ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ศึกชิงจ้าวพิภพ ภาค มนตราอัศวมณี

    ลำดับตอนที่ #1 : *ผู้วิเศษดำแห่งอัศวมณี*

    • อัปเดตล่าสุด 12 เม.ย. 49



                    21 / 10 /48

                    คุยกันก่อนนะคะ   

                    ก่อนอื่นต้องบอกว่าขอโทษเพื่อน ๆ ทุกคนเป็นอย่างสูงเลยนะคะ  ที่ห่างหายไปนานและทำเซอร์ไพรส์ชิ้นโตโดยการลงเรื่องใหม่อีกรอบ  ซึ่งอาจทำให้เพื่อน ๆ เบื่อ  และเลิกติดตามผลงานของพิ้งค์ไปเลย  แต่พิ้งค์ก็ไม่รู้จะทำยังไงเหมือนกัน   จะให้กลับไปแก้ที่ของเก่ามันก็ไม่ได้  เพราะพิ้งค์ลงไปเยอะพอสมควรแล้ว   ยังไงต้องขอโทษอีกรอบนะคะ  หวังว่าทุกคนคงไม่โกรธพิ้งค์และให้ติดตามศึกชิงจ้าวพิภพของพิ้งค์เหมือนเดิมนะคะ  

                    และต้องขอบคุณน้องมะปรางหรือ  cyborg  ของพวกเราด้วยนะคะ  ที่วาดภาพพาเทียสมาให้   ดีใจมากเลยค่ะ  มะปรางเค้าวาดได้ดีนะคะ  ค่อนข้างตรงกับที่คิดไว้   ยังไงก็เข้าไปดูกันได้นะคะ   มีน้องหมาแถมมาให้ด้วยตั้งสามตัวแน่ะ  สงสัยโตขึ้นถ้าทำงานศิลป์น่าจะรุ่งแฮ ะน้องเรา  ยังไงก็ขออวยพรให้ได้ทำงานในสิ่งที่ตัวเองชอบนะจ๊ะ  มะปรางจ้า

    http://img372.imageshack.us/my.php?image=partious4sl.jpg

                    ส่วนรูปของคนอื่นจะตามมาเรื่อย ๆ นะคะ  คราวนี้พิ้งค์จะลงมือวาดเองบ้าง  อิอิ  แต่คงนานหน่อย  เพราะตอนนี้ยังสอบอยู่เลย 

                    ในตอนแรกจะมีการเปลี่ยนแปลงไปเยอะพอสมควรนะคะ  พิ้งค์จะท้าวความให้เพื่อน ๆ รู้จักกับผู้วิเศษดำตัวร้ายกันก่อน   ส่วนพาเทียสคงจะออกโรงในบทต่อ ๆ ไปนะคะ  แล้วก็ตามด้วยอีกหลาย ๆ คนค่ะ   ซึ่งพิ้งค์จะทำแต่ละตอนให้สั้นลงกว่าเดิมหน่อยนะคะ  เพื่อทุกคนจะได้อ่านง่ายขึ้นค่ะ  เอาล่ะไม่พูดมากดีกว่า   ขอให้เพื่อน ๆ สนุกกับนิยายของพิ้งค์นะคะ  

                    อ้อ  สำหรับคนที่พิ้งค์ยังไม่ได้ไปเยี่ยม  ก็ไม่ต้องกังวลนะคะ  พิ้งค์จะไปเยี่ยมแน่นอน  แต่อาจจะนานซักหน่อย  เพราะตอนนี้ติดสอบด้วย   แต่ที่พิ้งค์ตัดสินใจเอามาลงก่อน   เพราะอยากรู้ว่าทุกคนคิดยังไงกันบ้างค่ะ  

                     สุดท้ายพิ้งค์ต้องขอบคุณ  พี่นุ้ย  พี่ตุ้ย  ไวน์  น้องช่อ  น้องมะปราง  น้องโบ  น้องเอก  น้องเฟราเร่  น้องAster Asterisk  น้องปริศนา  น้องKazamaziri  น้องMs.Darkness  น้องตูน  น้องเทียน  น้องlovemydox  น้องคริสตัลสีเงิน  คุณ Freedom hand  คุณDragonas  และคนอื่น ๆ มากนะคะ  ที่คอยเป็นกำลังใจและติดตามผลงานของพิ้งค์มาโดยตลอด  ขอบคุณจริง ๆ ค่ะ

