ลำดับตอนที่ #29
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #29 : ^0^ว่าด้วยเรื่องของมังกรค่ะ^0^
                                        ^0^นอกเรื่องสักนิดกับสัตวในตำนานค่ะ^0^
                    ^0^คุยกันก่อนนะคะ^0^  นี่เป็นบทเเทรกระหว่างที่รอพิ้งค์รวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับเทพไปพลาง ๆ ก่อนนะคะ  ที่พิ้งค์เคยนำเสนอเรื่องสัตว์ในป่าหิมพานต์ไปน่ะค่ะ ตอนเเรกพิ้งค์กะจะเอามาลงให้เเล้วให้เครดิตเจ้าของไว้  เเต่คิดไปคิดมา  บอกชื่อเว็บกับเพื่อน ๆ เลยล่ะกันนะคะ  ให้เพื่อน ๆ เข้าไปดูกันเอง  เพราะมันเยอะมาก  ไหนยังจะมีรูปอีก  เพื่อน ๆ จะได้เห็นรูปกันชัด ๆ ใครสนใจก็เข้าไปได้ที่  www.himmapan.com  นะคะ  ส่วนเรื่องมังกรนี่เอามาจากโพสในบอร์ดของพันธุ์ทิพย์นะคะ
                                                                    \"มังกร\"
                    มังกร มาจากภาษาละตินว่า Draco เป็นสัตว์วิเศษที่รู้จักกันในวรรณคดี  มังกรเป็นสัตว์อันตราย  และน่าสะพรึงกลัวสำหรับมนุษย์  จึงมักเป็นศัตรูตัวฉกาจของเหล่าวีรบุรุษทั้งหลาย  การฆ่ามังกรและขึ้นเถลิงราชย์เป็นกษัตริย์  มังกรจึงกลายเป็นสัญลักษณ์ขององค์กษัตริย์ทั้งที่มีตัวตนจริงๆ  และกษัตริย์ในตำนานต่างๆ เช่น    กษัตริย์อาเธอร์ซึ่งมีนามสกุลว่า \'Pendragon\' อันมีความหมายว่า \'ศีรษะของมังกร\' หรือ \'หัวหน้ามังกร\'  มงกุฎของกษัตริย์อาเธอร์ถูกออกแบบเป็นรูปมังกร    กล่าวกันว่า หินวิเศษ หรือ draconite คือสิ่งที่อยู่ภายในศีรษะของมังกร    สิ่งที่อยู่ในหัวมังกร  คือหินวิเศษแต่มันจะไม่เป็นหิน  ถ้าไม่ผ่าเอาออกมาขณะที่มังกรยังมีชีวิตอยู่  เมื่อใดที่มังกรเสียชีวิต  ความแข็งของหินนั้นก็จะหมดไปพร้อมกับชีวิตของมังกรด้วย  ผู้ที่มีความกล้าหาญมาก ๆ จะออกสืบเสาะหาถ้ำมังกร  และจะเฝ้าคอยจนกระทั่งมังกรออกจากถ้ำไปหาอาหาร  ขณะที่มังกรเดินผ่านมา  พวกเขาก็จะขว้างสมุนไพรใส่หน้ามังกร  เพื่อให้มันหลับ 
                      เมื่อมังกรหลับแล้วพวกเขาก็จะผ่าเอาหินวิเศษออกจากหัวมังกร  และนำสิ่งล้ำค่าที่ขโมยมาได้นี้ไปขายเพื่อแสวงหาความร่ำรวย กษัตริย์หลายพระองค์  ในเอเชียจะประดับหินวิเศษของมังกร  แม้ว่ามันจะมีความแข็งมาก  จนไม่มีใครหรือสิ่งใดสามารถประทับตราจารึกหรือทำเครื่องหมายใดๆ ได้เลยก็ตาม  หินนี้มีสีขาวบริสุทธิ์ตามธรรมชาติ
