ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ศึกชิงจ้าวพิภพ ภาค มนตราอัศวมณี

    ลำดับตอนที่ #3 : *ความหวังสุดท้าย*

    • อัปเดตล่าสุด 12 เม.ย. 49



            7 / 11 /48  , แก้ไขเพิ่มเติม  8 / 11 / 48 ,  อีกครั้ง  9 / 11 / 48 และขอบคุณพี่นุ้ยเรื่องคำกลอนพร้อมกับคำสรรพนามบางส่วนค่ะ  เพื่อไม่ให้คนอ่านงง  อิอิ  

            ^0^คุยกันก่อนนะคะ^0^   

            และแล้วก็อดไม่ได้อีกแล้วค่ะ   ตอนแรกว่าจะลงอาทิตย์ละตอน   แต่ตอนนี้คิดออกก็เลยลงซะเลย  อิอิ  สำหรับตอนนี้จะไม่มีฉากตื่นเต้นนะคะ  พิ้งค์จะนำเสนออุปนิสัยของเนริตา  ไคเชอร์  และราชิทเสียมากกว่า  ทุกคนจะได้รู้จักกับตัวละครของพิ้งค์ละเอียดยิ่งขึ้นค่ะ

            สำหรับเพื่อน ๆ น้อง ๆ ที่พิ้งค์ยังไม่ได้แวะไปเยี่ยม  ไม่ต้องกังวลนะคะ  ยังไงพิ้งค์จะทยอยไปเยี่ยมทุกคนค่ะ  มีเวลาตั้งหนึ่งอาทิตย์กว่าจะเปิดเทอม   อิอิ  ส่วนถ้าใครรอไม่ไหว  จะลัดคิวบอกกล่าวกันก็ได้นะคะ   ไม่ว่ากันอยู่แล้วค่ะ  ยินดีเสมอ 

            สุดท้าย   ขอให้มีความสุขกับการอ่านนิยายของพิ้งค์นะคะ 

            *ความหวังสุดท้าย*

    เมื่ออาทิตย์คล้อยเคลื่อนเลื่อนลงต่ำ   จวนใกล้ค่ำดูอ่อนแสงแดงสลัว
    มองนภาฟ้าเริ่มเปลี่ยนเป็นมืดมัว       ใจระรัวเฝ้าโหยหาราตรีกาล

    สายลมแผ่วโชยมาพาใจคิด              โอ้ชีวิตดั่งเส้นใยได้จักสาน
    ร้อยเรียงรวมกันจนเห็นเป็นตำนาน    ได้ขับขานต่างเล่าสู่มิรู้ลืม

    ฟ้าสีแดงดั่งโลหิตของผู้กล้า             ชโลมทาพื้นพิภพที่ปลาบปลื้ม
    มิเคยคิดสักคราจะเลือนลืม               มิหยิบยืมหรือร้องขอความเมตตา

    ขอตั้งสัตย์อัศวมณีที่พิทักษ์              แม้นชีพจักมอดมลายสลายตรงหน้า
    หากแผ่นดินจะคงอยู่คู่โลกา               ไม่ร้างราจักยืนยงคงกระพัน


            แปะ !  แปะ !  แปะ !

            ไคเชอร์ปรบมือเสียงดัง   เป็นผลให้เนริตาสะดุ้งโหยงด้วยความตกใจ  หญิงสาวหันไปยิ้มน้อย ๆ อย่างเขินอาย  
     
            "ขอโทษครับ  ผมไม่ได้ตั้งใจจะทำให้คุณตกใจนะครับ  พอดีผมเดินมาได้ยิน  ....  มันเพราะดี ....  ก็เลยหยุดฟัง  .... ยังไงผมต้องขอโทษคุณเนริตาด้วยนะครับที่กระทำการเสียมารยาทเช่นนี้"  กษัตริย์หนุ่มกล่าวอย่างสำนึกผิด   เนริตาจึงส่ายน้อย ๆ แล้วเปลี่ยนประเด็นเพื่อช่วยเขาทางอ้อม

            "แล้วราชิทล่ะ ?" เธอถามอย่างอ่อนโยนจนไคเชอร์ถึงกับตะลึง  หญิงสาวกระแอมเบา ๆ เพื่อดึงสติกษัตริย์หนุ่มกลับมา  เขาเกาหัวแก้เก้อพร้อมยิ้มแหย ๆ 

           "อยู่ในห้องกับคุณมิรันตีครับ  อืม .... ว่าแต่ทำไมคุณถึงยังไม่บอกพี่ราชิทอีกล่ะครับ  ว่าสิ่งที่จะนำวิญญาณของคุณมิรันตีกลับมาได้คืออะไร ?"  กษัตริย์หนุ่มถามเพราะความสงสัย   เนริตาจึงคลี่ยิ้มน้อย ๆ อย่างเจ้าเล่ห์   ดวงตาสีม่วงทอประกาย

            "ก็เพราะข้าต้องคุยกับเจ้าก่อนนะสิ  ไคเชอร์"  คิ้วสวยได้รูปของกษัตริย์หนุ่มขมวดเข้าหากันทันทีเมื่อได้ยิน   "ไม่ต้องงงหรอก  เพราะสิ่งที่จะสามารถนำวิญญาณของเพื่อนข้ากลับมาได้ก็คือ  เหยี่ยวทมิฬในนรกอเวจีที่อยู่ในตัวของเจ้าไง   ไคเชอร์  ....  มันเป็นเพียงสิ่งเดียวที่ดำดิ่งลงนรกโบยบินขึ้นสวรรค์ได้   ฉะนั้นข้าจึงต้องเจรจากับเจ้าก่อนไงล่ะ  ?"  กษัตริย์หนุ่มได้ยินก็พยักหน้าน้อย ๆ เป็นเชิงเข้าใจ  แต่แล้วกลับเหมือนคิดอะไรได้   เขาจึงโพล่งออกไป   "คุณรู้ได้ยังไงครับว่าผมมีฟิกซ์อยู่  แล้วมีณมนตราล่ะ ?"  เนริตาได้ยินจึงส่ายหน้าน้อย ๆ

