ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ICHA นักเรียนซ่า อาจารย์แสบ [Yaoi+Yuri+Normal]

    ลำดับตอนที่ #2 : บทเรียนที่ 2 ทำความเข้าใจกับสถาบัน l นี่คือสอบหรืออะไร

    • อัปเดตล่าสุด 11 เม.ย. 58


    ไม่นานเราก็มาถึงทางลับเข้าโรงเรียน ฉันบีบแตรไล่เด็กๆที่ยืนออกันอยู่หน้าตรอกให้หลบไป มันเป็นแค่ตรอกเล็กๆที่เดินไปอีกสองร้อยเมตรก็จะถึงประตูใหญ่ของสถาบันฯ ภายในตรอกมีแต่ตึกร้างที่ไม่มีใครสนใจ และหนึ่งในตึกร้างหลายตึกคือที่จอดรถสำหรับอาจารย์ จำได้ลางๆว่ามีคนบ่นว่าที่ทางไม่น่าพิสมัย แต่ใครสน? ขอแค่มีที่จอดรถแล้วไปให้ทันเวลาก็พอ

    ฉันจอดรถตรงจุดตรวจ เปิดหน้าต่างและยื่นมือออกไปกดปุ่มเลือกหมายเลข C01 ซึ่งเป็นที่จอดประจำของฉัน ไฟที่อยู่ด้านหลังหมายเลขที่ไล่เรียงตามมาด้านล่างติดเกือบหมด เหลืออยู่เพียงแค่สามดวงเท่านั้นที่ยังไม่ติด แสดงว่าคนอื่นมากันเกือบครบแล้ว และฉันมาสายมาก ที่จอดรถสำหรับอาจารย์ภายนอกดูเป็นตึกก็จริง แต่ว่านั่นเป็นแค่ภายนอก ฉันไม่จำเป็นต้องไปวนรถหาที่จอด เพราะว่าที่จอดรถสมัยนี้น่ะเป็นอะไรที่คล้ายๆชิงช้าสวรรค์เพื่อความสะดวกและประหยัดเนื้อที่ ฉันขับรถเข้าไปอีกนิดหนึ่งและรอให้ที่จอดรถของฉันหมุนลงมาอย่างช้าๆ ฉันขับตรงเข้าไปจอดในช่องอย่างรวดเร็วทันทีที่มันปลอดล็อคประตู และเคลื่อนแถบแม่เหล็กออกมาอยู่ข้างใต้รถ

    ฉันดับเครื่องและเปิดประตูรถและลงไปเป็นคนแรก เฮซเปิดประตูอีกฝั่งก่อนจะอุ้มยูลที่หลับไปแล้วให้ลงไปจากรถด้วย พี่เอสเปิดประตูลงไปก่อนเป็นคนแรกของโซนหลัง ตามด้วยฟ็อกกับอากิ พี่เซนี่ พี่ริซ่าและอายาเสะเป็นคนสุดท้าย

    ฉันรู้ดีว่าเราไม่มีเวลาเหลือแล้ว ฉันจูบลาที่หน้าผากลูกๆทุกคนอย่างแผ่วเบา แม้กระทั่งยูลที่หลับอยู่ เฮซดูท่าจะอุ้มลำบาก อากิเลยฉกตัวยูลมาอุ้มแทน ฉันมองลูกๆทุกคนด้วยความเป็นห่วง โอ้พระเจ้า ฉันเพิ่งอยู่กับยูลและอากิมาแค่สองปี และอยู่กับเฮซและฟ็อกมาแค่ห้าปีเท่านั้น ฉันบอกลูกๆทุกคนอย่างที่ฉันควรบอกตั้งแต่ก่อนหน้านี้

    “ชีวิตหลังจากนี้ในรั้วสถาบันฯขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของลูกแล้ว แม่ไม่สามารถไปเจ้ากี้เจ้าการบอกว่าลูกควรทำอะไรยังไงได้อีกแล้ว แม่ไม่สามารถปฏิบัติกับลูกมากไปกว่าในฐานะผอ.กับนักเรียนได้ และแม่ไม่สามารถปกป้องลูกจากภัยอันตรายที่อาจมาเมื่อไหร่ก็ได้ต่อจากนี้ ลูกต้องตั้งใจ ต้องปกป้องตัวเอง ต้องปกป้องพี่น้องของลูก

