คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #15 : ep9 - เมืองหลวงและคลาสแรก
“ณดี ณดี! ตื่นเร็ว ตื่นตื่นตื่น”
รินเขย่าตัวเพื่อนที่นั่งอยู่ข้างๆอย่างแรงและเสียงดังมากด้วย ตอนแรกณดีคิดว่าจะเมินเฉยเพราะตลอดทางที่ผ่านมาเธอถูกปลุกขึ้นไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้งแล้ว แต่เมื่อหัวของเธอสะบัดไปกระแทกกับขอบหน้าต่างหญิงสาวก็ไม่อาจข่มตากลับลงได้อีก
“มีอะไรเหรอริน” ณดีถามตาปรือ “วิวสวยๆน่ะไม่เอาแล้วนะ”
“เสียใจด้วย นี่ก็วิวเหมือนเดิมแหละ แต่รอบนี้เธอต้องเห็นให้ได้เลยนะณดี ไม่งั้นจะถือว่าพลาดมาก ขนาดเสียชาติเกิดที่มาเล่นคัลเลอร์แคลชเลยล่ะ”
“ไม่ขนาดนั้นหรอกมั้ง รินโอเวอร์ไป...อุ้ย!”
บ่นไม่จบอาการตาปรือของณดีก็หายไปทันทีเมื่อเห็นสิ่งที่ตั้งอยู่เบื้องหน้า มันคือเมืองปราสาทสีขาวที่ถูกล้อมไว้ด้วยกำแพงสูงใหญ่และอาคารบ้านเรือนยาวสุดลูกหูลูกตา แม้จากหน้าต่างที่เธอมองออกไปอยู่จะอยู่บนเชิงเขาและห่างออกไปหลายกิโลเมตร แต่ขนาดและความตระการตาของเมืองเหนือจินตนาการแห่งนี้ก็ไม่ได้ด้อยลงเลยแต่อย่างใด
“สะ สวยยิ่งกว่าปราสาทในยุโรปที่ฉันเคยไปมาอีก”
“ฮึๆ แกไม่เสียชาติเกิดแล้ว เพราะตามที่ฉันอ่านมา ที่นี่ติดท็อปไฟท์ของเมืองที่สวยงามที่สุดในเกม” รินเชิดอกที่ไม่ค่อยจะมีเต็มที่เพื่ออวดภูมิ “เมืองหลวงของคัลเลอร์แคลช มหานครแคโรไลน์!!”
‘คนอย่างรินเอาเวลาไปอ่านข้อมูลในเกมเนี่ยนะ เชื่อเลย’ ณดีทึ่งเล็กน้อยที่เพื่อนของเธอเปลี่ยนไปสนใจเรื่องเกมได้ถึงเพียงนี้ เธอละสายตาจากปราสาทไปที่เพื่อนสาวซึ่งจ้องไปนอกหน้าต่างด้วยแววตาเปล่งประกาย
‘แต่ ก็ควรค่าที่จะมาสนใจอยู่หรอก’
ไม่กี่อึดใจที่ขบวนรถไฟลอดผ่านอุโมงค์ตัดภูเขาออกมา ผู้เล่นใหม่ที่นั่งระบบขนส่งของเกมจากค่ายฝึกมาคืนเต็มๆก็มาถึงชานชาลาที่ชานเมืองด้านหน้าเมืองแคโรไลน์ หญิงสาวทั้งสองรีบลงจากรถไฟด้วยอาการตื่นเต้นไม่แพ้คนอื่นๆแล้วตรงดิ่งไปยังหน้าประตูเมืองทันที ถึงมันจะสร้างด้วยสถาปัตยกรรมรูปทรงแปลกตาจนเหมือนเป็นอีกโลกหนึ่งก็จริง แต่บรรยากาศรอบๆมันกลับคุ้นเคยอย่างบอกไม่ถูก
