คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #8 : บทเรียนที่ 8 เป็นเบ๊ก็ทำงานเบ๊ไป l เด็กๆกับเจ้าหญิงจันทรา
หลังจากที่ฉันและลูกน้องผู้แสนดีทุกคนตรากตรำทำงานหนักแทบไม่ได้หลับไม่ได้นอนเป็นเวลาสองวันสองคืนเต็มๆก็ตรวจคำตอบจำนวนหนึ่งแสนหกหมื่นกว่าชุดได้หมดและประกาศผู้มีสิทธิ์สอบรอบต่อไปในที่สุด จากนั้นก็อัพโหลดเอกสารประกันชีวิตรวมถึงเอกสารยินยอมที่จะเสียชีวิตในการคัดเลือก ยกเว้นซิสเตอร์เฟรส (และคณะเบ๊ของเธอ) ที่มีหน้าที่เข้าป่าล่าสัตว์มาใช้งานเพิ่มตามลิสต์รายการที่อายาเสะเขียนบอกไว้ และฉันมีความยินดีที่จะบอกว่าสถาบันของเราซ่อมแซมเสร็จหมดแล้วทุกอย่าง ตบมือ เฮ!
และอีกหนึ่งวันที่เหลือก็ประชุมวางแผนและจัดการเรียกนักเรียนรุ่นพี่, เชิญแขก, อัญเชิญเทพและปีศาจเพื่อมานัดคิวในการจัดการคัดเลือกและมอบหมายงานให้ไปทำ แน่นอนว่าอนุญาตให้ปล่อยพลังได้ตามดุลยพินิจ อยากจะระเบิดภูเขาเผากระท่อมก็ทำได้ตามสะดวก
จนกระทั่งซิสเตอร์เฟรสกลับมา เรารอพัสดุมีชีวิตส่งด่วนอีกหนึ่งชั่วโมงก็ได้รับของ กรงและกล่องไม้หลายขนาดจำนวนมากถูกลำเลียงลงมาจากรถบรรทุกสองคันก่อนจะเอาไปปล่อยไว้ในมิติคัดเลือก
และสุดท้ายก็ได้รับกล่องโพชั่นสามชนิดอย่างละสามกล่องมาจากช็อปที่เพิ่งสั่งซื้อไปเมื่อวาน (ความจริงไม่จำเป็นต้องใช้มากขนาดนั้น แต่เห็นมันลดเหลือครึ่งราคาเลยกว้านซื้อมา) โพชั่นที่ซื้อมาก็มีโพชั่นบำรุงพละกำลัง, โพชั่นเพิ่มพลังเวทมนตร์ และโพชั่นเพิ่มพลังชีวิตที่ทุกคนต้องการใช้ด่วนหลังจากประชุมเสร็จ ก่อนจะกลับไปหลับเป็นตายอยู่ในห้องพักของแต่ละคนตั้งแต่พระอาทิตย์เพิ่งลับแสงเพื่อฟื้นพลังให้เต็มที่ต้อนรับการคัดเลือกที่จะมีขึ้นในวันรุ่งขึ้น
ฉันตื่นขึ้นมาและพบว่าตะวันทอแสงอยู่นอกหน้าต่างแล้ว มองเลยไปที่นาฬิกาเป็นเวลาหกโมงครึ่ง เลยลุกไปห้องน้ำทั้งชุดนอนและเปิดน้ำร้อนใส่อ่างเท่าที่ความแรงของมันจะอำนวย เดินกลับไปที่อ่างล้างหน้า เปิดตู้กระจกที่อยู่ตรงระดับศีรษะพอดีและหยิบซองใส่ผงอาบน้ำออกมาวางเตรียมไว้ จัดการล้างหน้าแปรงฟันเสร็จก็เดินออกไปถอดเสื้อผ้าใส่ตะกร้าหน้าห้อง
พอกลับเข้ามาน้ำร้อนก็เกินครึ่งอ่างแล้ว ฉันปรับให้มันเบาลงและเปิดก๊อกน้ำเย็นลงไปผสมไม่ให้ร้อนเกินไปนัก พร้อมกันนั้นก็เทผงอาบน้ำกลิ่นดอกท้อและใส่ผงฟองสบู่ลงไปด้วย ลองแตะดูก็พบว่าอุณหภูมิกำลังดีจึงลงไปแช่ทั้งตัวทันที
อา อ่างอาบน้ำหอมกลิ่นดอกไม้ที่เต็มไปด้วยฟองสบู่นี่มันสวรรค์ของหญิงสาวชัดๆ
ฉันสางผมที่เปียกน้ำกว่าครึ่งออกไปด้านข้าง ทุกส่วนของร่างกายตั้งแต่อกลงไปอยู่ใต้น้ำทั้งหมด สองแขนวางพาดขอบอ่างไว้อย่างสบายใจ บางทีก็เอามือลงไปช้อนฟองสบู่ขึ้นมาเป่าอย่างสนุกสนาน
เสียงทุ้มเข้มที่ฉันรู้จักดีดังขึ้นจากข้างหลัง “ทำไมเจ้าไม่เรียกข้า?”
ฉันยิ้ม เสแสร้งไม่ตอบคำถาม “แอบดูผู้หญิงอาบน้ำแบบนี้ นิสัยไม่ดีเอาซะเลยนะ”
“เจ้าเรียกข้าได้แต่กลับไม่เรียกข้า มันหมายความว่าอย่างไร? เมทสึกิ”เสียงนั้นเข้ามาใกล้มากขึ้นจนแทบชิด กระแสขุ่นมัวไม่อาจปิดบัง
ฉันสัมผัสได้ถึงความร้อนที่อยู่ข้างแขน บ่งบอกได้ว่าเขานั่งลงที่ข้างขอบอ่างแล้ว แต่ฉันก็เลือกที่จะเลี่ยงไปโดยไม่สนใจคำขู่ “อย่าโหดร้ายนักสิ วันนี้ฉันยังต้องเหนื่อยอีกมากนะ ไม่มีแรงทะเลาะกับเธอหรอก”
สิ้นคำพูด แขนฉันก็ถูกกระชากขึ้นอย่างแรงจนหน้าอกโผล่ขึ้นมาเหนือน้ำ “ข้าบอกให้เจ้าตอบข้า!”