    ลูกต้องมีชีวิตอยู่ให้ได้ การเรียนของที่นี่โหดแค่ไหนแม่รู้ดี แต่แม่เชื่อว่าลูกต้องผ่านมันไปได้ ก็ลูกเป็นลูกของแม่นี่เนอะ ลูกของแม่แข็งแกร่งกันทุกคนอยู่แล้ว” ยิ่งพูดไปฉันยิ่งอยากจะร้องไห้ ฉันไม่รู้ว่าตอนนี้ตัวเองสีหน้าเป็นอย่างไร เสียงสั่นหรือไม่ ฉันรู้แค่ว่าฉันต้องพูดให้เด็กๆได้รู้ถึงความเป็นจริงที่ว่าจะไม่มีใครปกป้องพวกเขาได้เหมือนกับตอนอยู่ที่บ้านอีกแล้ว

    “หลานฉันไม่ตายง่ายๆหรอกน่า ถ้าตายล่ะก็ฉันจะตามไปตบในนรกเลย” พี่เซนี่พูดว่างั้นแน่ะ ฉันรู้ว่าพี่ทำได้อยู่แล้ว ฉันหัวเราะ และน้ำตาหยดหนึ่งก็หยดลงมาบนแก้ม ราวกับความเศร้า ความเป็นห่วง และความอาวรณ์ทั้งหลายได้อัดรวมกันอยู่ในน้ำตาแค่หยดเดียว พอมันไหลออกมาก็ทำให้รู้สึกดีขึ้นได้ทันตา ฉันรุนหลังให้เด็กๆไปต่อแถวที่ยาวเฟื้อยอย่างน่ากลัว เดินยาวเป็นกิโลแน่นอน ฉันมองตามลูกๆทั้งสี่คนไปจนหายลับตาไปอีกทาง ได้ยินเสียงเรียกเบาๆจากพี่เอส

    “พวกเราก็ไปกันได้แล้ว”

     
     

    อา ฉันเอาแต่พูดว่าทำงานที่สถาบันๆ แต่ไม่เคยบอกเลยนี่นะว่าเป็นสถาบันฯอะไร สถาบันฯที่ว่านี่ก็คือ สถาบันเพื่อความปรองดองระหว่างทวีป โดยปกติเราจะเรียกย่อๆว่าสถาบันฯ เพราะมีที่นี่ที่เดียวบนโลกที่ใช้คำว่าสถาบันฯ ไม่ใช่วิทยาลัยหรือโรงเรียน

    สถาบันฯก่อตั้งมา 999 ปี ตั้งอยู่ที่ใจกลางของโลก ตรงรอยเชื่อมระหว่างทวีปบีเทียกับออตตอน เป็นทั้งจุดเริ่มต้นของธรรมชาติและเป็นทั้งจุดเริ่มต้นของความเจริญทางเทคโนโลยี เป็นสถานที่ที่เต็มไปด้วยความทรงจำและประวัติศาสตร์ จุดประสงค์ของการก่อตั้งสถาบันฯขึ้นก็เพื่อสงบศึกสี่ทวีปเมื่อกว่าหนึ่งพันปีก่อน แต่จุดประสงค์ที่แท้จริงคือการคานอำนาจระหว่างทวีปต่างหาก ในตอนนั้นนักพยากรณ์เป็นเหมือนกับผอ.ของสถาบันฯ เพราะพวกเขาจัดการเองทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นการคัดเลือกอาจารย์ วิธีการคัดเลือกนักเรียน ฯลฯ เรื่องตลกคือรุ่นแรกๆน่ะมีแต่พวกเจ้าชายเจ้าหญิงทั้งนั้น และตายกันเกือบยกรุ่น ท่าทางคงไม่รู้ว่าคนที่จบจากที่นี่ได้ต้องเก่งจริง ทุกๆปีมีคนเข้ามาสมัครที่นี่ปีหนึ่งๆก็เกือบแสน แต่ให้เข้าได้แค่ปีละสิบห้าคน และในหนึ่งรุ่นที่จบมาส่วนมากก็มีไม่ถึงครึ่ง การจะบุกทวีปอื่นก็ต้องเริ่มรู้สึกเกรงใจกันบ้างล่ะ ใครจะรู้ว่าทวีปไหนมีใครที่จบจากสาขาอะไรบ้าง