จะว่าเหมือนกรุงเทพเวอร์ชั่นโลกแฟนตาซีก็ไม่ผิดนัก
ท่ามกลางสายตาของคนซึ่งผ่านเข้าออกไม่ขาดสายที่เหมือนอยากจะบ่นว่า “อย่ามายืนขวางทางสิ พวกผู้เล่นใหม่” ก็มีพ่อค้าแม่ค้าที่นั่งปูเสื่อขายของอยู่แถวนั้นเดินเข้ามาตะล่อมและตะโกนเรียกลูกค้าที่ยังขาดประสบการณ์เพื่อแสวงหากำไรกันแล้ว รินจับมือณดีแล้วทำท่าจะลากเธอผ่านแผงเหล่านั้นไป แต่ดูเหมือนจะสะดุดกับกลิ่นหอมฉุยที่คุ้นเคยเสียก่อน
“นี่แก ฉันอยากกินข้าวเหนียวหมูปิ้งอะ”
เนื่องจากนับแต่ออกจากค่ายมาทั้งสองสาวนั้นก็ยังไม่มีอะไรตกถึงท้อง ก่อนที่จะไปทำตามเป้าหมายหลักทั้งคู่เลยแวะรงรถหมูปิ้งตรงข้างกำแพงเมืองซะก่อน แม้ณดีจะรู้สึกแปลกๆที่แม้จะอยู่ในเกมแต่เธอก็ยังรู้สึกง่วงหรือหิวตามวันเวลาข้างในนี้ แต่นับจากตอนที่เธอเข้าเกมมาหญิงสาวก็เริ่มคุ้นชินกับมันเหมือนเป็นชีวิตประจำวันไปแล้ว
“อื้ม~ อร่อยกว่าร้านที่หน้าหอเราอีกแน่ะ” รินเอ่ยชมทันทีหลังกัดคำแรกเข้าไป “สุดยอดใช่ไหมล่ะณดี นี่ขนาดเป็นร้านข้างทางนะ ถ้าเป็นภัตตาคารหรูๆของระบบมันจะเป็นยังไงกัน”
ณดีพยักหน้ารับเบาๆ “อื้อ ทั้งรสทั้งสัมผัสเหมือนของจริงไม่ผิดเลย ชานมเย็นนี่ก็ด้วย ฉันสงสัยจังเลย ตอนอยู่ที่ค่ายฝึกเขาบอกว่าพวกอาหารนี่ต้องทำขึ้นมาจริงๆโดยใช้วัตถุดิบในเกม แล้วเขาไปหาของกับเครื่องมือมาจากไหนกันนะ”
“ก็แค่เกม อย่าคิดมากน่า คงต้องทำสักวิธีนั้นแหละ” รินที่สนใจเรื่องเกมเป็นพิเศษกลับบอกปัดหน้าตาเฉย “คงเป็นไอเทมที่มีขายตามร้านล่ะมั้ง”
“น้องสองคนเป็นผู้เล่นใหม่งั้นสิ ถ้าอยากรู้เดี๋ยวพี่จะบอกให้เอาไหม”
‘ใครน่ะ?’ ณดีหันขวับไปด้วยความสงสัยเมื่อผู้เล่นในชุดผ้ากันเปื้อนข้างๆเดินเข้ามาหา ที่เขาคือพ่อค้าขายชาไข่มุกที่ณดีเพิ่งไปซื้อมาเมื่อครู่ แม้ภายนอกจะเป็นผู้ชายท้วมๆไว้ผมยาวสีน้ำตาลที่มีผิวขาวแต่โครงหน้าก็ยังเป็นคนไทยอยู่ดี ก็เซิฟเวอร์ไทยนี่นะ..
