ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ศึกชิงจ้าวพิภพ ภาค มนตราอัศวมณี

    ลำดับตอนที่ #2 : *ตำนานสีฟ้า*

    • อัปเดตล่าสุด 12 เม.ย. 49



              4 / 11 / 48  , 7 / 11 / 48 (แก้ไขคำกลอน)  ขอบคุณพี่นุ้ยที่แนะนำค่ะ , 9 / 11 / 48  สรรพนามด้วยค่ะ

              ^0^คุยกันก่อนนะคะ^0^

              ในที่สุดก็สอบเสร็จแล้ว  เย้ ๆ ดีใจสุด ๆ เลยค่ะ  เลยตัดสินใจเอาลงซะเลย  ตั้งแต่ตอนนี้เป็นต้นไป  ความยาวของเนื้อหาจะคงที่นะคะ  จะอยู่ที่ 10 หน้าของเวิร์ดค่ะ  พิ้งค์คิดว่ามันกำลังพอดีนะ  เพราะศึกชิง ฯ เก่า  จะอยู่ประมาณ  12-15 หน้าค่ะ  เอาเป็นว่าลงประมาณนี้เลยล่ะกันนะคะ  อิอิ  พิ้งค์กะว่าจะลงอาทิตย์ละตอนนะคะ  หวังว่าคงจะไม่นานเกินไปนะ

              ไม่พูดมากแล้ว   อ่านเลยดีกว่านะคะ 

              *ตำนานสีฟ้า*

    สามพิภพต้องแตกแยกพลันโศกศัลย์  ทุกข์บดบังทั้งแสงจันทร์และแสงสูรย์
    บังสวรรค์บังนรกให้อาดูร                    อีกจำรูญตรอมตรมระทมกาล


    เหตุกำเนิดผู้วิเศษมากพิษภา              รวมอสุราพลพรรคสมัครสมาน
    เข้าจู่โจมบุกทลายจนวายปราณ         สุดประมาณล้วนชั่วร้ายจักคนึง


    พร้อมทั้งใช้อวิชชาสร้างคนบาป         ช่างร้ายกาจตาสีฟ้าสุดหยั่งถึง
    ไร้ชีวิตไร้ศรัทธาถูกตราตรึง               ทั้งไร้ซึ่งความรู้สึกและวิญญา


    เป็นเพียงหุ่นโดยถูกเชิดตามคำสั่ง      มอบพลังอันลึกล้ำครณา
    ทำลายล้างอสงขัยมนษา                   มรณาชีพม้วยจนบรรลัย


    แต่ในความโชคร้ายพลันบังเกิด         สุดประเสริฐสัตว์ครึ่งเทพจากแดนไกล
    จตุรธาตุเก่งกาจและยิ่งใหญ่              เหนือผู้ใดในใต้หลาทั้งโลกา


    ปฐพีซื่อตรงคงหนักแน่น                    ดุจดั่งแก่นศิลาไซร้ในภูผา
    ทั้งแน่วแน่ไม่ขลาดเขลาเบาปัญญา   ดั่งเพลาไม่ผันแปรกระแสตาม


    ส่วนวายุคล่องแคล่วว่องเวหน            อีกทุรชนกลใดใดไม่เกรงขาม
    ปัญญาล้ำเลื่องลือระบือนาม              ทรนงองอาจคร้ามย่ำไพรินทร์


    ด้านอัคคีมุทะลุช่างฉุนเฉียว               แต่เด็ดเดี่ยวกล้าแกร่งเป็นนิจสิน
    ทั้งต่อสู้ฝึกวิชาเป็นอาจิณ                  กลับมลทินอลเวงในอารมณ์


    และสุดท้ายจ้าววารีผู้นำธาตุ             มิแม้นมาตรครั่นคร้ามภัยทับถม
    ด้วยสุขุมและเยือกเย็นน่าชื่นชม       ประสมสงค์พ้นแผ้วพานประจักษ์ใจ


    จ้าวทั้งสี่ระดมพลยกกองทัพ             พานพบกับผู้ถูกเลือกลิขิตไตร
    ทั้งต่อสู่ฟาดฟันยืนหยัดไซร้              ด้วยกายใจเข้าแลกอย่างอาจหาญ


    เพื่อปกป้องค้ำจุนด้วยศักดิ์ศรี            ดับชีวียอมพลีชีพโลหิตผลาญู
    เพื่อรักษาพื้นพิภพให้ยืนนาน            ตลอดกาลสุขีสราญเอย



              พึ่บ  !   


              ราชิทปิดหนังสือพร้อมถอนหายใจเฮือกใหญ่   ภายในห้องบรรทมของกษัตริย์ไคเชอร์  โดยมีน้องชายกำลังนั่งฟังอย่างพินิจครุ่นคิด  จนผู้เป็นพี่อดสงสัยไม่ได้    "ไคเชอร์  นายให้พี่อ่านเป็นรอบที่สามแล้วนะ  นายรู้อะไรมากขึ้นบ้างรึยังนอกจาก   มีผู้วิเศษจากแดนไกลร่วมมือกับอสูรทำลายมนุษย์  แต่แล้วจ้าวจตุรธาตุพลันบังเกิดพร้อมผู้เข้าร่วมอีกสามช่วยกันต่อสู้จนสำเร็จ  ว่าไง  ?"  เมื่อไคเชอร์ได้ฟังดังนั้น   เขาก็มองหน้าพี่ชายที่เอาแต่ขมวดคิ้วมุ่น  พร้อมคลี่ยิ้มบาง ๆ อย่างเจ้าเล่ห์

