงดัง ไอสีม่วงพวยพุ่งออกจากตัวไปยังศิลาที่ลอยเคว้งอยู่เหนือศีรษะกษัตริย์หนุ่ม ศิลาหมุนติ้วอยู่สิบสองรอบ หญิงสาวก็กระเด็นออกมาด้วยแรงดีดมหาศาลเกินคณานับ ดีที่ราชิทเข้าไปรับร่างแบบบางของเธอได้ทัน มิเช่นนั้นตัวเธอคงบอบช้ำจากแรงกระแทกเป็นแน่แท้ ศิลาวิญญูเริ่มเคลื่อนลงต่ำ ปรากฏเป็นชายหนุ่มหน้าตาอัปลักษณ์ ผิวตะปุ่มตะปั่มมีแต่รอยไหม้เข้ามาแทนที่ ดวงตากลวงโบ๋สีแดงเลือดกำลังจับจ้องผู้วิเศษทั้งสองอย่างไม่วางตา เขาสูดลมหายใจเข้าช้า ๆ ฉับพลันไอสีขาวก็ลอยขึ้นเหนือร่างของไคเชอร์ แลเห็นดวงหน้าจาง ๆ ของกษัตริย์หนุ่มที่หันมายิ้มให้เนริตาและราชิทชั่วประเดี๋ยวก่อนจะถูกดูดเข้าไปในจมูกของชายหนุ่มหน้าตาอัปลักษณ์จนหมดสิ้น พร้อม ๆ กับชายหนุ่มผู้นั้นก็อันตรธานหายไป แต่ยังทิ้งซุ่มเสียงอันไพเราะซึ่งขัดกับหน้าตาราวฟ้ากับเหวลอยกระทบโสตประสาตของผู้วิเศษทั้งสอง "จงอย่าลืม จำขึ้นใจ เมื่อเริ่มใช้ สิบสองยาม"
จบคำศิลาวิญญูตกดิ่งลงสู่พื้นหญ้าทันที หญิงสาวใจหายวาบ เธอกุลีกุจอวิ่งไปควานหาอย่างเร่งรีบด้วยใจเป็นกังวล พร้อมพ่นลมหายใจเสียงดังเมื่อศิลาอยู่ในมือเล็ก ๆ ของเธอเป็นที่เรียบร้อย เนริตาลุกพรวดทันทีและก็ต้องทรุดฮวบทันใด ราชิทเข้ามาประคองเธอด้วยความรู้สึกเดิม ๆ ที่ถาโถมเข้ามาราวระลอกคลื่นเมื่อได้ใกล้ชิดกัน ชายหนุ่มพาเธอมานั่งพักเอาแรงตรงลานหน้าพระราชวัง แต่เพียงชั่วครู่ผู้วิเศษสาวจอมเฮี้ยวก็ดึงดันจะไปจัดการให้เสร็จสรรพ ราชิทจึงไม่คิดจะรั้งเธอไว้ต่อไป ชายหนุ่มได้แต่คอยดูห่าง ๆ และเดินตามหญิงสาวที่เซตุปัดตุเป๋ไปตลอดทางทุกฝีก้าวอย่างห่วงหาอาทร เธอเดินโอนเอนกระย่องกระแย่งจนมาถึงร่างของฟิกซ์และไคเชอร์
จากนั้นผู้วิเศษสาวก็รวบรวมกำลังทั้งหมดใช้กริชกรีดหน้าอกอันหนาเทอะทะมโหราฬของฟิกซ์ทันที พร้อมใช้มือแหวกออกแล้วเอาศิลาวิญญูใส่เข้าไป แต่ก็ไม่วายต้องออกแรงกด เพราะศิลาวิญญูนับว่าเป็นสิ่งสูงส่งถึงแม้จะอยู่ในพิภพอสูรก็ตาม ดังนั้นมันจึงถือตัวไม่ยุ่งเกี่ยวกับพวกสวะชั้นต่ำอย่างฟิกซ์และสัตว์อสูร ศิลาวิญญูกำลังต่อสู้อย่างสุดกำลังกับเนริตา มันพยายามอย่างสุดความสามารถที่จะดันตัวให้โผล่พ้นออกมาจากสองมือเล็ก ๆ ที่เริ่มอ่อนระโหยโรยแรง หญิงสาวกัดฟันสุดฤทธิ์ดันมันลงไป น้ำตาของเธอไหลพรากด้วยความเจ็บปวดเมื่อศิลาวิญญูเริ่มเปลี่ยนสภาพตัวเองเป็นกริชแหลมคมเพื่อกรีดมือเล็ก ๆ ของเธอ
บัดนี้ผู้วิเศษสาวนัยน์ตาพร่ามัว สมองเริ่มเรือนลางไม่สั่งการ ร่างกายชาเชือนไร้ความรู้สึก แต่ในความมืดมนย่อมมีแสงสว่างเสมอ หญิงสาวสัมผัสถึงการมาของใครคนหนึ่ง เธอรับรู้ท่วงท่าที่มือใหญ่กว่ากดทับมือเธอลงไปอีกที ความอบอุ่นแผ่ซ่านทั่วทุกอณูของหญิงสาว ชั่วพริบตาเธอนึกรักชายหนุ่มผู้นี้ขึ้นมาทันใด แต่แล้วห้วงคนึงก็พังทลาย เมื่อเขาถอนมือออก แล้วเขย่าเธอเบา ๆ พร้อมเรียกชื่อ เจ้าหล่อนหลุดออกจากภวังค์ทันที ดวงตาปรือ อื้ออึงกึ่งรับรู้ และสรรพเสียงสุดท้ายที่เธอสำนึกได้ก่อนที่ทุกอย่างจะดับวูบลง "เสร็จแล้ว เนริตา เราทำได้ ฟื้นสิ ! เจ้าอย่าหลับนะ ฟื้นสิ" ราชิทกอดร่างแน่นิ่งแนบแน่นกับอกตัวด้วยความสงสารระคนกังวล