    แต่หลังจากที่สงครามสงบลง (ส่วนมากมาจากการชักนำของเหล่านักพยากรณ์ที่เหลือ เพราะตอนนั้นสถาบันฯยังไม่ค่อยเข้าที่เข้าทางเท่าที่ควร) การเข้าสถาบันฯจึงเป็นการพิสูจน์ตัวเองของมนุษย์และอมนุษย์ทั้งหลายที่อยากจะประกาศศักดาว่าข้าเก่ง ยิ่งโหดเท่าไหร่ยิ่งมีคนอยากเข้ามากเท่านั้น สภาอาจารย์จึงตัดสินใจจัดระเบียบขึ้นใหม่ให้ครอบคลุมยิ่งกว่าเดิม และเพิ่มจุดมุ่งหมายให้เหล่านักเรียนที่มาเข้าเรียน คนที่จบจากที่นี่ไปเหมือนมีใบประกาศผ่านทางสู่ระดับแนวหน้าของแต่ละสาขา แม้กระทั่งเด็กเส้นยังต้องหลบให้ผ่านไปก่อน

    โอ้ ที่เหลือคงต้องไว้ทีหลัง ตรงนี้เป็นจุดบอดของอาคารที่นักเรียนจะมองไม่เห็น ฉันเจอคณะอาจารย์คนอื่นแล้ว ทุกคนใส่ชุดคลุมสีดำคาดแถบสีทอง เข็มกลัดบนอกเสื้อที่มีรูปร่างต่างกันไปของแต่ละคนบ่งบอกสาขา สีที่ส่วนมากจะเหมือนกันคือระดับขั้นของแต่ละคน และบางคนมีเข็มกลัดมากกว่าหนึ่ง ฉันรู้ดีว่ามีแค่วันแรกและวันสุดท้ายเท่านั้นแหละที่เจ้าพวกนี้จะใส่ชุดคลุมถูกระเบียบ

    ฉันยังไม่ทันได้ทักทายอะไรใครเลย ก็มีคนทักฉันขึ้นมาซะแล้ว “ไปตกส้วมตายที่ไหนกันมายะ รู้ทั้งรู้ว่าวันนี้เป็นวันสำคัญยังจะมาสายได้อีกนะพวกหล่อน”

    นั่นคือเมซี่ มาซิโดเนีย ซาราง นางเป็นกระเทยหุ่นล่ำกล้ามบึ้กผู้นิยมแฟชั่นชุดหนังและการทำสีผม ปัจจุบันนี้นางย้อมสีส้มหลายเฉดรวมๆกัน ก็เข้ากันดีกับดวงตาสีแดงเพลิง เมซี่เป็นมังกรไฟในตำนานที่ปากจัดและด่าเก่งที่สุดในปฐพี เป็นคนที่อาวุโสมากที่สุดในสถาบันฯแห่งนี้

    “ยอมรับผิดจ้ะ โอเค ฉันออกจากบ้านสายเอง จริงๆก็ออกตามเวลาปกตินั่นแหละแต่ลืมไปว่าวันนี้รถจะติดน่ะ”

    “แหม หล่อน อยู่ที่นี่มาจะยี่สิบปีแล้วยังจะมีหน้ามาลืมอีก อย่าดูถูกวันเปิดเทอมวันแรกของสถาบันฯนักสิยะ”เมซี่พูดพลางแบะปากเป็นรูปสระอิ ขณะแขวะฉันด้วยน้ำเสียงจิกกัดขั้นสุดอย่างน่าหมั่นไส้ แต่ก็ทำอะไรไม่ได้เพราะว่าฉันผิดเอง