                          ***********************

                           *ผู้วิเศษดำแห่งอัศวมณี*

                     ณ มหานครอันกว้างใหญ่  คาราบัส  มีกษัตริย์หนุ่มรูปงามวัยไม่เกิน 20 พรรษานามว่า  ไคเชอร์  ปกครองอยู่    ไคเชอรนี้เป็นชายหนุ่มหน้าตาคมขำ  ผิวขาวดุจใยฝ้าย   ดวงตากับผมเป็นสีดำสนิทดูมีเสน่ห์ลึกลับน่าค้นหา  จมูกโด่งได้รูปเข้ากับใบหน้ารูปไข่  ชายหนุ่มเพิ่งจะได้รับราชสมบัติต่อจากเสด็จพ่อ   ที่ทรงสิ้นพระชนม์ไปโดยไม่ทราบสาเหตุ  จึงกลายเป็นที่โจษจันของราษฎรโดยทั่วไปว่า  กษัตริย์หนุ่มองค์นี้อาจเป็นตัวการที่ทำให้กษัตริย์องค์ก่อนทรงสิ้นพระชนม์ไป  จะมีก็เเต่ข้าราชบริพารซึ่งไม่คิดเช่นนั้น   เเต่ถึงอย่างไรก็ไม่มีใครคิดที่จะคุยคุ้ยมันขึ้นมา  ทั้งหมดคงเป็นเพราะความจงรักภักดีที่พวกเขามีต่อกษัตริย์หนุ่มรูปงามองค์นี้นั่นเอง

                     นี่ก็เป็นเวลาเกือบปีเเล้วนับตั้งเเต่ไคเชอร์ได้ขึ้นเป็นกษัตริย์  พระองค์ทรงออกเยี่ยมเยียนดูแลทุกข์สุขของราษฏรอย่างสม่ำเสมอ  โดยมีเหล่าคนสนิทติดตามอยู่ร่ำไป   กษัตริย์หนุ่มปกครองบ้านเมืองโดยอาศัยหลักทศพิธราชธรรมทั้ง  10  ประการที่กษัตริย์พึงมี    จนตอนนี้เหล่าราษฎรทั้งหลายต่างมีฐานะใกล้เคียง  ไม่ลดหย่อนไปกว่ากันมากเท่าไหร่   ทุกคนในเมืองจึงพากันยกย่องสรรเสริญกษัตริย์หนุ่มรูปงามองค์นี้อย่างหาที่เปรียบไม่ได้  พร้อมลืมเรื่องที่เคยโจษจันกันไปจนหมดสิ้น

                     พระองค์ทรงเป็นดั่งแสงสว่างที่แผ่ปกคลุมให้เมืองคาราบัสมีแต่ความสงบสุขร่มเย็นปราศจากความทุกข์  อีกทั้งยังทรงฟื้นฟูทะนุบำรุงให้คาราบัสเป็นแหล่งค้าขายในด้านต่าง ๆ ที่ใหญ่ที่สุด   และยังเป็นเมืองศูนย์กลางของทุกสิ่งทุกอย่างไม่ว่าจะเป็น  ศาสนา  การเมือง  การศึกษา  เศรษฐกิจ ฯลฯ  

                     ผู้คนจากหลากหลายเมืองต่างเฝ้าใฝ่ฝันที่จะได้มาอยู่ในคาราบัส   โดยอพยพโยกย้ายกันมาตั้งถิ่นฐานรกรากอยู่ในเมืองแห่งนี้อย่างล้นหลาม   ซึ่งนับวัน ๆ จะยิ่งเพิ่มทวีคูณขึ้นอย่างมหาศาล    จนสร้างความลำบากใจให้แก่เหล่าข้าราชบริพารเป็นอย่างมาก   เนื่องจากเนื้อที่ในเมืองเริ่มร่อยหรอเพราะถูกจับจองเป็นเจ้าของโดยเหล่าผู้คนที่แห่แหนกันมาจากทั่วทุกสารทิศ  แต่ก็ไม่มีใครกล้าปริปากทูลถวายรายงานแด่กษัตริย์ไคเชอร์แม้แต่น้อย  เพราะเกรงว่าจะทำให้กษัตริย์หนุ่มของพวกเขาต้องไม่สบายใจ  เหล่าข้าราชบริพารจึงจัดแจงแบ่งสันปันส่วนที่ดินให้กับผู้คนที่ทยอยเดินทางเข้ามาด้วยตัวเองอย่างยุติธรรมที่สุด  เพื่อขจัดปัญหาอื่น ๆ ที่อาจจะตามมาเป็นอีกระลอก   นั่นเป็นผลทำให้อนาประชาราษทั้งหลายต่างยกย่องเทิดทูนองค์กษัตริย์ของพวกเขามากยิ่งขึ้น