            "รู้ได้ยังไงหรือ  ?  หึ !  อาจารย์ของเจ้าคงไม่ได้สอนวิธีกลบสาบสัตว์นรกเลยใช่มั้ย  ?   ไคเชอร์"   กษัตริย์หนุ่มส่ายหน้าน้อย ๆ เนริตาจึงเดินเข้ามาหาพร้อมตบบ่าเขาเบา ๆ  "เพราะสาเหตุนี้ไงล่ะ  ! ข้าถึงรู้ว่าเจ้ามีเหยี่ยวทมิฬซ่อนอยู่ภายใน   ผู้วิเศษทุกตนไม่ว่าจะมีฤทธิ์มากหรือน้อยย่อมมีประสาทสัมผัสที่เฉียบคมและดีกว่ามนุษย์ถึงหลายเท่า   เราสามารถสัมผัสได้ตั้งแต่นุ่นบางเบาจนไปถึงภูผาอันแข็งแกร่ง   โสตประสาทของเราถูกออกแบบมาให้รับน้ำหนักเรื่องราวได้มากกว่ามนุษย์   ฉะนั้นพวกเราถึงทั้งสุขและทุกข์กว่ามนุษย์หลายเท่ายิ่งนัก"   หล่อนมองหน้าไคเชอร์ที่พยักหน้าหงึกหงัก   พร้อมอมยิ้มน้อย ๆ   "ส่วนมีณมนตรา  ?  ข้าก็พูดไปหยั่งนั้นเอง   เพื่อทดสอบว่าราชิทรักมิรันตีแค่ไหน  ซึ่งผลที่ออกมาก็น่าภูมิใจอยู่ใช่ย่อย   ราชิทรักเพื่อนข้ามากถึงขนาดกับยอมไปเหยียบถิ่นศัตรูอันแสนร้ายกาจ"  เนริตาพูดอย่างกระหยิ่มยิ้มย่อง  แต่ก็รีบวกกลับมาประเด็นเดิมทันที   "ตกลงเจ้าจะว่ายังไงล่ะ ?  ไคเชอร์"  หญิงสาวคาดคั้น  กษัตริย์หนุ่มลอบถอนหายใจเบา ๆ ก่อนจะยิ้มรับอย่างหน้าชื่นตาบาน

            "ตกลง  !  ผมยอมเพื่อพี่ราชิท"   เนริตาได้ยินก็ยิ้มอย่างพอใจ  แต่ก็ไม่ลืมกำชับกษัตริย์หนุ่ม   "ข้าต้องการทั้งเหยี่ยวทมิฬและตัวเจ้า  ไม่ใช่เหยี่ยวทมิฬเพียงอย่างเดียวนะ ....  นี่ถ้ามิรันตีรู้ว่าเจ้าตกลงทำ   นางคงจะดีใจมาก" กล่าวจบก็หาวหวอด ๆ  แล้วขอตัวกษัตริย์หนุ่มไปพักผ่อน  พร้อมฮัมเพลงอย่างมีความสุข   โดยปล่อยให้ไคเชอร์ยืนครุ่นคิดถึงสิ่งที่ตัวเองพูดไว้เพียงลำพัง   ~ดีใจมาก  ทำไมคุณมิรันตีต้องดีใจด้วยล่ะ  ?~  กษัตริย์หนุ่มคิดทบทวนไปมาอย่างวกวน  โดยไม่รู้เลยว่าคนที่แกล้งทำเป็นง่วงนอนเสียเต็มประดากำลังแอบยืนมองตนอยู่อย่างพึงพอใจในผลงาน   ~ใช่ !  ไคเชอร์  มิรันตีต้องดีใจจนเป็นลมเลยล่ะ  ที่รู้ว่าเจ้ายอมทำเพื่อนาง   ถึงจะมีราชิทเข้ามากั้นกลางก็ตามที   สักวันเจ้าจะได้รู้ในสิ่งที่เจ้าประสงค์   ข้าชักอยากให้ถึงวันนั้นแล้วล่ะสิ  ....   (ยิ้ม)  ....  เจ้าจะรับได้มั้ยน้า   ถ้าเจ้ารู้ว่าตัวเองเกี่ยวข้องอะไรกับนาง   ไคเชอร์  !~    เนริตาเปรยในใจพร้อมหันหลังบ่ายหน้ามุ่งสู่วังคารา   

            สรรพชีวิตคืนสู่การเริ่มต้นอีกครา   เมื่อสุรีย์สาดส่องต้องกลีบบุปผชาติที่ชูช่อรอรับอย่างเบ่งบาน   พร่างพราวนัยนางามสะท้อนอ้อนแสงสีอย่างสดใส    ผสานน้ำค้างหยอกอ้อล้อบนยอดหญ้าอย่างพลิ้วไหวฝูงมัจฉาแหวกว่ายเป็นวังวนอย่างวิไล  พร้อมเหล่านกกาบินขวักไขว่ทั่วผืนนภาอย่างร่าเริง    ช่างรื่นรมย์อัศจรรย์ตระการตาอย่างลึกล้ำ  บังเกิดเป็นความปลื้มปิติแก่ผู้ที่ได้พบเห็นอย่างปาฏิหาริย์ยากแท้แก่การลืมเลือน   แต่ถึงกระนั้นก็ยังมีชายผู้หนึ่งที่ไม่ยินดียินร้ายกับสิ่งใด ๆ ทั้งสิ้น   เขายังคงนั่งจมปรักอยู่ที่เก้าอี้ข้างเตียงตั้งแต่เมื่อคืน   ดวงตาเหม่อลอยจับจ้องแต่ร่างบางที่นอนนิ่งไม่ขยับเขยื้อนอยู่บนเตียงอย่างหมดอาลัยตายอยาก  