              "อืม  !  รู้อะไรมากกว่านี้งั้นเหรอ  ยังหรอก  !  ผมแค่อยากฟังเสียงเพราะ ๆ ของพี่ก็เท่านั้นเอง"   ราชิทได้ฟังคำตอบถึงกับหรี่ตามองน้องชายที่อยู่ตรงหน้าอย่างไม่เชื่อ

              "นายอย่ามาโกหกพี่เลยดีกว่า  ไคเชอร์   สิ่งที่นายอยากรู้มากที่สุดก็คือ  สามผู้ร่วมที่บอกในวรรคก่อนสุดท้ายเป็นใคร  ?   ใช่มั้ยไคเชอร์  ?"   ผู้เป็นน้องได้ยินก็ยิ้มแหย ๆ ที่พี่ชายรู้ทัน  แต่ผู้เป็นพี่ก็ได้ส่ายหน้าอย่างระอา  "ไคเชอร์  ถึงนายจะให้พี่อ่านกี่ร้อยกี่พันรอบ   นายก็มิอาจล่วงรู้ได้หรอกว่าสามผู้ร่วมนั้นเป็นใคร  ?   เพราะผู้ให้กำเนิดตำนานเขาจงใจจะปิดบังไว้อย่างเห็นได้ชัด"  ราชิทมองหน้าไคเชอร์ที่พยักหน้าหงึกหงักอย่างคิดตาม    พร้อมถอนหายใจเฮือกใหญ่ 

             "แต่สิ่งที่พี่รู้อย่างหนึ่งก็คือ   ผู้ให้กำเนิดกับสามผู้ร่วมจะต้องรู้จักหรือเป็นอะไรกัน   หรือไม่ก็ต้องเป็นเผ่าพันธุ์เดียวกัน    มิฉะนั้นคงไม่ปิดบังซ่อนเร้นเป็นแน่แท้   และที่แน่นอนเป็นที่สุดนายตัดอสูรออกไปได้เลย   คงเหลือเพียงแต่ผู้วิเศษกับมนุษย์เท่านั้น  ....  จะว่าไป ....  ตามความคิดของพี่ ....  พี่ว่าไม่น่าจะใช่มนุษย์นะ   เพราะพื้นฐานของมนุษย์โดยทั่วไปเมื่อแค้นใคร   เราก็จะไม่กล่าวถึงผู้นั้น   บางครั้งรุนแรงมากถึงขนาดเพียงได้ยินชื่อก็พาลโกรธผู้พูดเป็นปี ๆ  ....  ไม่ก็กรีดร้องทำร้ายตัวเองจนแสนสาหัส  ....  หรือไม่ก็คิดสั้นเพราะนึกถึงเหตุการณ์ที่ผู้นั้นทำกับตัวเอง   ฉะนั้นพี่ว่าเป็นไปได้น้อยมากที่มนุษย์จะกล่าวถึงผู้วิเศษและอสูรอีก ....  คราวนี้ก็มาถึงผู้วิเศษ ....  มีดำกับขาว  ...."   ราชิทหยุดกะทันหัน ชายหนุ่มมองหน้าไคเชอร์ที่หันมาสบกันพอดี   ดวงตาสีดำจ้องลึกเข้าไปในดวงตาสีม่วงที่หลุบลงอย่างค้นหา  ก่อนเผยอปากอันหนักอึ้ง

              "ผมว่าเราเลิกคุยเรื่องนี้กันเถอะ ....  ผมรู้ว่าพี่ทรมาน   ที่ทุกคนกล่าวโทษผู้วิเศษดำว่าอยู่ในตำนาน  ซึ่งบางทีอาจเป็นผู้วิเศษขาวก็ได้   แต่อย่างหนึ่งที่ผมรู้   พี่เป็นผู้วิเศษดำที่ผมรักมากที่สุด  .... ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นก็ตาม   ผมจะอยู่ข้างพี่ตลอดไปนะ"   ราชิทเงยหน้ามองน้องชายพร้อมลูบหัวเบา ๆ ด้วยความรักใคร่และเอ็นดู

              "ขอบใจไคเชอร์   แต่ผู้วิเศษดำอย่างพี่ก็ชั่วร้ายจริง ๆ นี่หน่า   ดูเมซาตัวเป็นตัวอย่างสิ  !  ทั้งเก่งกาจ  องอาจ  แต่น่ากลัวเพราะชั่วร้าย    มันก็ไม่แปลกหรอกที่ทั้งหมดจะพร้อมใจกันปล่อยข่าว  ....  ว่าผู้วิเศษดำร่วมมือกับอสูรสร้างคนบาปขึ้นมาทำลายมนุษย์   ...."   ราชิทเสียงอ่อย   น้ำตาคลอเบ้าเอ่อท้น  ชายหนุ่มมองหน้าน้องชายพร้อมปาดน้ำตาออกแล้วแสร้งยิ้ม   คล้ายดั่งมิได้เป็นอะไร   จนผู้เป็นน้องชักเริ่มทนไม่ไหว   เขาตวาดผู้ที่เขานับถือเสมือนหนึ่งพี่ชายอย่างโมโห

              "พอเถอะ  !  พี่ราชิท   เลิกยิ้มสักที   ผมถามจริง ๆ นะ   ถ้าวันใดพี่ร้องไห้หรือเศร้าโศกเสียใจ   พี่คงจะต้องตายใช่มั้ย  ?  มันเป็นคำสาปใช่มั้ย  ?  พี่ถึงได้ยิ้มตลอดเวลา   ราวกับไม่มีความรู้สึก  พี่เลิกปฎิเสธตัวเองสักที  ....  ร้องไห้บ้างก็ได้นะ  น้ำตาจะช่วยให้เราลืมเรื่องร้าย ๆ  มันช่วยให้เราสบายใจได้  ผมขอร้อง   ร้องไห้เถอะถ้าพี่รักผม"   ผู้วิเศษหนุ่มได้ยินดังนั้นก็ดึงน้องชายเข้ามากอดไว้แน่น   พร้อมพูดด้วยเสียงอันแผ่วเบา