                      มังกรอาจพบได้ง่ายและบ่อยมาก  ไม่ว่าจะเป็นทางของยุโรปหรือเอเชียก็ตามเรียกว่า  ที่ใดมีอารยธรรมและตำนาน  ที่นั่นก็ต้องมีมังกรอยู่เป็นของคู่กันอยู่เสมอๆ  มังกรนั้นมีหลายอย่างแตกต่างไปตามความเชื่อของคนในแต่ละท้องถิ่น  แต่โดยทั่วๆไปแล้วจะเห็นจุดเด่นได้อย่างหนึ่งคือต้องเป็นสัตว์ขนาดใหญ่ที่มีร่างกายใหญ่โต  มีพละกำลังและบางครั้งมีอำนาจเวทย์มหาศาล  และจุดเด่นที่สำคัญอีกอย่างคือ  มีปีกแล้วก็บินได้ ซึ่งขนาดรูปร่างสีนั้นก็แตกต่างกันไป เช่น
                      Gold Dragon ตัวนี้ก็จะมีสีทอง เป็นมังกรที่จะเรียกได้ว่าอยู่ฝ่ายเทพก็ไม่ผิด
                      Black Dragon มังกรดำตัวนี้ก็จะมีอำนาจร้อยกาจมากเป็นของพวกมาร ส่วนใหญ่อาศัยอยู่ในถ้ำ
                      Tiamat เป็นราชาของพวกปีศาจ เป็นเจ้าแห่งขุมนรกทั้งเก้า(ของยุโรป) มีห้าหัว
                      Mist Dragon ก็อยู่แถบน้ำตกใหญ่ๆ หรือหน้าผา หรือบริเวณที่มีหมอกลงจัด สีออกโทนขาว ฟ้า เทา
                     
                      มีข้อสันนิษฐานเกี่ยวกับเจ้าสัตว์ประหลาดมีปีกพ่นไฟได้ตัวนี้อยู่ 2 แนวคิดด้วยกันคือ
                      1. มันเป็นสัตว์ในเทพนิยายโดยแท้ ไม่มีอยู่จริง ซึ่งก็คือเหลวไหลทั้งเพนั่นเอง  เรื่องราวส่วนใหญ่เกี่ยวกับมังกรเป็นเรื่องของจินตนาการ  ซึ่งคนโบราณได้รับแรงบันดาลใจมาจากสัตว์บางชนิดเช่นงู  หรือสัตว์อื่นๆ  ความเป็นไปได้มันมีอยู่แบบนี้ คนส่วนใหญ่เชื่อกันในแนวคิดที่หนึ่ง
                      2. เชื่อว่ามันเคยมีอยู่จริงๆบนโลกนี้ ว่ากันในเชิงชีววิทยาก่อน มันเป็นเรื่องยากลำบากที่จะหาทฤษฎีที่เป็นไปได้ที่จะอธิบายว่า อะไรเป็นปัจจัยที่ทำให้มังกรบินได้  พ่นไฟได้หรือแม้แต่คุณสมบัติพิเศษของเลือดมังกรที่ใครได้อาบได้กินแล้วจะส่งผลพิเศษ  ตามมาอีกร้อยแปดเนื่องจากตอนนี้เรามีหลักฐานเกี่ยวกับมังกรอยู่น้อยมาก    นอกจากเรื่องเล่าต่างๆแล้ว  ซากกระดูกฟอสซิล หรือหลักฐานอื่นๆเกี่ยวกับมังกรนั้นเราแทบจะไม่เคยพบกันเลย  มันเป็นเพียงแนวคิดที่นำมาเล่าให้ฟังกันเล่นๆ เพราะท่าทางมันเป็นไปได้  และน่าเชื่อถืออยู่มาก
                      เราลองมาใช้สมมุติฐานทางชีววิทยาอย่างง่ายๆกันดูว่า  เจ้ามังกรนี่มันเป็นสิ่งมีชีวิต  ดังนั้นมันจะต้องมีวิวัฒนาการแน่ๆ ตรงนี้แหละคือประเด็น  มังกรจะต้องมีวิวัฒนาการอย่างไรจึงจะทำให้มันมีขนาดใหญ่โต  บินได้  และพ่นไฟออกมาตามเทพนิยาย  ความลับของมันน่าจะอยู่ที่คุณสมบัติสามประการ  ต่อไปนี้คือ  ขนาดของมัน  การพ่นไฟของมัน  และท้ายสุดเลือดอันมีคุณสมบัติพิเศษของมังกรนั่นเอง  ตามเทพนิยายมังกรแต่ละตัวล้วนมีขนาดมหึมาด้วยกันแทบทั้งสิ้นแล้ว เจ้าสัตว์มหึมานี้มันบินขึ้นได้อย่างไร โดยที่น้ำหนักตัวมหาศาลของมันไม่เป็นอุปสรรค เลยแม้แต่น้อย?  แต่ก็ไม่น่าจะยากหากเราเปรียบเทียบกับสัตว์ปีกชนิดอื่นๆบนโลกนี้  (อย่าลืมว่าเราตั้งอยู่ บนทฤษฎีที่ว่า มังกรเป็นสัตว์ชนิดหนึ่ง ไม่ใช่เทพมังกร หรือปีศาจมังกรอย่างในนิทาน)  ซึ่งข้อมูลที่ได้มามันก็บอกอะไรเราหลายๆอย่างทีเดียว เป็นต้นว่าในทุกๆหนึ่งตารางเซนติเมตรของปีกของห่านแคนาดามันสามารถยกน้ำหนักตัวมันเองได้สองกรัม  ทำนองเดียวกันกับปีกนกนางแอ่นซึ่งยกได้ 132 กรัม