            ชายหนุ่มเพิ่งผ่านการร้องไห้มาหมาด  ๆ  คราบน้ำตายังปรากฏเป็นด่างดวงบนใบหน้า  ขอบตาดำคล้ำ   ดวงตาสีม่วงส่อประกายเศร้าสร้อยไม่สดใส   เขากุมมือหญิงสาวอันเป็นที่รักไว้ตลอดคืนพร้อมพร่ำพรรณนาถึงความรักอันยิ่งใหญ่ซึ่งทั้งคู่มีให้ต่อกันโดยไม่ย่อท้อต่ออุปสรรคที่ถาโถมเข้ามาราวระลอกคลื่นอย่างดื่มด่ำอยู่ในห้วงคำนึงถวิลหา  อีกทั้งยังเฝ้าภาวนาวิงวอนขอพรจากเทพยดาอย่างสุดความสามารถ   ซึ่งมันเป็นสิ่งสุดท้ายที่จะรั้งตรึงจิตวิญญาณของเขาให้อยู่กับร่างไม่ไปไหน  และแล้วบ่อน้ำตาที่ปิดกลั้นก็เริ่มเกเรชิงดีชิงเด่นแข่งกันพรั่งพรูออกมาอย่างไม่ลดละเมื่อความแข็งแกร่งในใจต้องเป็นอันพังทลายเพราะร่างบางที่อยู่ตรงหน้าเริ่มกระตุกเป็นระยะ ๆ  ชายหนุ่มใจหายวาบ   ตัวชาวูบ   หน้าซีด  ปากสั่น   เขาหันรีหันขวางทำอะไรไม่ถูกอย่างกระวนกระวาย    

            ดุจดั่งสวรรค์โปรด  เมื่อประตูเปิดผางออก  เผยให้เห็นบุรุษหน้าตาคุ้นเคยก้าวเข้ามาใกล้จนระยะประชิด  

            "พี่ราชิทเป็นอะไรครับ  ?  ทำไมตัวสั่นขนาดนี้"  เสียงนั้นดั่งเทพเบื้องบนประทานสติ   ชายหนุ่มพึมพำไม่ได้ศัพท์พร้อมชี้ไปที่เตียง   บุรุษผู้มาเยือนมองตามถึงกับตาค้างด้วยความตกใจ    เขากระวีกระวาดผ่านหน้าชายหนุ่มนามว่าราชิทไปหาร่างบางนั้นทันที    เสมือนเวลาหยุดเดิน  สิ่งรอบตัวหยุดเคลื่อนไหว   ชายหนุ่มอื้ออึงตกอยู่ในภวังค์  ดั่งคนวิกลจริต   เขาไม่รับรู้เรื่องราวเหตุการณ์ใด ๆ ที่เกิดขึ้นแม้แต่น้อย   จนกระทั่งเขาได้ยินเสียงเทพองค์นั้นอีกครา   "พี่ราชิทครับ  พี่ราชิท   คุณมิรันตีไม่เป็นอะไรหรอกครับ   เธอแค่กล้ามเนื้อกระตุกเท่านั้นเอง  มันเป็นอาการของคนสลบอย่างหนึ่งครับ   ผมให้หมอหลวงตรวจอาการให้แล้ว   พี่ราชิท"   ชายหนุ่มจึงเริ่มเคลื่อนไหวอากัปกิริยา   สติสัมปชัญญะถูกโยกย้ายกลับคืนสู่เซลล์สมองอย่างช้า ๆ  จนเข้าที่   

            "งั้นเหรอ  เอ่อ  ....  เมื่อกี้นายว่าอะไรนะ  ไคเชอร์  อ้าว  ....  แล้วนายมาตั้งแต่เมื่อไหร่   ....  มิรันตีล่ะ ?  นางเป็นอะไรรึเปล่า   ?   พี่เห็นนางกระตุก"  กล่าวจบก็พรวดพราดเข้าไปหาร่างบางที่นอนหลับตาพริ้มอยู่บนเตียงโดยไม่ฟังคำทัดทานของผู้เป็นน้องแม้แต่น้อย   เขากลับไปเป็นคนไร้สติตามเดิม   ชายหนุ่มฟูมฟายร่ำไห้   เล่นเอากษัตริย์หนุ่มงงเป็นไก่ตาแตก  แล้วก็ต้องสะดุ้งโหยงสุดตัวเมื่อเนริตาเดินเข้ามากระซิบข้างหูอย่างแผ่วเบา 

            "ไม่ต้องงงหรอก  ไคเชอร์  ราชิทก็แค่ปริวิตกไปก็เท่านั้นเอง  สมองของเขาตายด้านไม่รู้สำนึก  ไม่ได้ยินเสียงใด ๆ นอกจากเจ้า  เพราะในใจของเขามิได้มีแต่เพียงมิรันตี   หากมีเจ้าเข้าไปอยู่ด้วยเสมอทุกเวลา   ดังนั้นเสียงของเจ้าจึงเข้าไปฉุดเขาออกมาจากภวังค์อันมืดมิดไงล่ะ  ?  ไคเชอร์"   หญิงสาวอมยิ้มอย่างอารมณ์ดี   กษัตริย์หนุ่มพึมพำ   ~ งั้นหรือ ~   สร้างความงุนงงให้แก่เหล่านายทหารที่มายืนอารักขาเป็นอย่างมาก   เมื่อพลันได้เห็นกษัตริย์ของพวกเขาคล้ายดั่งกำลังพูดคุยกับใครอยู่  