ชายหนุ่มน้ำตาไหลอาบแก้มโดยไม่รู้ตัว หยาดใส ๆ หยดลงบนดวงหน้าของหญิงสาวที่ไร้การตอบสนอง ดั่งหยาดทิพย์ชโลมชีวิน เนริตาค่อย ๆ เผยอเปลือกตาที่เต็มไปด้วยแพดกหนาขึ้นอย่างช้า ๆ ราวกับนกยุงรำแพน ไหล่ไหวลู่เอนไปตามแรงไอ เป็นผลให้ราชิทกระชับเธอแน่นเข้าไปอีกด้วยความดีใจ ชายหนุ่มพร่ำพรรณนาอย่างสุดทน "ข้าขอโทษ ข้าช่วยอะไรเจ้าไม่ได้เลย ข้าขอโทษนะ ข้าดีใจที่เจ้าไม่เป็นอะไร ยกโทษให้ข้านะ เนริตา" หญิงสาวอมยิ้มน้อย ๆ พยักเพยิดอย่างขวยเขิน พร้อมซบลงฟังเสียงหายใจถี่ระรัวของเขาอย่างหลงรักเข้าเต็มเปา ในตอนนี้ผู้วิเศษสาวพร้อมจะทำทุกวิถีทางเพื่อให้ได้ราชิทมาครอบครอง แต่เมื่อเธอนึกถึงมิรันตีเพื่อนสาวที่ยอมให้เธอได้ทุกอย่างแม้แต่ชีวิตตั้งแต่เด็กจนโต ความคิดชั่วร้ายเมื่อครู่ก็พลันสูญสลายมลายหายไปจนสิ้น เนริตากระเด้งตัวขึ้นจากอ้อมกอดของราชิทในทันใด
เธอขอเพียงคอยดูเขาอยู่ห่าง ๆ .....
ให้กำลังใจเขาอยู่เบื้องหลังแม้เขาจะไม่รู้ก็ตาม .....
เก็บเขาอยู่ในใจภายใต้ห้วงคะนึงถวิลหายามโดดเดี่ยว .....
ซึมซับความอบอุ่นเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่เขาอาจจะเผื่อแผ่มาถึง .....
สูดดมกระไอหอมจาง ๆ ที่ออกมาจากตัวเขายามได้ใกล้ชิดกัน ......
เสียสละได้ทุกอย่างแม้นชีวิตเพื่อเขาคนที่เธอรัก .....
และสุดท้ายจดจำความรู้สึกดี ๆ ที่เขามีให้เธอแม้จะมีเส้นด้ายบาง ๆ ของคำว่าเพื่อนกั้นกลางอยู่ก็เพียงพอแล้ว แค่นี้เธอก็มีความสุขซาบซ่านจนยากจะลืมเลือนไปชั่วนิจนิรันดร์ มันเป็นความสุขของการไม่ได้ครอบครองเป็นเจ้าของ แต่เป็นความสุขของการเสียสละและปล่อยวางที่เธอจะรู้สึกอิ่มเอิบชื่นบานเมื่อได้ปฏิบัติมันอย่างจริงใจ
เธอมองหน้าราชิทที่แสดงสีหน้าห่วงใยปริวิตก จนเผยอยิ้มน้อย ๆ ช่างดูน่ารักยิ่งนัก แก้มบุ๋มที่เกิดจากลักยิ้มกรีดเป็นรอยลึก ดวงหน้าที่แม้จะซีดเซียวแต่ยังคงความสดใสในดวงตาสีม่วงที่เป็นประกายงดงาม แก้มสีชมพูฝาดดูสุขภาพดี ปากอวบอิ่มไร้สีเลือดแต่ก็สวยงามแช่มช้อยยิ่งกว่าใคร ๆ ผู้วิเศษหนุ่มจ้องมองเธอด้วยใจสะท้านไหว เขาเริ่มกลับสู่วังวนเดิม ๆ จนยากจะถอนตัวขึ้นอีกครา
"ข้าไม่เป็นไรแล้ว ขอบใจเจ้านะ ราชิท" เธอเรียกชื่อเขาอย่างเศร้าสร้อย ชายหนุ่มได้ยินดังนั้นก็จ้องลึกเข้าไปในดวงตาสีม่วงที่หลุบลงต่ำจนเห็นได้ชัด เขาประคองหน้าเธอเบา ๆ อย่างทะนุถนอม พร้อมกระซิบแผ่วเบาด้วยใจที่จวนเจียนจะละลาย "ข้า .... ข้าเลิกรักเจ้าไม่ได้ เนริตา" กล่าวจบก็ดึงเธอเข้ามากอดด้วยความรู้สึกวาบหวามรัญจวนใจ จนหญิงสาวเริ่มสะอึ้นไห้น้อย ๆ ด้วยความรู้สึกผิด ผู้วิเศษหนุ่มจึงกระชับเธอแน่นขึ้นอีกด้วยความหวงแหน เขามิอยากให้ใครมาพรากเธอ อยากให้เวลาหยุดเดินเพียงเท่านี้ ความรู้สึกที่ถูกปิดกั้นมานาน ความรู้สึกที่ถูกกักเก็บบ่มเพาะจนกลายเป็นความรักที่ลึกซึ้งจนยากจะปฏิเสธ
..... ผู้วิเศษทั้งสองเคยแอบลักลอบรักกันทางใจมานานเนิ่นนาน แต่ทั้งคู่ก็พยายามปฏิเสธตัวเองอยู่ทุกคราวร่ำไป จนกระทั่งกำแพงหลอกตัวเองเริ่มพังทลายไปทีละน้อย ๆ ด้วยความใกล้ชิด ความสนิท ความผูกพัน จนไม่เหลือแม้แต่เศษเสี้ยวของอิฐและปูนที่เป็นรากฐาน เลยทำให้ทั้งคู่ต้องเผชิญกับความจริงอันหนักหน่วงและยากเย็นของความรู้สึกโหยหาตราตรึง เพราะคำว่าเพื่อนเพียงคำเดียว ทั้งราชิทและเนริตามิอาจทรยศต่อมิรันตีได้ ผู้วิเศษทั้งสองจึงกลับมาสร้างกำแพงที่หนาและแข็งแรงกว่าเดิมอีกหลายเท่าจนกลายเป็นเขื่อนเพื่อขจัดความรู้สึกเห็นแก่ตัวเหล่านี้ออกไปจนหมดสิ้น