“เวลาทำอาหารสักอย่างในเกมต้องใช้วัตถุดิบแทบทุกอย่างเหมือนกับในโลกจริงเป๊ะๆ ยกตัวอย่างเช่นหมูปิ้งที่กินอยู่เนี่ย ก็ต้องไปหาไอเทมเนื้อหมูมาหั่นแล้วเสียบไปไม้ย่างกับทาซอสทีละขั้นตอน” พ่อค้าชาไข่มุกบรรยาย
“งั้นพี่ก็ต้องไปหาของมาเองทั้งหมดเลยเหรอคะ สมมุติหมูก็ต้องไปล่าหมูมาเองอย่างนี้เลยเหรอ” รินรีบถามอย่างใคร่รู้ “แบบนี้ก็ลำบากน่าดูเลยสิ”
“ก็ไม่ได้ลำบากขนาดนั้นหรอกนะ ที่จริงก็ไปซื้อเอาจาก ์NPC หรือร้านของระบบก็ได้ แต่ของน่ะมีน้อยมากเลย” พ่อค้าเกาหัวแก้เขิน “จะไปเสียทั้งแรงทั้งเวลาไปออกล่าทำไม ในเมื่อพวกกิลด์สายผลิตมันเลี้ยงมาขายให้อยู่แล้ว ที่สำคัญคลาสพี่ก็ไม่ใช่สายต่อสู้ซะด้วย แหะๆ”
“โห มีกิลด์ที่เลี้ยงหมูในเกมแล้วเอามาขายอยู่ด้วยเหรอคะ”
“มีสิ ชื่อโคโค่มาร์เก็ตน่ะ พวกนี้มันขายวัตถุดิบกับอุปกรณ์แทบทุกอย่างจริงๆ ทั้งผงชาทั้งน้ำตาลก็ซื้อมาจากพวกนี้แหละ อ๊ะ แต่แก้วนี่คราฟเองนะ”
‘เอ็นพีซี? คราฟ?’ ณดีกินข้าวเหนียวเงียบๆขณะทบทวนศัพท์เฉพาะ และมองดูรินพูดคุยเรื่องที่มาที่ไปของวัตถุดิบกับคนที่เพิ่งพบกันครั้งแรกด้วยความอิจฉาอยู่ลึกๆ หญิงสาวพบความจริงแล้วว่าแม้ในค่ายฝึกจะสอนเรื่องอะไรเธอหลายอย่างแต่พวกเขาก็สอนเธอไม่ได้หมดอยู่ดี ในเกมที่เหมือนเป็นโลกอีกใบแห่งนี้ยังมีเรื่องอีกมากที่เธอต้องรู้เองหรือถามกับคนที่โดนน้ำร้อนลวกมาก่อนเท่านั้น
‘อย่างรินคงไม่มีปัญหาอะไร คุยกับคนที่เพิ่งเจอกันได้คล่องปรื๋อ แต่เรานี่สิ ขนาดผู้ชายในคณะยังไม่กล้าทักเลย ถ้าเราเล่นเกมนี้คนเดียวจะเอาตัวรอดไหวหรือเปล่านะ’
ระหว่างที่ณดีเริ่มจมลงในความหดหู่ ดูเหมือนรินจะนึกได้ว่าเผลอปล่อยเพื่อนไว้คนเดียวซะแล้ว จึงเดินไปจับมือณดีแล้วเอ่ยถามกับพ่อค้าว่า “ไหนๆแล้วขอถามอะไรอย่างได้ไหมคะ เราสองคนจะมาเปลี่ยนคลาสแต่เพื่อหนูเขายังไม่รู้จะเล่นอันไหนดี ช่วยแนะนำหน่อยได้หน่อยได้รึเปล่า”
“อืม..มันก็แล้วแต่นะ เพื่อนน้องชอบแนวไหนล่ะ”
“แก รีบบอกไปสิ จะได้ไม่ต้องมาเก็บกด เดี๋ยวก็กลายเป็นสาวน้อยมืดมนแบบโลกจริงไปอีกหรอก”
“อะ อือ” ณดีพยักหน้าแล้วเปิดค่าสถานะของตัวเองออกมาให้พ่อค้าดู
“ประเภทที่ไม่ต้องไปตบตีกับใครน่ะค่ะ”
คนขายชาไข่มุกแนะนำเธอโดยไม่ต้องพิจารณา แม้แต่ณดีที่ไม่ค่อยมั่นใจในตัวเองก็ยังรู้สึกว่า คลาสที่ตัวเองจะไปเปลี่ยนนั้นช่างเหมาะกับตัวเองเหลือเกินอย่างน่าตลก เมื่อเป้าหมายชัดเจนแล้วหญิงสาวทั้งสองก็มุ่งหน้าไปยังปราสาทที่กลางใจเมืองซึ่งเป็นสำนักงานของระบบทันที