    พี่เอสเดินเข้ามาขวางฉันกับเมซี่ “พอๆๆๆ อยากให้สายมากไปกว่าเดิมก็แขวะน้องสาวฉันมันเข้าไป ฉันคนหนึ่งล่ะที่ไม่อยากสาย”ฉันยกมือขึ้นปราม เตือนพี่เอสเบาๆว่าตอนนี้พวกเราแต่งตัวไม่ถูกระเบียบสักเท่าไหร่นัก

    “เอาเสื้อคลุมก่อนค่ะ เดี๋ยวจะหมดความน่าเชื่อถือ”

    พี่เอสส่งเสียงชิชะขัดใจ “เอาเดลฟีมาหรือยัง ถ้าลืมจะได้เปิดให้” ฉันยิ้มแล้วหยิบเดลฟี หนึ่งในสามอาวุธประจำกายที่สวยสุดของฉัน (ที่มักจะถูกเรียกว่าลิ่มประจำสถาบันฯ) ออกมาจากกระเป๋ากระโปรง ความจริงแล้วเดลฟียาวกว่ากระโปรงฉันทั้งตัวเสียอีก แต่ไม่มีใครแปลกใจหรอก มันเป็นทริกกระเป๋ามิติที่สี่น่ะ


    ฉันเอ่ยมนตร์และโบกลิ่มเบาๆ เพื่อเปิดประตูมิติออกมา กำหนดจุดหมายปลายทางคือห้องเก็บของ ฉันเดินเข้าไปข้างในตรงดิ่งไปที่จุดหมายที่แท้จริงอย่างรวดเร็ว เปิดตู้เสื้อผ้าและหยิบเสื้อคลุมสีดำคล้ายๆกันกับของคนอื่นที่อยู่ในนั้นออกมาเท่ากับจำนวนคน เสื้อคลุมของเราต่างกันกับของคนอื่นตรงที่ว่าของพวกเรามีปกคอสูง ซึ่งแสดงให้เห็นว่าเรามีอำนาจมากกว่า แน่นอน เพราะเราเป็นสภาคณาจารย์ของสถาบันฯที่ครองเสียงครึ่งหนึ่งของที่นี่ยังไงล่ะ

    ฉันเดินออกมาจากห้องเก็บของ ปิดประตูมิติ และโยนเสื้อคลุมให้พวกพี่ๆไป ตัวไหนจะของใครก็ช่าง ไปสลับกันเอาเองก็แล้วกัน “นี่ค่ะ” ได้ยินเสียงร้องเหวอมาจากใครสักคนแถวๆนี้ ตามมาด้วยเสียงสบถก่นด่าซึ่งฉันไม่คิดจะสนใจ ฉันสะบัดเสื้อคลุมและสวมเข้าอย่างเร่งรีบ รูดซิปปิดด้านหน้าเรียบร้อยพร้อมลุยสำหรับการคัดเลือกรอบแรกแล้ว

    พอใส่เสื้อคลุมเสร็จ ฉันถึงได้เห็นว่ามีสมาชิกที่ยืนอยู่ตรงนี้เพิ่มขึ้นอีกสองคน ซึ่งก็หมายความว่าตอนนี้คณะอาจารย์ทุกคนมากันครบแล้ว ฉันยิ้มให้พวกเขา ออกเดินนำโดยไม่ได้พูดอะไร และฉันเชื่อว่าทุกคนต้องเตรียมตัวทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยแล้วอย่างแน่นอน

    เราเดินออกไปยืนอยู่ที่ปลายสุดของลานกว้างหน้าสถาบันฯ ซึ่งฉันมั่นใจว่ามันใหญ่พอจะรองรับคนได้มากกว่าสามพันคน  นักเรียนหลายคนที่มองเห็นเราก็ส่งเสียงตะโกนอะไรบางอย่างดังลั่นซึ่งฉันฟังไม่รู้เรื่องเพราะมีหลายเสียงจัด แต่เท่าที่ฟังออกก็ประมาณว่า “มาแล้ว” หรืออะไรประมาณนั้น เอ๊ะ แต่มีคำหยาบตามมาด้วยนี่ สงสัยคงเพราะว่าปล่อยให้รอนานเกินไปแน่ๆเลย แต่ใครสนกันล่ะ