แต่แล้วความหวั่นไหวก็เรียกร้องสำนึกเดิม ๆ ให้กลับมาอีกครา คราวนี้ทั้งคู่ไม่เพียงแต่ทุบเขื่อนทิ้งจนไม่เหลือซาก แต่กลับเปิดใจให้กันจนหมดสิ้นทุกสิ่งทุกอย่าง ราชิทดันเนริตาออกจากอ้อมอกช้า ๆ ชายหนุ่มจ้องมองเธอด้วยความรู้สึกรักและถวิลหา พร้อมประทับริมฝีปากลงบนปากนุ่มละมุนของหญิงสาว เป็นจุมพิตแรกในชีวิตของผู้วิเศษหนุ่มที่โหยหามานานแสนนานแม้แต่มิรันตีก็มิเคยได้รับสิ่งนี้จากเขา เขื่อนอารมณ์ที่ต่างฝ่ายต่างปิดกั้นก็ระเบิดออกจนล้นทะลัก ทั้งคู่กำลังแลกเปลี่ยนถ่ายโอนความรู้สึกซึ่งกันและกัน พร้อมผสานหล่อหลอมจนเกือบเป็นอันหนึ่งอันเดียว ถ้าฟิกซ์ไม่รู้สึกตัวเสียก่อน ผู้วิเศษทั้งสองรีบผละออกจากกันทันทีพร้อมสายตาเว้าวอนเสียดายของฝ่ายชาย สาวเจ้าจึงเบนหน้าหนีด้วยความเขินอายก่อนจะหันเหความสนใจไปยังฟิกซ์ที่พูดเจื้อยแจ้วเพราะวิญญาณไคเชอร์นั้นเอง
"ผมจะไปได้รึยังครับคุณเนริตา ?" หญิงสาวได้ยินก็อมยิ้มน้อย ๆ "เดี๋ยวเจ้าก็ไปได้แล้วล่ะ ? อย่าใจร้อนนักเลย อ้อ ! แล้วจำไว้อย่างนะ เจ้าอย่าได้สบตากับใครนาน ๆ เป็นอันขาด เพราะสิ่งเดียวที่ฟิกซ์ไม่สามารถปิดกั้นได้ก็คือดวงตา ถึงแม้เจ้าจะมีดวงตาสีเดียวกับเจ้าเหยี่ยวทมิฬก็ตาม แต่ดวงตาคือหน้าต่างของชีวิต มันจะแสดงทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นตัวเจ้าออกมาโดยที่เจ้าจะไม่มีทางรู้ตัว ที่สำคัญมันจะเปิดกว้างอยู่ตลอดเวลาเพื่อให้ผู้อื่นได้เชยชม และถ้าเจ้าเปิดไว้นาน ๆ ล่ะก็ หึ ! มีหวังผู้เชยชมคงกักเจ้าไว้ในนรกเป็นแน่แท้ ไคเชอร" กษัตริย์หนุ่มในร่างฟิกซ์ได้ยินก็กลืนน้ำลายลงคอเสียงดังเอื๊อกด้วยความกลัว เนริตาเห็นก็ส่ายหน้าน้อย ๆ
"เอาล่ะ ! ได้เวลาแล้ว ข้าจะเปิดทางให้ เจ้าจะต้องผ่านเมืองโลกันตร์ของพวกสัตว์อสูรก่อนเป็นลำดับแรก ข้าจะทำสัญลักษณ์เป็นแสงสีขาวนวล ซึ่งจะมีแต่เจ้าเท่านั้นที่จะเห็นได้ จากนั้นเมื่อถึงนรกขุมที่หนึ่งข้าจะไม่เฉียดกรายยุ่งด้วยเป็นอันขาดถ้าไม่จำเป็นจริง ๆ เจ้าจงใช้สติปัญญาที่เจ้ามีทั้งหมดคิดหาวิธีเข้าไปโดยไม่ถูกสงสัยเอาเอง ข้าเชื่อว่าเจ้าจักทำได้เมื่อไปถึง ไคเชอร์ ! แล้วมองหาแต่ดวงวิญญาณเว้าแหว่งครึ่งหนึ่งเท่านั้น ละเลยวิญญาณเต็มดวงทั้งหลาย ครั้นเมื่อเจอนาง จงนึกถึงข้าโดยเร็วไว แล้วข้าจะรับเจ้าขึ้นมาในทันใด จำไว้เจ้ามีเวลาเพียงหนึ่งเพลาเท่านั้น ขอโชคจงอยู่กับเจ้า ไคเชอร์"
กล่าวจบหญิงสาวก็นั่งขัดสมาธิบริกรรมคาถา ท่ามกลางความกังวลของราชิทผู้พี่ เขาเดินมากอดน้องชายในร่างฟิกซ์พร้อมมอบกริชปลิดชีพซึ่งเป็นอาวุธคู่กายให้แก่น้องรัก ซึ่งไคเชอร์อิดออดอยู่นานพอสมควรกว่าจะรับมา จนกระทั่งพื้นเบื้องล่างสั่นสะเทือนเป็นการเตือนว่าถึงเวลาอันสมควรแล้ว ราชิทจึงสาวท้าวถอยหลังออกช้า ๆ ด้วยสายตาเป็นกังวลห่วงหา ดินแตกระแหงเเยกออกจากกันเป็นผลให้กษัตริย์หนุ่มในร่างฟิกซ์ดำดิ่งลงสู่เบื้องล่างทันที เขาพยายามไขว่คว้าหาที่ยืดเหนี่ยว เเต่ดูท่าจะไร้ผล ชายหนุ่มไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตกลงมานานเท่าไหร่เเล้ว รู้แต่เพียงเขาลอยตัวอยู่กลางอากาศเช่นนี้ได้ระยะหนึ่งแล้ว ทันใดนั้นเองเขาเริ่มรู้สึกถึงความร้อนระอุที่เเผ่ซ่านมาเป็นระลอก ไคเชอร์ตัดสินใจก้มหน้าลงไปทำให้เห็นเปลวไฟพวยพุ่งขึ้นมาจากเบื้องล่าง เขาใจหายวาบ ขนลุกซู่ เเต่เเล้วก็ต้องเบิกตาโพลงด้วยความตระหนกสุดขีด หน้าซีดเผือด เนื้อตัวสั่นเทิ้มด้วยความกลัวจับขั้วหัวใจ