ที่ลานหน้าปราสาท รินยิ้มและโบกมือให้ณดีน้อยๆ “เสร็จแล้วก็โทรมานะแก พวกสายแทงค์ต้องไปที่ป้อมกลังปราสาทนู่น น่าอิจฉาคนที่ได้เข้าไปดูข้างในจังเลย”
“อืม ใช้จากหน้าต่างรายชื่อเพื่อนใช่ไหม” ณดีถามทวนวิธีทั้งที่จำได้แม่นอยู่แล้ว ระบบติดต่อกับเพื่อนเป็นระบบที่เธอตั้งใจเรียนรู้จากค่ายฝึกมากเป็นพิเศษ เพราะมันช่วยเธอให้สามารถติดต่อรินได้ตราบที่อยู่ในเกม แน่นอนว่าไม่ได้รับการตอบรับใดๆเพราะเพื่อนสุดห้าวของเธอเดินตามผู้ชายกลุ่มใหญ่ไปไกลลิบแล้ว
‘มีแต่ผู้ชายทั้งนั้นเลย...แต่อย่างรินคงไม่เป็นไรมั้ง’
หญิงสาวกำมือแน่นเพื่อเรียกความมั่นใจ ‘เราก็อย่ามัวชักช้าดีกว่า ให้รินต้องรอคงจะไม่ดี’ เธอเป่าลมยาวๆเหมือนถอนหายใจแล้วเดินเข้าในยังภายในปราสาทที่สวยงามยิ่งกว่าตอนที่เห็นจากระยะไกลไม่รู้กี่เท่า
“จะเปลี่ยนเป็นคลาสผู้ใช้สี เลี้ยวซ้ายเลยครับ ต่อแถวด้วยก็ดี~”
ณดีและผู้เล่นใหม่จำนวนล้มหลามได้รับการต้อนรับจากเจ้าหน้าที่ของระบบซึ่งมีความรำคาญเจืออยู่ในน้ำเสียงของเขาทันที ‘ฉันไปทำอะไรผิดเข้ารึเปล่านะ’ หญิงสาวครุ่นคิดขณะเดินช้าๆตามคนอื่นไปราวกับฝูงลูกแกะโดนต้อน ผ่านไปหลายอึดใจเธอก็มาถึงทางเข้าห้องแห่งหนึ่งซึ่งเหมือนจะเป็นโบสถ์ของปราสาทนี้ ถ้าเจ้าหน้าที่บอกไม่ผิด มันก็คือสมาคมของคลาสนักบวช
ย้อนกลับไปหนึ่งวันตอนอยู่ค่ายฝึก หลังจากมิสโกอิ้งกลับไปแล้ว รินก็ลากตัวณดีไปเข้ารับการฝึกในฐานสุดท้ายทันที ซึ่งเนื้อหาหลักๆคือให้ผู้เล่นใหม่ได้ลองใช้อาวุธในรูปแบบที่ต่างๆกัน และบอกแนวทางสำหรับคลาสที่จะเลือกว่าควรเล่นคลาสไหนในสายการเล่นทั้ง4อย่าง
แรกสุดรินดึงตัวณดีไปที่ส่วนของพวกนักสู้แนวหน้า
“หะ แฮ่กๆๆ หะ ห้าสิบ!” ณดีที่ถือดาบและโล่ ยกแขนอย่างเหลาะแหละเพื่อหวดหุ่นไม้ฝึกหัดระดับหนึ่งตัวสุดท้ายจนล้มลงได้สำเร็จ แต่ในขณะเดียวกันรินก็ทำแต้มได้มากกว่าเธอเกือบสองเท่าแล้ว
“ทะ ทำไมมันหนักจังเลยคะ แฮ่กๆๆ แค่ถือฉันก็หมดแรงแล้ว”
เจ้าหน้าที่ของระบบปั้นยิ้ม “ฝึกตอนแรกก็หนักกันทุกคนนั่นแหละครับ ระดับการใช้เพิ่มขึ้นเดี๋ยวมันก็เริ่มชินไปเองนั่นแหละ แถมตัวละครคุณลูกค้าจะได้กล้ามเนื้อเพิ่มขึ้นมาด้วยนะครับ’
‘กะ กล้าม’ ณดีจิตนาการตัวเองที่เล่นสายนักรบจนตัวละครกลายเป็นนักกล้ามหญิง เธอรีบวางดาบกับโล่ทิ้งทันที “มีอย่างอื่นที่ใช้แรงน้อยกว่านี้มั้ยคะ!”