            เหล่านายทหารหันรีหันขวางกันอย่างฟุ้งซ่าน   โดยเฉพาะดีซาและซียุส  ทั้งคู่แทบจะไม่เป็นอันทำอะไร  นอกจากเฝ้าติดตามซุ่มดูนายเหนือหัวตลอดเวลา   ราวกับกำลังสอดแนมข้าศึกก็ไม่ปาน   แต่ดูเหมือนกษัตริย์หนุ่มจะเริ่มรับรู้ถึงรังสีหลบซ่อนรุนแรง    เขาจึงทำตัวเป็นปกติราวไม่มีอะไรเกิดขึ้น  พร้อมเล่นละครหงุดหงิดตะเพิดเหล่านายทหารออกไปจนทุกคนแทบตั้งตัวไม่ติด    หนำซ้ำยังปิดประตูไล่หลังเสียงดัง  ปั้ง  !   ยิ่งเพิ่มความฉงนสนเท่ผสานอยากรู้อยากเห็นให้แก่บรรดาข้าราชบริพารอีกเป็นทวีคูณ    แต่ก็ไม่มีผู้ใดกล้ายื่นหน้าเข้าไปสอดแม้แต่น้อย   ทุกคนต่างเก็บงำความสงสัยเอาไว้ในใจอยู่อย่างเงียบเชียบ

            "เล่นละครเก่งดีนี่  สมแล้วที่เป็นถึงกษัตริย์"   เนริตาพูดน้ำเสียงแฝงเยาะ  ไคเชอร์หน้าเจื่อน

            "ก็ถ้าผมไม่ทำแบบนี้  มีหรือที่พวกตังเมจะยอมถอนตัวออกไป"  หญิงสาวได้ยินก็ระเบิดเสียงหัวเราะ   จนกษัตริย์หนุ่มคิ้วผูกโบว์

            "ตังเม  ตายแล้ว  !  นี่ข้าเพิ่งรู้นะเนี่ย  ว่าพวกมนุษย์ที่แท้ก็เป็นขนม"   หญิงสาวยียวนแต่ก็พลอยทำให้ไคเชอร์อารมณ์ดีไปด้วย   จะเหลือก็แต่ราชิทที่ยังคงนั่งพึมพำอยู่อย่างไม่ใส่ใจที่แขกผู้มาเยือน   เนริตาจึงดุนหลังไคเชอร์เข้าไปหาพี่ชาย   พร้อมพูดให้กำลังใจ   "มีเจ้าเพียงผู้เดียวนะ  ที่จะทำให้เขากลับมาเป็นราชิทคนเก่าได้   เชื่อข้าสิ   ตอนนี้สิ่งที่ราชิทต้องการคือกำลังใจจากเจ้า  ไคเชอร์"  กษัตริย์หนุ่มจึงนั่งลงข้าง ๆ ผู้เป็นพี่   พร้อมเอ่ยอย่างกระท่อนกระแท่น

            "พี่ราชิทครับ   ผมว่าพี่น่าจะทานอะไรสักหน่อยนะครับ  แล้วก็พักผ่อนด้วย   พี่จะได้มีแรงเฝ้าคุณมิรันตีต่อไงครับ"   ราชิทผู้พี่หันมองน้องชายด้วยสายตาเลื่อนลอยเวิ้งว้าง   ไคเชอร์จึงเขย่าตัวพี่ชายเบา ๆ พร้อมเรียกชื่อซ้ำไปมาเพื่อดึงสติที่หดหายให้กลับคืน  ฉับพลันนัยน์ตาสีม่วงบังเกิดเป็นภาพของกษัตริย์หนุ่ม   ราชิทเริ่มกลับคืนสู่โลกแห่งความเป็นจริงทีละน้อย  ๆ  อย่างไม่เร่งรีบ   โดยมีน้องชายคอยเรียกเพื่อฉุดรั้งดึงผู้เป็นพี่ให้หลุดพ้นจากความทุกข์ระทม  จนรอยยิ้มเริ่มฉาบทาบบนใบหน้าอันเรียบเฉยขุ่นมัวของราชิทได้สนิทใจ   ดวงตาสีม่วงก็สกาวสุกใสราวดวงดาวบนฟากฟ้ายามราตรี   

            ผู้วิเศษหนุ่มเรียกชื่อน้องชายช้า ๆ อย่างคนเพิ่งฝึกพูด  พร้อมทบทวนเรื่องราวเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างถ่องแท้ด้วยใจระรื่นชื่นบาน   ในตอนนี้ชายหนุ่มกลับมาเป็นคนเดิมอย่างเต็มตัว   ราชิทฉีกยิ้มกว้างโผเข้ากอดผู้เป็นน้องด้วยความรักใคร่   "พี่ขอโทษ  ไคเชอร์   ต่อไปพี่จะไม่ละทิ้งหน้าที่การเป็นพี่ชายของนายอีกแล้ว  ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นก็ตาม   พี่จะเป็นพี่ชายของนายตลอดไป   พี่สัญญา"    สร้างความปิติให้แก่เนริตาที่แย้มยิ้มอย่างดีใจ  หญิงสาวเดินเข้าไปหาสองพี่น้อง

            "ยินดีด้วยนะ  ราชิท  ในที่สุดเจ้าก็กลับมา  ข้านึกว่าเจ้าจะกู่ไม่กลับเสียแล้ว"  เนริตาเย้า   ราชิทจึงค้อนให้วงเบ้อเริ่ม   ทั้งสามหัวเราะกันอย่างครึกครึ้น  แต่แล้วก็ต้องสลดเมื่อเหลือบไปเห็นมิรันตี   ราชิทจึงตั้งท่าจะถาม   แต่ไคเชอร์ก็ทะลุกลางปล้องขึ้นมาก่อน

            "พี่ราชิทกำลังจะถามคุณเนริตาว่าสิ่งใดที่จะสามารถนำวิญญาณของคุณมิรันตีกลับมาได้ใช่มั้ยครับ  ?"   ผู้เป็นพี่ได้แต่พยักหน้าหงึกหงัก  กษัตริย์หนุ่มถอนหายใจน้อย ๆ  "ฟิกซ์ไงครับ  ฟิกซ์สามารถพาวิญญาณของคุณมิรันตีกลับคืนมาได้   คุณเนริตาเธออยากมาเจรจากับผมก่อนที่จะบอกพี่ครับ  ซึ่งผมก็ตกลงไปเรียบร้อยแล้วด้วย"  ชายหนุ่มได้ยินดังนั้นก็เอ็ดตะโรโวยวายยกใหญ่