              "ไคเชอร์   การที่พี่ไม่ร้องไห้   พี่มีเหตุผลนะ ....  เพราะเวลาเราร้องไห้   เราจะขาดสติยั้งคิด   เราอาจทำอะไรลงไปโดยที่ไม่รู้ตัวก็เป็นได้    แต่การยิ้มทั้ง ๆ ที่เสียใจ   ไม่ใช่การปฎิเสธตัวเองหรอกนะน้องรัก   แต่มันเป็นการฝึกฝนตัวเองตังหาก   มันทำให้เราไม่ย่อท้อต่ออุปสรรค   ทำให้เราแข็งแกร่ง   ที่สำคัญ   มันทำให้เรารู้จักควบคุมอารมณ์ของตัวเองอยู่เสมอ   แต่ก็ใช่ว่าพี่จะไม่ร้องไห้เลยซะเมื่อไหร่   เวลาอยู่คนเดียวไง   พี่ร้องเป็นถัง ๆ เลยนะ   พี่รักนายไคเชอร์แต่พี่ก็จะไม่ร้องไห้เหมือนกัน   เข้าใจมั้ย ?"   ราชิทพูดอย่างหนักแน่น   จนไคเชอร์ต้องยอมจำนน   แล้วผู้เป็นพี่ก็เดินจากไป  ปล่อยให้น้องชายนั่งครุ่นคิดอยู่เพียงลำพังท่ามกลางแสงจันทร์ที่สาดส่องลงมาอย่างไม่ย่อท้อต่อแผ่นฟ้าที่จวนเจียนจะสว่าง  ~ เฮ้อ !  ถ้าเรามีน้องชายอีกสักคนคงจะดี   มีทั้งพี่  มีทั้งพ่อ  มีทั้งแม่  มีทั้งน้อง ~    ไคเชอร์พึมพำกับตัวเองแต่แล้วก็ต้องหน้าสลด


              เมื่อนึกถึงภาพเหตุการณ์เก่า ๆ เริ่มตั้งแต่พ่อทะเลาะกับแม่อย่างรุนแรงถึงขึ้นลงไม้ลงมือ   จากนั้นแม่ก็หนีหายไป   ทิ้งให้เด็กน้อยอายุห้าขวบต้องทนเห็นพ่อซึ่งเอาแต่บ้าผู้หญิงจมอยู่ในห้วงโลกีย์ไม่เว้นแต่ละวัน   พร้อมกับต้องนั่งร้องไห้หาแม่ทุกคืนจนโตอยู่กับแม่นมนามว่า   เนย่า  จนเด็กคนนั้นตัดสินใจเปิดรับแม่นมให้เป็นเสมือนดั่งแม่แท้ ๆ  ของตัว   จากนั้นก็แปรเปลี่ยนเป็นภาพเด็กหนุ่มกำลังฝึกเวทมนตร์กับผู้เฒ่าที่เปรียบเสมือนพ่อแท้ ๆ   พร้อมกับได้ร่ำเรียนการต่อสู้กับผู้ที่ตนยกย่องให้เป็นพี่ชาย   และภาพชายหนุ่มกำลังยื้อยุดพระศพเสด็จพ่อกับผู้เฒ่าบาเก้ที่พยายามจะนำไปทำพิธีท่ามกลางความเศร้าสลดของเหล่าข้าราชบริพารเป็นหนักหนา    ซึ่งภาพสุดท้ายนี้เองก็เป็นสาเหตุให้ไคเชอร์ร่ำไห้จนผล็อยหลับไปในที่สุด    เพราะมันเป็นครั้งแรกและครั้งสุดท้ายในชีวิตที่ชายหนุ่มได้กอดพ่อแท้ ๆ ของตนเอง  !

             
              และแล้วดวงตะวันก็โผล่พ้นเส้นขอบฟ้า   พร้อมทอแสงสาดส่องเกิดเป็นประกายอำพันอย่างงดงาม   ดอกไม้นานาชนิดเบ่งบานอ้อล้อแข่งกันชูช่ออร้าแอร่ม   เหล่าแมลงตัวจ๋อยเต้นระบำรอบเกสรอย่างสนุกสนาน   อีกทั้งฝูงมัจฉาก็แหวกว่ายอย่างร่าเริงในสายธาร   เหล่าสรรพชีวิตต่างมีความสุขเมื่อวันใหม่มาเยือน   จะเว้นเสียก็แต่ไคเชอร์   ชายหนุ่มค่อย ๆ เผยอเปลือกตาอันหนักอึ้งด้วยความทุกข์ระทม   แต่แล้วก็สะดุ้งสุดตัว   เมื่อประตูเปิดผางออก   เผยให้เห็นชายหนุ่มหน้าตาดี  จมูกโด่ง  ผิวขาวราวหิมะ   ผมยาวสยายถึงกลางหลังสีเดียวกับนัยน์ตา   กำลังย่างก้าวเข้ามาหาเขาช้า ๆ พร้อมส่งยิ้มละไมอย่างเป็นมิตร

              "ไคเชอร์  !  เป็นยังไงบ้าง  เมื่อคืนพี่ได้ยินเสียงนายร้อง   ฝันร้ายอีกแล้วเหรอ   บอกพี่ได้มั้ย  ?"  ราชิทก้มลงถามน้องชายด้วยความเป็นห่วง    ผู้เป็นน้องจึงทำได้แต่เงยดวงหน้าที่เปรอะเปื้อนไปด้วยคราบน้ำตาขึ้นสบกับดวงตาสีม่วงที่มองมาอย่างอ่อนโยน   