“แบบที่ใช้แรงน้อยๆเหรอครับ งั้นลองธนูไหมคุณลูกค้า”
ปัง! เปรี้ยง! ฟ้าว!!
“ทะ ทำไม ทำไมฉันยิงไม่โดนเป้าเลยล่ะริน” หญิงสาวโอดครวญกับเพื่อนของเธอเมื่อไม่สามารถยิงธนูให้เข้าเป้าได้เลย ส่วนของยากกว่านั้นอย่างเช่นอาวุธลับหรือยิงปืนยิ่งไม่ต้องพูดถึง ช่างน่าแปลกที่ผู้เล่นใหม่คนอื่นสามารถใช้อาวุธระยะไกลเหล่านี้ได้อย่างคล่องแคล่วราวกับเป็นการเล่นสนุก
รินหมุนตัวหันมายิ้มพร้อมมีดบินในมือ “ไม่มีใครจับธนูครั้งแรกแล้วจะยิงเข้าเป้าหรอกน่าณดี รู้ไหมแบบนี้ก็เหมาะกับแกดีนะ จะได้ช่วยฉันสู้ได้โดยไม่ต้องเข้าไปเจ็บตัว”
‘คนยิงโดนก็พูดได้สิ’ ณดีคืนคันศรที่เธอง้างจนปวดไหล่แก่เจ้าหน้าที่คนเดิม แล้วรวบรวมความกล้าถามไปว่า “มีแบบที่ไม่ต้องฝึกอาวุธหรือเปล่าคะ?”
“หมายถึงแบบที่ไม่จำเป็นต้องใช้อาวุธสินะครับ” พนักงานค่ายฝึกยิ้มอย่างอ่อนใจ “งั้นคุณลูกค้าต้องชอบชอบเวทมนต์แน่ๆ”
หนังสือและม้วนคัมภีร์กองใหญ่หล่นตุบลงมาในอ้อมแขนของณดีหลังจากนั้น แต่ละหน้าและแต่ละแผ่นมีบทสวดและทฤษฎีอะไรไม่รู้เขียนแน่นเอี้ยดไปหมด
“นี่คือ เวทมนต์ที่ว่า…เหรอคะ”
“ใช่ครับคุณลูกค้า ทั้งหมดนี่แหละคือเวทมนต์เบื้องต้นที่สามารถเรียนได้ เหมือนกับที่นักรบต้องฝึกฝนโดยใช้ดาบกับโล่หนักๆไปจนชิน เพื่อความสมดุลของเกม นักเวทก็ต้องท่องตำราเวทมนต์เหมือนกัน จะไม่มีสายการเล่นไหนเกินหน้าเกินตา ยกเว้นคลาสพิเศษ”
รินดูท่าจะไม่ชอบเท่าไหร่ “น่าเบื่อจัง มาเล่นเกมทั้งทียังต้องมานั่งท่องตำราอีก ไปไล่ฟันหุ่นไม้ยังสนุกกว่าตั้งเยอะ”
“ถึงจะดูไม่ยากเกินความสามารถเท่าไหร่ แต่ก็ถูกของริน” ณดีเห็นด้วยกับเพื่อนเป็นครั้งแรก นักเรียนดีเด่นตลอดมาอย่างเธอนับว่าเป็นคนหัวดีอยู่แล้ว ไม่แน่อาจจะสามารถเรียนรู้เวทมนต์ในเกมนี้ได้อย่างคล่องแคล่วเลยก็ได้
ถึงอย่างไร ณดีก็คิดว่าเกมก็คือเกมอยู่วันยังค่ำ การต้องมาท่องตำราในเกมจึงไม่ใช่สิ่งที่เธอต้องการ หญิงสาวจึงหันไปบอกเจ้าหน้าที่ของระบบที่พยายามฝืนยิ้มจางๆสุดชีวิต
“เอ่อ ฉันชอบเวทมนต์พวกนี้นะคะ… แต่…”