    ฉันหันกลับไปบอกให้พวกอาจารย์ทุกคนเดินถอยหลังลงไปอีกสามก้าว ทันทีที่ฉันชี้เดลฟีลงไปที่พื้น พื้นดินที่พวกเรายืนอยู่ก็ยกตัวขึ้นสูงร่วมเมตรกว่าจนดูเหมือนเวที มืออีกข้างที่ว่างอยู่ชี้ไปที่ประตูและขณะที่ดึงกลับเข้าหาตัว ก็เป็นจังหวะเดียวกับที่ประตูใหญ่เปิดออก

    “ประกาศตนตามธรรมเนียม”ฉันพูดเสียงเบา สายตาเหลือบลงมองเด็กๆที่ทยอยแห่เข้ามาราวป่าช้าแตก อยากจะสบถออกมาดังๆจริงๆให้ตายเถอะ ปีนี้ต้องขนย้ายผ่านมิติสักกี่รอบเนี่ย ที่ค้างอยู่ข้างนอกไม่รู้ว่ามีอยู่กี่คน ที่อยู่ตรงนี้สามพันกว่าคนก็เต็มจนจะล้นอยู่แล้ว เด็กๆเหล่านี้ดูตื่นเต้นจนส่งเสียงฮือฮากับบรรยากาศของที่นี่จนส่งเสียงดังเกินไป ดังจนคุมไม่ไหวจริงๆ ฉันถอนหายใจออกมา ได้ยินเสียงหัวเราะขำขันดังมาจากข้างหลัง แน่ล่ะ เจ้าพวกนั้นชอบนักล่ะเวลาเห็นฉันอับจนจนหนักใจเหลือจะกล่าวแบบนี้ ฉันยกมือข้างที่เพิ่งจะเปิดประตูมาจับที่คอตรงตำแหน่งเส้นเสียง นิ้วชี้วาดเป็นอักขระต่อกันโดยไม่ยกนิ้วออกจากคอแม้แต่ครั้งเดียวด้วยความรวดเร็ว และลากยาวลงมาจบที่รอยต่อของไหปลาร้า

    เมซี่พูดอะไรบางอย่างที่ทำฉันคิ้วกระตุก “สุดท้ายก็ต้องกลับไปใช้ยันต์เพิ่มเสียงเหมือนเดิม”

    อาร์เซล แม่สาวนักฆ่าผมบลอนด์ตาฟ้าตัวเล็กหน้าอกใหญ่บึ้มที่ยืนข้างๆตอบกลับไป “โทษไอ้เวรนั่นที่พังลำโพงสิ”

    ฉันหันกลับไปมองทั้งสองคนอย่างปรามๆ พวกเขาหยุดในทันที ฉันหันกลับมาและพูดด้วยเสียงปกติแต่ดังไปทั่วลาน “ทุกคนจงฟังสิ่งที่ฉันจะพูด” ได้ผล ถึงคนด้านหน้าๆจะดูเจ็บหูไปหน่อย แต่ช่างเถอะ ฉันพูดแค่ไม่นานหรอก

    “ยินดีต้อนรับสู่การคัดเลือกเข้าสถาบันฯครั้งแรก ทุกคนคงรู้อยู่แล้วว่าสถาบันฯเราก่อตั้งขึ้นมาเพื่ออะไร และพวกเธอก็น่าจะรู้ว่าการคัดเลือกของที่นี่ไม่ธรรมดา” ฉันหยุดพูดไปครู่หนึ่งตามสคริปต์ที่พูดทุกปีจนจำได้

    “ฉันขอถามเป็นครั้งที่หนึ่ง”

     

     

    “พวกเธอยอมตายเพื่อเป้าหมายได้หรือเปล่า?”