              "ว่ายังไง   ?  เล่าให้พี่ฟังบ้างได้มั้ย   ?  พี่ไม่อยากให้นายเก็บไว้คนเดียวนะ  ไคเชอร์"   ราชิทยังคงต่อยอดคำถามเดิมอย่างนุ่มนวล  แต่ก็ไร้ผล  !   เพราะไคเชอร์ไม่เพียงแต่ส่ายหน้า   เขายังลุกหนีชายหนุ่มเอาดื้อ ๆ  จนผู้เป็นพี่ทำได้แต่ถอนหายใจเพื่อผ่อนคลายความอัดอั้น   ซึ่งบังเกิดจากการที่น้องชายสุดรักไม่ยอมปริปากพูดอะไรให้ตนฟังแม้แต่น้อย  

            "เฮ้อ  !  ไคเชอร์  เมื่อไหร่นายจะหลุดพ้นจากเรื่องพวกนี้สักที   นายต้องนอนทั้งน้ำตา   มันเป็นคำสาปหรือไงนะ  !  พี่จะช่วยนายยังไง   ในเมื่อนายไม่เคยบอกอะไรให้พี่รู้เลย  "   ชายหนุ่มมองตามน้องชายที่เดินโซซัดโซเซตามไพม่านางกำนัลคนสนิทไปยังห้องอาบน้ำ       


              พักใหญ่กษัตริย์หนุ่มก็ทำภารกิจส่วนตัวเสร็จ   เขาเดินมาหาราชิทที่ห้องบรรทมอย่างอารมณ์ดีผิดกับเมื่อครู่ราวกับเป็นคนละคน   จนเหล่านายทหารต่างมองหน้ากันอย่างงง  ๆ  ในอารมณ์อันแปรปรวนของกษัตริย์หนุ่มนามว่า  ไคเชอร์    แต่สำหรับราชิทและเหล่าคนสนิทนั้นต่างเคยชินกับนิสัยเช่นนี้ของกษัตริย์หนุ่มเป็นอย่างดี    จึงไม่มีใครติดใจสงสัยอะไร

              "พี่ราชิท  ไปหาท่านผู้เฒ่ากันมั้ยครับ"    ไคเชอร์เอ่ยชวนพร้อมเปิดประตูเข้ามา    ผู้เป็นพี่จึงหันไปมองน้องชายที่วันนี้ใส่ชุดทอมือสีเหลืองอ่อน   ประดับด้วยอัญมณีและมุกมหานทีอันยากแก่การได้มาครอบครอง   ถ้าผู้นั้นมิใช่กษัตริย์อย่างชื่นชมในความงามพิศของน้องชาย   ชายหนุ่มคลี่ยิ้มน้อย ๆ  พร้อมเดินมาตบบ่ากษัตริย์หนุ่มเบา ๆ     "อืม  ก็ดีเหมือนกัน   พี่ไม่ได้ไปหาท่านผู้เฒ่านานแล้ว   ไม่รู้ท่านเป็นยังไงบ้าง   แต่คราวนี้เจ้าต้องเป็นผู้เปิดทางบ้างนะ"   ไคเชอร์ตบปากรับคำทันที   แต่จู่ ๆ 


              เปรี้ยง  !  เปรี้ยง  !  


              ฟ้าผ่าลงมากลางห้องบรรทมอย่างรุนแรงไม่ยอมหยุด   สองพี่น้องกระโดดหลบกันจ้าละหวั่น   เหล่านายทหารต่างกระวีกระวาดตั้งกาจป้องกันนายเหนือหัวของตนอย่างเร่งรีบโดยไม่คิดชีวิตยังผลให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บ   "ชามันตะรากันยางา"  ราชิทร่ายมนต์หยุดฟ้าเสียดเมฆา   ฉับพลันสายฟ้าฟาดก็จางหายกลายเป็นหมอกควัน  เผยให้เห็นชายวัยกลางคนอยู่ในอาภรณ์สีน้ำเงินเข้ม   ในมือถือคทาฉลุด้วยทองสัมฤทธิ์    ประดับด้วยอัญมณีหลากสี   หน้าตาบึ้งตึงถมึงทึง   ชายแปลกหน้าใช้คทาชี้มาที่ราชิทอย่างไม่พอใจ   

              "บังอาจ   เจ้าเป็นใคร  ?  ใยกล้าใช้มนต์หยุดฟ้าเสียดเมฆาเหมือนข้า   เจ้ามิรู้หรือว่าข้าเป็นใคร   เจ้าพวกชั้นต่ำโสโครก  มนต์นี้มีเพียงข้าเท่านั้นที่จักใช้ได้   หรือว่าเจ้าเป็นพวกผู้วิเศษดำ    เชอะ  !   ไอ้พวกสถุน  ชอบใช้อวิชชา"   เขาตวาดอย่างเกรี้ยวกราด    เป็นผลให้เหล่าขุนนางและนางกำนัลที่มาออกันอยู่หน้าห้องสะดุ้งโหยงเสียวสันหลังวาบกันเป็นแถบ ๆ  ต่างถอยกรูดไปหาที่หลบภัยกันทันที    คงเหลือแต่ราชิท   กษัตริย์หนุ่ม   ดีซา  และซียุสทหารคู่ใจที่นอกจากจะไม่สะทกสะท้านแล้ว   ทั้งสี่ยังไม่กริ่งเกรงบุคคลซึ่งอยู่ตรงหน้าแม้แต่น้อย   กลับส่งสายตาอาฆาตให้เสียด้วยซ้ำ  