ไคเชอร์ในร่างฟิกซ์หลับตาปี๋เมื่อสัมผัสถึงไอร้อนที่ประทะขึ้นมา จนตัวของเขาเกือบไหม้เกรียม ชายหนุ่มใช้มืออันใหญ่โตลูบขนไปมาด้วยความปวดเเสบปวดร้อนอย่างอดรนทนไม่ได้ สัตว์อสูรหน้าตาน่าเกลียดน่ากลัวสองตัวเงยหน้ามองเหยื่ออันโอชะ ดวงตาเล็กกระจ้อยร่อยกำลังเพ่งมองเขาอย่างไม่วางตา
...เเละเเล้ว... กษัตริย์หนุ่มก็บ้อท่า เขาตกลงมากระเเทกกับพื้นอย่างเเรง พร้อมกับกระเด้งตัวขึ้นอย่างรวดเร็วเพราะไอร้อนที่กำลังประทุจวนเจียนจะระเบิดของพื้นซึ่งเขาเหยียบย่างอยู่นั้นเอง ชายหนุ่มโอดโอยครวญครางอย่างเคยชิน จนลืมไปเสียสนิทว่าตัวอยู่ในร่างนกยักษ์ เขานอนชักดิ้นชักงอด้วยความทรมานท่ามกลางความแปลกใจฉงนสนเท่ของเหล่าสัตว์อสูรรูปร่างประหลาดเป็นร้อยเป็นพัน มันฮุเลเข้ามาอย่างล้นทะลัก โดยไม่มีทีท่าว่าจะหมด ไคเชอร์กำลังตกที่นั่งลำบาก ชายหนุ่มมองรอบด้านอย่างหวาด ๆ ..... ในชีวิตตั้งแต่เล็กจนโตเขาไม่เคยประสบพบเจอกับสัตว์อสูรแม้แต่น้อย แต่แล้วเขาก็ได้ยินเสียงเนริตาลอยกระทบโสตประสาท "อย่าลืมสิ ! เจ้าเป็นฟิกซ์นะ เจ้าจะร้อนไม่ได้เด็ดขาด ฟิกซ์ทนได้กับสิ่งพวกนี้ เจ้าก็ต้องทนได้เช่นกัน ! ตั้งสติหน่อยไคเชอร์ อย่าวอกแวก ความร้อนไม่ใช่อุปสรรคของเจ้า จำไว้ !"
เมื่อชายหนุ่มได้ยินดังนั้น .... เขาจึงเริ่มสูดลมหายใจเข้าจนลึก และปล่อยออกมาอย่างผ่อนคลาย พร้อมหลับตาเพื่อเรียบเรียงเรื่องราวคืนสติ จากนั้นเขาจึงชันกายลุกขึ้นอย่างลำบากท่ามกลางเสียงเฮฮุเลของเหล่าสัตว์อสูรที่มุงดู .... ราวปาฏิหาริย์ .... ไคเชอร์ในร่างฟิกซ์ไม่รู้สึกร้อนเลยสักนิดเดียว แต่ที่เขารู้สึกคงเป็นเพียงเพราะความกลัวที่อยู่ภายใต้เบื้องลึกในจิตใจของเขานั่นเอง
.... กลัวความลึกที่มองไม่เห็น
.... กลัวความมึดที่ไม่มีทางสว่าง
.... กลัวเหล่าสัตว์อสูรที่จะต้องเผชิญ
.... กลัวทำพลาดจนถูกจับได้
.... กลัวพ่ายแพ้จนหนีไม่พ้น
.... กลัวไปหมดทุกสิ่งทุกอย่าง กลายเป็นความฟุ้งซ่านที่แฝงตัวอยู่ในมุมมืดคอยเกาะกินความคิดทีละน้อย ๆ จนเกิดเป็นมโนภาพว่าเขาคือฟิกซ์จริง ๆ แต่อีกนัยหนึ่งจะให้เขาปฏิเสธงั้นหรือ ? ชายหนุ่มทำไม่ได้แม้แต่จะคิด เขากลัว .... กลัวมากจนหลอมละลายเป็นความกดดัน ความเครียดรุมเร้าถาโถมเข้ามาอย่างไม่ปรานี ..... เสมือนคลื่นที่กำลังซัดเข้าฝั่งอย่างไม่ลดละ และไม่มีทีท่าว่าจะหยุด
กษัตริย์หนุ่มมองไปรอบ ๆ ด้วยความหวาดวิตกกังวลไม่แพ้กับเนริตาที่นั่งทางในคอยดูเขาอยู่ห่าง ๆ เจ้าหล่อนรับรู้และตระหนักถึงปัญหาที่กำลังจะตามมาในภายหน้า แต่เธอกลับละทิ้งมันไปดื้อ ๆ และปล่อยให้ชายหนุ่มต่อสู้กับความกลัวที่ทยอยบดบังคืบคลานเข้ามาครอบงำอย่างไม่หยุดหย่อน ไคเชอร์กำลังตั้งรับอย่างแน่วแน่ เขาสร้างกำแพงสูงตระหง่านขึ้นมาเพื่อปกป้องความกล้าแกร่งเข้มแข็งมิให้ถูกทำลายจากการรุกรานของศัตรูตัวฉกาจนามว่า "กลัว" ชายหนุ่มพึงพอใจในกลวิธีอันแยบยลของตนพอสมควร