“เสียงดังแบบนั้นระวังจะมีคนเข้ามาเห็นนะ”ฉันพูดหวังจะให้เขาตอบโต้กลับมาอีกสักหน่อย แต่ฉันไม่คิดว่าเขาจะเงียบ เหลือเพียงสายตาคมกริบที่จ้องมองลงมายังใบหน้าของฉัน
ดวงตาของเขาไม่ได้บ่งบอกถึงสิ่งใดๆทั้งสิ้น ฉันจึงไม่รู้ว่าเขาต้องการอะไรจนกระทั่งเขาก้มหน้าลงมาจนริมฝีปากของเราแตะกันทั้งๆที่ใบหน้าของเราทั้งสองคนหันไปคนละทิศ
จูบนั้นบางเบาราวกับจูบรับอรุณของคนรัก จากนั้นก็เป็นเขาที่ผละริมฝีปากออกเพื่อจูบย้ำซ้ำๆอีกหลายที ริมฝีปากล่างของฉันถูกดูดเม้มเบาๆ เช่นเดียวกับฉันที่จูบตอบไปตามจังหวะที่เขาชักนำ
เพียงแต่ว่าไม่มีสิ่งใดเกินเลยไปมากกว่านั้น เขาละใบหน้าออกมาเมื่อเขาจูบฉันจนพอใจ
“เห็นแก่จูบของเจ้า ข้าจะไม่ถือความมากไปกว่านี้”
เขาปล่อยฉันลงไปนั่งนิ่งอยู่ในอ่าง เพียงไม่นานฉันก็ได้สัมผัสกับความเป็นส่วนตัวอีกครั้ง
ฉันแช่น้ำเสร็จหลังจากเหตุการณ์นั้นในอีกครึ่งชั่วโมงให้หลัง จากนั้นก็ออกมาสระผม นวดและหมักด้วยครีมอย่างดีก่อนจะใส่หมวกพลาสติกลงไปแช่น้ำอีกครั้ง ถึงจะรู้ว่ามันทำให้ผิวแห้งก็เถอะ แต่ขอต่ออีกสิบห้านาทีก็พอใจแล้ว ฉันล้างครีมออกและกลับไปปล่อยน้ำออก จากนั้นก็หยิบผ้าเช็ดตัวมากระโจมอกไว้ ด้วยความที่ฉันตัวสูงแล้วมันก็กินพื้นที่บริเวณหน้าอกพอสมควร จึงรู้สึกหวิวๆต้นขาที่โผล่พ้นผ้าอยู่ไม่น้อย
จุดหมายฉันอยู่ที่โต๊ะเครื่องแป้ง ตอนนี้ฉันต้องการไดร์เป่าผมแบบด่วนๆเลย น้ำหยดไปทั่วห้องแล้ว
ผมแห้งแล้วก็ต้องแต่งตัว วันนี้คงจำเป็นต้องใส่เสื้อที่ไม่ใช่แนวของตัวเองสักวันเพื่อการเคลื่อนไหวที่สะดวกแหละนะ เซ็งชะมัด
“โอ๊ะโอ๋ ท่าทางว่าเจ้านายของเราคงขัดใจน่าดูเลยนะ” เสียงเล็กที่ฟังดูก็รู้ว่าพยายามบีบให้กวนประสาทดังขึ้นข้างหลังฉันอีกแล้ว ฉันล่ะเกลียดไอ้คำเรียกกระแนะกระแหนนี่จริงๆให้ตายสิ
“แอสโมดิวส์ อย่าตอกย้ำน่า”
ปีศาจหนุ่มหัวเราะในลำคอ ร่างสูงใหญ่ลอยเข้ามาจนชิดกับแผ่นหลังของฉัน “แต่ก็ดูดีไปอีกแบบนะ ไม่ค่อยเห็นเธอใส่เสื้อรัดรูปแบบนี้เลย ใส่แต่เสื้อตัวโคร่งๆมาตั้งยี่สิบปี” มือซุกซนลูบบั้นเอวที่มีแค่เสื้อแขนยาวครึ่งตัวสีครีมขวางกั้น มืออีกข้างลูบลงบนต้นขาที่โผล่พ้นกระโปรงเอวสูงสีดำ
ไอ้ปีศาจบ้ากามนี่
“ถ้าว่างนักก็ไปเตรียมตัวเถอะ จะไปหาพี่เอสก่อนก็ได้”แค่ได้ยินคำว่าพี่เอสก็หูผึ่ง แอสโมดิวส์ปล่อยมืออกจากตัวฉันทันที “อนุญาตแล้วนะ” แล้วก็แวบหายไปทันที ปีศาจแห่งตันหาราคะนี่น่ารังเกียจจริง
ฉันส่ายหน้าอย่างเหนื่อยหน่ายพร้อมๆกับที่ใส่ถุงน่อง สวมสร้อยทับด้วยผ้าพันคอตามด้วยรองเท้าส้นสูงก็เป็นอันเสร็จ พร้อมสำหรับการคัดเลือกแล้ว!
“ทำไมหล่อนสายทุกทีเลยยะ!”
“โทษที สงสัยใช้เวลาแช่น้ำเยอะไปหน่อย”
พี่เซนี่ดูท่าทางซึมๆ พูดด้วยเสียงแหบผิดปกติเหมือนเพิ่งร้องไห้มา “เมทสึกิ ลิเวียแทนบอกว่ามาไม่ได้น่ะ กบฏเมอร์โฟล์กเอาอีกแล้ว” ซะงั้น เอาเหอะ ในเมื่อราชาแห่งท้องน้ำมาไม่ได้ก็ไม่เป็นไร ใช้พี่เซนี่แทนไปก่อนก็ได้ ถึงพลังของพี่เซนี่จะเทียบไม่ติดกับลิเวียแทนตัวจริงก็เถอะ
อินค์มองหน้าฉันแล้วยิ้ม “ท่านแอสโมดิวส์กับคุณเอสยังไม่ออกมา น่าจะล้างหน้าไก่กันอยู่น่ะครับ”ไม่ต้องพูดตรงขนาดนั้นก็ได้มั้งพ่อคุณ พี่ชายฉันเสียหายหมด
“เทพสูงสุดล่ะ?”