            "ไม่ได้  !  พี่ไม่ยอม  ห้ามนายทำเด็ดขาดนะ  ไคเชอร์   พี่ไม่อาจเอาความทรมานของนายมาแลกความสุขของพี่ได้หรอกถึงแม้มันจะเป็นวิธีสุดท้ายก็ตาม   พี่รู้นะว่าแต่ละครั้งที่ฟิกซ์ออกมา  นายจะเจ็บปวดทรมานเจียนตาย   พี่รับไม่ได้  ! ไคเชอร์ ....  พี่รับความช่วยเหลือของนายในครั้งนี้ไม่ได้  ในเมื่อมิรันตีต้องเป็นแบบนี้เพราะผู้วิเศษชั่วนั้น   ก็ให้มันจัดการกับลูกสาวของมันเอง   ....  เข้าใจมั้ย ?"   เขาคำรามเสียงดังลั่นด้วยความเจ็บใจ   จนเหล่าข้าราชบริพารที่แอบฟังต่างสะดุ้งกันเป็นแถบ ๆ ไม่เว้นแม้แต่กษัตริย์หนุ่ม  เขากลืนน้ำลายลงคอเสียงดังเอื๊อก   คงเหลือเพียงแต่เนริตาเท่านั้น   นอกจากหญิงสาวจะไม่เกรงกลัวแล้วเจ้าหล่อนยังไม่สะทกสะท้านอีกตังหาก   เธอยักไหล่อย่างไม่ยี่หระเมื่อถูกต่อว่า

            "เจ้าอีกแล้วหรือ ?  ทำไมชอบเอาความคิดน่าเกลียด ๆ มาใส่สมองน้องข้านักนะ  เนริตา"   หนำซ้ำยังยิ้มพรายอย่างไม่ใส่ใจ  เธอค่อย ๆ นวยนาดเยื้องยุรยาตรมาหาราชิทอย่างเสียไม่ได้

            "เจ้าจักคิดมากให้รกสมองทำไมกัน  ราชิท  ...  ในเมื่อน้องชายของเจ้าก็ยอมแต่โดยดี  ไม่ปริปากโอดครวญ   ข้าว่าเจ้าจงรับความหวังดีของไคเชอร์เถิด  เพราะถ้าเป็นข้า   ข้าคงไม่สบายใจเป็นแน่แท้ที่เห็นพี่ชายต้องกลายคนเสียสติวิกลจริตไม่วันใดก็วันหนึ่ง  

            ที่สำคัญ ....  ถ้าข้าเป็นสิ่งสุดท้ายในความหวังทั้งหมดของพี่ชายที่ข้ารัก   ข้าก็พร้อมจักทำให้สิ่งนั้นเป็นจริงโดยไม่รีรอ  ราชิท  !  เจ้าจงคิดไตร่ตรองให้ดี    เพราะมิรันตีสามารถมีชีวิตอยู่ได้อีกเพียงสองราตรีกาลเท่านั้น  อ๊ะ  !  ข้าคงลืมบอกไป  ขอโทษทีนะ  ราชิท"  หญิงสาวจงใจยั่วเพื่อนชายอย่างจงใจ   เธอเดินไปหาไคเชอร์ที่กำลังช็อคกับเรื่องราวที่ได้รับรู้เพิ่มเติมเหมือนกับราชิท   พร้อมทำซุ่มเสียงค่อนขอดผู้วิเศษหนุ่มเต็มที่

            "ไคเชอร์  !  ถ้าราชิทเขาไม่เห็นดีเห็นงามด้วย  เจ้าก็ไม่จำเป็นต้องทำเพื่อเขาหรอกนะคะ  เพราะเขาคงจะชอบอยู่ในความโศกเศร้าชอกช้ำมากกว่าการอยู่ในความสุข   และต่อให้อีกสิบอีกร้อยปีหรือตลอดไปจนเจ้าตาย   เขาก็คงมองไม่เห็นความตั้งใจจริง  ความรักอันบริสุทธิ์  ความภักดีอันซื่อตรงที่เจ้ามอบให้เขาหรอก"  เจ้าหล่อนเน้นเสียงอย่างเย้ยหยัน   พร้อมสะบัดหน้าเดินจากไปทันทีด้วยความหมั่นไส้   แล้วความเงียบก็เริ่มโรยตัวเกาะกินจิตใจของสองพี่น้องราวกับเมฆครึ้มที่รอการกลั่นเป็นไอจนเกิดเป็นฝน  ทั้งคู่มองหน้าสลับกันไปมาอยู่นานโข   จนไคเชอร์ผู้น้องทนไม่ไหว   เขาพรวดพราดถาโถมคำพูดพรั่งพรูสู่สมองอันตีบตันของราชิทผู้พี่

            "พี่ราชิทครับ  ....  ผมขอร้องเถอะครับ   ฟิกซ์เป็นเพียงสิ่งเดียวที่จะช่วยคุณมิรันตีได้   พี่ยอมให้ผมทำนะครับ   ผมเพียงเจ็บแค่ชั่วประเดี๋ยวแต่มันเทียบไม่ได้กับพี่เลยนะครับ  ....  ที่ต้องเจ็บชั่วชีวิต  .... เฮ้อ .... ผมเคยบอกแล้วไงครับ  เพื่อพี่ผมยอมทำได้ทุกอย่าง   ผมรักพี่นะครับ   ผมคงทนไม่ได้ถ้าพี่ต้องกลายเป็นคนเสียสติตามที่คุณเนริตาบอกจริง ๆ ....  พี่อนุญาตเถอะครับ  ถ้าพี่รักผม" ตาสีม่วงอันเศร้าสร้อยสบกับตาสีดำกลมโตอันวิงวอนร้องขอ  อย่างเสียไม่ได้    ผลสุดท้ายไคเชอร์ก็ชนะ   กษัตริย์หนุ่มยิ้มออกมาอย่างเปิดเผยเมื่อได้ยินเสียงอ่อนโยนนุ่มลึกของพี่ชาย   "ไคเชอร์  นายนี่นะ  ....  ชอบใช้วิธีแบบนี้ทุกทีเลย   ก็ได้ ....  พี่ยอม   ขอบใจนายมากนะ   พี่จะไม่ลืมบุญคุญครั้งนี้ของนายเลย   น้องรัก"  

