ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    เทพนิยายกรีก

    ลำดับตอนที่ #57 : ^0^สฟิงซ์ค่ะ^0^

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 240
      0
      11 เม.ย. 49


          11/4/49
         
          ^0^คุยกันก่อนนะคะ^0^  

          ต้องขอโทษเพื่อน ๆ ด้วยนะคะ  ที่หายไปนานมาก ๆ เลย  แต่อย่ารู้เลยเนอะ  ว่าหายไปไหน  เอาเป็นว่าตอนนี้กลับมาแล้วค่ะ  จะทยอยอัพให้เรื่อย ๆ นะคะ  ขึ้นอยู่กับความสามารถในการค้นหาของพิ้งค์ค่ะ  ซึ่งจริง ๆ แล้วพิ้งค์ก็มีหนังสืออ่ะน่ะ  แต่โรคขี้เกียจมันกำเริบอ่ะ  เลยไปควานหาในเว็บต่าง ๆ มาให้แทนค่ะ  แต่กว่าจะตัดสินใจเอาลงก็ต้องใช้เวลาคัดเลือกเนื้อหาที่แน่นที่สุดค่ะ  เอาไว้หายขี้เกียจเมื่อไหร่  จะพิมพ์ให้ทันทีเลย  อิอิ  

          ไป ๆ มา ๆ เทพนิยายกรีกของพิ้งค์มันจะไม่ใช่เทพนิยายอย่างชื่อแล้วสิ  กะว่าจะเปลี่ยนชื่อซะหน่อยแต่ก็ทำไม่ได้  เอาเป็นว่าเพื่อน ๆ ที่หลงเข้ามาก็ทำใจหน่อยนะคะ  เพราะพิ้งค์รู้สึกมันปนกันมั่วไปหมดแล้ว  อิอิ

          เอาเป็นว่าเริ่มอ่านเลยดีกว่านะคะ  ไม่พูดมากแล้ว  ขอให้มีความสุขกับการอ่านค่ะ

          ขอบคุณ

    http://www.ragnarok.in.th/community/forum_posts.asp?TID=51070&PN=0&TPN=1
     

    http://sesosy.no-ip.com/legend/sphinx.htm

          สำหรับข้อมูลค่ะ

          สฟิงซ์ (Sphinx) สัตว์ลูกผสม

          เป็นสัตว์ที่มีส่วนผสมของสัตว์หลายชนิดรวมอยู่ในตัวเดียวกันตามความเชื่อของคนอียิปต์

      สฟิงซ์ของอียิปต์ อาศัยอยู่บน ทรายสีเหลืองนุ่ม ของที่ราบสูง แห่งกิซา เป็นสิ่งก่อสร้าง ขนาดมหึมา ซึ่งเรารู้จักกันดี... สฟิงซ์ สัตว์ลูกครึ่ง ที่ทอดร่าง หันหน้าสู่ทิศตะวันออก และหมอบเฝ้า มหาพีระมิด มานับ พันปี!! คงนึกภาพ ตัวสฟิงซ์ออกน่ะ เจ้าสัตว์ที่เกิดจาก การรวมตัว อันแปลก ประหลาด ระหว่างมนุษย์กับสิงโต ส่วนหัวที่เหมือนมนุษย์นั้น มีสัญลักษณ์ ของฟาโรห์อียิปต์ แสดง ไว้ชัดเจน คือมีเคราที่คาง ตรงหน้าผาก มีงูจงอางแผ่แม่เบี้ย และมีเครื่องประดับ รัดเกล้าแบบกษัตริย์โดยรอบ ความกว้างของ ใบหน้านั้น ประมาณ 14 ฟุต ส่วนลำตัวที่เป็นสิงโต มีความยาว เกินกว่า 240 ฟุต (วัดจากหัวถึงหาง) ขนาดของมัน มโหฬาร จนคนที่เดินผ่าน เหลือตัวนิดเดียวว่ากันว่า สฟิงซ์ คือ รูปเหมือน ขนาดใหญ่ กว่าร่างจริง สองเท่าของฮาร์มาชิส เทพแห่งรุ่งอรุณ เมื่อตอนที่แปลงร่าง เป็นสิงโต มีเศียร เป็นฟาโรห์อียิปต์หรือ "sphingein แปลว่า การบีบรัด เพราะสฟิงซ์ของชาวกรีก เป็นสฟิงซ์ที่นิสัยไม่ดี ชอบหยอกเล่นกับเหยื่อ 

          พอมีเหยื่อหลงเข้ามา ก็จะถามคำถาม และถ้าตอบไม่ถูก จะฆ่าทิ้งส่วนหน้าที่ ของสฟิงซ์ แห่งกิซา นอกจากเฝ้าพีระมิดแล้ว เบื้องหลังและทุกด้าน ของรูปปั้นอมนุษย์นี้ ยังมีพื้นที่ที่ เรียกว่า "นครมรณะ" รายรอบอยู่ นครมรณะกินอาณา บริเวณ คลอบคลุมผืนทรายทางใต้ ทางตะวันตก และเหนือของสฟิงซ์ หลุมแล้วหลุมเล่า ต่างถูกขุดเจาะเป็นโพรง เพื่อใส่โลง หิน ที่บรรจุร่างของพระราชวงศ์ ขุนนาง และนักบวช ชั้นสูง ซึ่งผ่านกรรมวิธี การทำมัมมี่ มาแล้ว โดยที่สฟิงซ์ จะคอยขจัดวิญญาณชั่วร้าย ให้พ้นจากหลุมศพเหล่านั้น