‘สุดท้ายคนเรื่องมากอย่างเราก็มาลงเอยตรงนี้’ ณดีทอดถอนใจ ในขณะที่นั่งฟังบทสวดร่วมกับคนจำนวนมากจนจบ เธอนึกไปในอดีตอีกครั้งถึงเจ้าหน้าที่ของระบบที่พยายามอธิบายว่าไม่มีคลาสไหนได้มาหรือฝึกเล่นง่ายๆ ถ้ายังไม่ชอบสามรูปแบบหลักที่เขาแนะนำมาก็คงต้องเล่นเป็นหน่วยสนับสนุนอย่างนักบวชเท่านั้น
ดังนั้นนักบวชสาวกนี่แหละเหมาะกับเธอที่สุดแล้ว
“ลุกขึ้นมา! สาวกของทวยเทพทุกคน” เจ้าหน้าที่ของระบบที่เป็นชายหัวโล้นในชุดคลุมสะอาดสะอ้านประกาศ เขาคือหัวหน้าของสมาคมคลาสนักบวชในที่แห่งนี้
“พวกเธอทุกคนตอนนี้ ได้รับพรจากเหล่าทวยเทพแห่งสีสันแล้ว เพื่อเป็นการพิสูจน์ว่ามีความตั้งใจจริง หลวงพ่อจะมอบภารกิจให้พวกเจ้าออกแสวงบุญไปยังโบสถ์แห่งเมืองเลมอนวู๊ด เมื่อไปถึงแล้ว พวกเธอก็จะเป็นสาวกโดยสมบูรณ์”
กรอบแสดงภารกิจปรากฏขึ้นหน้าณดีในขณะนั้นเอง
‘ภารกิจแสวงบุญครั้งแรกงั้นเหรอ แสดงว่าต้องเดินทางน่ะสิ’ คนไม่ค่อยมีความมั่นใจอ่านข้อมูลที่ปรากฏอย่างหวาดๆ หลังจากนั้นก็ถูกคลื่นมนุษย์พัดออกมาอยู่ลานหน้าปราสาทเช่นเดิม
สิ่งแรกที่เธอรีบทำเป็นอันดับแรกคือติดต่อริน
“ฮัลโหล ริน! นี่ฉันเองนะ ตอนนี้เธออยู่ที่ไหน” หญิงสาวพูดใส่กรอบข้อความที่แสดงหน้าเพื่อนของเธอกำลังง่วนกำการเดินซื้อของในร้านค้า
“อ้าว คนสวย โทษทีๆ ตอนนี้ฉันออกมาซื้อของอยู่ที่แถวประตูเมืองแน่ะ” รินหันมายิ้มกว้างให้แวบหนึ่งแล้วก้มดูกองสินค้าต่อ “ออกมารอฉันตรงหน้าเมืองได้เลย อย่างณดีเดินช้า มาถึงฉันก็เลือกเสร็จพอดีแหละ”
“คือ... ริน ที่จริงฉันยังเปลี่ยนคลาสไปเสร็จนะ มันมีภารกิจให้เดินทางไปแสวงบุญที่เมืองๆนึง แต่ไม่รู้ว่าเมืองนั้นมันอยู่ที่ไหนเหมือนกัน”
รินยังคงง่วนกับการขุดคุ้ยไอเทมในร้าน เธอกล่าวอย่างอารมณ์ดีว่า “หืม แสวงบุญด้วยเหรอ สมกับที่เป็นนักบวชจังเลยน้า ไอ้เมืองที่ว่านี่ชื่อเลมอนวู๊ดใช่ปะ”
ณดีเลิกคิ้วสูงโดยไม่รู้ตัว “ทะ ทำไมถึงรู้ได้ล่ะ”
“ก็ได้ยินพวกเล่นใหม่คนอื่นเขาคุยกันว่าต้องไปทำเควสที่นี้เพื่อเปลี่ยนอาชีพที่นั่นกันทั้งนั้นเลยน่ะสิ ที่สำคัญนะ คลาสอัศวินของฉันก็ต้องไปรับตำแหน่งที่นั่นเหมือนกัน”
ณดีดีใจจนแทบกระโดดตัวลอย “งั้นหมายความว่า เราจะเดินทางไปเปลี่ยนคลาสที่เมืองนั้นด้วยกันใช่ไหม ดีจังเลย!!”