“ไม่มาขอรับ พระองค์บอกว่ามีงานต้องทำขอรับ”
ฉันพยักหน้ารับ เหอะ งานงั้นเหรอ ไม่ใช่ว่าโยนให้ลูกน้องทำอยู่หรอกเหรอ สงสัยคงจะงอนที่ปีนี้ฉันไม่ส่งเทียบเชิญล่ะมั้ง แต่ปกติก็ไม่เคยมาอยู่แล้วนี่หว่า
“ท่านเบลเซบับอาจจะทำอะไรไม่ได้มากเท่าไหร่เพราะท่านหญิงลิลิธเธอร้องจะขึ้นมาด้วยน่ะครับ” เฮ้ย ลิลิธจะขึ้นมาเรอะ!! ชิบหายแล้ว คุณพระคุณเจ้าช่วย มิติฉันจะพังเอาก็คราวนี้แหละ ยัยนั่นเคยสนใจอย่างอื่นนอกจากความสนุกของตัวเองซะที่ไหน
ฉันแหกปากลั่นใส่ลูกน้องของเบลเซบับอย่างแตกตื่นและลืมอาย “รีบไปบอกเบลเซบับว่าทำยังไงก็ได้ให้ลิลิธไม่ต้องขึ้นมา! ไม่ต้องขึ้นมาช่วยก็ได้ หยุดลิลิธไว้ในนรกนั่นแหละ! เร็วเข้าสิ!!” ลูกน้องคนนั้นรับคำและเปิดมิติกลับไปหาเจ้านายอย่างรวดเร็ว ฉันถอนหายใจ เป็นแบบนี้มันทุกปีที่ลิลิธนึกอยากจะขึ้นมา
ไม่ใช่ว่าแม่นั่นเก่งกาจระดับโคตรเทพเจ้าส่งมาเกิดหรอกนะ แต่ยัยนั่นเป็นตัวสร้างปัญหาระดับที่แม้แต่พระเจ้าก็ยังไม่สามารถโปรดได้ต่างหากล่ะ
พี่เอสกับแอสโมดิวส์ลงมาพร้อมกันหลังจากที่ฉันจัดการธุระเรื่องของผู้ที่ไม่สะดวกให้ความช่วยเหลือเสร็จ ทั้งสองดูไม่ใส่ใจว่าใครจะนินทาอะไรด้วยสภาพผมยุ่งๆพร้อมรอยแดงเต็มคอของพี่ชายฉัน และรอยฟันบนบ่าของปีศาจแห่งราคะ เอาเหอะ คู่นี้ก็เหมาะกันดี เพราะทุกครั้งที่แอสโมดิวส์มาหาพี่เอส พี่เขาจะสามารถอดทนขาดผู้ชายได้อีกเป็นอาทิตย์เลยล่ะ
เรื่องคาวๆเหล่านี้ของพี่เอส ฉันก็ทำได้แค่แสร้งปิดตาข้างหนึ่งและเปลี่ยนเรื่องแทน “พร้อมกันแล้วนะ ไปเถอะ”
ฉันให้คนอื่นยกเว้นพี่ชายกับน้องสาวเข้าประตูมิติไปรอก่อน ส่วนฉันกับที่เหลือก็เดินออกไปเปิดประตู และส่งเด็กๆเข้าไปในประตูมิติขนาดใหญ่สองบานที่แต่ละบานรองรับคนได้มากกว่าหนึ่งร้อยคนพร้อมๆกับที่พาเข้าไปทางพื้นดินเหมือนเดิมเพื่อความรวดเร็ว แต่ก็ยังใช้เวลามากพอสมควรอยู่ดี จนกระทั่งส่งชุดสุดท้ายเสร็จแล้วค่อยตามเข้าไป
พื้นที่สีขาวกว้างขวางแต่กลับมีพื้นที่จำกัดต่างจากครั้งแรกทำให้เด็กๆส่วนใหญ่มีท่าทางตื่นตกใจอยู่ไม่น้อย ฉันจึงยกพื้นส่วนของตัวเองและปรับสภาพโดยรอบให้เป็นไปตามที่วางแผนเอาไว้แต่แรกอย่างรวดเร็ว
พื้นที่บริเวณที่มีคนอยู่ทั้งหมดกลายเป็นทุ่งหญ้าแห้งๆ ยิ่งทำให้เห็นกรอบกั้นพื้นที่สีขาวได้ชัดเจนยิ่งกว่าเดิม ส่วนตรงที่ฉันยืนก็เป็นมอหินสูงมากพอที่จะให้คนอื่นเห็น
“สถาบันจะใช้การคัดเลือกในรอบนี้เป็นรอบสุดท้าย ซึ่งวิธีการคัดเลือกที่สถาบันจะใช้ในรอบนี้ก็คือเซอร์ไวเวอร์เกมนั่นเอง”
“ฉันขอประกาศกฎกติกาสักครู่หนึ่งก่อนจะเริ่มการคัดเลือก ขอบอกไว้ก่อนว่าสิทธิ์ในการควบคุมสภาพแวดล้อมทุกอย่างเป็นของฉัน แต่ฉันไม่สามารถควบคุมผู้ได้รับเชิญให้มาเป็นผู้ช่วยในการคัดเลือกได้ เพราะฉะนั้นไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น สถาบันจะรับผิดชอบเฉพาะในส่วนของบุคลากรของเราเท่านั้น แต่สถาบันจะไม่รับผิดชอบในส่วนของคนที่ไม่ใช่บุคลากรแต่อย่างใด แม้ว่าจะเป็นอันตรายจนถึงแก่ชีวิตก็ตาม
การคัดเลือกครั้งนี้ให้เวลาหนึ่งวันเต็มๆ ตั้งแต่เวลาเก้านาฬิกาจนถึงสิบเจ็ดนาฬิกา แต่วันเวลาในนี้จะเปลี่ยนไปตามการควบคุมของฉัน
ส่วนเกณฑ์การคัดเลือกก็คือต้องมีชีวิตจนกว่าจะหมดวันนี้ และจะต้องมีสภาพร่างกายที่สมบูรณ์ดีที่สุดในตอนที่หมดเวลาการคัดเลือกด้วย นอกจากนี้ จำนวนอุปสรรคที่เธอผ่านก็จะถูกนับเพื่อถ่วงน้ำหนักคะแนนด้วยเช่นกัน โดยเราจะนำไปรวมกับคะแนนสอบของพวกเธอและคัดเลือกคนที่ทำได้ดีที่สุด 15 ลำดับแรก แต่ลำดับที่ 1, 2 และ 3 ของแต่ละด้านก็จะถูกรับไว้ด้วยเช่นกัน ภายในโควตา 15 คนนั่นแหละ”
เว้นเสียแต่ว่า 1, 2, 3 มันจะเป็นคนเดียวกันนะ ฮิๆๆๆ
แต่พูดยาวมากจนรู้สึกเจ็บคอเลยแฮะ
ถามว่าจะรู้ได้ยังไงว่าใครผ่านตรงไหนยังไงบ้าง? พวกเราก็ปล่อยโดรนออกไปสังเกตการณ์ร่วมกับเนตรปีศาจของฮิเมะกับเซลีนไง