ตอนนี้ศัตรูเริ่มล่าถอย มันทยอยเลือนหายไปทีละน้อยอย่างรวดเร็ว ..... แต่อะไรกัน .....ทำไมมันถึงได้ง่ายดายถึงเพียงนี้ ชายหนุ่มคาดว่ามันยังคงซุ่มตั้งกองกำลังอยู่โดยพร้อมเตรียมออกมาประจัญบานได้ทุกเมื่อถ้ามีเสียงเรียกร้อง เพราะความกลัวไม่มีวันจางหายและปราชัย อีกทั้งมันจะคงอยู่ตลอดกาลชั่วกัลปาวสาน ตราบใดที่มนุษย์และสิ่งมีชีวิตอื่น ๆ ยังคงมีความดีหล่อเลี้ยงในจิตใจภายใต้สามัญสำนึกซึ่งอยู่ลึกที่สุดจนยากจะหยั่งถึง
เมื่อความกลัวจากไป ..... ความกล้ากับการเผชิญหน้าก็เข้ามาแทนที่ กษัตริย์หนุ่มเริ่มวางหมากในหัวสมองต่อเนื่องเป็นเรื่องราวอย่างคล่องแคล่ว พร้อมทางแก้ไขที่มาจ่อรอโดยมิได้นัดหมาย ยังความปลื้มปิติให้แก่เนริตาเป็นยิ่งนัก หญิงสาวคลี่ยิ้มออกมาอย่างเปิดเผย จนราชิทพลอยใจชึ้นตามไปด้วย ไคเชอร์ในร่างฟิกซ์มองสัตว์อสูรอย่างไม่ยี่หระ สายตาคมกริบของฟิกซ์ที่กษัตริย์หนุ่มแสดงออกมานั้นยังผลให้เหล่าสัตว์อสูรทั้งหลายยอมศิโรราบอย่างง่ายดาย พวกมันหลบหลีกให้ฟิกซ์เดินผ่านอย่างองอาจสง่างามท่ามกลางเสียงอึงคะนึงรั้งท้ายอย่างหวาด ๆ
"เฮ้ ! ฟิกซ์ นายมนุษย์หน้าโง่ของเจ้า มันยอมปล่อยเจ้าลงมาได้ยังไงกัน มันไม่รู้หรอกหรือ ? ว่าถ้าเจ้าลงมา เจ้าอาจจะไม่กลับไปหามันอีก" สัตว์อสูรท่าทางยโสตัวหนึ่งเอ่ยขึ้น ปากของมันมีหนอนไชยั้วะเยี้ยะเต็มไปหมด ตาปูดโปนกำลังกลิ้งกลอกอย่างถือดี จมูกเวอะวะบิดเบี้ยวกำลังไล่ส่ายฟิกซ์อย่างบุกรุกจู่โจม มันส่งเสียงครืดคราดโครมครามในลำคออย่างอึกทึก พร้อมหันไปขู่สัตว์อสูรอีกเป็นร้อยที่กำลังทยอยเข้ามา มันแยกเขี้ยวใส่อย่างองอาจทรนง พร้อมพูดด้วยเสียงแหบห้าว แต่แฝงไปด้วยอำนาจ กษัตริย์หนุ่มจึงเดาได้ไม่ยากว่าสัตว์อสูรตนนี้คือหัวหน้าของพวกมันเป็นแน่แท้
"อย่ายุ่งกับมัน ฟิกซ์เป็นเพื่อนข้า มิเช่นนั้นข้าจะจับพวกเจ้าส่งให้ท่านนิมมาน !" แล้วเสียงร้องโหยหวนแสบแก้วหูก็ดังขึ้นทันทีเมื่อสัตว์อสูรตัวนั้นกล่าวจบ บางตัวลงไปนอนดิ้นเร่า ๆ ทุรนทุรายราวถูกเชือด บางตัวก็กระอักเลือด ตาถลนออกนอกเบ้า บางตัวก็ชักกระตุกแล้วทรุดลงทันที บางตัวก็ละลายกลายเป็นเมือกเหนียว ๆ ส่งผลให้ตัวที่วิ่งเปะปะชนกันล้มระเนระนาดไม่เป็นท่า
พวกมันพากันปิดหูส่ายหัวพร้อมส่งสายตาอาฆาตแค้นเคืองมายังสัตว์อสูรตัวหัวหน้าที่ยืนยิ้มเผล่อย่างเย้ยหยัน ยังกับมันได้พูดอะไรที่ร้ายกาจเป็นเสนียดจัญไรต่อโสตประสาทของเหล่าสัตว์อสูร ..... ไคเชอร์พะอืดพะอมกับภาพที่ได้เห็นจนแทบจะอ้วกรดใส่สัตว์อสูรตัวหัวหน้าที่ถือวิสาสะตอนชุลมุนจับจ้องเขาอย่างจาบจ้วงไร้มารยาท มันเผยอปากเหนียวหนืดช้า ๆ พร้อมเปล่งเสียงห้าว ๆ อย่างกระท่อนกระแท่น
"ว่าไง ? ฟิกซ์ นายมนุษย์หน้าโง่ของเจ้าไม่รู้หรอกหรือ" มันถามซ้ำพร้อมมองฟิกซ์อย่างพินิจพิเคราะห์ หน้าผากเล็กกระจิ๊ดเต็มไปด้วยรอยแผลของมันยับย่นยู่ยี่น่าขยะแขยง ตอนนี้ชายหนุ่มตกที่นั่งลำบากอย่างสุด ๆ เพราะเขาไม่รู้ว่าฟิกซ์เวลาอยู่ในพิภพอสูรมันสามารถพูดได้รึเปล่า ? เขาจึงนึกถึงเนริตาประจวบเหมาะกับเธอก็กำลังจะบอกเขาพอดี "ข้ารู้มาว่าเวลาเหยี่ยวทมิฬอยู่ในถิ่นของมัน มันจะสื่อสารโดยการกระพือปีกและจิกเบา ๆ ที่ไหล่ของผู้ที่พูดกับมัน เหมือนที่มันทำกับเจ้าไงล่ะ ?"
