ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    เทพนิยายกรีก

    ลำดับตอนที่ #46 : ^0^แจ๊ค เดอะ ริปเปอร์ (Jack The Ripper) 1 ค่ะ^0^

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 437
      0
      23 ส.ค. 48





                                     ^0^แจ๊ค เดอะ ริปเปอร์ (Jack The Ripper) 1 ค่ะ^0^





                        ขอบคุณคุณ  Sonic  ค่ะ





                        หมายเหตุ  จะไม่มีการเปลี่ยนเเปลงคำพูดใด ๆ ทั้งสิ้นนะคะ  





                        เเฮ่ม  เเฮ่ม  ที่เอามาลงเนี่ย  เห็นว่ามันสนุกดีค่ะ  เลือดสาดเลย  อะจึ้ย  เลยเอามาให้อ่านเเก้ขัดระหว่างรอตำนานเทพไปพลาง ๆ ก่อน  อู้หู  วันนี้ลงที่เดียวตั้งหลายตอนเเน่ะ  พอดีอยู่บ้านค่ะ  เเต่ไม่ได้พิมพ์เองนะ  copy มาทั้งดุ้นเลย  ให้เครดิตเจ้าของเเล้วด้วยนะ  จะมาว่าพิ้งค์ไม่ได้นะ   ลุยเลยดีกว่า  ขอบอกว่าเรื่องนี้ยาวมาก ๆ เลย  ต้องเเบ่งเป็นตอน ๆ





                        แจ๊ค เดอะ ริปเปอร์ (Jack The Ripper) เป็นชื่อของชายคนหนึ่งในหน้าประวัติศาสตร์อังกฤษ ที่ชาวอังกฤษและชาวโลกรู้จักกันดี ทำไมน่ะหรือ ? ชายคนนี้เป็นฆาตกรต่อเนื่องที่ก่อคดีสะเทือนขวัญมานับครั้งไม่ถ้วน กับหญิงโสเภณีในย่านสลัมของย่านลอนดอน ซึ่งผ่านมากว่าร้อยปีแล้ว และมีหนังสือที่เกี่ยวกับแจ๊คออกมามากมาย ไม่เท่านั้น เพลง , เรื่องเล่า , ละครโอเปร่า และภาพยนตร์ก็ยังเคยนำเรื่องราวของชายผู้นี้ไปสร้างกันหลายต่อหลายครั้ง นับว่า แจ๊ค เดอะ ริปเปอร์ เป็นอาชญากรชื่อดังแห่งยุคหรือศตวรรษนั่นเลยทีเดียว เป็นสัญญลักษณ์ของความน่ากลัวต่อชาวอังกฤษ จนถึงทุกวันนี้เมื่อนึกถึงชื่อนี้ขึ้นมา (the man should not be named รู้สึกคุ้นๆ แมะ หึ หึ) ทำไมชื่อของ แจ๊ค เดอะ ริปเปอร์ยังคงเป็นที่จดจำกันได้จนถึงทุกวันนี้ ?





                        คำตอบที่น่าจะกล่าวได้คือ ชายผู้นี้ยังไม่เคยโดนจับได้เลยตั้งแต่เขาก่อคดีสะเทือนขวัญผู้คนในลอนดอนมา ทั้งยังการฆ่าที่โหดเหี้ยมและน่าสยดสยอง ไม่ว่าจะเป็นการฆ่าเหยื่อโดยการผ่าท้อง และลากเอาไส้มาขวัญไว้ที่เสาไฟฟ้า การแขวนศพเหยื่อไว้บนกำแพง ฯลฯ (น่ากลัวไป อิอิ เอาแค่นี้พอ) และที่สำคัญไม่มีข่าวรายงานเลยว่ามีคนที่เคยเห็นหน้าแจ๊คด้วยซ้ำไป กระทั่งผู้ที่อาศัยอยู่ละแวกใกล้ๆ แม้แต่ตอนที่แจ๊คลงมือยังแทบไม่ได้ยินเสียงอะไรที่ผิดปกติเลย โดยเหยื่อนั้นเสียชีวิตจากการถูกของมีคมแทงหรือไม่ก็ชำแหละ คมมากจนถึงขนาดตัดกระดูกออกมาได้ บ้างก็กล่าวว่าแจ๊คนั้นเป็นหมอผ่าตัดบ้าง คนชำแหละเนื้อบ้าง และหักอกจากหญิงคนรักที่เป็นโสเภณี หรือเพียงผู้หญิงธรรมดา บ้างก็ว่าลูกชายของแจ๊คนั้นโดยโสเภณีหลอกจนกระทั่งต้องฆ่าตัวตาย เลยเป็นเหตุให้เขาก่อคดีเหล่านี้ คดีฆาตกรรมที่แก้ไม่ได้ของแจ๊คเดอะ ริปเปอร์ ทำเอาตำรวจทั้งลอนดอนปวดหัวเป็นการใหญ่ และพยายามสืบหาว่าเขาเป็นใครและทำการฆาตกรรมต่อหญิงโสเภณีไปเพื่ออะไร จนถึงทุกวันนี้ก็ยังมีการตั้งสมมติฐานและสืบจากหลักฐานที่บันทึกไว้อยู่ แต่ก็ยังไม่ได้เรื่องราวคืบหน้าอะไร