นอกจากนี้ อาจจะไม่มีคนสังเกต แต่เพดานด้านบนน่ะเป็นวัสดุพิเศษที่หักเหแสงได้เกือบหมดจึงมีสภาพไม่ต่างจากเพดานล่องหน ซึ่งพวกเราก็ติดกล้องไว้แบบที่ปราศจากมุมอับโดยสิ้นเชิง แล้วก็ตามอุปสรรคต่างๆก็ซ่อนกล้องไว้หลายๆที่เผื่อโดนทำลายขึ้นมาจะได้มีสำรองไว้ดูจากมุมอื่นด้วย
ถามว่าทำไมถึงมีทุนมากมายขนาดทำอะไรเว่อร์ๆเยอะๆได้แบบนั้น? คำตอบก็คือเรามีกองทุนสนับสนุนจากรัฐบาลของสี่ทวีปไงล่ะ ทุกๆปีพวกเขาจะต้องจ่ายให้เราเหมือนกับที่เราเสียภาษีให้พวกเขา เวลาเราอยากได้อะไรก็แค่ทำเรื่องขอและจั่วหัวเอาไว้ว่า “ด่วนที่สุด” เท่านั้นก็ได้ตามที่ต้องการแล้ว
เพราะว่าฉันต้องการสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับสถาบันของฉัน ฉันต้องการให้ทุกอย่างสมบูรณ์แบบแม้ว่ามันแทบจะเป็นไปไม่ได้ ทั้งระบบการเรียนการสอนฉันก็เลือกเฟ้นสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับหลักสูตรมาอย่างดี บุคลากรก็เกินมาตรฐาน (แม้ว่าบางทีจะมีเส้นโผล่เข้ามาบ้างก็ตาม) เพราะฉะนั้นการคัดเลือกนักเรียนจึงเป็นสิ่งที่ทั้งบันเทิงทั้งเคร่งเครียดสำหรับฉันในเวลาเดียวกันเลยล่ะ
“อุปสรรคที่จะได้เจอมีหลายอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นสภาพแวดล้อมวิปริตแปรปรวนแบบที่พวกเธอไม่เคยเจอมาก่อน มอนสเตอร์หลากหลายสายพันธุ์ แขกรับเชิญคนพิเศษ มีทั้งเทพหรือแม้กระทั่งปีศาจ แน่นอนว่ายังมีนักเรียนรุ่นพี่และบุคลากรของสถาบันเป็นผู้คัดเลือกอีกต่างหาก
แต่สถาบันไม่ได้ใจร้ายขนาดที่ว่าจะให้พวกเธอเข้าไปสู้มือเปล่าหรอกนะ เพราะว่าพวกเรากระจายจุดเติมเสบียงและจุดเติมอุปกรณ์สำหรับทุกคนเพื่อการคัดเลือกไว้ให้เรียบร้อยแล้ว ถ้าโชคดีก็จะเจอเอง
การทดสอบครั้งนี้จะเป็นการพิสูจน์ตัวเองของพวกเธอไปด้วย ว่าพวกเธอเหมาะสมและคู่ควรกับสถาบันหรือไม่ เพราะฉะนั้น หากใครที่รู้ตัวว่าไม่พร้อมที่จะเจ็บปางตายหรือตายที่นี่ตอนนี้ฉันก็อนุญาตให้ออกไปได้เลย
และที่สำคัญที่สุดก็คือถึงแม้ว่าในตอนสุดท้ายเธอจะมีสภาพดีพร้อม แต่ถ้าได้มาจากการเอาแต่หนีก็จะไม่ผ่านการคัดเลือกด้วยเช่นกัน”
เด็กๆหลายคนส่งเสียงฮือฮาเหมือนจะปรึกษากันว่าจะเอายังไง หลังจากนั้นก็มีคนยกมือว่าตัวเองไม่พร้อม พอมีคนเปิด ก็มีคนตาม แหม หายไปเยอะเหมือนกันนะ แต่ก็ช่างเถอะ ถ้าเป็นแบบนี้ก็มีแต่ส่งกลับบ้านได้อย่างเดียวแหละนะ
“ขอให้ทุกคนโชคดี”ฉันปรับพื้นให้ยกสูงขึ้นจนกลายเป็นภูเขาขนาดใหญ่ที่มีจอมอนิเตอร์ไซส์ใหญ่เบิ้มรอบตัวแสดงภาพทุกมุมของของพื้นที่นี้ และลดกรอบกั้นลงมาจนเผยให้เห็นสภาพแวดล้อมโดยรอบได้ในที่สุด
สภาพแวดล้อมที่ต่างกันสุดขั้วทั้งสิบสองทิศ เมื่อมองไปด้านหน้า (หรือด้านหลังฉัน) ก็จะเป็นป่าขนาดใหญ่ ซึ่งเต็มไปด้วยต้นไม้รกทึบแทบไม่มีแสงสว่างเล็ดรอดออกมาผ่านเงาไม้ ถ้าสังเกตดีๆจะเห็นว่ามีทางสัตว์เส้นเล็กนำทางไปอยู่สองสามเส้นทาง
ถัดไปอีกเป็นทุ่งหญ้าสีเขียวขจีที่มีดอกไม้สวยงามหลากหลายสีสันแข่งกันอวดช่อเบ่งบานอยู่เต็มไปหมด ถ้าสังเกตดีๆจะเห็นเงาคนยืนอยู่รางๆกลางทุ่งด้วย ที่สำคัญคือไม่ได้มีแค่เงาเดียว
ข้างๆกันนั้นเป็นหมู่บ้านจัดสรรที่ปิดประตูเหล็กดัดเอาไว้ รั้วเหล็กสีดำสนิทก่อปูนที่ด้านล่างล้อมรอบหมู่บ้านขนาดใหญ่ที่เต็มไปด้วยบรรยากาศอึมครึมหม่นหมองน่ากลัว และไม่สามารถคาดเดาได้ว่าในบ้านมีสิ่งใดรอคอยอยู่
ถ้ามองถัดจากหมู่บ้านจะเห็นยอดตึกซึ่งอยู่ในพื้นที่เมืองจำลองด้วย มีทั้งบ้านคน ตึกสูง ร้านสะดวกซื้อ ห้างสรรพสินค้าและหลายสิ่งหลายอย่างมากมายอยู่ในนั้น ไม่มีบรรยากาศกดดันแต่อย่างใด แต่เพราะว่าไม่มีมันถึงได้ยิ่งกดดันเข้าไปใหญ่
อีกด้านเป็นทิวเขาสูงต่ำมากมายแผ่ขยายออกไปราวกับว่าไร้ที่สิ้นสุด ภูมิประเทศค่อนข้างจะโหดร้ายอยู่สักหน่อยแต่ก็ดูปลอดภัยล่ะมั้ง?