              "ข้ามิทราบหรอกว่าท่านเป็นใคร   ใช่ !  ข้าคือผู้วิเศษดำ  แล้วมนต์หยุดฟ้าเสียดเมฆานี้   ข้าก็ศึกษาเอาจากตำราของผู้เฒ่าทั้ง  5 แห่งสวนเบญจฤดู    แต่ที่สำคัญไปกว่านั้น   ข้ามิอาจทนได้กับคำปรามาสของท่าน"  สิ้นเสียงราชิทพื้นห้องบรรทมก็สั่นสะเทือน   ลมพายุโหมกระหน่ำ   ข้าวของลอยตัวสูงขึ้น   พุ่งตรงดิ่งไปยังชายแปลกหน้าที่ยืนยิ้มเยาะอย่างรวดเร็ว   ตามมาด้วยเสียงหวีดหวิวแสบแก้วหูที่เป็นผลให้ทุกคนลงไปนอนชักดิ้นชักงออยู่กับพื้น  ไม่เว้นแม้แต่ไคเชอร์    กษัตริย์หนุ่มเลือดออกทางทวารทั้งห้าด้วยความทรมาน   เขาคลานมาเกาะขาพี่ชายที่อยู่ในโทสะขั้นรุนแรง   

              ผู้เป็นพี่ก้มลงมองน้องชายด้วยความเจ็บปวดรวดร้าว  ดวงตาสีแดงแปรเปลี่ยนเป็นสีม่วงตามเดิม   พร้อมสรรพเสียงก็เงียบเชียบ   ข้าวของหล่นฮวบกระจัดกระจาย   พื้นห้องเป็นรูโหว่หลุมบ่อ   ชายหนุ่มทรุดลงโอบกอดน้องชายที่สลบเหมือด   พร้อมเอามือประสานแล้ววางไว้บนหน้าผากของน้องชายเพื่อถ่ายโอนพลังบางส่วนในตัวให้    จนไคเชอร์หายเป็นปกติ   จากนั้นจึงกล่าวคำขอโทษกษัตริย์หนุ่มอย่างเช่นทุกครั้งที่เคยเป็นมา   

              "พี่ไม่ต้องขอโทษผมหรอก  ผมรู้ครับว่าเวลาโมโห  พี่จะควบคุมตัวเองไม่ได้   แต่ก็ยังดีที่พี่จำผมได้ทุกครั้ง  ไม่งั้นผมคงตายแน่ ๆ"  ผู้เป็นน้องปลอบโยนพี่ด้วยความเข้าใจ   ราชิทผวาเข้ากอดน้องชายแน่น

              "พี่จำนายได้  ไคเชอร์  ไม่ว่าจะเกิดอะไรกับพี่   พี่ก็จำนายได้   นายเป็นคนเดียวที่อยู่ในความทรงจำของพี่ตลอดเวลา   พี่รักนายนะ   พี่จะไม่ปล่อยให้นายต้องเป็นอะไร  ไคเชอร์"   กษัตริย์หนุ่มตกใจเล็กน้อยแต่ก็กอดตอบพี่ชายแต่โดยดี    เขาอมยิ้มอย่างให้อภัยและไม่ถือโทษโกรธเคือง   แต่แล้วทั้งคู่ก็ต้องผละออกจากกันเมื่อได้ยินเสียงอันคุ้นหู

              "ซาบซึ้งจริง ๆ  ความรักระหว่างพี่น้อง  ดี !  ข้าชอบ  ความโมโหของเจ้าช่างน่ากลัวยิ่งนัก   นี่ถ้าน้องของเจ้าไม่อยู่ด้วย   ข้าคงได้เห็นอะไรดี ๆ เป็นแน่แท้   แต่เจ้าก็เก่งมากนะ  ที่ใช้มนต์ของข้าได้โดยไม่เป็นอะไรแม้แต่น้อย    ทั้งที่ผู้ที่ใช้มนต์นี้ได้    ถ้าไม่เป็นบ้าก็ต้องตาย     สงสัยข้าคงต้องทำความรู้จักเจ้าให้มากกว่านี้ซะแล้วกระมัง   เจ้าหนุ่ม   ไปล่ะ  !   แล้วข้าจะมาเยี่ยมใหม"   กล่าวจบชายแปลกหน้าก็อันตรธานหายไปทันที   ราชิทขบกรามแน่นด้วยความโมโห    ชายหนุ่มยังเคลือบแคลงสงสัยในคำพูดของชายแปลกหน้าพอ ๆ กับกษัตริย์หนุ่ม   ทั้งคู่เก็บงำความสงสัยเอาไว้ในใจ โดยไม่คิดจะปริปากพูดคุยกันแม้แต่น้อย    สองพี่น้องครุ่นคิดอย่างวิตก   