ชายหนุ่มจึงไตร่ตรองข้อมูลที่ได้รับมาสด ๆ ร้อน ๆ อย่างละเอียดถี่ถ้วน แต่ก็ไม่วายคิดเลยเถิดไปถึง ~ ต้องกระพือปีกและจิกกี่ครั้งล่ะ ~ เขาคิดไม่ตกอย่างกระวนกระวาย พร้อมตัดสินใจเด็ดขาด ~ เอา ! เป็นไงเป็นกัน ~ กษัตริย์หนุ่มถอนหายใจอย่างแผ่วเบา ๆ แล้วกระพือปีกหนึ่งครั้ง กับภาวนาให้มันถูกต้องแบบที่สัตว์อสูรตนนั้นต้องการ ชายหนุ่มใจเต้นตุ้บตั้บครึกโครม ไม่แพ้กับเนริตา ..... ทั้งคู่กำลังลุ้นว่าจะออกหัวหรือก้อย ไคเชอร์จ้องตาสัตว์อสูรตนนั้นที่ยังคงมองเขาอย่างไม่ลดละ มันหรี่ตาลง พร้อมระเบิดเสียงหัวเราะออกมาดังลั่น แล้วเดินมาลูบแผงคอของฟิกซ์อย่างอารมณ์ดี
"แล้วเจ้าจะกลับไปมั้ยล่ะ ?" ชายหนุ่มในร่างฟิกซ์จึงลองจิกที่ไหล่มันเบา ๆ กลับยิ่งทำให้มันหัวเราะเสียงดังขึ้นไปอีก เป็นผลให้ไคเชอร์ยิ้มกริ่มอย่างพึงพอใจในสติปัญญาของตนเอง
"เจ้านี่ ! ไม่ต้องมายอข้าเลย ไม่ได้เจอเจ้าตั้งนาน เจ้าก็ไม่เปลี่ยนเลยนะ ฟิกซ์ ! ไปเถิด เดี๋ยวข้าจะพาเจ้าไปส่งที่สะพานนรกะนะ ข้ามีเรื่องเล่าให้เจ้าฟังเยอะแยะเลย" ฟิกซ์จึงปฏิบัติแบบเดิมอีกครา เจ้าสัตว์อสูรถึงกับยิ้มกว้างไม่ยอมหยุด มันพากษัตริย์หนุ่มในร่างฟิกซ์ลัดเลาะไปตามทางที่เต็มไปด้วยอักขระโบราณเเปลก ๆ ที่เขาไม่รู้จัก สลักเสลาอย่างวิจิตรพร้อมรูปภาพงดงามเกินบรรยาย เขาเดินเข้ามาลึกเรื่อย ๆ เเสงสว่างก็เริ่มมากขึ้นเป็นทวีคูณ พื้นที่มีสิ่งปฏิกูลโสโครกก็เเปรเปลี่ยนเป็นหินสีต่าง ๆ ที่ถูกเรียงรายอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย ช่างเข้ากันได้ดีกับผนังผลึกเเก้วใส มันสะท้อนเเสงระยิบระยับเป็นประกายเเวววาวเจิดจ้า
อากาศร้อนอบอ้าวกลับกลายเป็นเย็นยะเยือกชวนขนหัวลุกบอกไม่ถูก เเถมยังมีต้นไม้สีต่าง ๆ ขึ้นอยู่เรียงรายดาหน้าเป็นเเถว ๆ เเต่ละต้นช่างอวบอิ่มเเข็งเเรงราวกับได้รับการดูเเลเอาใจใส่เป็นอย่างดี ต่างผลิดอกออกผลประชันขันเเข่งกันเป็นเเถบ ๆ เเถมส่งกลิ่นหอมตลบอบอวลไปตลอดทาง เเต่สิ่งที่น่าเเปลกเห็นจะเป็น ต้นไม้พวกนี้ไม่ได้จมอยู่ในพื้นเหมือนต้นไม้ทั่วไป หากเเต่ลอยตัวเหนือพื้นหินตังหาก ! รากหลากสีสยายเป็นเเพกว้างเกิดเป็นซุ้มราวเนรมิต จนชายหนุ่มอดสงสัยไม่ได้ ~ นี่นะหรือ เมืองโลกันตร์ ~ เพราะสิ่งที่เเลเห็นอยู่เบื้องหน้าหากไม่เรียกว่าเป็นดั่งสรวงวรรค์น้อย ๆ ก็ไม่รู้จะสรรหาคำใดมาเปรียบเปรย เจ้าสัตว์อสูรหันมองฟิกซ์ที่เดินช้าลง มันอมยิ้มน้อย ๆ
"ฟิกซ์ ! นี่ถ้าข้าไม่เห็นว่าเจ้าเป็นเพื่อนนะ ฮึ่ม ! เจ้าจงเลิกมองเลิกหลงใหลได้แล้ว .... อ๋อ ! ใช่สิ เจ้าไม่เคยใช้ทางนี้ผ่านไปนรกนี่ .... เฮ้อ ! ข้าก็ลืมไป ขอโทษทีนะ แม้แต่เจ้ายังหลงใหลมันเลยหรือเนี่ย" เจ้าสัตว์อสูรเอ่ยอย่างเศร้าสร้อยสำนึกผิด มันจึงหันหลังเดินกลับมาออกแรงกระชากไคเชอร์ในร่างฟิกซ์ให้ออกเดิน พร้อมกับกำชับอย่างหนักแน่น