แม้แต่สภาพแวดล้อมระดับขั้วโลกก็ยังมีให้เห็น ปุยหิมะและเกล็ดน้ำแข็งโปรยปรายลงบนแผ่นน้ำแข็งผืนหนา อากาศหนาวเย็นจนเสียดขั้วกระดูก หมีขาวตัวใหญ่น่ารักน่าฟัดเดินย่ำพื้นน้ำแข็งไปมาอย่างไม่สนใจสิ่งรอบกาย
ถัดไปเป็นทะเลทรายสีทองร้อนระอุ ซึ่งถ้าเดินเข้าไปก็จะพบกับเมืองปีศาจด้วย อย่าเข้าใจผิดล่ะว่ามีแต่ปีศาจอยู่ในนั้น เมืองปีศาจน่ะมันก็เป็นดงแท่งหินสูงที่ต่างรูปร่างกันไปตามแรงซัดและกัดเซาะของพายุทรายต่างหากล่ะ
ใกล้ๆกันก็เป็นทะเลที่มีเกาะอยู่ตรงกลาง พื้นทรายละเอียดสีขาวสีตัดกับทรายจากทรายของทะเลทรายแบ่งแยกพื้นที่กันชัดเจน พื้นน้ำสีฟ้าอมเขียวงดงามเหมือนทะเลจริงๆ แต่เมื่อมองไกลออกไปจะพบว่าพื้นน้ำนั้นเป็นสีน้ำเงินเข้มผิดจากทะเลหาดปกติ แต่กลับเป็นเหมือนทะเลน้ำลึกแบบมหาสมุทรแทน
ถัดจากทะเลไปก็เป็นทะเลป่าซึ่งมีสภาพแทบไม่ต่างจากป่าธรรมดา ชายป่าออกจะโล่งกว่าด้วยซ้ำ แต่ด้านในจะรกทึบกว่าอย่างเห็นได้ชัดราวกับป่าดึกดำบรรพ์ ต้นไม้หลากหลายสายพันธุ์ขึ้นอยู่เต็มพื้นที่และปราศจากทางสัตว์ ส่วนที่แตกต่างกับป่าธรรมดาอย่างที่สุดก็คือที่นี่มีสนามแม่เหล็กจำลองที่ปั่นป่วนรุนแรงจนเครื่องใช้ไฟฟ้าใช้การแทบไม่ได้ และไม่สามารถหาทิศทางจากสิ่งใดๆได้เลย
ถัดจากนั้นคือสภาพแวดล้อมแบบภูเขาไฟ แน่นอนว่าต้องมีภูเขาไฟทรงกรวยที่ตั้งตระหง่านอยู่ให้เห็น ไม่มีเสียงดังครืนเป็นสัญญาณว่าจะเกิดการระเบิดขึ้น แหงล่ะ ไอ้ของแบบนี้ถ้าให้มันระเบิดขึ้นมาก็หมดสนุกสิ แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังมีร่องรอยของธารลาวาไหลเป็นทางให้เห็นอยู่ดี
และสุดท้ายก็คือพื้นที่สีขาวโล่งแต่หลอกตา เพราะว่ามันมีแต่หมอกหนาทึบจนมองไม่เห็นสภาพแวดล้อมด้านในเลยแม้แต่นิดเดียวนั่นเอง
แม้ว่าทั้งหมดที่เห็นมันจะดูต่างกันสุดขั้วก็จริง แต่ก็มีพื้นที่ต่อกันจนแทบจะไม่รู้สึกว่าแปลกประหลาดแต่อย่างใด แต่อีกเดี๋ยวก็รู้สึกเองนั่นแหละ
“แต่จงระวัง นอกจากกฎที่ว่าจงมีชีวิตจนวินาทีสุดท้าย ก็ไม่มีกฎอื่นใดให้ปฏิบัติอีกแล้ว”
ใช่แล้วล่ะ เพราะว่านี่คือเซอร์ไวเวอร์เกม ทุกคนต้องทำเพื่อความอยู่รอดของตัวเองอยู่แล้ว
“เริ่มได้”
นิ่ง
นิ่ง
นิ่งสนิท
ทุกคนยังยืนนิ่งคิดว่าจะไปกันทางไหนดี นี่พวกแก เวลาแบบนี้มันยังต้องคิดอะไรกันอีกหา!!!
“ถ้ายังไม่ไปไหนกัน ฉันจะส่งพวกเธอไปเอง”
ฉันโบกมือ จากท้องฟ้าที่เคยโปร่งใสกลับกลายเป็นมืดครึ้ม ลมพัดกรรโชกโหมกระหน่ำรุนแรงผิดปกติ แรงลมดันจนก้อนเมฆเริ่มเคลื่อนตัวเป็นวงลงต่ำและกลายเป็นสีเทา เสียงครืนๆดังลั่นจนหูอื้อด้วยความที่อยู่ใกล้กว่าท้องฟ้าปกติ เส้นสีเงินปลาบวิ่งไล่ผ่านไปตามก้อนเมฆแต่ละก้อน ก่อนจะกลั่นตัวขึ้นเป็นกลุ่มใหญ่อย่างช้าๆ
ใช่ ถ้ายังไม่ไป ฉันจะเอาไอ้พายุสายฟ้านี่ผ่ากบาลพวกแกเรียงตัวเลย
ฉันได้ยินเสียงตะโกนขึ้นมาจากข้างในกลุ่มเด็กๆ “หลบ!!”
“ระดับนี้แค่หลบคงพ้นหรอกไอ้โง่ หนีสิวะ! เฮซ ช่วยที”
ฉันเห็นเงากลุ่มเล็กๆสี่เงาวูบออกไปและไปปรากฏอยู่ที่ชายทะเลป่าก่อนจะวิ่งหนีเข้าไปในนั้น ลูกๆฉันทั้งสี่ช่างน่ารักจริงๆ มีบางคนที่เห็นลูกของฉันวิ่งเข้าไปแล้วก็แตกตื่นแห่ตามกันเข้าไปทั้งสิบสองทิศสิบสองภูมิประเทศ
แต่ไอ้พวกที่ยังไม่ไปไหนมันก็ต้องมีขู่กันบ้างแหละนะ เอ้า ฟาด
ครืน!!! เปรี้ยง!!!
แสงสีขาวปลาบสว่างวาบขึ้นกลางท้องฟ้า ก่อนที่พายุสายฟ้าจะฟาดลงมายังพื้นรัวเป็นชุด ตามด้วยเสียงฟ้าคำรามทิ้งจังหวะตามที่ควรจะเป็น
ความปกติเพียงหนึ่งเดียวในสถานที่แห่งความไม่ปกติ
เด็กๆที่ยังเหลืออยู่หลายคนวิ่งหนีตายกันอลหม่าน แตกตื่นวิ่งไปโดยไม่สนใจทิศทางหรือจุดหมาย ไม่สนใจแม้กระทั่งว่าตัวเองจะเอาชีวิตไปทิ้งไว้ในที่ไหนกันบ้าง แต่ก็ยังเป็นปกติของมนุษย์ที่มักจะเข้าหาความมงคล หนีจากความอัปมงคล แมพที่เต็มไปด้วยหมอกมีคนเข้าไปน้อยที่สุด ในขณะที่แมพเมืองจำลองมีคนเข้าไปมากที่สุด
ไม่ได้หรอกนะ ฉันไม่ยอมให้เกิดความไม่เท่าเทียมกันในนี้หรอก เดี๋ยวก็รู้เองนั่นแหละว่าจะเลือกทางไหนก็ไร้ประโยชน์ ถ้าไม่แกร่งพอก็ไม่มีหวังจะผ่านหรอกนะ แต่จะปล่อยให้สนุกกันไปก่อนก็ได้ ฉันก็ไม่ได้ใจร้ายขนาดนั้นซะหน่อยนี่นา
ต่อจากนี้จะหาว่าฉันลำเอียงก็ช่าง แต่ฉันเป็นห่วงลูกๆของฉันนี่นา เล่นเข้าไปในทะเลป่ากันรวดเดียวสี่คนเลย เพราะงั้นก็ขอส่องดูหน่อยเถอะว่าไปอยู่ตรงไหนแล้ว
หลังจากวิ่งไปจนรู้สึกปลอดภัยจึงลดจังหวะลงเปลี่ยนเป็นเดินได้สักพัก ฟ็อกยกมือขึ้นมาดูเข็มทิศบนนาฬิกาข้อมือ เสียงหวานใสบ่นหงุงหงิงตามปกติ “พี่อากิ เข็มทิศใช้ไม่ได้อ้ะ หมุนติ้วๆอย่างกับลูกข่างแน่ะ”
เฮซชะงัก หันมองหน้าฟ็อก “พี่ว่าหมุนเหรอ?”