              แต่ไคเชอร์ได้สติก่อนเขามองราชิทที่นั่งทอดถอนใจอย่างเอือมระอาแล้วออกเดินสำรวจความเสียหายอันเกิดขึ้นจากการกระทำของผู้เป็นพี่     พลันสายตาเหลือบไปเห็นหญิงสาวในร่างเปลือยเปล่านอนขดตัวอยู่ในหลุมขนาดใหญ่    ไคเชอร์สะดุ้งโหยง    ผู้เป็นพี่เหลือบไปเห็นดังนั้นจึงรีบเดินมาดูทันที    สองพี่น้องมองหน้ากันอย่างฉงนสนเท่   กษัตริย์หนุ่มตัดสินใจจะเดินไปดู   แต่ราชิทขวางไว้ด้วยความเป็นห่วง  "ไม่ต้อง  !  เดี๋ยวพี่ไปดูเอง"  ชายหนุ่มก้าวอย่างช้า ๆ  ไปที่หญิงสาว   และก็ต้องเบิกตาโพลงด้วยความตกใจ   เมื่อเขารับรู้ถึงสถานะของหญิงสาว  ชายหนุ่มหันมองไคเชอร์ก่อนจะเอ่ยปากบอก  "เพื่อนของพี่เองน่ะ  ไม่มีอะไรหรอก   สงสัยนางคงติดมาในสายฟ้ากระมัง  ...."  ราชิทหยุดกะทันหัน   ชายหนุ่มเหมือนจะคิดอะไรได้   เขาทบทวนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อครู่พร้อมพึมพำ   ~ มิน่าเล่า  !  ท่านถึงได้เป็นเดือดเป็นแค้นนัก  ที่ข้าใช้มนต์หยุดฟ้าเสียดเมฆา   จ้าวอัศนีบาต ~   ราชิทเหยียดยิ้มมุมปากอย่างเจ้าเล่ห์   แต่ก็ต้องหุบลงทันทีเมื่อเห็นหน้าหญิงสาว  

              "มิรันตี  ทำไมเจ้าถึงมาอยู่ที่นี่ได้นะ"  ราชิทคิดกระวนกระวายพร้อมเอาผ้าผืนใหญ่มาคลุมตัวหญิงสาว   "แล้วข้าจะบอกไคเชอร์ยังไงดี   ข้าจะบอกว่าเจ้าเป็นใครดี"   เขาคิดวกไปวนมาอย่างวิตก   ฉับพลันก็สะดุ้งโหยงเสียวสันหลังวาบ   เมื่อไคเชอร์โพล่งขึ้นอย่างโมโหนิด ๆ

              "ทำไมพี่ต้องคิดปั้นเรื่องโกหกผมด้วย   มิรันตีเป็นใคร  ?  ทำไมพี่ถึงบอกผมไม่ได้"  ราชิทได้ยินก็ถึงกับก่นด่าตัวเองในใจ   "บ้าเอ๊ย  !  นี่เราลืมตั้งสมาธิปิดกั้นเหรอเนี่ย  โธ่  !  ไอ้ราชิทบ้า"   พร้อมหันไปมองผู้เป็นน้องที่ยืนจังก้ารอฟังคำตอบ    "เอ่อ ....  เอ่อ  ....  มิรันตีเป็น ....  เป็น ....  เอ่อ ...."  ยังไม่ทันที่ราชิทจะได้พูดต่อ  ทั้งเขาและไคเชอร์ก็ต้องสะดุ้งโหยงกันอีกรอบ   เมื่อมีเสียงปริศนาลอยกระทบโสตประสาท

              "มิรันตีก็เป็นทายาทของเมซาตัวไงล่ะ   ไคเชอร์   ราชิทถึงลำบากใจที่จะบอกกล่าวให้เจ้าได้รับรู้"   กษัตริย์หนุ่มได้ยินถึงกับตาโตเท่าไข่ห่านด้วยความตกใจ   เขามองหน้าพี่ชายอย่างสงสัย   ขบกรามแน่น   ทำเอาราชิทถึงกับใจไม่ดี   ชายหนุ่มกลัวว่าน้องชายจะทำอะไรบุ่มบ่าม

              "ใช่  !  มิรันตีเป็นบุตรีของเมซาตัว   พี่กลัวว่าถ้าพี่บอกนาย  แล้วนายจะรับไม่ได้   ไคเชอร์   นายอย่าโกรธพี่เลยนะ   พี่ไม่มีเจตนาที่จะปิดบังนายเลย"   ชายหนุ่มพูดอย่างนุ่มนวลด้วยเสียงอันแผ่วเบา   เป็นผลให้ไคเชอร์ใจอ่อน   กษัตริย์หนุ่มมักจะจำนนกับคำออดอ้อนหรือคำพูดดี ๆ ของผู้เป็นพี่อยู่เสมอ   ราชิทจึงตวัดหน้ามองรอบ ๆ ด้าน  แล้วคำรามอย่างแข็งกร้าว  ดุดัน

              "ออกมาเดี๋ยวนี้นะ  เนริตา  !  อย่าบังคับให้ข้าใช้กำลังกับเจ้า"  ฉับพลันหญิงสาวรูปร่างอรชรอ้อนแอ้น  หน้าตาน่ารัก  ตากลมโตสีม่วงสีเดียวกับเรือนผมที่ถักเป็นเปียอย่างสวยงาม   ก็ปรากฏต่อหน้าชายหนุ่มทั้งสอง   เจ้าหล่อนหัวเราะคิกคักอย่างอารมณ์ดี   จนราชิทชักหงุดหงิด    "เจ้าจะหัวเราะอะไรนักหนา"   เขาตวาดเสียงขรม   ทำเอาเนริตาหน้าเจื่อน   ส่วนไคเชอร์นั้นได้แต่ยืนอึ้งไม่พูดไม่จา     ราชิทจึงเปลี่ยนประเด็น    

              "แล้วเจ้ามาที่นี่ทำไม   อย่าบอกนะ  !  ว่าการที่มิรันตีมาอยู่ที่นี่   ในสภาพเยี่ยงนี้เป็นฝีมือเจ้า"  เนริตาได้ยินก็ส่ายหน้าช้า ๆ  "เจ้าก็รู้นี่   ราชิท   ว่ามีสักกี่คนกันในอัศวมณีที่จะริอาจเป็นเพื่อนกับจ้าวอัศนีบาต"  ราชิทถึงกับพ่นลมหายใจอย่างหงุดหงิด   พร้อมหันไปทางน้องชายที่เอาแต่ยืนเฉย   นิ่งเงียบ   "ไคเชอร์  นายเป็นอะไรรึเปล่า  ?   พูดอะไรบ้างก็ได้นะ"   กษัตริย์หนุ่มเมื่อได้ยินดังนั้นก็สะดุ้งน้อย ๆ 