     

     

    เด็กๆเหล่านั้นเงียบ ฉันคิดว่าความเงียบเป็นสิ่งที่ดี เพราะต่อไปคือข้อเสนอที่พวกไม่แน่จริงจะรีบตะครุบ ส่วนพวกที่แน่จริงจะคิดว่านี่คือความท้าทายอย่างที่สุดที่จะได้เจอในชีวิต มีไม่มากนักหรอกที่จะมีใครยอมตายเพื่อเป้าหมายจริงๆ ส่วนมากก็พวกดีแต่พูดทั้งนั้นแหละ ฉันมองลึกเข้าไปในตาของเด็กคนที่ฉันมองเห็นใกล้ที่สุด เขาเป็นผู้ชาย ตัวค่อนข้างสูง เส้นผมสีขาวสว่างเป็นเอกลักษณ์ ดวงตาสีม่วงอ่อนมีแววตามั่นคงไม่ลังเล บนใบหน้าประดับด้วยรอยยิ้ม นี่สิของจริง ฉันเจอตัวเก็งแล้ว

    “ว่าไง มีใครจะถอยจากการคัดเลือกรอบแรกบ้าง พวกเธอน่าจะรู้ว่าการคัดเลือกของเราโหดขนาดไหนนี่นา”

    ฉันย้ำ มีหลายคนที่กล้าพอจะยกมือ บางคนก็ยกตาม ฉันพยักหน้าให้เหล่าอาจารย์พาเด็กๆเหล่านั้นออกไปด้านนอก เด็กๆที่ออกไปรวมๆแล้วก็เกือบร้อย ยังเหลืออีกเป็นเป็นหมื่นที่รอฉันอยู่ ฉันรอจนเด็กๆพวกนั้นออกไปกันหมดแล้วจึงเอ่ยประโยคที่รอพูดมานาน

    “เอาล่ะ เรามาเริ่มการคัดเลือกรอบแรกกันเลยดีกว่า”

    เสียงเด็กที่ไหนก็ไม่รู้ดังขึ้นมาจากช่วงกลางๆลาน “เดี๋ยวสิ คุณยังไม่ได้บอกเลยว่าการคัดเลือกคืออะไร ในเว็บไซต์ก็ไม่ได้บอกอะไรเกี่ยวกับการคัดเลือกเลย บอกแค่ว่าให้ลงทะเบียนสมัครเฉยๆ” แน่นอนว่าฉันไม่ได้สนใจ ฉันบอกให้เลือกแล้วก็หมายความว่าเลือกแล้ว ถ้าเกิดปอดแหกขึ้นมาตอนนี้ฉันก็ไม่สนอะไรแล้วเช่นกัน

    “พวกที่อยู่ริมๆน่ะ สังเกตเห็นขอบลานที่ยุบลงมั้ย เข้ามาอยู่ข้างใน ไม่งั้นเจ้านี่พาเธอไปไม่ครบ 32 ส่วนฉันคงแย่”ที่ฉันพูดหมายถึงวงเวทย์เคลื่อนย้ายรูปสี่เหลี่ยมขนาดใหญ่ซึ่งกินพื้นที่เต็มลานอยู่ใต้เท้าของทุกคน ฉันไม่คิดว่าจะมีใครสังเกตหรอก มันใหญ่จนมองไม่เห็นน่ะเข้าใจใช่มั้ย วงเวทย์นี้สร้างขึ้นเพื่อการเคลื่อนย้ายไปยังสถานที่ไหนก็ได้ แต่ต้องเป็นสถานที่ที่เลือกไว้ตายตัวเท่านั้น