"มันอันตรายนะ รู้มั้ย ? มีกี่ศพเเล้วที่ต้องสังเวยให้สิ่งสวยงามอย่างนี้ สวยเเต่อาบไปด้วยพิษ มันเป็นมนต์ริษยาที่จะหลอกล่อดึงวิญญาณของใครก็ตามที่หลงเข้ามาในนี้ เจ้าเห็นมั้ยล่ะ ? ว่าต้นไม้พวกนี้ล้วนเเล้วเเต่ลอยตัวได้ทั้งนั้น เพราะมันถูกหล่อเลี้ยงด้วยวิญญาณเเละเลือดของผู้ที่หลงเข้ามาทั้งเต็มใจเเละไม่เต็มใจไงล่ะ ! นี่เป็นสิ่งที่ข้าเบื่อหน่ายไม่อยากจะทำ แต่ข้าก็จำต้องทำ ข้าต้องปลอมตัวเป็นสัตว์ที่น่าสงสาร เพราะรากฐานเเก่นเเท้ของสิ่งมีชีวิต ล้วนมีความอ่อนโยนบอบบางซ่อนอยู่ด้วยกันทั้งนั้น มันซึมซับติดมากับตัวตั้งเเต่กำเนิดเพียงเเต่ว่าเราจะรู้จักดึงมันออกมาใช้บ้างมั้ย ก็เเค่นั้นเอง
ถ้าไม่ได้ผลจริง ๆ ข้าก็จะต้องฉุดคร่าผู้นั้นลงมาอย่างทารุณโหดร้าย จากนั้นก็ฆ่าทิ้งเเล้วเอาหัวใจและเลือดไปถวายให้จ้าวอสูร ส่วนเนื้อเน่า ๆ ซูบซีดที่เหลือข้าก็ให้พวกลูกน้องไป ตัวที่เเข็งเเกร่งก็จะได้กินเยอะ ส่วนตัวอ่อนเเอถ้าไม่ถูกเหยียบตายก็จะได้กินน้อยกว่า ความปรานีไม่มีอยู่ในสันดานของพวกเราหรอก สัตว์อสูรเป็นสิ่งมีชีวิตชนิดเดียวที่ดิบเถื่อนบ้าคลั่งไร้ซึ่งความเมตตา พวกเราฆ่าได้เเม้กระทั่งลูกของตัวเองในยามที่ไม่มีอะไรกิน หรือผสมพันธุ์ ข้าน่ะเกือบถูกข้าตาย เพราะแม่ข้าร่วมประเวณีกับตัวอื่นที่ไม่ใช่พ่อ ข้ายังจำได้แม่นยำ มั่วไม่เลือก เชอะ ! ทุ-เรศ" สัตว์อสูรพูดอย่างรังเกียจในเผ่าพันธุ์ของตนเอง ปากบูดเบี้ยวของมันเบะออกอย่างเคียดแค้นโกรธเคือง
..... ราวกับสิ่งมหัศจรรย์ .... ชั่วประเดี๋ยวไคเชอร์รู้สึกสงสารสัตว์อสูรตัวนี้ขึ้นมาจับใจ จนเผลอคิดไปว่า ถ้าเขาสามารถนำมันขึ้นไปด้วยได้ก็จะดีทีเดียว แต่แล้วความคิดนี้ก็พลันหายไปเมื่อถึงจุดหมาย มันลูบแผงคอฟิกซ์เบา ๆ อย่างทะนุถนอม พร้อมเอ่ยเบา ๆ "หวังว่าข้าคงจะได้เจอกับเจ้าใหม่นะ ฟิกซ์" ถ้าเขามองไม่ผิด กษัตริย์หนุ่มเห็นหยาดน้ำใส ๆ ไหลอาบแก้มของสัตว์อสูรตัวนั้นก่อนที่มันจะหันหลังกลับไป ฟิกซ์จึงกระพือปีกอีกครั้งเพื่อขอบคุณ สัตว์อสูรได้ยินเสียงก็หันกลับมาแล้วส่งยิ้มที่มันคิดว่าหวานสุด ๆ ให้แก่ฟิกซ์ จนกษัตริย์หนุ่มแทบสำลอกอาหารหมดท้อง แต่เขาก็อดอมยิ้มน้อย ๆ กับตัวเองไม่ได้ .... ยังไงเสียสัตว์อสูรก็ไม่ใช่ว่าจะไม่ดีเสมอไป ไคเชอร์พึมพำกับตัวเองแล้วถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก แล้วเขาก็ตั้งใจฟังคำพูดของเนริตาที่เอ่ยออกมาอย่างก้องกังวาน "ต่อไปก็ถึงคราวที่เจ้าจักต้องพึ่งตนเองแล้วนะ ไคเชอร์ ! โชคดีนะ"
ขอบคุณสำหรับการติดตามค่ะ
*ครึ่งเพลา = สิบสองยาม
ยาม = ชั่วโมง