          ... อือ... แล้วเจ้าสฟิงซ์นี้ มีอายุเท่าไร ถ้านับตามลำดับญาติแบบเรา ๆ ก็คงเป็นปู่ทวด ของปู่ทวด ของปู่ทวดของ ปู่ทวดๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ....สรุปเรียก "คุณปู่ (10 ยกกำลัง 3) เพราะจากการคำนวณอายุหินที่ใช้สร้างโดยใช้คาร์บอน14 ปรากฏว่า  สฟิงซ์มีอายุเกือบหมื่นปี แต่ว่าประวัติศาสตร์ชนชาติอียิปต์เพิ่งเริ่มเมื่อสี่พันกว่าปีก่อนเอง แล้วสฟิงซ์จะอายุเป็นหมื่นได้อย่างไร 

          บรรดานักวิชาการจึงออกมาโต้คารมกันยกใหญ่ บางกลุ่มก็บอกว่า สฟิงซ์ ... ต้องสร้างในสมัยฟาโรห์คาฟเร (เจ้าของพีระมิดองค์กลาง) เพราะใบหน้าของสฟิงซ์นั้น เหมือนพระพักตร์ของฟาโรห์คาฟเรมาก และสาเหตุที่มี การแกะสลักให้คล้ายกับพระพักตร์ของฟาโรห์คาฟเร อาจเป็นเพราะ พระองค์ได้สมมุติตัวเองโดยแสดงเจตนาว่า ตัวสฟิงซ์นั้น แทนพระองค์ ซึ่งเป็นเทพเจ้า แห่งดวงอาทิตย์ แต่ฝ่ายวิเคราะห์ การผุกร่อน ของหิน ก็โต้ว่า การผุกร่อนนั้น เกิดจากน้ำมากกว่าที่จะเป็น ลมและทราย ตามที่เข้าใจ เป็นไปได้ว่า ก่อนที่ทรายจะเข้าปกคลุมบริเวณนี้ เคยเป็นดินแดน ที่ฝนตกชุกมาก่อน เลยตั้งสมมุติฐานว่า พอมีความชุ่มชื่น คนโบราณจึงเข้ามาอาศัย แล้วสร้างอนุสรณ์ แห่งความรุ่งเรืองเอาไว้ ก่อนที่จะล่มสลายไป จากนั้นบรรพบุรุษ ของชาวอียิปต์ ก็เข้ามาอาศัยแทนที่ และครอบ ครอง ซากอารยธรรมอันนี้ ไว้แบบเดียวกับ ชาวเผ่าอินคา หลังจากถกเถียงกัน จนคอแห้ง ต่างก็ยอมยุติ สงครามน้ำลายลง เพราะไม่ว่าฝ่ายไหน ก็หาหลักฐานมายืนยัน ความคิดของตนเอง ไม่ได้ เนื่องจากคนโบราณ ไม่ได้จารึกถึงวิธี และเวลา ในการสร้างสฟิงซ์ เอาไว้เลย แล้วความลับในเรื่อง อายุของสฟิงซ์ ก็ยังคงเป็น ความลับต่อไป

         สฟิงซ์ของชาวกรีก จะมีใบหน้าและทรวงอกของหญิงสาว ท่อนล่างเป็นสิงโต และมีปีก แบบนกอินทรี ส่วนของอียิปต์ หรือพันธุ์ที่เราเรียกว่า แอนโดรสฟิงซ์ (Andro-Sphinx) ก็มีรูปร่างเหมือนชาวกรีกนั่นแหละ เพียงแต่ว่าไม่มีปีกเท่านั้นเองและของพวกอียิปต์อีกเช่นกันที่สฟิงซ์แตกเผ่าเป็น ครีโอสฟิงซ์ (Crio-Spninx) ที่มีหัวเป็นแกะบ้างหรือเป็นนกเหยี่ยวบ้าง

    ในเปอร์เซีย (Persia), แอสซีเรีย (Assyria), และฟีเนียเซีย(Phoenicia) มีสฟิงซ์ทั้งสองเพศ ตัวผู้จะมีหนวด และผมหยักศก ส่วนของโรมโบราณเป็นผู้หญิงและอาจจะเป็นแบบที่ส่งผ่านมาให้กับอียิปต์ก็ได้ เพราะว่าตัวนี้สวมงูแอสพ์ (Asp) คาดอยู่ที่หน้าผากด้วย