                      นอกจากพวกนกแล้วความรู้ทางชีววิทยายังบอกเราอีกว่า  แมลงภู่ยกได้ 1,125 กรัม  ในกรณีของนกแก้วข้อแตกต่างก็คือ ลักษณะพิเศษของขนปีก  ซึ่งอากาศไหลผ่านจากปีกส่วนบนลงสู่ส่วนล่าง  ทำให้เกิดความแตกต่างของความดัน  อากาศขึ้น  ตามทฤษฎีการสร้างเครื่องบินเลยนะเนี่ย  แต่ก็คงจะตลกถ้ามังกรดันมีปีก  ที่มีขนเหมือนนก  งั้นเราก็มาเปรียบเทียบกับแมลงภู่ดูหากว่าปีกของมังกรมีประสิทธิภาพเฉกเช่นปีกแมลงภู่แล้ว  มันจะต้องใช้พื้นที่ปีก 720 ตารางเมตร  เพื่อที่จะยกน้ำหนักตัว  ขนาดเก้าพันกิโลกรัมให้ทะยานขึ้นบนอากาศ  ซึ่งปีกลักษณะนี้จะต้องมีความยาวจากปลายด้านหนึ่งถึงอีกด้านหนึ่งราว 150 เมตร  แน่ล่ะว่านอกจากสัตว์ประหลาดในเรื่องอุลตร้าแมนแล้วไม่มีสัตว์ชนิดใดจะเป็นได้ขนาดนี้  ดังนั้นตัดประเด็นนี้ทิ้งไปได้เลย 
                      มีบทความบทหนึ่งกล่าวว่า....\"และแล้วมังกรก็กลับกลายร่างขนาดมหึมา จากปาก ของมันเปลวไฟจะพวยพุ่ง ลมหายใจที่เหม็นเหลือก็รวยรินออกมา กลุ่มควันก็คละคลุ้งไปทั่วทั้งอาณาบริเวณ ณ ยามที่มันสืบเชื้อสาย  มังกรก็ร่วมรวมกันเป็นหมู่เหล่า มันกางปีก... ลอยขึ้นสู่อากาศ และด้วยบัญชาจากพระผู้เป็นเจ้า  มังกรบางตัวที่มีน้ำหนักมากเกินไป แล้วร่วงหล่นสู่ลำแม่น้ำ อันเป็นสายธาราจากสรวงสวรรค์ ในที่นั้นมันจะสูญสลายไป มังกรที่เหลือจะอยู่ร่วมกันจนพ้นฤดู  เมื่อมังกรตนใดร่วงลง  มังกรตนอื่นจะรออยู่เจ็ดวันแล้วจึงลงไปเพื่อที่จะพบกับซากขนาดมหึมาที่เหลือแต่โครงกระดูก  เพื่อเก็บไปเป็นศิราภรณ์แห่งมันต่อไป\"... จาก Wonder of the East ของ จอร์ แดนัส เป็นไปได้ไหมว่าเราคลำทางมาผิด และตั้งสมมติฐานผิดๆเกี่ยวกับมังกร  เราไม่ควรที่จะถามว่า  ทำไมสัตว์ที่มีขนาดมหึมาอย่างมังกรจึงบินได้  แต่เราควรที่จะถามว่าทำไมสัตว์ที่มีความจำเป็นตามธรรมชาติที่จะต้องบินอย่างมังกรนั้น  จึงได้วิวัฒนาการจนมีขนาดใหญ่โตเกินความจำเป็นเช่นนี้