                     กระทั่งราชิท  หัวหน้ากองทหารเวทมนตร์แห่งวังคาราได้สืบทราบถึงการบุกรุกเขตแดนของเมซาตัว   หัวหน้าผู้วิเศษดำแห่งอัศวมณี    ชายหนุ่มจึงขอเข้าเฝ้ากษัตริย์ไคเชอร์อย่างเร่งด่วนโดยมีเหล่าข้าราชบริพารตามติดมาด้วย   

                     "ว่ายังไง  ท่านราชิท  ทำไมวันนี้ถึงว่างมาหาเราได้ล่ะ ?  ทีวันอื่นเราให้ทหารไปตาม  ไม่เห็นท่านจะว่างแม้แต่น้อย" ไคเชอร์เย้า   แต่ราชิทก็ยังคงก้มหน้าไม่ปริปากใด ๆ ทั้งสิ้น  จนกษัตริย์หนุ่มชักสงสัย   เขาก้าวลงจากบัลลังก์ด้วยท่วงท่าสง่างาม   ดวงตาสีดำสนิทเจือแววกังวลเล็กน้อย   พร้อมเดินมาหาหัวหน้ากองทหารเวทมนตร์ที่นั่งตัวสั่นงันงกด้วยความกลัว  แล้วคุกเข่าลงไปเสมอเทียบเท่า  เป็นผลให้ข้าราชบริพารทุกคนที่อยู่ในโถงกลางจำต้องคุกเข่าตามในทันที   กษัตริย์หนุ่มบีบไหล่ราชิทเบา ๆ 

                     "ท่านราชิทมีอะไรรึเปล่า  ?  ทำไมท่านต้องตัวสั่นขนาดนี้ด้วย     มีอะไรก็พูดออกมาสิ  ?  เรารับได้ทั้งนั้น   ท่านเปรียบเสมือนกับพี่ชายของเรานะ  ฉะนั้นท่านมิจำเป็นที่จะต้องกลัวเราถึงเพียงนี้หรอก"   เมื่อราชิทได้ฟังเขาก็เงยหน้าขึ้นสบกับดวงตาสีดำสนิทที่กำลังจ้องมองมาอย่างใคร่รู้  ผู้วิเศษหนุ่มมองหน้าน้องรักที่กำลังคลี่ยิ้มบาง ๆ  พร้อมถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนตัดสินใจพูด

                     "คือ  เอ่อ  คือว่า ..."  ราชิทหยุดอย่างกะทันหันพร้อมกับทุกคนหยุดการเคลื่อนไหว  ดวงตาของทั้งหมดเลื่อนลอยอย่างไร้จุดหมาย   ฉับพลันควันสีขาวบาง ๆ ก็พวยพุ่งออกจากศีรษะของแต่ละคน   มันตรงดิ่งไปยังชายหนุ่มนามว่า  ไคเชอร์ที่กำลังรับรู้ถึงเรื่องราวต่าง ๆ ซึ่งถาโถมออกมาเป็นระลอกคลื่นด้วยสีหน้าวิตกกังวลจนเห็นได้ชัดอยู่เบื้องหน้าผู้ถูกกระทำทั้งหลาย    


                     เปาะ !  เปาะ !