    สฟิงซ์ของตะวันออกกลางเป็นสัตว์ที่ได้ชื่อว่าฉลาด ซึ่งนั่นอาจเป็นเพราะมันจะเปิดเผยสิ่งที่มันรู้ยากมาก รูปลักษณ์ของมันความพึงพอใจที่จะนอนผึ่งแดดอย่างเป็นสุขท่ามกลางการเคารพบูชาของผู้ที่เทิดทูนมัน ส่วนสฟิงซ์ของพวกกรีกกลับมีลักษณะที่ตรงกันข้าม มันทรยศหักหลัง ก้าวร้าวรุนแรงและกระหายเลือด และพวกนี้ยังชอบกินคน เป็นอาหารเสียด้วย

    สฟิงซ์ใช้อุ้งเท้าสิงห์ของมันก้าวย่างไปตามแถวถิ่นชนบท และใช้ปีกบินไปตามเกาะแก่งของกรีก ลักษณะที่เด่นชัดของสฟิงซ์กรีกอีกอย่างหนึ่งก็คือความคล้ายแมวหรอจะว่าอีกทีก็คล้ายผู้หญิงด้วย นั่นคือมันจะพูดคุยหยอกเหยื่อของมันก่อนที่จะสวาปามเข้าไป แต่อย่างไรก็ตามถ้าหากเกิดเยื่อหนีรอดไปได้สฟิงซ์จะบินดิ่งทิ้งตัวกระแทกพื้นหรืออะไรสักอย่างด้วยความโกรธเกรี้ยวจนตายไปเองก็บ่อย

    เรื่องราวเกี่ยวกับสฟิงซ์ของกรีกที่โด่งดังเรื่องหนึ่งเห็นจะไม่พ้นเรื่องของเจ้าแม่เฮรา (Hera) ซึ่งมอบหมายหน้าที่ลงโทษชาวเมืองธีบีส (Thebes) เพราะความเมามายไร้สติของพวกเขา หลังจากที่ไดโอนิซุสเทพแห่งเมรัยได้มาสอนการทำไวน์ให้แก่ชาวเมืองนี้ ตามปกติสฟิงซ์จะไม่เข้าขย้ำเหยื่อที่ผ่านมาในทันทีทันใดแต่จะให้โอกาสเหยื่อด้วยการถามปัญหา ที่เรียกกันว่าปัญหาของตัวสฟิงซ์ (The Riddle of the Sphinx) ซึ่งสัญญาจะปล่อยเหยื่อเป็นอิสระหากตอบปัญหาของนางได้

    แน่ล่ะตามท้องเรื่องที่จะกล่าวถึงพระเอกคนหนึ่งนี้ ต้องมีเรื่องให้ไม่มีใครตอบได้จนกว่าพระเอกของเรื่องคือ เอดิปุส (Oedipus) แห่งโครินท์ผ่านมาในเมืองธีบีสพอดิบพอดี สฟิงซ์กระโดดออกมาจากหลังพุ่มไม้ แลบลิ้นเลียปากด้วยความอยากกินเนื้อมานพน้อยรูปงาม ก่อนจะส่งเสียงคำรามให้ขวัญหายเข้าใส่เอดิปุสและถามปัญหา

    "อะไรเอ่ยเดินสี่ตีนในยามเช้า เดินสองตีนในยามสาย และเดินสามตีนในยามเย็น….?"

    "อ๋อ ใช่ก็สโนว์ไวท์นะซี เอ๊ยคนละเรื่อง มันก็คือมนุษย์นั่นแล ย่อมเดินด้วยการคลานทั้งมือและเข่าเมื่อยังเป็นเด็ก ยืนด้วยขาสองข้างเมื่อโตเต็มที่ และต้องใช้ไม้เท้าพยุงตัวเองเป็นขาที่สามในยามสายัณห์ของชีวิต" เอดิปุสตอบอย่างไม่ลังเล

    สฟิงซ์เมื่อได้ฟังคำตอบที่ไม่คิดว่าจะได้ยินจากมนุษย์หน้าไหนเลยถึงกับกรีดร้องด้วยความเจ็บใจ นางโผบินขึ้นบนฟ้าแล้วทิ้งตัวดิ่งลงฆ่าตัวตายในทะเล นี่ดูเหมือนหล่อนจะเป็นฝ่ายแพ้ทั้งๆที่ถ้าจะนับแล้วสฟิงซ์ต่างหากที่เป็นฝ่ายชนะ เพราะหลังจากที่สฟิงซ์ซึ่งเป็นสัตว์ที่น่ากลัวที่สุดของปวงชาวธีบีสได้ตายไป ผู้รักษาการณ์เมืองธีบีสถึงกับเชิญเอดิปุสขึ้นเป็นราชาและให้แต่งงานกับราชินีม่าย โจคัสต้า (Jocasta) ของกษัตริย์องค์ก่อน และกว่าจะรู้ความจริงว่าโจคัสต้านี่เองคือมารดาผู้ให้กำเนิดเอดิปุส ก็เมื่อนางได้ตกเป็นราชินีอย่างแท้จริงของเอดิปุสไปเสียแล้ว โชคชะตาย่อมเล่นกลต่อชีวิตของเขามากกว่าที่จะถูกสฟิงซ์กินตายไปรู้แล้วรู้รอด… 

         ขอบคุณสำหรับการติดตามค่ะ  

          
          

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×