                        การสืบพันธุ์และการร่วงหล่นของมังกรก็เป็นประเด็นหนึ่ง ที่น่าสนใจและควรจะเก็บมาขบคิดกัน  เป็นไปได้ไหมว่ามังกรไม่จำเป็นต้องมีปีกตลอดเวลา  มันอาจจะมีปีกเฉพาะช่วงเวลาที่ต้องบินออกมาหาคู่เหมือนกับแมลงบางชนิด  เช่น แมลงเม่า ปลวก เป็นต้น และสิ่งหนึ่งที่จะเอามาเปรียบเทียบได้กับมังกรและจะช่วยคลี่คลายปัญหาของการบินของมังกรได้เป็นอย่างดี  สิ่งนั้นคือเรือเหาะของเยอรมันในสมัยสงครามโลกนั่นเอง  ภาพของฮินเดนเบอร์กตอนระเบิดกลางอากาศ ก๊าซและ เชื้อเพลิงลุกไหม้ส่งผลให้โครงเรือแทบกลายเป็นจุลนั้นได้จุดประกายอะไร ให้กับท่าน ไหม.. ใช่แล้ว!! มังกรบินได้เพราะลำตัวของมันกลวงและเต็มไปด้วย ก๊าซที่เบากว่าอากาศ  มังกรจำเป็นต้องมีขนาดใหญ่ เพราะจะได้เก็บก๊าซได้ปริมาณมากพอที่จะยกตัวมันให้ลอยขึ้นสู่อากาศ 
                      ...และสุดท้าย มังกรจำเป็นต้องพ่นไฟ เพราะเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้สำหรับอำนวยความสะดวกใน การบินที่แปลกประหลาดของมัน แถมไม่ได้เพียงแค่ถลาไปเหมือน  เทอราโนดอน (ไดโนเสาร์ที่มีปีก เป็นพังผืด น่าจะเคยเห็นกันใน Jurassic Park) หรือด้วยอิทธิพลแบบคลื่นอัลเบอร์ทอส  มังกรบินได้จริงๆอย่างมีประสิทธิภาพและรวดเร็ว จากตำนานต่างๆ มังกรสามารถบินข้ามมหาสมุทรได้ภายในเวลาไม่กี่วัน เอาล่ะค่ะ ตำนานนั้นอาจเชื่อได้บ้างไม่ได้บ้างเพราะความเก่าที่เล่าสืบทอดกันมา อาจทำให้รายละเอียดผิดเพี้ยนไปบ้าง
                      เราลองมาคิดกันอย่างมีเหตุและผลดูเอาเป็นว่าลองลดขนาดปีกของมังกรลงมาเหลือยาวราวสัก 6 เมตร  ซึ่งหมายความว่าจากปลายปีกอีกด้านถึงด้านจะยาว 12 เมตร (ก็ยังคงตัวมหึมาอยู่)  ตามหลักกลศาสตร์มันก็ยังคงบินไม่ขึ้นนั่นแหละ เพราะพื้นที่ของปีก  หรือแรงยกที่จะทำได้จะเพิ่มในลักษณะของกำลังสอง  ในขณะที่มวลเพิ่มในลักษณะของกำลังสาม  ขนาดยิ่งเล็กลงโอกาสที่จะบินได้ก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้น  ถึงแม้ว่า เราจะสมมุติให้มังกรมีปีกที่มีประสิทธิภาพที่สุด    ในบรรดาสัตว์ที่เรารู้จักกัน  ปีกของมันก็ยังจะทรงพลังจนเหลือเชื่ออยู่ดี เอ๊ะ แบบนี้ก็เหลือทางเดียวสิที่มังกรจะบินขึ้นสู่ท้องฟ้าได้โดยไม่อาศัยพลังปีก  ทางเดียวที่ว่านั้นก็คือ มังกรมีน้ำหนักหรือมวลที่น้อยมากไง... ทีนี้ปัญหาของ \"ปีกมังกร ที่ถกกันก็คงหมดไปได้ เรารู้แล้วว่ามังกรไม่ได้ใช้ปีกในการพยุงร่างอันมหึมาของมันขึ้นสู่บนอากาศ  หากแต่ใช้เพื่อบังคับทิศทางและใช้เป็นเกราะเพื่อป้องกันตนเอง  และถ้ามองมังกรอย่างเผินๆเวลาอยู่บนพื้นเราก็อาจไม่เห็นปีกของมัน
                      ทำนองเดียวกับสัตว์จำพวกแมลงเต่าทองเวลาหุบปีกนั่นเอง แล้วไฟของมังกรล่ะ? มีปัญหาเหลือเกินว่าทำไมมังกรจึงมักพ่นไฟเป็นเปลวอยู่ในช่วงสั้นๆของจมูกมันเท่านั้นเอง  ทำไมจึงไม่พ่นออกมาเป็นเปลวเพลิงเหมือนก็อดซิลล่า  คำตอบก็อยู่ที่พฤติกรรมของพวกมังกรอย่างที่ขาเกมส์ RPG รู้กันว่ามังกรมักจะอยู่ในถ้ำ  มันจึงจำเป็นต้องมีการควบคุมปริมาณอากาศจากกระบวนการทางชีววิทยาของมัน  แน่ล่ะว่าขีดจำกัดในการควบคุมย่อมต้องมีแน่นอน  และใครที่เรียนเคมีกับชีววิทยากันมาแล้ว  ก็คงจะตอบได้ดีว่า  กระบวนการดังกล่าวของเจ้ามังกรนั้นก็คือ\"กระบวนการสันดาปก๊าซ\"  ไฮโดรเจนกับออกซิเจนนั่นเอง 