            "บุญคุณอะไรกันครับ  ผมตังหากที่สมควรพูดคำนี้   ถ้าไม่ได้พี่คอยอบรมสั่งสอนผม  ....  ผมยังไม่รู้เลย  ....  ว่าตอนนี้ผมจะเป็นกษัตริย์ที่เพียบพร้อมสมบูรณ์แบบเช่นนี้รึเปล่า"   แล้วสองพี่น้องก็กอดคอกันหัวเราะอย่างอารมณ์ดี   แต่แล้วไคเชอร์ก็เหมือนนึกอะไรออก

            "คุณเนริตาล่ะครับ  ?  ป่านนี้เธอคงงอนพี่ตุ๊บป่องแล้วมั้ง   พี่ไปตามง้อเธอหน่อยสิครับ   อย่างน้อยก็เป็นเพราะคำพูดของเธอนะครับที่ทำให้พี่กับผมได้คิด  ผมจะไปดูเธอที่สวนกุหลาบนะครับ   ส่วนพี่ก็ไปดูเธอที่ห้อง   ถ้าเย็นแล้วพี่ไม่ไปหาผมที่สวน   ผมจะไปรอที่ห้องอาหารครับ"  กษัตริย์หนุ่มพูดเองเออเองเสร็จสรรพ   พร้อมก้าวฉับ ๆ ออกไปทันที  โดยไม่เปิดช่องว่างให้ผู้พี่ได้พูดอะไร    ราชิทถึงกับส่ายหน้าน้อย ๆ   ชายหนุ่มหันมองมิรันตีที่นอนนิ่งอย่างเปี่ยมไปด้วยความหวัง   ก่อนจะก้าวเดินออกไปเพื่อปฏิบัติภารกิจง้อเพื่อนสาว

            "ทำไมมานั่งซุ่มอยู่คนเดียวล่ะ ?   ไม่เหงาหรือ  ?  ให้ข้านั่งเป็นเพื่อนเอามั้ย  ?"   ชายหนุ่มเอ่ยขึ้นหลังจากเดินเข้ามาในห้องของหญิงสาว    เป็นผลให้เนริตาหันขวับมองเขาด้วยความไม่พอใจ

            "เสียมารยาท  ไร้สกุล  สถุน" เธอกระแทกเสียงอย่างโมโห   แต่ราชิทก็พยายามกล้ำกลืนความโกรธที่พลุ่งพล่านเอาไว้  เขายิ้มรับอย่างใจเย็น

            "เนริตา .... ข้าขอโทษถ้าข้าทำอะไรงี่เง่า   หรือทำให้เจ้าไม่พอใจ  เจ้าอยากจะว่าอะไรข้าอีก ....  ก็เชิญนะ .... ข้าพร้อมเสมอ ....   เผื่อบางทีการต่อว่าด่าทอที่เจ้าทำอยู่อาจทำให้อารมณ์ดีขึ้น   เพราะอย่างน้อยมันก็ดีกว่าการที่เจ้าเก็บเอาไว้ในใจเพียงลำพัง   เอาสิ  !   ข้าพร้อมแล้ว   เริ่มเลย"  ชายหนุ่มท้าทายอย่างไม่ลดละ   แต่ได้ผลเกินคาด   เพราะนอกจากเจ้าหล่อนจะไม่พูดอะไรแล้ว   กลับยิ้มอย่างอารมณ์ดีด้วยซ้ำ  จนราชิทแปลกใจ   เธอมองหน้านิ่วคิ้วขมวดของเขาแล้วยิ้มหวานจนใจชายหนุ่มสะท้านไหว

            "ข้านึกว่าเจ้าจะไม่พูดคำนี้แล้วซะอีก  ราชิท"  ผู้วิเศษหนุ่มถึงกับหน้าเหยเกเมื่อได้ยิน   เขาทวนคำพูดของเธออีกครั้ง   และคำตอบที่ได้รับก็ทำเอาชายหนุ่มอึ้งไม่น้อยทีเดียว

            "คำว่า ~ขอโทษ~ ไง  ราชิท  ....   มันเป็นคำที่อานุภาพมากเลยนะ  พอ ๆ กับความรักเลยล่ะ  มันสามารถทำให้แง่ลบกลายเป็นแง่บวกได้ในพริบตา  สามารถทำให้คนไม่ดีกลายเป็นคนดีได้เพียงพลิกฝ่ามือ  สามารถทำให้ความรู้สึกที่หดหู่กลับเป็นสดใสได้เพียงเสี้ยวนาที  สุดท้ายสามารถทำให้ข้าหายโกรธเจ้าได้ในเวลาอันรวดเร็ว"   หญิงสาวพูดอย่างภาคภูมิใจ   จนชายหนุ่มอดสงสัยไม่ได้ว่าเธอจะต้องมีความหลังกับคำ ๆ นี้เป็นแน่แท้  !