              "เปล่าหรอกพี่ราชิท   ผมไม่ได้เป็นอะไร  สวัสดีครับ  คุณเนริตา  ยินดีที่ได้รู้จักนะครับ"  ไคเชอร์ไถลไปเรื่อยเปื่อยจนราชิทส่ายหน้าน้อย ๆ อย่างกลุ้มใจ   ส่วนผู้วิเศษสาวก็สนองตอบกษัตริย์หนุ่มทันที   

              "ข้าก็ยินดีที่ได้รู้จักเจ้าเช่นกัน  หวังว่าคงไม่ต้องพูดคำราชาศัพท์กับเจ้านะ   ข้าไม่ชอบ"   ไคเชอร์ได้ยินก็พยักหน้าน้อย ๆ เป็นเชิงตกลง    เนริตาจึงรี่เข้าไปหามิรันตีทันที   พร้อมกับใช้มือลูบหัวเพื่อนรักเบา ๆ แล้วพึมพำคาถา   บังเกิดเป็นแสงสีม่วงสว่างวาบ   จนสองพี่น้องต่างสายเลือดต้องหลับตาปี๋   ร่างของมิรันตีหมุนทวนเข็มนาฬิกาอยู่ชั่วครู่    ก็ร่วงผล็อยสู่อ้อมอกราชิทที่รอรับอยู่เบื้องล่าง   

              "วิญญาณบางส่วนของนางยังติดค้างอยู่ในสายฟ้า   ข้าเรียกกลับคืนมาไม่ได้"  เนริตาพูดอย่างหมดอาลัยตายอยาก   เป็นผลให้สองพี่น้องหน้าเจื่อนทันที   "ทำไมล่ะ  ?  เนริตา  ทำไมเจ้าเรียกกลับมาไม่ได้    เจ้าเก่งที่สุดในอัศวมณีนะ"   ราชิทพูดอย่างมีความหวัง

              "ราชิท  วิญญาณเป็นสิ่งเดียวที่ข้ามิกล้าต่อกรด้วย   เพราะมันจะเชื่อมโยงข้าไปยังพิภพอสูร   เจ้าก็รู้มิใช่หรือ ?"  ชายหนุ่มได้ยินถึงกับทรุดฮวบทันที  จนไคเชอร์ต้องเข้ามาประคอง   เนริตาส่ายหน้าช้า ๆ   

              "ข้าขอโทษ  ราชิท  ....  แต่เท่าที่ข้ารู้มา   มีสิ่งนึงที่จักสามารถนำวิญญาณของมิรันตีกลับมาได้  แต่มันขึ้นอยู่กับเจ้าว่าจะยอมทำรึเปล่า  ?"  ราชิทได้ยินก็หูผึ่ง   เขารีบเข้ามาหาเนริตาทันที    "ยอม  ....  ข้ายอม  ไม่ว่ามันจะยากลำบากสักเพียงไร  ข้าก็ยอม"   หญิงสาวหรี่ตามองเพื่อนชาย   "แม้แต่ต้องเข้าไปในมีณมนตรางั้นหรือ  ?"   ชายหนุ่มได้ยินก็ถึงกับผงะไม่เว้นแม้แต่ไคเชอร์    กษัตริย์หนุ่มหน้าเสียทันที   เขาหันมองพี่ชายที่กำลังรวบรวมความกล้าแม้จะต้องกล้ำกลืนความกลัวก็ตาม   "ใช่  !  ข้ายอม"   เนริตาได้ยินเสียงอันหนักแน่นก็ยิ้มออกมาอย่างอารมณ์ดี   

              "ดีมาก  แต่ตอนนี้ข้าหิว   เจ้าพาข้าไปหาอะไรกินก่อนได้รึเปล่า   ?  เมื่อท้องอิ่ม  เจ้าก็จะได้รู้คำตอบ   ว่ายังไง ?  ราชิท" ชายหนุ่มได้ยินก็ถอนหายใจอย่างเอือมระอา   แต่แล้วก็อมยิ้มอย่างมีเลศนัย

              "ได้  !   ข้าจะพาเจ้าไปทานอาหาร   แต่เจ้าต้องทำให้เหล่าข้าราชบริพารพวกนี้กลับเป็นปกติ"  เนริตาได้ยินก็แสยะยิ้ม   "สบายมาก  เจ้ามิรู้ฤทธิ์ของนางพญามนต์ขาวเสียแล้ว   ราชิท"   กล่าวจบก็เริ่มบริกรรมคาถาด้วยน้ำเสียงก้องกังวานไพเราะดุจระฆังแก้ว   บังเกิดเป็นดาวระยิบระยับโปรยปรายลงมาจากเบื้องบน   หมู่ดาวแทรกซึมลงในร่างกายของทุกคน   โดยฉับพลันเหล่าข้าราชบริพารก็ฟื้นขึ้นอย่างรวดเร็ว   เนริตาจึงลงมนต์ต้องสั่งเพื่อกำชับอีกครั้ง   "จงทำหน้าที่ตามปกติ  ราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น  และจงมองไม่เห็นข้า   เนริตา" จากนั้นทุกคนก็กลับเป็นปกติแทบจะในทันที     ราชิทมองเนริตาด้วยความพึงพอใจก่อนจะพาเจ้าหล่อนไปรับประทานอาหารพร้อมกับไคเชอร์ท่ามกลางความงงงวยของเหล่าข้าราชบริพารที่ได้พบเห็น   "องค์ไคเชอร์ทรงตรัสกับผู้ใดกัน  เนริตาคือใคร"  ดีซาเอ่ยกับซียุสอย่างวิตก  ทั้งคู่มองหน้ากันสลับไปมาพร้อมค้นหาคำตอบจากไคเชอร์ที่เดินอมยิ้มกับราชิทผ่านหน้าไปอย่างไม่รู้ไม่ชี้