                     เสียงดีดนิ้วของกษัตริย์หนุ่มคืนสติให้กับทุกคนตามเดิม   ซึ่งแต่ละคนก็อยู่ในอาการงงงวย   วิงเวียนศีรษะไปตาม ๆ กัน  จะมีก็แต่ราชิทที่จ้องน้องรักอย่างเอาเป็นเอาตาย   พร้อมส่งสายตาดุ ๆ ไปยังเจ้าตัวแสบที่ริอาจใช้วิชามารกระทำการอันอุกอาจ   ราชิทขยับตัวน้อย ๆ มาหาน้องรัก   พร้อมกับกระซิบข้างหูด้วยความไม่พอใจ

                     "นายทำแบบนี้อีกแล้วนะไคเชอร์  นายก็รู้ว่ามันเป็นวิชามาร  มันเป็นวิชาของพวกอสูรชั้นต่ำ   มันเป็นวิชาต้องห้าม  คอยดู !  พี่จะบอกผู้เฒ่าบาเก้  ว่านายฝ่าฝืน"  แต่ตอนนี้ไคเชอร์ไม่สนอะไรอีกแล้ว   เพราะสิ่งที่เขาได้รับรู้จากพี่ชายและทุกคนนั้นแย่ยิ่งกว่า   ชายหนุ่มตัดสินใจประกาศกร้าวรวมพลเพื่อต่อสู้กับเมซาตัวทันที  ยังความหนักใจให้แก่เหล่าข้าราชบริพารเป็นยิ่งนัก   เพราะนอกจากกษัตริย์ของพวกเขาไม่เคยแม้แต่จะฆ่ายุงฆ่ามดสักตัว   หนำซ้ำยังไม่เคยผ่านศึกสงครามใด ๆ  ทั้งสิ้น   แล้วนี่กษัตริย์ของพวกเขาจะสามารถเอาชนะเมซาตัวหัวหน้าผู้วิเศษดำแห่งอัศวมณีอันเลื่องชื่อได้งั้นหรือ  !   ความมั่นใจของบรรดาข้าราชบริพารถูกบั่นทอนลงไปเกือบครึ่ง   แต่ถึงอย่างไร !  พวกเขาก็ต้องเชื่อมั่นในกษัตริย์ของตนเองมิใช่หรือ  ?   "ถึงแม้องค์ไคเชอร์จะไม่เคยผ่านสนามรบใด ๆ มาก่อน  แต่ท่านก็ไม่เป็นรองใครเรื่องการต่อสู้ทั้งทางด้านอาวุธและเวทมนตร์   เมื่อบวกกับพระปรีชาสามารถด้วยแล้ว    บางทีฝ่ายเราอาจกำชัยชนะในศึกครั้งนี้ก็เป็นได้"   ราชิทเอ่ยกับทุกคนอย่างภาคภูมิ    ท่ามกลางเสียงโห่ร้องดังกึกก้องกัมปนาทของเหล่าทหารเวทมนตร์ทั้งหลาย


                     *********************

                     ห่างไปไม่ไกลจากวังคารา   ภายในบ้านหลังเล็กซอมซ่อที่ถูกปลูกอยู่เป็นทิวแถว   ชายวัยกลางคนผู้หนึ่งกำลังนั่งเลียเลือดสด ๆ ที่ติดมืออย่างอารมณ์ดีอยู่ท่ามกลางซากศพเกลื่อนกลาดที่ส่งกลิ่นเหม็นเน่าคละคลุ้งตลบอบอวลไปทั่ว   ชายผู้นั้นใช้มือทะลวงไส้และควักหัวใจของเหยื่อผู้เคราะห์ร้ายที่ยังนอนดิ้นกระแด่ว ๆ อย่างอำมหิต  พร้อมโยนศพทิ้งโดยไม่ใยดีก่อนจะสวาปามสิ่งที่อยู่ในมืออย่างเอร็ดอร่อย   เขาอิ่มเอมและมีความสุขอยู่กับการฆ่าผู้บริสุทธิ์อย่างสนุกสนาน    แต่แล้วเขาก็ต้องอารมณ์เสียเมื่อจู่ ๆ มีหญิงสาวโผล่พรวดเข้ามา   ชายวัยกลางคนโกรธจนเลือดขึ้นหน้า   เขาพุ่งตรงไปหาหญิงสาวผู้นั้นด้วยความเร็ว  พร้อมใช้กรงเล็บอันแหลมคมตรึงนางไว้กับกำแพง

                     "ข้าบอกแล้วใช่มั้ย  ?  มิรันตี  ว่าถ้าข้าไม่เรียก  ไม่ต้องมาหาข้า"  ชายวัยกลางคนคำราม   จนหญิงสาวกลืนน้ำลายลงคอด้วยความกลัว