                        ตำนานเรื่องราวที่น่ากลัวนั้นเริ่มจากคืนหนึ่งในกรุงลอนดอน อากาศหนาวและหมอกลงหนาจัด จนกระทั่งมีชายคนหนึ่งเดินแหวกสายหมอกออกมา พร้อมกับหญิงโสเภณีคนหนึ่ง โดยไม่รู้ตัวว่าตัวเองนั้นจะไม่มีโอกาสได้เห็นพรุ่งนี้อีกแล้วเมื่อมาอยู่ในอุ้งมือมัจจุราชของชายที่มาด้วยกัน เมื่อถึงที่ลับตาคน แจ๊คก็เริ่มฆ่าเหยื่ออย่างรวดเร็วและเงียบกริบ และจากไปโดยไม่มีใครล่วงรู้ อย่างหนึ่งที่ตำรวจและผู้เชี่ยวชาญกล่าวไว้ว่าเหตุผลที่แจ๊คลงมือนั้น แทบจะหาประเด็นมาอธิบายไม่ได้ ชายผู้นี้ลงมือด้วยความพอใจหรือ ? ลงมือด้วยความแค้นต่อ \"ใคร\" หรือ \"อะไร\" สักอย่าง มาจนกระทั่งถึงเหยื่อรายสุดท้าย จากนั้น แจ๊คเดอะ ริปเปอร์ก็ได้หายไปจากหน้าประวัติศาสตร์คดีฆาตกรรมโดยไม่เหลือร่องรอยอะไรทิ้งไว้ นอกจากตำนานการฆาตกรรมสยองขวัญ ที่ยังคงเป็นที่จดจำของชาวอังกฤษมาจนกระทั่งทุกวันนี้ ก็เป็นเรื่องราวโดยสังเขปของชายคนนี้ ต่อไปมาดูถึงรายละเอียดของเรื่องราวกันบ้างว่ามีที่มาที่ไปยังไง เปิดประตูห้องแห่งความสยองขวัญและตามกันมาได้เลยครับ





                        แจ๊คกับคดีแรก (The First Lady)





                        รายละเอียดของการฆาตกรรมครั้งแรกของชายที่ชื่อของแจ๊ค เดอะ ริปเปอร์ กำเนิดขึ้นมา ในปี ค.ศ.1888 มันเริ่มมาจากขณะที่ชารล์ส ครอส (Charles Cross) กำลังเดินผ่านบริเวณคอกแพะตอนตี 4 ของวันที่ 31 สิงหาคม ค.ศ.1888 ตอนนั้นยังไม่สว่างเท่าไหร่นัก และอากาศยังชื้นอยู่ ซึ่งก็ถือว่าเป็นปกติของกรุงลอนดอน ตอนที่ชารล์สกำลังจะเดินเข้าบ้านนั้น ก็ได้เห็นบางสิ่งนอนอยู่บนพื้นดินบริเวณหน้าบ้าน ซึ่งดูคล้ายกับผ้าใบหรืออะไรสักอย่าง จึงได้เดินเข้าไปดู จึงได้เห็นว่ามีผู้หญิงคนหนึ่งนอนอยู่ และเห็นชายอีกคนกำลังเดินมาทางนี้ ชารล์สจึงเรียกชายคนนั้นเพื่อที่จะให้มาช่วยกันเพราะนึกว่าผู้หญิงที่นอนอยู่กำลังเมาหรืออาจจะโดนทำร้าย ทั้งสองจึงพยายามที่จะช่วยเธอในบริเวณนั้นที่ยังมืดอยู่ แต่พอทั้งคู่เห็นว่าผู้หญิงคนนี้มีบาดแผลที่บริเวณลำคอที่เกือบทำให้ศีรษะขาด จึงตกใจมากและรีบไปแจ้งตำรวจ และไม่กี่นาทีต่อมาก็พาตำรวจมายังบริเวณที่เกิดเหตุ นายตำรวจ จอห์น นีล (John Neil) ก็ได้เห็นถึงสภาพอันน่ากลัวของเธอ มีรอยเลือดไหลออกมาจากลำคอที่เกือบขาดและหู ดวงตาของเธอเบิกกว้าง มือและเท้าเริ่มเย็น เมื่อเห็นว่าไม่ได้การแน่แล้ว นีล จึงเรียกตำรวจและหมอกับรถพยาบาลมายังที่เกิดเหตุ จากนั้นจึงเดินไปยังบ้านละแวกใกล้เคียงเพื่อสอบถามถึงสิ่งหรือเสียงที่ผิดปกติหรือน่าสงสัย แต่ก็ไม่ได้เรื่องอะไร