              ขอบคุณสำหรับการติดตามค่ะ

              ใกล้จะลอยกระทงแล้ว  เพื่อน ๆ คิดรึยังคะ  ว่าจะไปลอยกระทงกันที่ไหนเอ่ย  ?  ส่วนพิ้งค์ต้องไปชัวร์  เพราะปีนี้พิเศษสุด ๆ  ลอยกระทงปุ๊บพิ้งค์ก็อายุ 22 ปั๊บ  อิอิ  

              สุดท้ายมีเรื่องดี ๆ มาฝากค่ะ  ลองอ่านดูนะคะ  (เสียเวลาซักหน่อย  แต่พิ้งค์ว่าคุ้มนะคะ)

              นักเดินทางคนหนึ่งได้ท่องเที่ยวไปตามที่ต่าง ๆ เมื่อเดินทางผ่านเข้าไปยังหมู่บ้านแห่งหนึ่ง   เขาก็ได้เห็นสิ่งแปลก  

              ชายคนหนึ่งแบกชายอีกคนไว้บนหลัง  แล้วเดินกลับกลับมาตามแปลงผัก

              นักเดินทางหยุดดูด้วยความสงสัย   จึงเห็นชัดขึ้นว่าชายสองคนกำลังหยอดเมล็ดพันธุ์พืชอยู่

              เขายังไม่หายข้องใจ   จึงเข้าไปใกล้ ๆ และถามว่า

              "ทำไมถึงต้องแบกอีกคนเอาไว้ตอนทำงานล่ะครับ ?"

              ชายสองคนนั้นหันมามอง  พลางตอบว่า

              "เราเป็นเพื่อนกัน   แต่เราเป็นโรคเรื้อน"

              เมื่อตอบแล้วก็พากันเดินกลับไปกลับมาตามแปลงผักต่อ

              นักเดินทางฉุกสงสัยขึ้นมาอีกจึงเข้าไปใกล้   นั่นเองที่เขาสังเกตเห็นสิ่งที่ไม่คาดคิดมาก่อน   มือของคนที่แบกเพื่อนเอาไว้เน่าเฟะจนใช้งานไม่ได้อีกแล้ว   ส่วนฝ่ายเพื่อนที่ถูกแบกก็ขาพิการจนใช้การไม่ได้เช่นกัน

              คนหนึ่งซึ่งใช้มือพิการเพราะโรคร้าย   กำลังแบกเพื่อนที่ขาใช้การไม่ได้เอาไว้บนหลัง   เมื่อเพื่อนมือดีหยอดเมล็ดพันธุ์ลงไป   เพื่อนที่มือพิการแต่ยังเดินได้   ก็ใช้เท้าเหยี่ยบดินตรงที่หยอกเมล็ดพันธุ์ให้แน่น

              พวกเขาต่างช่วยกันทำในสิ่งที่อีกฝ่ายหนึ่งทำคนเดียวไม่ได้   คนสองคนมีน้ำใจเป็นมิตรกันอย่างแน่นแฟ้น  ต่างช่วยเหลือเกื้อกูลในสิ่งที่อีกฝ่ายขาด

              เพื่อน ๆ รู้มั้ยคะ  ว่าเรื่องที่พิ้งค์เอามาให้อ่านกัน  เค้าสอนเรื่องอะไร   ไว้คราวหน้าจะมาเฉลยนะคะ

    .



    .



    .



    .



    .  



              อ่ะ  เฉลยเลยก็ได้  อิอิ

              สิ่งที่เกิดขึ้นนี้เรียกว่า  ความรักค่ะ

              สิ่งใดที่เราขาดหายไป   เขาจะเป็นฝ่ายเติมเต็มให้

              สิ่งใดที่เขาขาด     เราก็จะเป็นฝ่ายเติมเต็มให้เช่นกัน

              คนเรานะคะ  ไม่ว่าจะดูเหมือนเพียบพร้อมเพียงไรก็ตาม   แต่เราก็ยังมีสิ่งที่ขาดอยู่ดี  ไม่มีใครในโลกหรอกค่ะ   ที่จะสมบูรณ์ไปเสียทุกอย่าง

              ดังนั้น   เราต้องไม่รีรอที่จะช่วยเหลือเกื้อกูลในสิ่งที่อีกฝ่ายขาดนะคะ  (แต่ก็ต้องไม่ลำบากเราด้วยเช่นกัน)  เค้าเรียกว่า  "การแบ่งปันความรัก"  ค่ะ  เป็นการแบ่งปันความสุขของเราให้แก่ผู้อื่น  

              ความรักไม่เหมือนสิ่งอื่นใดนะคะ  ไม่ว่าเราจะแบ่งออกไปมากเพียงไร   มันก็ไม่เคยลดน้อยลงเลย   แต่กลับกลายเป็นว่า   ยิ่งเราให้ความรักไปมากเท่าไหร่  ความสุขของเราก็จะมีเพิ่มมากขึ้นเท่านั้นค่ะ  แต่ก็ไม่ใช่  รักแบบพร่ำเพรื่อ  ไม่ลืมหูลืมตานะคะ  ที่สำคัญเราต้องบริสุทธิ์ใจด้วยค่ะ  แล้วเราจะพบความสุขที่แท้จริง


              ขอบคุณเรื่องดี ๆ จาก  หนังสือ  vitamin story มาก ๆ นะคะ
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×