“อืม หมุนๆๆๆ หมุนไม่หยุด ถ้าเป็นแบบนี้ก็หาทิศทางไม่ได้เลยนะ”ลูกชายคนกลางของฉันพยักหน้าหงึกหงักรับคำ นิ้วชี้วาดเป็นวงซ้ำๆสื่อความหมาย อากิก้มลงมองเฮซที่สีหน้าแปลกไปอย่างเห็นได้ชัด คิ้วเรียวเลิกขึ้นเหมือนจะถามว่ามีอะไร
เฮซเงยหน้าขึ้นมองอากิ พูดเสียงเครียด “พี่อากิ ผมว่าเราอยู่ในทะเลป่า”
“อุฮุฮุฮุ เด็กสมัยนี้เก่งกันจังเลยนะเจ้าคะ ตัวเล็กเท่านี้แต่รู้ด้วยว่านี่คือทะเลป่า”
อา นี่ลูกๆของฉันโชคดีหรือโชคร้ายกันแน่ที่ไปเจอเจ้าหญิงแห่งดวงจันทร์เข้า องค์หญิงผู้เมตตาปราณียิ่งกว่าใครแต่กลับมีพลังมากมายยิ่งกว่ามนุษย์โลกหลายเท่า
แน่นอนว่าลูกๆของฉันไม่ใช่คู่มือขององค์หญิงหรอก
อากิยกแขนป้องร่างน้องชายให้หลบไปด้านหลัง มือกระชับมีดสั้นที่เหน็บไว้ข้างเอวแน่น ท่าทางพร้อมรบเต็มที่ทำให้เจ้าหญิงคางุยะต้องป้องปากหัวเราะเบาๆอีกครั้ง
“อุฮุฮุฮุ มิจำเป็นต้องเป็นห่วงไปหรอกเจ้าค่ะ ข้ามิได้ใจร้ายถึงเพียงนั้น ข้าเพียงแค่อยากจะลองทดสอบดูเท่านั้นเองว่าลูกบุญธรรมของท่านหญิงเมทสึกิจะมีฝีมือมากแค่ไหน”
เจ้าหญิงคางุยะลดแขนลง พัดจีบคล้องโซ่หล่นออกจากแขนเสื้อมาอยู่ในมืออย่างแม่นยำ มือบอบบางสะบัดพัดออกจนได้ยินเสียงดังพรึ่บ ก่อนจะผายมือมายังลูกๆของฉันที่ยืนอยู่
“มาสิเจ้าคะ ขอข้าดูหน่อย จะโจมตีข้าพร้อมกันเลยก็ได้นะเจ้าคะ”
บรรยากาศกดดันแผ่กว้าง ลูกๆของฉันหันมองกันเองเพื่อตัดสินใจก่อนที่อากิจะลดแขนที่ใช้กันน้องชายลง ฟ็อกถอยหลังและลากยูลไปด้วยในขณะที่เฮซขยับไปอีกด้านเยื้องกับตรงที่อากิยืนอยู่
ผลึกจันทราที่ลอยอยู่ในมือขององค์หญิงคางุยะเรืองแสงสีฟ้าอ่อนมากกว่าปกติ เจ้าหญิงเก็บมันใส่ลงในถุงผ้าใบเล็กที่คาดอยู่บนโอบิรัดเอว แสงของมันทะลุออกมาจากถุงอย่างเห็นได้ชัด แต่นั่นก็ทำให้มือของเธอว่างพอที่จะปลดโซ่ทั้งสองเส้นที่คล้องพัดอยู่ออก ด้วยน้ำหนักของตุ้มเหล็กที่ถ่วงอยู่ปลายโซ่จึงทำให้มันหล่นลงตามแรงโน้มถ่วง
อากิเองก็ชักมีดสั้นประจำตัวออกมา มีดสั้นเล่มนั้นชื่ออินคา มันเป็นของที่อากิเจอตอนอยู่ในกองกำลังป้องกันตนเองระหว่างการสำรวจพื้นที่โบราณแห่งหนึ่ง ซึ่งกองสำรวจเกือบทั้งกองต้องสังเวยชีวิตเพื่อสนองความอยากรู้ในการปลุกปีศาจของผู้นำการสำรวจครั้งนั้น (ซึ่งเป็นอดีตเจ้าเมืองที่อากิเคยอาศัยอยู่) แม้กระทั่งผู้นำคนนั้นเองก็ถูกมันฆ่าไปเหมือนกัน แต่อากิกับคนที่เหลืออยู่ไม่ถึงสิบคนไม่เป็นอะไร นั่นเป็นเพราะว่าสายเลือดของนักเวทที่ไหลเวียนอยู่ในตัวคอยปกป้องเธอกับพวกเขาเอาไว้
หลังจากที่ได้เห็นพลังของมันในครั้งนั้น อากิปฏิเสธมันและให้คนที่เหลืออยู่รับมันไปทันที เพราะเธอยังมีน้องต้องเลี้ยงดู แต่หลังจากนั้นคนที่ถือครองมันก็มีการทางประสาทอย่างรุนแรงจนต้องเปลี่ยนมือเจ้าของหลายต่อหลายครั้งและวนมาที่อากิเข้าจนได้ (ฉันเดาว่าคงเป็นเพราะว่าปีศาจนั่นธาตุไฟ ส่วนคนที่เหลือไม่ใช่ธาตุไฟก็เลยโดนของย้อนเข้าให้ล่ะ)
องค์หญิงยังคงยืนนิ่ง ในขณะที่ลูกสาวฉันควงมีดไปมาเป็นการซ้อมมือ ขายาวก้าวออกห่างจากน้องชายอย่างช้าๆ ร่างสูงขยับเข้าใกล้องค์หญิงมากขึ้นเรื่อยๆและเป็นฝ่ายเปิดการโจมตีก่อน
มือใหญ่ผิดผู้หญิงฟาดมีดสั้นลงไปเต็มแรง แต่องค์หญิงกันป้องกันไว้ได้ด้วยการหุบพัดจีบและใช้ขอบของมันสกัดการโจมตี อากิหวดขาเตะใส่ตัวองค์หญิงเต็มแรงแต่ไม่มีท่าทีว่าองค์หญิงจะรู้สึกแต่อย่างใด
“อุหุหุ ชุดจูนิฮิโตเอะของข้าแม้แต่ดาบยังฟันไม่เข้า แม้แต่ธนูยังไม่ทะลุ นับประสาอะไรกับลูกเตะของเจ้ากัน อย่าดูถูกข้านักสิเจ้าคะ”
องค์หญิงดันพัดออก ผลึกจันทราในกระเป๋าส่งแสงเรืองออกมามากขึ้น มันดันร่างขององค์หญิงให้ลอยสูงขึ้นกว่าเดิมอย่างรวดเร็วจนอากิต้องชักมือกลับด้วยกลัวว่าง่ามมือจะฉีกขาด