                        ต่อมา Dr.Rees Llewellyn ก็มาถึงและลงมือชันสูตร และชี้ถึงสาเหตุการตายว่าคือบาดแผลฉกรรจ์ที่ลำคอจนทำให้เธอถึงแก่ความตาย แต่ทว่ายังมีบางส่วนต่างของร่างกายของเธอยังอุ่นอยู่ และตายไม่เกินกว่า 1 - 2 ชั่วโมงที่ผ่านมา หรืออาจจะแค่ไม่กี่นาทีหลังจากที่นายชารล์สเดินมาพบเธอก็ได้ ซึ่งตรงนั้นน่าจะเป็นบริเวณที่เธอถูกฆาตกรรม ซึ่งมีเลือดเปรอะพื้นอยู่ และเสื้อผ้าของเธอก็ชุ่มไปด้วยเลือด บนคอของเธอมีรอยกรีดด้วยของมีคมถึง 2 ครั้งด้วยกัน เสื้อผ้าเปรอะเปื้อนไปด้วยเลือดและเยื่อบุช่องท้องได้รับบาดเจ็บ หลังจากนั้นจึงมีการนำศพไปยังถนน Old Montague เพื่อเพิ่มรายละเอียดของการชันสูตรต่อ จากผลการชันสูตรได้พบรอยถลอกบนขากรรไกรเหลืออยู่บาดแผลที่ช่องท้องที่แสดงรอยมีดที่ขรุขระและลึก ซึ่งคาดว่าผู้ที่ลงมือน่าจะถนัดซ้ายเพราะจากบาดแผลเหล่านี้และความยาวใบมีด ต่อมาบรรดาแพทย์ก็ไม่แน่ใจที่ว่าฆาตกรถนัดซ้าย และข้อถกเถียงต่อมาก็คือว่า ทำไมว่าบาดแผลที่ทำให้เธอเสียชีวิตคือที่ลำคอของเธอ แต่ทำไมถึงไม่มีรอยเลือดอยู่บริเวณลำคอเลยแต่กลับไปอยู่บนเสื้อผ้ามากกว่า





                        ครับนี่ก็เป็นรายละเอียดคดีอย่างคร่าวๆ คดีแรกของชายที่ชื่อ JACK THE RIPPER ส่วนตอนต่อไปเชิญติดตามได้ครับ...





                        ตอนที่ 2 Mean Streets





                        \"ถนน Mean Street นี้อยู่ใน East End คงไม่ต้องกล่าวว่ามันคืออะไรและอยู่ที่ไหน เราต่างรู้จักกันดี อาจกล่าวได้ว่ามันเป็นสถานที่สยองขวัญ เป็นเมืองสลัมที่อยู่อาศัยแสนสกปรก และทั้งชายหญิงที่ไม่เคยรู้จักกับเสื้อผ้าที่สะอาดเลยแม้แต่น้อย และผู้คนที่ไม่เคยคิดแม้แต่จะหวีผมกันเลย\"





                        Arthur Morrison, \"Tales of Mean Streets \"