                     "เอ่อ ....  ข้าก็ไม่อยากมานักหรอกท่านพ่อ  แต่ข้าได้ข่าวไม่ค่อยจะสู้ดี   ว่าไอ้ราชิทมันรับรู้ถึงการมาเยือนของพวกเราแล้ว  และตอนนี้มันก็กำลังเตรียมกองทัพเวทมนตร์เพื่อรอประมือกับเราอยู่"   ชายวัยกลางคนหรี่ตามองลูกสาวพร้อมกับปล่อยเธอออกจากพันธนาการ   แค่นหัวเราะเสียงดังลั่น

                     "งั้นหรือ  !  ขอบใจเจ้ามากนะ  มิรันตี   ที่ยังอุตส่าห์เป็นห่วงข้า  ข้านึกว่าเชื้อของข้าที่มันอยู่ในตัวเจ้าจักสลายหายไปเสียแล้ว    งั้นก็แปลว่าเชื้อของข้ายังแรงกว่าเชื้อของนังแพศยานั่น  แล้วไคเชอร์มันว่ายังไงบ้าง  ?"   ผู้เป็นพ่อตวัดหน้ากลับมามองลูกสาวที่ทำหน้าพะอืดพะอมบอกไม่ถูก

                     "ข้าไม่รู้  !  ซาหรีไม่ได้บอกอะไรข้าเกี่ยวกับไคเชอร์  นางบอกข้าแต่เพียงราชิทเท่านั้นท่านพ่อ"   มิรันตีหลุบสายตาลงต่ำ   ผู้เป็นพ่อจึงตรงรี่เข้าไปยืนประจันหน้ากับเธอทันที   

                     "นังโกหก  !  ข้ารู้นะ ...  ว่าอย่างเจ้า ... ไม่จำเป็นต้องให้นังกระจอกนั่นมาบอกข่าว  ถ้าเจ้าอยากรู้อะไร   เจ้าย่อมทำได้ภายในพริบตา   เพียงแต่เจ้าจักทำหรือไม่ก็เท่านั้น"   ผู้ที่ได้ชื่อว่าพ่อบีบแก้มของลูกสาวอย่างแรงพร้อมใช้กรงเล็บจิกเข้าไปจนเลือดไหลนองเต็มใบหน้า  

       
                     เพียะ !



                     มิรันตีหน้าหันไปตามแรงตบอันมหาศาลของผู้เป็นพ่อ   หล่อนกุมแก้มด้วยความเจ็บปวด   น้ำตาคลอเบ้าจนร่วงผล็อย   หญิงสาวมองพ่อบังเกิดเกล้าอย่างตัดพ้อไม่เข้าใจ    แต่ชายวัยกลางคนก็ไม่มีทีท่าว่าจะใจอ่อน   เขาใช้ขาเตะหล่อนลงไปนอนกองกับพื้น   

                     "เจ้ามันก็แพศยาเหมือนแม่ของเจ้า  นังมิรันตี  ข้าเกลียดแม่ของเจ้า  ข้าเกลียดเจ้า  จำไว้  !  นังลูกทรยศ"  จากนั้นก็ก้าวข้ามผ่านไปอย่างไม่แยแส   สร้างความเสียใจเป็นที่สุดให้แก่หญิงสาว   เธอร่ำไห้ปานจะขาดใจ  "ท่านแม่  ทำไมท่านต้องทิ้งข้าไป  ทำไม  !  ท่านต้องปล่อยให้ข้าอยู่กับท่านพ่อ   ทำไมท่านไม่เอาข้าไปด้วย   ทำไม  !"  หล่อนตะโกนจนสุดเสียงกรีดร้องอย่างทรมาน   และทุกอย่างก็อันตรธานหายไปหมด    ผู้เป็นพ่อทอดถอนใจเมื่อเห็นสภาพลูกสาว    เขาลูบหัวเธอเบา ๆ พร้อมจุมพิตด้วยความรักที่พ่อคนหนึ่งจะสามารถให้กับลูกได้   