อากิร่ายเวทมนตร์ออกมา เปลวไฟร้อนระอุสีส้มแดงพุ่งออกมาจากมีดลากเลื้อยขึ้นไปจนกลายเป็นรูปร่างคล้ายกับมังกรไฟขนาดใหญ่ มันพุ่งเข้าหาองค์หญิงอย่างรวดเร็วจนองค์หญิงถึงกับผงะ ผลึกจันทราส่องแสงเพียงชั่ววูบและส่งตัวองค์หญิงหลบออกไปอีกด้านก่อนที่ไฟนั่นจะพุ่งเข้าถึงตัวอย่างเฉียดฉิว
แต่สิ่งที่ไม่ทันคาดคิดก็ได้เกิดขึ้นอีกครั้งเมื่อไฟนั่นแยกออกมาเป็นสองแฉกและพุ่งเข้าใส่องค์หญิงอีกครั้งด้วยความเร็วที่มากกว่าเดิม องค์หญิงสะบัดพัดใส่จนหัวของมันขาดออกเป็นสองท่อน
และโซ่ที่คล้องอยู่ก็ได้ทำหน้าที่ของมันเมื่อตุ้มเหล็กที่ถ่วงปลายทั้งสองเส้นฟาดเข้าที่หน้าของอากิจนช้ำเป็นวง
“พัฒนาขึ้นนี่เจ้าคะ ทำได้ไม่เลวเลยทีเดียว”
“อย่าประมาทนักสิ คิดว่าฉันมีดีแค่นั้นหรือไง”
องค์หญิงคางุยะเลิกคิ้วขึ้นน้อยๆอย่างแปลกใจ ก่อนจะพบว่าชายของชุดทั้งสิบสองชั้นติดไฟจนกลายเป็นวงกลม และส่วนที่ลามขึ้นเป็นจุดแรกก็มีขนาดใหญ่จนดูคล้ายกับว่ามีมังกรไฟนอนขดกินหางตัวเองอยู่อย่างไรอย่างนั้น
องค์หญิงถึงกับสะอึกไปเมื่อเห็นแบบนั้น เธอเรียกน้ำมาดับไฟที่กำลังลามอยู่อย่างรวดเร็ว แต่เพราะแบบนั้นเธอจึงไม่ทันได้เห็นอากิที่กระโดดเข้าชาร์จจนเธอล้มกลิ้งลงไปกองกับพื้นดินที่เต็มไปด้วยใบไม้ โดยมีมีดสั้นอินคาจ่อแนบชิดกับคอของเธอจนเลือดสีน้ำเงินไหลซึม
“เลือดชาวจันทราสีสวยดีนี่”
“ขอบคุณสำหรับคำชมเจ้าค่ะ แต่จะรู้สึกขอบคุณกว่านี้หากเจ้าลุกออกไปจากตัวข้าเสียที ข้าจะได้ดับไฟที่กำลังจะลุกท่วมชุดของข้าได้”
“ช่างสิ ไฟทำอะไรฉันไม่ได้อยู่แล้ว”
เกิดอาการเดดแอร์ไปชั่วขณะ องค์หญิงอยู่ในสถานะขยับตัวไม่ได้ ในขณะที่อากิก็ไม่คิดจะขยับตัว เฮซเดินเข้ามาแตะบ่าของพี่สาว
“พี่ครับ พอเถอะ ไปกันต่อเถอะครับ ก่อนที่แม่คิดจะทำอะไรแผลงๆมากไปกว่านี้”
ได้ยินน้องชายพูดแบบนั้นก็ทำเอาพี่รองอย่างฟ็อกดี๊ด๊าขึ้นมาทันตาเห็นจนส่งเสียงวี้ดๆและตบมือไปมาอย่างมีความสุข “อื้มๆ ไปหาจุดเติมเสบียงกันดีกว่าเนอะ”
“แกมันก็แค่ตะกละเท่านั้นแหละไอ้น้องโง่”อากิยอมละออกมาจากร่างขององค์หญิงในที่สุด เช็ดมีดเปื้อนเลือดเข้ากับกระโปรงลวกๆและเก็บเข้าฝัก บ่นพึมพำว่าไม่รู้ว่ามันจะชอบเลือดชาวจันทราหรือเปล่า
องค์หญิงกดย้ำลงบนแผลที่คอสองสามทีจนเลือดซึมออกมาตามซอกนิ้วมือ แต่เมื่อปล่อยมือออกก็กลับกลายเป็นว่าลำคอขาวเรียบเนียนสนิทเหมือนไม่เคยมีแผลมาก่อนอย่างไรอย่างนั้น
“อุฮุฮุฮุ ข้าอยากบอกไว้ก่อนว่าแถวนี้มีแต่จุดเติมอาวุธเจ้าค่ะ ถ้าเดินตรงจากจุดนี้ไปอีกสองร้อยก้าวก็จะเจอ แต่ถ้าจะหาจุดเติมเสบียงต้องเดินไปทางตะวันตกจนเกือบถึงแมพทะเลเจ้าค่ะ”
“ใกล้กว่านี้ไม่มีแล้วเหรอ”ฟ็อกพูด ใบหน้างองุ้มเล็กน้อยแต่ก็ยังดูน่ารัก
องค์หญิงคลี่ยิ้มบาง “มีเจ้าค่ะ ไกลไม่เกินห้าร้อยก้าวตามระยะกระจัดทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ แต่เส้นทางนั้นค่อนข้างโหดร้าย อุปสรรคอาจเยอะเกินความสามารถของพวกเจ้า อีกทั้งยังซับซ้อนเหลือประมาณ อย่าว่าแต่มีเข็มทิศเลยเจ้าค่ะ แม้เครื่องนำทางอัจฉริยะก็ไม่สามารถช่วยอะไรพวกเจ้าได้เหมือนกันเจ้าค่ะ”
เครื่องนำทางอัจฉริยะที่องค์หญิงพูดก็คือจีพีเอสน่ะ มันเป็นคำเรียกเชิงเสียดสีเฉยๆ
“แล้วทางไหนมันทิศอะไรกันล่ะ?”
องค์หญิงยิ้มให้อย่างอ่อนโยน ล้วงมือเข้าไปในแขนเสื้อและหยิบวัตถุทรงกลมขนาดพอดีกำมือออกมาให้กับเฮซ “ใช้นี่นำทางสิเจ้าคะ และขอบคุณที่ช่วยดับไฟให้กับชุดของข้าเจ้าค่ะ”
เฮซเบิกตากว้างอย่างตกตะลึง ไม่มีทางที่ลูกชายคนรองของฉันจะไม่รู้ว่าสิ่งนี้คืออะไร
“รูปร่างแบบนี้มันเนตรผาเทวา ไม่ใช่สิ นี่ทำจากหินอุกกาบาตดำ หรือจะเป็นเข็มทิศของเฟลมัวร์”
“ทั้งสองอย่างเจ้าค่ะ นี่ฝีมือช่างตีเหล็กของสถาบันอย่างฟรองซัวร์ โบเชียวนะเจ้าคะ”
“ผม--- ผมคงไม่เหมาะ--- ผมไม่ควรได้รับมันด้วยซ้ำ ทำไม---?”