                        เป็นคำบรรยายถึงลักษณะและผู้คนที่ถนน Means Street แค่เกริ่นเอาไว้น่ะ อิอิ ก็มาถึงตอนต่อไปของ JTR (Jack The Ripper) กันเลยครับเหตุการณ์สยองขวัญครั้งต่อมาเกิดขึ้นที่ East End ที่กรุงลอนดอนซึ่งเป็นที่ว่ากันเป็นสลัม และเต็มไปด้วยคนจร ซึ่งถนนนี้ถือว่าเป็นจุดอับที่สุดของเมืองก็ว่าได้ ซึ่งผู้คนส่วนใหญ่ก็จะเช่าห้องกันอยู่ และที่เมืองนี้ไม่ได้เป็นจุดเด่นเลยทั้งทางด้านการค้าหรือสังคมซักเท่าไหร่ ผู้คนในเมืองนี้ส่วนใหญ่จะทำงานที่ค่อนข้างแย่หรืองานที่มีค่าแรงต่ำ หรือก็ไม่ได้ทำงาน แต่เต็มไปด้วยโจรและขโมย ผู้คนในเมืองนี้ต่างก็ใช้ชีวิตอยู่ไปวันๆ สภาพเมืองเรียกได้ว่าย่ำแย่เอาเลยทีเดียว เด็กในเมืองกว่าครึ่งที่เกิดมานั้นมีชีวิตอยู่ได้ไม่ถึงห้าขวบก็ต้องมาเสียชีวิต ส่วนเด็กพวกที่เหลือรอดมาได้ก็มักจะพิการหรือไม่ก็มีอาการไม่ค่อยปกติทางสมอง อาชีพโสเภณีคือวิธีเดียวที่เชื่อถือได้แน่ว่าจะสามารถเอาตัวรอดได้ในเมืองเช่นนี้สำหรับผู้หญิง บ้างก็เป็นแม่ม่ายหรือไม่ก็หญิงสาวตัวคนเดียวที่มาทำอาชีพนี้ ตำรวจยังเคยได้ประมาณเอาไว้ว่าถ้ามีประชาชนอยู่ 1888 คน จะต้องมีหญิงโสเภณีซะ 1200 คน ใน White Chapel (เป็นถนน Main ของถนน Mean Street อันเป็นที่ซึ่งเกิดการฆาตกรรมขึ้น) อันนี้ไม่รวมกับผู้ที่มาทำงานอย่างนี้เป็นครั้งคราว บ้านราวกว่า 200 หลังคาเรือนเป็นที่อยู่ของคน 9,000 คน ห้องนอนเป็นลักษณะแถวยาวสำหรับแถวของเตียงที่เรียงต่อกันไป และมักจะเต็มไปด้วยแมลงที่มารบกวน





                        แต่ที่นี่ไม่ใช่ให้นอนฟรีๆ นะครับ เค้าคิดเงินในแต่ละคืนด้วย ถ้าผู้หญิงคนไหนไม่มีเงินพอสำหรับจ่ายในแต่ละวันแล้วละก็ เธอก็จะต้องออกไปหางานทำหรือว่าหาใครสักคนที่จะช่วยเธอได้โดยทำงานเข้าแลก อาชีพที่ว่าก็คือที่กล่าวมาข้างต้นละครับ ไม่งั้นก็จะต้องนอนบนถนนไปในคืนนั้น ทั้งๆ ที่ห้องเหล่านี้ก็เต็มไปด้วยกลิ่นเหม็นหลายอย่าง แต่ทำไงได้ละครับ ในเมื่อไม่มีที่จะไปแล้วนี่นะ จากรายงานบางฉบับกล่าวว่าเคยเจอครอบครัวหนึ่งประกอบไปด้วย พ่อ แม่ ลูก 3 คน และหมู 4 ตัว อาศัยอยู่ในห้องเดียวกันก็มีครับ แออัดหน่อยงั้น อิอิ ยังไม่พอสำหรับในบริเวณ White Chapel ครับ ยังมีชายที่เป็นฝีดาษอาศัยอยู่กับภรรยา และภายใต้ห้องใต้ดินก็ยังมีรายงานว่ามีคนอาศัยอยู่ถึง 7 คนด้วยกัน ก็เป็นตัวอย่างคร่าวๆ ที่สภาวะแวดล้อมหรือสภาพการใช้ชีวิตของผู้คนใน White Chapel มาให้ชมซะยังงั้นละครับ