สุดท้ายมีข้อคิดดี ๆ จากศึกชิง ฯ เก่าค่ะ ไหน ๆ ตอนต้นก็กล่าวถึงน้องหมาแล้ว เลยคัดมาฝากกันค่ะ
กฎทองของน้องหมา ( The Dogs 10 Commandments )
1 ) ชีวิตของฉันอย่างมากก็จะสิ้นสุดเพียงแค่ 10-15 ปีเท่านั้น การต้องแยกจากเธอไม่ว่าด้วยเหตุใดๆ นับเป็นความปวดร้าวอย่างยิ่งของฉัน จึงโปรดสังวรให้จงหนัก..ก่อนจะรับฉันเข ้ามาในชีวิต
2 ) ให้เวลากับฉันสักหน่อย เพื่อทำความเข้าใจให้ชัดเจนว่าเธอต้องการอะไรจากฉัน
3 ) จงเชื่อมั่นในตัวฉัน เพราะเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งสำหรับความเป็นอยู่ของฉัน
4 ) อย่าโกรธฉันให้นานนัก และอย่าลงโทษฉันด้วยการกักขัง เธอมีทั้งหน้าที่การงาน ความบันเทิงและมิตรสหาย แต่ฉันนั้น.....มีเพียงเธอ
5 ) พูดกับฉันบ้าง แม้ฉันจะไม่เข้าใจคำพูด แต่ฉันก็เข้าใจเธอได้จากน้ำเสียง
6 ) พึงระลึกอยู่เสมอว่า... ไม่ว่าเธอจะปฏิบัติอย่างไรต่อฉัน ฉันจะไม่มีวันลืมเลือนเลย
7 ) โปรดอย่าทุบตีฉัน เพราะแม้ฉันจะทุบตีเธอกลับไม่ได้ แต่ฉันก็สามารถกัดหรือข่วนตะกุยเธอได้ ซึ่งเป็นสิ่งที่ฉันไม่อยากกระทำเลย
8 ) ก่อนจะดุด่าฉันสำหรับท่าทีที่คล้ายไม่เชื่อฟัง ดื้อดึง เกียจคร้าน ขอจงไ ด้ถามตัวเธอเองก่อนว่า เกิดสิ่งผิดปกติกับตัวฉันหรือไม่ บางทีอาจจะมาจากเรื่องของอาหาร หรือถูกท ิ้งไว้กลางแดดนานเกินไป หรือหัวใจของฉันแก่ชราและอ่อนล้าเสียแล้ว
9 ) ดูแลฉันเมื่อยามแก่เฒ่าด้วย เพราะวันหนึ่งเธอก็ต้องเป็นเช่นนั้น
10 ) อยู่กับฉันเมื่อช่วงเวลาสุดท้ายของชีวิตมาถึง ขออย่าได้พูดเป็นอันขาดว่า " ฉันทนดูไม่ได้ ขออย่าให้มันเกิดขึ้นต่อหน้าเลย " เพราะเรื่องราวทั้งหมดจะง่ายขึ้นหาก...เธออยู่ด้วย
สุดท้ายที่สุด...โปรดรำลึกเสมอว่า " ฉันรักเธอ "
เพื่อน ๆ ที่ได้อ่านบทความที่พิ้งค์เอามาฝากเเล้ว ใครที่มีน้องหมาอยู่ข้างกาย จงรักเขาให้มาก ๆ นะคะ ดูเเลเอาใจใส่เสมือนเขาเป็นสมาชิกในครอบครัว เป็นเพื่อน อย่าทิ้งขว ้างเขานะคะ พึงระลึกไว้เสมอ ว่าเขาขาดคุณไม่ได้ เเล้วเราก็จะมีความสุขทั้งสองฝ่ายค่ะ อิอิ
อ้อ ! เมื่อวันลอยกระทงพิ้งค์ไปเชียงรายมาด้วยค่ะ ไปลอยกระทงตอนเที่ยงคืนพอดีเลย เห็นน้ำหยุดไหลเท่าหูช้างกระดิกด้วย น้ำนิ่งมากเลยค่ะ มันเป็นจังหวะพอดีกับดวงจันทร์เต็มดวงพอดีเลย สวยมากเลยค่ะ ตอนแรกพิ้งค์ก็คิดว่าเป็นแค่เรื่องเล่าของผู้ใหญ่ แต่พอมาเห็นเองแล้ว อึ้งเลยค่ะ แล้วที่สำคัญนะคะ คุณป้าบอกให้พิ้งค์เก็บน้ำตอนนิ่ง ๆ ไปดื่มด้วยล่ะ จะโชคดี เหมือนเราได้ดื่มน้ำแสงจันทร์ไงคะ อิอิ
บ๊ายบายค่ะ ตอนนี้ง่วงนอนแล้ว ไม่ไหว ๆ ขอโทษที่ไม่ได้ไปบอกนะคะ
อ่านแฮรี่ภาษาไทยแล้ว เกลียดเสนปสุด ๆ เลย ฮื่ม ! แต่ก็มีเซอร์ไพรส์แฮรี่ชอบจินนี่ ! โอ้พระเจ้าช่วยกล้วยทอด อิอิ
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น