“ถ้าลำบากใจมากนัก เอาไว้เจอกันอีกครั้งค่อยเอามาคืนสิเจ้าคะ”
องค์หญิงเอ่ยขัดก่อนที่เฮซจะพูดจบ แววตาที่ดูมั่นใจว่าจะต้องได้เจอกันอีกครั้งฉายชัดจนเฮซยิ้มออกมาบางๆ ก่อนจะเอ่ยขอบคุณและเดินจากไปยังทิศตะวันออกเฉียงเหนือ
“อ่อนให้เกินไปแล้วนะองค์หญิงคางุยะ”
“แหม ท่านหญิงก็พูดเกินไป ข้าเห็นหรอกเจ้าค่ะว่าลูกของท่านทำอะไรได้บ้าง”
ใช่แล้วล่ะ องค์หญิงเป็นคนที่อ่านคนขาดได้อย่างสมบูรณ์แบบ เพียงแค่มองหรือสนทนากันไม่กี่ประโยคก็สามารถบอกได้ชัดเจนว่าใครเป็นคนแบบไหนมีข้อดีข้อเสียอย่างไรได้ ไม่แปลกที่จะรู้ว่าลูกของฉันคนไหนทำอะไรได้บ้าง
อากิน่ะเป็นสายแอทแทค ดูจากแรงแล้วก็น่าจะรู้ ทั้งรูปแบบการโจมตีที่กะเอาตายทุกครั้งก็ยิ่งชัดเจนสมกับที่เป็นเป็นทหารเก่า แต่กระนั้นก็ยังมีจุดบอดหลายจุดที่เห็นกันชัดๆ
ฟ็อกเป็นสายดีเฟนซ์ เป็น Absolute Defense ของแท้ที่หาได้ยาก ในช่วงที่สู้กับอากิ องค์หญิงพยายามจะโจมตีทั้งเขากับเฮซและยูลแล้วแต่ก็ไม่เป็นผลเลยแม้แต่น้อย ซึ่งนั่นทำให้เธอพลาดท่าโดนโจมตีอย่างคาดไม่ถึงเอาได้
เฮซเป็นสายซัพพอร์ต อาจจะดูได้ไม่ชัดแต่อากิใช้เวทมนตร์ร่วมกับการควบคุมธาตุสองธาตุพร้อมกันอย่างคล่องแคล่วได้ไม่ถึงระดับนั้นแน่ นอกจากนี้เฮซยังสามารถปรับเปลี่ยนกระบวนท่าป้องกันสลับโจมตีได้อย่างยืดหยุ่นและสอดรับเข้ากับการโจมตีของพี่สาวได้อย่างสมบูรณ์แบบอีกต่างหาก
และยูลเป็นสายฮีล ตอนที่องค์หญิงต้านอากิโดนการดันขึ้นไปตอนนั้น ง่ามมือของเด็กคนนั้นน่าจะฉีกขาดไปแล้วเรียบร้อย แต่ก็กลับมาเป็นอย่างเดิมได้โดยที่องค์หญิงแทบไม่รู้สึกเลยด้วยซ้ำ เหตุผลก็เพราะว่าองค์หญิงอยู่นอกขอบเขตพลังของยูลที่ใช้รักษายังไงล่ะ
“มีอีกคนหนึ่งมาทางนี้พอดี ข้าก็จะเอาจริงแค่ระดับนั้นนั่นแหละเจ้าค่ะ”
ปราการด่านแรกแห่งทะเลป่า องค์หญิงสึกิฮิเมะ คางุยะที่สาม ว่าที่ราชินีผู้ที่จะได้เป็นผู้ปกครองดวงจันทร์คนต่อไป อาจารย์ผู้สอนวิชาการปกครอง และได้รับโหวตให้เป็นอาจารย์ที่ใจดีที่สุดสามปีติดต่อกัน
แต่ถ้าจะให้งัดกันจริงๆ ฉันว่าแม้แต่ฉันก็ยังหืดขึ้นคอ
ไอ้ที่ลูกๆฉันผ่านมาได้ก็เพราะองค์หญิงเธอออมมือให้ทั้งนั้น เธอใช้พลังถึงหนึ่งส่วนสิบหรือเปล่ายังไม่รู้เลย
แต่ก็นั่นแหละ การประสานงานเป็นทีมของลูกฉัน คงทำให้องค์หญิงประทับใจอยู่ไม่มากก็น้อยล่ะ
------------------
สวัสดีค่ะ ขอโทษที่หายไปนานมาก
พอดีว่ามีอะไรหลายๆเรื่องเกิดขึ้น ทั้งเตรียมเข้ามหาลัย ทั้งทริปเที่ยวด่วน ทั้งอีเว้นท์เกมที่กำลังจะมาถึง
ก็เลยเป็นสาเหตุให้กว่าจะได้เขียนแต่ละครั้งลำบากมากเลยค่ะ
ถ้าตอนนี้อ่านแล้วรู้สึกขัดๆก็ต้องขอโทษด้วยนะคะ เพราะว่าเขียนแต่ละครั้งคืออารมณ์ไม่คงที่และไม่ติดต่อกัน กว่าจะบิ้วท์ตัวเองให้เขียนได้แต่ละพารากราฟได้คือเหนื่อยมาก
อีกอย่างคือกำลังติดเกมหนักมาก แงงง ขอโทษด้วยค่ะ
ติดจนมีพลังเขียนฟิคได้แล้วค่ะโฮฮฮฮฮฮ
ใครเมนคู่เดียวกับเราทักแชทมาได้นะคะ เราเหงามาก เราอยู่บนแพคนเดียวโดดเดี่ยวมาก #น้ำตาไหล
อยากหาบล็อกฟิคเรา? พิมพ์ heshisouza แล้วหาที่เป็นภาษาไทยได้เลยค่ะ
เราเหงามาก...
เรารู้สึกเหมือนเป็นต้นหญ้ากลางดงดอกไม้โชคุเฮชิ
อ๊ะ ไม่เกี่ยวนี่หว่า เนียนโปรโมทฟิคตัวเองง่ายๆซะงั้นเลยเว้ย
อ้อ แล้วก็อาทิตย์หน้าอัพไม่ได้นะคะ ติดสอบสัมภาษณ์ค่ะ ที่เชียงใหม่โน่นแน่ะ
บายค่ะ เจอกัน อืม อาจจะเดือนหน้า เผื่อเวลาสมองตันด้วย
ความคิดเห็น