                        ตอนที่ 3 Dark Annie





                        ไม่อารัมภบทมากละ มาอ่านต่อกันกับรายละเอียด JTR ตอนที่ 3 แล้ว เชิญติดตามกันได้เลยครับผม :P~





                        เหล่าผู้คนใน White Chapel นั้นเชื่อเหลือเกินว่าการตายของ Martha Tabram, Emma Smith และ Polly Nichols นั้นมีส่วนเกี่ยวข้องกัน และยังคอยให้ตำรวจนำความยุติธรรมมาโดยเร็ว ทางตำรวจได้ตั้งประเด็นการฆาตกรรมหญิงสาวเอาไว้ 3 ประเด็นด้วยกันคือ





                        (1.) แก๊งขโมยของ ดังที่ Emma Smith เคยโดนปล้นและทำร้ายจากชายคนหนึ่งมาแล้ว





                        (2.) แก๊งขูดรีดเงินจากโสเภณี





                        (3.) คนวิกลจริตหรือคนบ้า





                        แต่จากการที่ตำรวจนั้นพิจารณาจากการตายและสภาพศพของเหยื่อผู้เคราะห์ร้ายทั้ง 3 แล้ว ต่างก็ลงความเห็นว่า ประเด็นที่ 1 กับ 2 นั้นไม่น่าเป็นไปได้ จึงมุ่งความสนใจไปยังประเด็นที่ 3 อย่างมาก หนังสือพิมพ์ \"The East London Observer\" ได้แสดงความเห็นเกี่ยวกับการถูกฆาตกรรมของ Tabram และ Nichols ว่าหญิงสาวทั้งคู่นั้นยากจนมากและแรงจูงใจการฆ่าที่มาจากรูปร่างของหญิงสาวก็ไม่น่ามี ทั้งจากการฆาตกรรมที่วิปริตและรุนแรงนั้นด้วย จึงคิดกันว่าไม่น่าจะใช่การฆาตกรรมแบบธรรมดาทั่วไปแน่ และยังได้มีการตั้งรางวัลนำจับฆาตกรหรือว่าเบาะแสอีกด้วย แต่ ณ วันนี้ ด้วยเทคโนโลยีที่ล้ำหน้านำสมัยและความก้านหน้าทางด้านจิตวิทยา คดีการฆาตกรรมต่อเนื่องและฆาตกรต่อเนื่องได้มีการคลี่คลายลงได้สะดวกขึ้นมาก และเป็นความท้าทายอย่างมากสำหรับตำรวจ และได้นำเทคนิคเหล่านั้นมาประยุกต์เข้ากับการสืบหารูปคดี หรือว่าหลักฐานจากการฆาตกรรม แต่เนื่องจากด้วยสมัยก่อนที่เทคโนโลยีที่ยังไม่ก้าวหน้าของตำรวจ ไม่มีทั้งเครื่องมือที่เหมือนดังสมัยนี้ในการวิเคราะห์และใช้สืบหาร่องรอย ทั้งขาดห้องปฏิบัติการทางวิทยาศาสตร์ ทำให้การพิสูจน์รอยนิ้วมือ รอยพิมพ์เลือด เป็นไปได้ยากเรียกว่าแทบจะไม่มีการนำมาใช้เลยในสมัยนั้น ทำให้ฆาตกรที่ยังไม่ถูกจับก็ยังมีอยู่ จนกระทั่งได้เริ่มนำมาใช้กันในปี 1930 นั่นเอง





                        มาว่ากันต่อถึงรูปคดีครับ ขณะที่ทางตำรวจนั้นสืบหาฆาตกรที่ฆ่า Polly Nichols นั้น ก็ได้ยินเรื่องของชายลักษณะแปลกคนหนึ่งที่เรียกกันว่า \"Leather Apron\" ซึ่งเป็นชายที่คอยรีดไถโสเภณีหรือถ้าคนไหนไม่จ่ายก็จะโดนซ้อมหรือว่าทุบตี บ้างก็ว่าชายผู้นี้เป็นชาวยิวอพยพเข้ามา ลักษณะที่บรรยายถึงชายคนนี้คือ \"เขาสูงประมาณ 5 ฟุต 5 นิ้วหรือน้อยกว่านั้นเล็กน้อยและสวมหมวกสีดำ คอหนา ผมสั้นดำ อายุราว 38-40 ปี ไว้หนวดสวมเสื้อหนังฟอก ริมฝีปากเล็กและแคบ โดยจากคำบอกเล่าของผู้หญิงที่เคยพบชายผู้นี้ ซึ่งเล่าด้วยอาการหวาดกลัว หลังจากข่าวนี้ได้ถูกแพร่หลายไปทั่ว จนทำให้ชายผู้นี้เกิดความกลัวและได้หนีไปหลบซ่อนตัวในที่สุด ชายคนนี้จะใช่ฆาตกรที่ฆ่า Pollt Nichols หรือไม่ จนบัดนี้ความจริงก็ยังไม่กระจ่าง