                        เอ... แล้วไฮโดรเจนพวกนี้มันมาจากไหนกันนะ  กลไกทางธรรมชาติมากมายมักสร้างที่ไปที่มาที่พวกเราคาดไม่ถึงกันอยู่เสมอๆ ลองนึกตัวอย่างของปลาไหลไฟฟ้า  ที่มีเซลที่สามารถประจุไฟฟ้าได้ปริมาณมหาศาล  เจ้ามังกรก็อาจมีอวัยวะบางชนิดที่สามารถแยกไฮโดรเจนออกจากสารอาหารหรือน้ำด้วยวิธีทางชีวเคมี  และทำให้มันรวมกับออกซิเจนในตอนมันหายใจก็เป็นได้  ไม่ว่ากระบวนการดังกล่าว  จะเป็นยังไงก็ตาม  มันทำให้มังกรหายใจเป็นเปลวเพลิงได้  เพราะมันจำเป็นต้องทำแบบนั้น  เปลวเพลิงใช้ประโยชน์ได้มากมาย  เช่นใช้พ่นเป็นอาวุธ  ใช้ดึงดูดเพศตรงข้ามทำนองเดียวกับแพนหางของนกยูง  แถมยังช่วยในการบินซึ่งจะขออธิบายในตอนหลัง  ว่ากันง่ายๆก็คือตราบใดที่ตัวมังกรยังมีไฮโดรเจนมากพอ    มันก็สามารถอยู่ในถ้ำ  และพ่นไฟได้อย่างสนุกสนาน  สบายมาก  และคงเป็นเพราะในถ้ำนั้นมืดมังกรก็เลยต้องพ่นลมหายใจเป็นไฟเพื่อส่องสว่างด้วยล่ะมั้ง 
                      ก็อย่างที่กล่าวไว้ในตำนานนั่นล่ะ  พวกวีรบุรุษต่างๆมักจะเข้าไปในถ้ำที่มีเปลวและควันไฟพวยพุ่งออกมา  เจออาการนี้เมื่อไหร่ก็อนุมานได้เลยว่า  ในนั้นต้องมีมังกรอาศัยอยู่ภายในอย่างแน่นอน  ไฟคือสัญลักษณ์ที่แท้จริงของมังกร  เพราะไม่ว่าชีวิตจะวิวัฒนาการไปในรูปแบบใด  ธรรมชาติก็มีเหตุผลมารองรับการวิวัฒน์นั้นๆเสมอ  ได้กล่าวมาแล้วว่า  การที่มังกรสามารถบินได้นั้นเพราะมันสามารถทำตัวให้เบากว่า อากาศได้    ดังนั้นมันจึงต้องการที่ว่าง  ขนาดใหญ่มากจนเกือบจะเท่าตัวมันทั้งหมด  เพื่อที่จะบรรจุก๊าซที่เบากว่าอากาศเอาไว้  ซึ่งจะทำให้เกิดแรงพยุงตัวแบบเรือเหาะ  ว่ากันถึงก๊าซที่เบากว่าอากาศนักเรียนเคมีอาจจะตอบได้ว่า  ฮีเลียมน่าจะเหมาะที่สุด  ทว่าในความเป็นจริงนะ  ฮีเลียม มีปริมาณตามธรรมชาติน้อยมาก  แถมแทบจะไม่มีบทบาทใดๆ ต่อสิ่งมีชีวิตเลย  ไฮโดรเจนจึงนับว่าเหมาะที่สุด  ซึ่งนอกจากจะมีปริมาณตามธรรมชาติมากแล้ว  มันยังเบาและลุกไหม้อย่างรุนแรงได้เมื่อรวมกับออกซิเจน    สารประกอบบางรูปของมันมีอยู่ทั่วไปในระบบย่อยอาหารของสัตว์  แม้แต่มนุษย์  กรดไฮโดรคลอริกนั่นเอง  ปฏิกิริยาชีวเคมีนี้จะต้องมีขั้นตอนอันสลับซับซ้อนมากมาย  ตลอดจนสารประกอบอีกหลายอย่างที่จะนำมาสู่กระบวนการสันดาปของมังกรนี่ล่ะมั้ง  ที่ทำให้ลมหายใจของมังกรมีกลิ่นเหม็นและฉุนเฉียว