                     "พ่อขอโทษนะลูก   พ่อไม่ได้ตั้งใจ   แต่พ่อจำเป็นต้องทำ  แล้วสักวันลูกจะเข้าใจพ่อ  มิรันตี"  กล่าวจบก็วาดมือกลางอากาศพลันเกิดเป็นแสงสว่างสีขาวนวลแล้วร่างของหญิงสาวก็ลอยหายเข้าไปในแสงนั้นอย่างมีจุดหมาย    "ดูแลนางด้วยนะ  ไคเชอร์"  ผู้เป็นพ่อเปรยในใจอย่างมีความหวัง  ดวงตาสีม่วงดูสงบสุขอย่างบอกไม่ถูก  แต่แล้วก็ต้องสะดุ้งสุดตัว

                     "มีความสุขจริงนะ  ท่านเมซาตัว"   เสียงหญิงนิรนามลอยกระทบโสตประสาท   เป็นผลให้เมซาตัวกลับมาเกรี้ยวกราดตามเดิมอีกครั้ง

                     "มันเรื่องของข้า  เนริตา เจ้าไม่ต้องยุ่ง   แล้วนี่ว่างมากนักหรือไง  ?  ถึงได้มาหาข้า"  เนริตาได้ยินก็เริ่มไม่พอใจ  แต่นางก็สะกดกลั้นเอาไว้

                     "ข้าขอโทษ  ข้าก็แค่เห็นท่านยิ้มอย่างมีความสุขแบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อนก็เท่านั้นเอง   ไม่มีอะไรมากหรอก ...  ส่วนที่ข้ามาหาท่านในวันนี้   ก็เพราะอยากจะมาเตือนท่าน   เรื่องตบะของท่านที่กำลังจะเสื่อมถอย  อัศวมณีเรามิต้องการผู้ที่รักแต่การทำบาปเยี่ยงท่านหรอกนะ  ท่านเมซาตัว   ถึงแม้อัศวมณีจะขึ้นชื่อว่าเป็นเมืองแห่งความชั่-วร้ายในพิภพผู้วิเศษก็ตาม   แต่เราทั้งหมดก็จะพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อกู้ชื่ออัศวมณีให้กลับมาเจิดจรัสอีกครั้ง"  เมซาตัวได้ยินก็สวนขวับทันที

                     "ถึงแม้จะต้องแลกด้วยชีวิตของพวกเจ้าทั้งหมดงั้นหรือ  ?   เจ้าก็รู้เนริตา การที่อัศวมณีจะกลับมารุ่งเรืองได้อีกครั้ง   เจ้าจักต้องทำลายฤทัยแปดทิศของข้าเสียก่อน   และสิ่งที่ลืมไม่ได้ ! เจ้าจักต้องทำลายคนตาสีฟ้าที่ผู้วิเศษดำตนหนึ่งเป็นผู้สร้างขึ้นมาเพื่อสนองความต้องการของข้า   เจ้าคิดว่าเจ้าจักทำได้หรือไม่  ? เนริตา" หญิงสาวได้ฟังดังนั้นดวงหน้าก็เริ่มถอดสี   จนเมซาตัวยิ้มเยาะด้วยความสะใจ

                     "ไง  !  แค่ได้ฟังก็ถึงกับท้อแล้วรึ  ?  เจ้าคอยดูต่อไป  เนริตา  ข้าจักทำให้ตำนานสีฟ้าลือชื่ออีกครั้ง   ข้าจักเป็นจ้าวแห่งพิภพเพียงผู้เดียว   ข้าจักทำให้อัศวมณีของข้าได้ถูกจารึกในตำนาน   แล้วเจ้าเล่า  ?  อยากร่วมเป็นส่วนหนึ่งในตำนานของข้าหรือไม่  ?  เนริตา"   เมซาตัวถามด้วยเสียงอันเยือกเย็น   ดวงตาสีม่วงวาวโรจน์   