                        มาต่อกันที่คดีของ Annie Chapman หรือที่เพื่อนเรียกเธอว่า \"Dark Annie\" เธอไม่มีบ้านของตัวเอง แต่จะอาศัยอยู่ที่บ้านเช่าที่สามารถหาเงินมาจ่ายได้ในแต่ละคืน หรือไม่เธอก็จะตระเวณไปตามถนนในแต่ละคืนมองหาลูกค้าเพื่อให้มีรายได้พอสำหรับอาหารและที่พัก





                        เธอเสียชีวิตตอนอายุได้ 47 ปี เป็นโสเภณีที่ไร้บ้าน แต่เคยมีชีวิตที่แตกต่างไปจากนี้โดยสิ้นเชิงในปี 1869 เมื่อตอนที่เธอแต่งงานกับ John Chapman และมีลูกด้วยกัน 3 คน แต่ทว่าน่าเศร้าครับ ลูกของเธอนั้นได้เสียชีวิตไปคนหนึ่งและที่เหลือก็พิการ ทำให้เธอเครียดจัดและเริ่มป่วย จนในที่สุดเริ่มดื่มเหล้าหนักมากขึ้นทำให้เริ่มมีปากเสียงกับ John และทำลายชีวิตแต่งงานของทั้งคู่ลงในที่สุด ในเวลาต่อมาสิ่งที่เกิดตามมานั้นเริ่มเลวร้ายขึ้นเมื่อ John ได้เสียชีวิตลงและเริ่มไม่มีเงินใช้ในที่สุด เธอเริ่มเกิดอาการผิดปกติขึ้นทางอารมณ์จากการตายของ John และจากการไม่มีทรัพย์สินไว้ใช้จ่าย จากการได้รับความตกต่ำเป็นอย่างมากในชีวิตและเป็นโรคติดเหล้า จนหมดเนื้อตัว ทำให้เธอเริ่มที่จะหาเงินเลี้ยงชีพและเริ่มถักโครเชต์ (crochet) กับขายดอกไม้เพื่อเลี้ยงตัวเอง. แต่ในที่สุดเธอก็หันเข้าหาอาชีพโสเภณี อย่างไรก็ตาม 1 สัปดาห์ก่อนที่เธอจะเสียชีวิต เธอได้มีเรื่องกับผู้หญิงด้วยกันและได้ถูกทำร้ายเข้าที่ตาซ้ายและหน้าอก ต่อมาในวันเสาร์ที่ 8 กันยายนก็ได้มีการพบศพเธอที่บริเวณ 29 Hanbury Street โดยผู้พบศพของเธอคือ John Davis ช่างซ่อมรถ ได้พบเธอศพเธอเวลาประมาณ 6 โมงเช้าและได้รีบไปแจ้งความทันที และกลับมาพร้อมกับคนงานอีก 2 คน ที่พบเจอก็แต่รอยคราบเลือดที่เสื้อผ้าและมีด อาวุธที่ใช้สังหารเธอ ครับก็เป็นเหยื่ออีกรายของ JTR (หรือเปล่า ??) ต่อไปเราจะมาติดตามถึงรูปคดีและการพิจารณาและวิเคราะห์จากผู้เชี่ยวชาญ ทั้งด้านศัลยแพทย์และ ตำรวจ พร้อมกับผู้ตรวจสอบ ว่ารายของละเอียดนั้นเป็นยังไง และผู้ต้องสงสัย (Suspects) คือใคร แหม นี่เป็นแฟ้มฆาตกรรมหรือเปล่าเนี้ย อิอิอิ เอาน่า อดใจรอติดตามก็แล้วกันครับผม ไม่นานเกินรอ





                         ยังไม่จบค่ะ  อ่านต่อตอนต่อไปนะ  ขอบคุณสำหรับการติดตามค่ะ











    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×