                      นอกจากความสลับซับซ้อนดังกล่าว  อีกสิ่งหนึ่งที่เราสามารถอนุมานเกี่ยวกับมังกรได้ก็คือ  โครงสร้างส่วนใหญ่ของร่างกายมันจะต้องมีห้องมากมายสำหรับเก็บก๊าซไฮโดรเจน    นั่นล่ะคือจุดอ่อนตามธรรมชาติของสัตว์ยักษ์เหล่านั้น  ลองคิดกันง่ายๆหากมันโดนดาบ หรือไม้จิ้มฉึกทะลุเข้าช่องท้องสู่ห้องเหล่านี้    สิ่งที่ตามมาก็คือกรดไฮโดรคลอริกจะทะลักออกมาทำปฏิกิริยากับทุกสิ่งที่สัมผัสกับมัน  ไม่ว่าจะเป็นดาบ มือที่จับดาบ  หรือแม้แต่ผิวหนังของมังกรเองก็ตาม  โดนเข้าอย่างนี้ต่อให้เป็นโคตรมังกรก็สิ้นฤทธิ์  มันจะบินไม่ได้พ่นไฟก็ไม่ได้  มีอากาศเหมือนลูกโป่งหรือบอลลูนที่ถูกเจาะทะลุ  โครงสร้างที่เบาบางของมันจะยุบสลายโดยสิ้นเชิง  คงนึกภาพออก ว่าเมื่อมังกรตาย (ไม่ว่าจะแก่ตายหรือโดนดาบเอ็กซ์คาร์ลิเบอร์เเทงตายก็ตาม)  มันจะสลายตัวไปในเวลาไม่นานนักซึ่งค้านกันเอามากๆกับรูปร่างของมัน 
                      นี่เองจึงเป็นเหตุผลที่ว่า ทำไมเราจึงไม่พบกระดูก เศษซาก หรือว่าฟอสซิลของมังกรเลย  เชื่อได้เลยว่ามังกรต้องวิวัฒนาการมาจากสัตว์ประเภทไดโนเสาร์ เพราะรูปร่างหน้าตามันก็บอกอยู่แล้ว  เชื่อว่าในตัวมังกรจะต้องมี  เยื่อเมือกตามธรรมชาติไว้คอยป้องกันกรดไฮโดรคลอริก  เพื่อไม่ให้กัดกร่อนเนื้อเยื่ออื่นๆ และกรดจะถูกหลั่งออกมา  จากต่อมในตัวมันเพื่อใช้ในกระบวนการชีวเคมีของมังกร  ช่องว่างต่างๆในตัวมังกรจะถูกกั้นด้วยเยื่อและอวัยวะที่มีหน้าที่เหมือนลิ้นเปิดปิด  โดยอาศัยแรงดึงของเนื้อเยื่อ  และจะทำให้การส่งผ่านก๊าซเป็นไปอย่างสมดุลย์ตลอดทั้งร่างของมังกร
                      เนื้อเยื่อเหล่านี้ จะมีหน้าที่สำคัญอื่นๆอีกกล่าวคือ  ในสภาวะปกติความดันต่างๆ จะอยู่ในภาวะที่ปกติ  พอควรที่จะทำให้มังกรเดินต้วมเตี้ยมไปมาบนพื้นดินได้  ไม่ลอยไปมาเหมือนลูกโป่ง  เมื่อมังกรต้องการจะบิน  เนื้อเยื่อของมันจะขยายตัวทำให้ปริมาตรของตัวช่องเก็บก๊าซ เพิ่มขึ้นในขณะที่มวลของก๊าซคงเดิม  สิ่งที่ตามมาก็คือความดันลดลง (ลืมกันไปหมดหรือยังนะ PV = nRT , เมื่อ V เพิ่ม P ก็ย่อมลดลงเป็นธรรมดา)  พูดถึงการเพิ่มปริมาตรในช่องอากาศของมังกร  ขอร้องอย่าให้ทุกคนนึกถึงมังกรพองลมในลักษณะของปลาปักเป้า  แบบนั้นมันดูน่าเกลียดมากสำหรับสัตว์ที่สง่างามอย่างมังกร (ถึงแม้ว่าตำราโบราณของจีนจะกล่าวถึงการเปลี่ยนแปลงขนาดของมังกรในลักษณะนี้ก็เหอะ)  เพราะการหดตัวของเนื้อเยื่อโดยการควบคุมกล้ามเนื้อก็ทำให้กล้ามเนื้อหดตัวเข้าสู่บริเวณครีบของมัน เห็นจากภาพทั่วๆ ไปไหม  ไม่ว่าจะมังกรหรืออะไรก็ตามพอมันบินแล้วครีบหลังมันจะตั้งต่างกันกับตอนอยู่บนดิน    แถมครีบนี้ยังสามารถป้องกันตัวได้อีก  นับว่าสารพัดประโยชน์ดีเหมือนกัน