                     "เชอะ  !  ข้าจักทำให้อัศวมณีของข้าถูกจารึกในตำนาน   พูดออกมาได้ไม่อายปาก  อัศวมณีไปเป็นของท่านตั้งแต่เมื่อไหร่กัน  ท่านเมซาตัว   แล้วสำหรับข้า  ท่านมิต้องชวนให้เสียเวลาชั่-ว ๆ ของท่านหรอก   เพราะข้าไม่มีวันเข้าไปร่วมเป็นส่วนหนึ่งกับท่านอยู่แล้ว"   เนริตาพูดอย่างไม่ยี่หระ   เมซาตัวอมยิ้มอย่างมีเลศนัย   "เจ้าคงลืมไปจริง ๆ เนริตาเอ๊ย   หัวใจทั้งแปดของข้าต่างอาศัยอยู่ทั่วอัศวมณี  แล้วเช่นนี้ข้าพอจะเรียกอัศวมณีว่าเป็นของข้าได้หรือไม่เล่า  ?  เนริตา"  หญิงสาวได้ยินดังนั้นก็ผลุนผลันออกไปอย่างหงุดหงิด  แต่เมซาตัวก็มิวายตะโกนไล่ตามหลัง   "คราวหน้า  ข้าไม่ปล่อยให้เจ้าเดินจากข้าไปง่าย ๆ เช่นนี้แน่  เนริตา"   

                     ชายวัยกลางคนกำหมัดแน่นด้วยความโมโหที่ซ่อนเร้นอยู่ภายใน    จนเล็บจิกลึกเข้าไปในฝ่ามือเกิดเป็นแผลฉกรรจ์   เลือดสีแดงข้นเปรอะเปื้อนเต็มทั่วทั้งมือ   ฉับพลันดวงตาสีม่วงก็แปรเปลี่ยนเป็นสีแดงในบัดดล  หน้าตาที่เคยผ่องใสกลับตาลปัตรเป็นเหิ่ยวย่น  ร่างกายที่เคยสมบูรณ์ก็กลับกลายเป็นสูบผอม   ก้อนเนื้อต่าง ๆ หลุดร่วงออกจากกายที่ละชิ้น ๆ อย่างไม่ปรานี   เสียงร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวดกำลังบังเกิด  เมซาตัวลงไปนอนบิดเร่า ๆ  ที่พื้นอย่างอ่อนระโหยโรยแรง  ชายวัยกลางคนนอนจมกองเลือดอย่างน่าเวทนา   เขากำลังแปรสภาพเป็นโครงกระดูก   น้ำใส ๆ รื้นขึ้นโดยไม่รู้ตัว   ผู้วิเศษดำฉีกเนื้อตัวเองกินอย่างทรมานเพื่อสมานร่างให้กลับคืน   เขาต้องทนกล้ำกลืนกับสิ่งที่ได้รับ   อันเนื่องจากการทำบาปอย่างร้ายแรง  โดยปราศจากการอุทธรณ์ร้องขอ   "นี่คือสิ่งที่เจ้าจักต้องชดใช้  เมซาตัว"  เสียงปริศนาที่คอยหลอกหลอนผู้วิเศษดำอยู่ทุกคราเมื่อดวงจันทร์เต็มดวงเริ่มปรากฎ   

                     เสียงนั้นก่อตัวเข้าครอบงำผู้วิเศษดำอย่างรวดเร็วโดยไม่รีรอ   เมซาตัวตาเหลือกลานถลนออกมานอกเบ้าด้วยความกลัว   ร่างกายของชายวัยกลางคนในตอนนี้คล้ายดั่งซากศพที่ถูกสัตว์ร้ายแทะกิน   เนื้อขาดเหวอะหวะกระรุ่งกระริ่งน่าเกลียดน่ากลัว   เลือดสด ๆ ไหลเจิ่งนองเต็มพื้น  ลำตัวเว้า ๆ แหว่ง ๆ น่าสมเพช   แขนขาเหลือแต่กระดูก   ชวนให้คลื่นเหิยนยิ่งนัก  เมซาตัวโอดครวญด้วยความเจ็บปวดรวดร้าว   ส่ายหัวไปมาเพื่อสลัดเสียงปริศนาออกไปจากหัวสมอง   ครั้นพอเมฆบดบังดวงจันทร์   เสียงปริศนาก็หายไปพร้อมกับร่างกายที่กลับคืนสู่ปกติ    แต่เมื่อเมฆเคลื่อนคล้อยจากไป  เมซาตัวก็กลับสู่สภาพเดิมอีกครา   ผู้วิเศษดำต้องทนทุกขเวทนาเช่นนี้จนกว่าจะขึ้นวันใหม่   มันเป็นวิบากกรรมที่เขาจะต้องชดใช้ตลอดชั่วกัลปาวสาน !

                     ขอบคุณสำหรับการติดตามค่ะ

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×