            ทั้งคู่พากันเดินไปหาไคเชอร์ท่ามกลางความตื่นตระหนกของเหล่าข้าราชบริพารที่ได้พบเห็น  ทุกคนต่างวิตกกันไปต่าง ๆ นานา   บ้างก็ว่าท่านราชิททำงานมากจนเพี้ยน   บ้างก็ว่าท่านราชิทอกหักจนเบลอ   แต่ละคนก็แต่ละความคิด   ยากแท้จะให้เหมือนกัน    จนเนริตาอดหัวเราะไม่ได้   เธอขำตลอดทางที่เห็นหน้าตาของอันวิตกจริตของเหล่าทหารหาญทั้งหลาย  จนราชิทได้แต่ส่ายหน้าอย่างเอือมระอา   ที่เธอเล่นพิเรนทร์ไปลงมนต์ต้องสั่งกับพวกข้าราชบริพารนอกเหนือคำขอร้องของเขา    จนตอนนี้ทุกคนเริ่มจวนเจียนจะเสียสติกันไปหมดแล้ว   ชายหนุ่มจึงเดินเฉย ๆ โดยไม่สนใจคำถามที่ถูกยิงมาอย่างไม่ยั้งจากผู้วิเศษสาวขี้เล่นตนนี้  


            ณ  สวนกุหลาบอันร่มรื่นและอบอุ่นกว้างขวางไม่มีที่สิ้นสุด   ถูกประดับประดาตกแต่งไปด้วยกุหลาบหลากหลายสีสันนานาพรรณ   ไม่ว่าจะเป็นกุหลาบแดงดอกใหญ่เท่าฝ่ามือ  กุหลาบมอญสีชมพูสดแกมม่วงอ่อน   กุหลาบหนูสีขาวดอกเล็กกระจิ๊ดริด  กุหลาบนางพญาเสือโคร่งสีดำเป็นเงาวาววับดุจนิลเจียระไน   นอกจากนั้นยังมีกุหลาบพันธุ์ผสมสีเหลืองอ่อน  สีส้ม  สีแสด  สีฟ้า  สีเขียวตอง  และสีอื่น ๆ อีกมากมายเกินกว่าจะบรรยาย   ทั้งแบบเป็นพุ่มเตี้ยระดับหัวเข่าจนสูงเลยหัวรวมไปถึงเป็นไม้เลื้อยแตกกิ่งก้านสาขามากมาย    

            ลำต้นมีหนามแหลมคอยทิ่มตำผู้ที่ไม่ระวัง  แถมส่งกลิ่นหอมตลบอลอวลตลอดเวลา   สร้างความชื่นใจให้แก่ผู้ที่ได้ผ่านไปมาอยู่ไม่น้อย  อีกทั้งยังมีเหล่าผีเสื้อและแมลงน้อยใหญ่บินฉวัดเฉวียดถลาเล่นลมดูดน้ำหวานกันอย่างครึ้นเครงสนุกสนาน   พร้อม ๆ กับที่เหล่ากุหลาบกำลังเบ่งบานชูช่ออร้าแอร่มแช่มช้อยพลิ้วไหวราวสาวงามเริงระบำ   จนตรึงตราทั้งราชิทและเนริตาให้ตะลึงงันกับภาพที่ได้เห็น  ทั้งคู่หยุดนิ่งจังงังราวต้องมนต์สะกด   จนไคเชอร์ต้องกระแอมเบา ๆ เพื่อเรียกสติอันไม่สมประดีกลับคืนสู่สมองของทั้งสองก่อนจะเลยเถิดไปมากกว่านี้   เป็นผลให้สองผู้วิเศษที่ตกอยู่ในภวังค์ถึงกับสะดุ้งโหยง

            "มาแล้วเหรอครับ   ผมกำลังรออยู่เลย   กะว่าถ้าอีกสักพักพี่ไม่มา   ผมจะไปห้องอาหารแล้ว"  ไคเชอร์เอ่ยขึ้น

            "มาสิเพคะ  องค์ไคเชอร์ก็ ....   แหม  !  ท่านราชิทอุตส่าห์เสียเวลาไปง้อหม่อมฉัน   ทำไมหม่อมฉันจะไม่มาล่ะเพคะ  ?"  เนริตากระเซ้า   จนราชิทอายม้วนต้วนแต่ก็ไม่วายค้อนให้วงเบ้อเริ่ม  ส่วนไคเชอร์ก็เบนหน้าหนีไปทางอื่นเพราะความเขิน   หญิงสาวเห็นท่าทางของทั้งคู่จึงส่ายหน้าช้า ๆ 

            "ไคเชอร์  ....  เจ้าต้องลงมือคืนนี้นะ  พร้อมรึยัง ?"  เจ้าหล่อนทำสีหน้าจริงจัง   พร้อมจ้องมองกษัตริย์หนุ่มอย่างค้นหา

            "พร้อมครับ   ฟิกซ์ก็พร้อม ....  ว่าแต่วิญญาณของคุณมิรันตีติดอยู่ในสายฟ้าใช่มั้ยครับ"  กษัตริย์หนุ่มถามขึ้น

            "มันก็ใช่นะ  ....   แต่ขึ้นชื่อว่าเป็นวิญญาณ   ยังไงก็ต้องเชื่อมโยงไปถึงนรกอยู่ดี   เพราะยมฑูตคงไม่ปล่อยไว้เป็นแน่แท้   ~ วิญญาณทุกดวงไม่ว่าจะอยู่แห่งหนไหน  ข้าจักไม่ปล่อยให้ลอยนวลเด็ดขาด  ~  นี่คือการลั่นคำสาบานของยมทูตกับมังตราจ้าวแห่งพิภพอสูร   มันเป็นความคั่งแค้นที่สะสมมาตั้งแต่สงครามล้างพิภพครานั้นของมังตราจ้าวอสูร   จนเลยเถิดไปถึงลูกน้องทั้งมวลในพิภพ  .... เพราะฉะนั้นสิ่งที่ฟิกซ์จะต้องทำก็คือ  ดำดิ่งลงเบื้องล่างฉกวิญญาณมิรันตีโดยไม่ให้เหล่านายนิรยบาลและยมฑูตจับได้   ข้าคิดว่าตอนนี้วิญญาณบางส่วนของมิรันตีอาจจะอยู่ที่นรกขุมที่หนึ่งนะ"  เนริตาพูดอย่างครุ่นคิด  จนราชิทกับไคเชอร์ถึงกับหน้าซีด