                      ตอนนี้เราก็สามารถแก้ปัญหา เรื่องการบินของมังกรได้อย่างสมบูรณ์แบบ  เพราะถ้ามังกรต้องใช้ปีกในการพยุงตัวเพื่อบินจริงๆ มันก็ต้องมีกล้ามเนื้อที่มีพลังมหาศาลเกินกว่าธรรมชาติจะประทานให้ได้  แต่ด้วยวิธีการลอยตัวนี้มังกรจะสามารถบินได้อย่างไม่ยากเย็นนัก  ปัญหาเรื่องการบินที่จะตามมาอีกร้อยแปดพันเก้าก็เป็นอันพับทิ้งไปได้เลย 
                      ทีนี้กลับมาว่าเรื่องของซากมังกรที่เราไม่เคยค้นพบกันใหม่ดีกว่า แม้ว่าจะด้วยกลไกทางชีววิทยาของมังกรจะทำให้เราไม่มีวันพบฟอสซิลของมันได้เลย  ในทำนองเดียวกับที่นักชีววิทยาไม่เคยพบซากบรรพบุรุษของนกว่าลักษณะที่พวกมันเริ่มหัดบินนั้นมีมาตั้งแต่เมื่อไหร่และ เป็นลักษณะอย่างไร    แต่ด้วยขั้นตอนเดียวกัน  เราสามารถอนุมานถึงการวิวัฒนาการทางการบินของมังกรได้ตามลำดับขั้นตอนที่ชัดเจน  ตามสมควร ดังนี้...
                      เริ่มจากขนาดของมันก่อน เราทราบกันดีว่าพวกไดโนเสาร์ส่วนใหญ่  จะมีขนาดที่ใหญ่โตมาก  แต่สัตว์ในตระกูลนี้กลับวิวัฒนาการ จนมีขนาดเล็กลงเรื่อยๆ เพื่อความอยู่รอด  เพราะสัตว์ตัวเล็กย่อมคล่องแคล่ว  และต้องการปริมาณอาหารน้อยกว่าตัวใหญ่  ไดโนเสาร์รุ่นหลังๆ จึงมีขนาดเล็กลง  ในขณะที่พวกตัวใหญ่ๆเริ่มพากันล้มหายตายจากไปตามกฏของธรรมชาติ  สำหรับตระกูลตัวใหญ่ที่จะดันทุรังมีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้โดยไม่ลดขนาด ก็มีอยู่วิธีเดียวคือลดน้ำหนักตัวลง  เพื่อเพิ่มความคล่องแคล่วและสงวนพลังงานในการเคลื่อนไหว 
                      เอาล่ะ  เจ้ามังกรก็คงวิวัฒน์ตัวเองออกมาในทางเลือกที่สองนี้ แถมยังมีโรงงานผลิตก๊าซไฮโดรเจนในตัวเองอีก เป็นการเปลี่ยนแปลงที่น่าอัศจรรย์และกินเวลานานเอามากๆ  ถึงแม้จะพิลึกและยาก  นักวิทยาศาสตร์ก็ยังบอกว่า มันง่ายกว่าที่มนุษย์สมัยดึกดำบรรพ์จะวิวัฒน์มาเป็นโฮโมเซเปียนส์อย่างรวดเร็ว  ในแบบที่เกิดขึ้นบนโลกของเรานี้เป็นไหนๆ 
                      ในช่วงวิวัฒนาการนี้ บรรพบุรุษของมังกรก็ลดลงและสูญพันธุ์ไปในที่สุด เหลือเพียงผลพวงของความเปลี่ยนแปลงเพื่อการอยู่รอดนั่นก็คือ...มังกร  มันได้ละทิ้งเครื่องประดับอันฟุ่มเฟือย เช่น  หนอก เขาต่างๆไปหมด  แม้แต่กระดูกก็ยังวิวัฒน์ให้เป็นลักษณะกลวง พวกเกร็ดหนังหนาๆตามตัวที่เคยเป็นเหมือนเกราะบัดนี้ก็ได้หนักอึ้งเกินความจำเป็น  พวกมันคงทิ้งส่วนนั้นไปอย่างไม่เสียดายเหลือไว้เฉพาะเขาที่เอาไว้ป้องกันส่วนหัวเท่านั้น  เราสามารถทึกทักเอาได้อย่าสบายมากว่ามังกรใช้วิธีการเคลื่อนที่ด้วยการกระโดด  