“จ้า จ้า ถึงไม่ได้ไปด้วยกันฉันก็ไม่ทิ้งเธอให้เดินทางไปคนเดียวหรอกน่า ฉันขอซื้อเสบียงกับต่อละนะ เจอกันกันที่หน้าเมือง”
ตรู๊ด~
ณดีก้าวฉับๆด้วยหัวใจพองโตผ่านอาคารสูงใหญ่ของเมืองชั้นในหวังจะไปพบเพื่อนให้เร็วที่สุด ระหว่างเธอเธอก็ชมความงามของกรุงเทพเวอร์ชั่นโลกแฟนตาซีแห่งนี้ไปด้วย เมื่อจะได้ไปเปลี่ยนอาชีพกับเพื่อนสนิทความกังวลก็หายไปและได้รู้ว่าโลกเสมือนจริงแห่งนี้มันน่าตื่นตาเพียงใด
ทั้งสำนักงานของบริษัทชื่อดังในโลกจริงที่มาเช่าตึกสองคูหาเป็นที่ทำการ ทั้งร้านแผงลอยที่ยื่นออกมาบนพ้นถนนจนผู้เล่นต้องเบียดเสียดกัน หรือแม้แต่วินมอเตอร์ไซต์ที่เปลี่ยนไปใช้เสือหรือนกยักษ์แทนจักรยานยนต์ก็ด้วย หญิงสาวใช้ความพยายามเล็กน้อยก็ผ่านสิ่งกีดขวางทั้งหมดและมาถึงประตูหน้าเมืองภายในสิบนาที
และที่ตรงนั้นเพื่อนของเธอกำลังโดนผู้ชายหกคนล้อมเอาไว้อยู่
‘อะไรกันเนี่ย’ ณดีใจหล่นวูบ เธออยากจะเข้าไปหาเพื่อน แต่ความกล้ากับความมั่นใจได้หายไปไหนหมดแล้วก็ไม่รู้
“พวกหน้าเลือดมันมาหาเหยื่อรายใหม่อีกแล้วเหรอ แย่จริงๆ”
ผู้เล่นหญิงคนหนึ่งเอ่ยขึ้นมาข้างๆณดี นอกจากรูปร่างหน้าตาที่สวยเหมือนกับนางแบบแล้ว ณดียังรู้สึกเหมือนว่าเคยพบเธอมาก่อนแล้วครั้งหนึ่งอีกด้วย ชั่วขณะนั้นที่อีกฝ่ายหันมาสบตาเธอ ณดีก็นึกออกจนได้ นางชื่อ เฟอร์น่า คนที่เธอซุ่มซ่ามไปชนเมื่อตอนเข้าเกมมาใหม่ๆนั่นเอง
“พะ พวก พวก พวกผู้ชายตรงนั้นเป็นใครเหรอคะ” ณดีทำเป้นไม่รู้จักอีกฝ่ายไปก่อน แล้วถามออกไปอย่างตะกุตะกัก
เฟอร์น่าตอบทันใด “พวกต้มตุ๋นค่ะ”
ความคิดเห็น