            "ฉกวิญญาณโดยไม่ให้จับได้งั้นเหรอครับ   แล้วฟิกซ์จะทำได้เหรอครับ  มันเป็นแค่สัตว์ตัวหนึ่งเท่านั้นนะ  มันจะทำงานยาก ๆ เช่นนี้ได้เหรอครับ"  ไคเชอร์ถามอย่างหวาด ๆ  หญิงสาวได้ยินก็อมยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ 

            "ได้สิ  ....  ข้ามีวิธีล่ะกัน   ไม่ต้องเป็นห่วงหรอก  เจ้าแค่เตรียมตัวเตรียมใจ   ตั้งสมาธิให้พร้อม   อย่าวอกแวก   ทำตามที่ข้าบอกทุกอย่างห้ามขัดคำสั่งนอกลู่นอกทางเด็ดขาด  มิฉะนั้นจะหาว่าข้าไม่เตือน   แต่ตอนนี้ข้าหิวอีกแล้วล่ะ  ไปหาอะไรกินกันก่อนได้มั้ย   พอท้องอิ่มแล้วปัญญาถึงจะงอกเงย"  กล่าวจบก็ออกเดินนำอย่างอารมณ์ดี  โดยปล่อยให้สองพี่น้องมองหน้ากันอย่างครุ่นคิด  แต่ก็ไม่วายหันหลังกลับมาตะโกนเรียกทั้งคู่   "เร็วสิ   ถ้าพวกเจ้าไม่มา   ข้าจะไม่บอกวิธีไปนรกโดยปลอดภัยนะ"   เป็นผลให้สองพี่น้องรีบวิ่งกระวีกระวาดตามมาอย่างรวดเร็วแต่โดยดีไม่อิดออด

            ขอบคุณสำหรับการติดตามนะคะ

            สุดท้ายมีข้อคิดดี ๆ มาฝากอีกเช่นเคยค่ะ  ใกล้จะถึงวันพ่อแล้วลองอ่านดูนะคะ  พิ้งค์เห็นว่ามีประโยชน์เลยหยิบมาจากศึกชิงเก่าค่ะ

    >อย่าปล่อยให้มิตรภาพดี ๆ ต้องมีรอยร้าว  

    >สิ่งที่อยู่ใกล้ตัวที่สุดมักเป็นสิ่งที่ไม่สำคัญที่สุด

    >สิ่งที่เราเห็นอยู่ทุกวัน   เราก็คิดอยู่ว่าเราต้องเห็นอยู่แบบนั้นต่อไป

    >ไม่เคยคิดว่าสิ่งนี้มันสำคัญ ไม่เคยเห็นแม้แต่ค่า  เหมือนกับการที่เราเห็นหน้าใครอยู่ทุกวัน

    >คนๆนั้นวิ่งตามเราอยู่ทุกวัน ใส่ใจเราอยู่ทุกวัน  เราก้อมักจะเห็นแค่ว่าใครคนนึงกำลังทำอะไรที่ดูงี่เง่า น่ารำคาญ

    >จนวันนึงถ้าเราสูญเสียไป เราก็อาจจะรู้สึกเสียใจบ้าง

    >เราอาจจะต้องการเรียกร้องให้มาเหมือนเดิม หรือบางทีเราก็อาจจะรู้สึกว่าดีใจที่ได้มีชีวิตที่ปราศจากความรำคาญ

    >แต่จะมีใครที่เคยรู้สึกถึง ความรู้สึกของคนที่ให้บ้าง

    >บางทีสิ่งที่เขาทำอยู่อาจไม่ได้ตั้งใจจะให้คุณรำคาญ  แต่เขาทำไปเพราะเขารักคุณจริงๆ

    >เหมือนความรักของพ่อแม่ เหมือนความรักของเพื่อนสนิทของคุณ

    >เหมือนความรักของใครอีกหลายคนที่ให้คุณด้วยความจริงใจ

    >คุณเคยคิดว่าสิ่งเหล่านี้สำคัญบ้างไหม ?

    >คุณเคยคิดว่าคุณดูแลพวกเขาดีพอรึยัง ?

    >คุณให้ความสำคัญกับคนถูกหรือเปล่า ?

    >คุณให้ความสำคัญกับคนที่ให้วัตถุคุณมากกว่าความรู้สึกที่ดีหรือเปล่า ?

    >สิ่งที่สำคัญมักมองไม่เห็นด้วยตา แต่ต้องมองด้วยหัวใจ แต่เรามักไม่มีเวลาพอที่จะใช้หัวใจมอง

    >เรามองอะไรแค่ฉาบฉวยแล้วก็ตัดสิน 

    >เรามองดูความรวยความจนของคนที่สิ่งของที่เขาใช้ 

    >เรามองความดีของคนตรงที่เขาแสดงให้เราเห็น 

    >เรามองอะไรหลายอย่างด้วยตา  แล้วเราก็ตัดสินคนเพียงแค่เวลาไม่เกิน 5 นาที 

    >เราต้องสูญเสียมิตรที่ดีไปเพียงเพราะเราอ้างว่าไม่มีเวลา 

    >เราไม่มีเวลาก็ต่อเมื่อเราไม่สนใจ  เราไม่ให้ความสำคัญต่อสิ่งนั้น ต่อคนๆนั้น

    >แต่ถ้าลองมองย้อนดู 

    >ทำไมเราถึงมีเวลาทำอะไรมากมายหลายอย่างในแต่ละวัน 

    >เพราะเราให้ความสนใจ ให้ความสำคัญ 

    >ทำไมคุณไม่ลองให้ความสำคัญกับสิ่งที่คุณลืมไป กับคนที่หวังดีกับคุณแต่คุณไม่เคยมอง 

    >อย่าปล่อยให้มิตรภาพดีๆต้องมีรอยร้าว 

    >เพราะเมื่อวันนึงถ้าต่างคนต่างไป  เราจะได้จากกันด้วยความรู้สึกที่ดี 

    >เราจะได้ไม่รู้สึกผิดว่า  เรายังทำดีกับเขาไม่เพียงพอ ....
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×