เหมือนจิงโจ้แทนที่จะเดิน (ไม่แปลกเลย เมื่อเทียบกับการเคลื่อนที่ของพวกไดโนเสาร์กินเนื้ออย่างเวโลซี แรพเตอร์)  ด้วยการทำรูปร่างให้เบาและการกระโดดก็ทำให้มังกรรุ่นหลัง สามารถกระโดดได้สูงขึ้น -  น้ำหนักเบาลง  จนกลายเป็นแทบจะบินได้ในลูกหลานของมังกรช่วงหลัง  มังกรไม่มีปีกในหลายๆ ชาติเช่นจีนหรือนอร์สนั้นบินได้  แท้ที่จริงมันอาจไม่ได้บิน  แต่กำลังกระโดดอยู่  เพียงแต่กระโดดสูงเสียจนคนเราคิดว่ามันกำลังบินอยู่  และเราก็ได้ข้อสรุปว่าพวกมันเป็นบรรพบุรุษของมังกรรุ่นที่มีปีก
                      เอ๊ะ... แล้วทีนี้ปีกของมังกรจะมาจาก ไหนล่ะ? ง่ายๆ พอกระโดดได้สูงขึ้นไกลขึ้นก็ต้องเริ่มหาอะไรมาช่วยบังคับทิศทางในการเคลื่อนไหว    ธรรมชาติจึงสร้างปีกมังกรขึ้นมาช่วยในการควบคุมทิศทาง  เรื่องของเรื่องก็เลยกลายเป็นแรกๆมังกรเคลื่อนที่ด้วยการกระโดด พอกระโดดเก่ง  เข้าก็เลยมีปีก  เพื่อช่วยร่อนไปมาในอากาศเหมือนเทอร์ราโนดอนหรือบรรพบุรุษของนก  และพอร่อนเก็บ Level เข้ามากๆก็เลยกลายเป็นบินได้ด้วยเองซะเลย  สบายเขาล่ะ  ด้วยข้อจำกัดทั้งหลาย  ทั้งปวง  มังกรจึงไม่น่าเป็นสัตว์ที่แข็งแกร่งโดดเด่นอะไรขึ้นมาได้(ยกเว้นรูปร่าง ซึ่งคงจะน่าเกรงขามอยู่เอาการ)  แต่ก็น่ายกย่องพวกมังกรอยู่  ที่มันสามารถวิวัฒนาการผ่านวิกฤตมาได้เหมือนกับบรรพบุรุษของพวกนก  ด้วยขนาดที่ใหญ่โตเกินไป  มังกรจึงจำเป็นต้องอยู่ในถ้ำแทนที่จะอยู่ในป่าหรือที่ราบซึ่งเหยื่อและศัตรูสามารถมองเห็นได้ง่าย  มังกรคงซุ่ม อยู่ในถ้ำหรือรอยแยกของหินผา  คอยเวลาออกมาร่อนมากระโดดจับเหยื่อกิน    ที่น่าสงสารก็คือ แม้พวกมันจะวิวัฒน์ผ่านวิกฤตเอาตัวรอดมาได้ แต่ด้วยข้อจำกัดที่พวกมันมีพวกมันก็คงดำรงเผ่าพันธุ์กันอยู่ได้ไม่นานหรอก  ไดโนเสาร์แห่งยุคกลางที่เอาตัวรอด  และสืบเชื้อสายมาหลายล้านปีเหล่านี้  ท้ายที่สุดก็พากันลดจำนวนลงไปตามธรรมชาติ  ซึ่งเป็นไปได้ว่าอาจจะเหลืออยู่ไม่กี่ตัวที่ยังรอดรอเวลามาให้วีรบุรุษเอาดาบมาเสียบพุงเล่น  จนกลายเป็นตำนานเล่าขานกันมาถึงปัจจุบัน  และนี่คือความเป็นมาของมังกรภายใต้สมมติฐานที่เป็นไปได้  อ้างอิงข้อมูลจากทั้งเทพนิยายและตำราวิทยาศาสตร์ 
                      ปัจจุบันคงไม่มีมังกรเหลืออยู่บนโลกนี้อีกแล้วนอกจากในภาพยนตร์หรือวิดีโอเกมส์ ซึ่งอย่างหลังนี่ดูจะมีออกมาท้าทายวีรบุรุษเกมเมอร์ เป็นพิเศษ ...(ขอบอกว่าทั้งหมดนี้เป็นข้อสันนิษฐานนะคะ อยู่ที่วิจารณญานส่วนบุคคลนะ  จะบอกให้ ...และขอขอบคุณ คุณโซนิค เจ้าของบทความเรื่องมังกรนี้ไว้ด้วยค่ะ)
                      ขอบคุณสำหรับการติดตามค่ะ
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น