    ฉันเอ่ยมนตร์เบาๆ ปารา เดลฟีที่อยู่ในมือสั่นไหว พูดให้ถูกคือผงสีทองที่อยู่ด้านในต่างหากที่กำลังสั่นไหวกับเวทมนตร์ที่ทำให้กลไกของวงเวทย์นี้ทำงาน เพียงชั่วพริบตา ร่างของอาจารย์ 2 - 3 คนที่ส่งไปช่วยคุมกับเด็กๆร่วมสองพันกว่าคนก็หายวูบไปยังที่ๆได้กำหนดไว้แล้ว ฉันยิ้มและเรียกให้เด็กๆชุดต่อไปเข้ามา พูดเหมือนเดิม มีเด็กออกไปเยอะมากกว่ารอบที่แล้ว เห็นจะมากกว่าร้อยคนได้ แล้วก็ส่งไปที่เดิมอีก ชุดต่อไปก็เหมือนเดิม น่าแปลกใจที่ยิ่งหลายรอบ เด็กที่ปอดแหกกลับออกไปเริ่มมีแต่จะลดน้อยลง ปกติยิ่งมากยิ่งเยอะนี่? จนชุดที่ยี่สิบเก้าเป็นชุดสุดท้าย และเหลือฉันอยู่ตรงนี้แค่คนเดียว โอเค ถึงจะมีปารา เดลฟีเป็นเครื่องทุ่นแรงก็ใช่ว่าจะไม่เหนื่อยนะ สรุปปีนี้มีประมาณเกือบเก้าหมื่นเห็นจะได้ บางทีฉันควรจะพิจารณาการสร้างลานกว้างนี่ใหม่ ควรจะขยายให้ใหญ่ขึ้นหน่อย ให้จุคนได้สักห้าพันจะได้ไม่ต้องเหนื่อยอย่างนี้ ส่งได้แค่ทีละสองพันกว่าคนนี่เหนื่อยไม่ใช่เล่นๆเลยนะ

    เสียเวลาไปครึ่งชั่วโมงแล้ว ตอนนี้เป็นเวลาแปดโมงสี่สิบนาที การคัดเลือกรอบแรกควรเริ่มภายในเก้าโมง ต้องเสร็จก่อนเที่ยงจะได้ทันคัดเลือกรอบสอง เสียเวลามากไปไม่ได้

    ฉันลดพื้นดินลงและเดินไปที่วงเวทย์ข้ามผ่านมิติด้วยความรวดเร็ว ทันทีที่โผล่มาในมิติที่ใช้คัดเลือกนี้ก็พบว่าเหล่าอาจารย์จัดการงานกันได้เรียบร้อยดีพอสมควรเลยทีเดียว เด็กๆยืนเข้าแถวเรียงกันเป็นระเบียบเรียบร้อย

    มิตินี้ถูกสร้างขึ้นเพื่อรองรับการคัดเลือกโดยเฉพาะ มันเหมือนห้องสีขาวสว่างขนาดใหญ่ที่สามารถปรับเปลี่ยนรูปร่างให้เหมาะสมกับจำนวนคนที่เข้ามาอยู่ในนี้ได้ และสามารถเปลี่ยนสภาพได้ตามใจผู้ครอบครองซึ่งก็คือฉัน ตอนนี้มันยังเป็นแค่กล่องสี่เหลี่ยมสีขาวโง่ๆที่จุคนได้พอดีเท่านั้นเพราะฉันยังไม่ได้ตัดสินใจว่าจะคัดเลือกอย่างไร

    “เมทสึกิ รอบแรกทำอะไรดี?”พี่ริซ่าเดินมาถามนิ่งๆ ฉันตอบไปโดยไม่คิดเลยแม้แต่น้อย “สอบข้อเขียน” พี่ริซ่าถามต่อ “วิชาอะไร”

    ฉันนิ่งคิดไปพักหนึ่ง เห็นสายตาเด็กๆที่มองมาด้วยความใคร่รู้ก็ตัดสินใจได้ในทันที “อืม ความรู้รอบตัวแล้วกัน อย่าลืมสุ่มทวีปด้วยล่ะ” พี่ริซ่าค้อมตัวลง หมุนตัวกลับไปถ่ายทอดคำสั่ง ได้ยินใครบ่นดังมาจากด้านหลังก็ไม่รู้ แต่ไม่สนหรอก ฉันเป็นผอ. ฉันมีสิทธิ์ในการสั่ง แหม ข้อสอบค้างในคลังมีเยอะแยะถมเถไป แค่เกือบหกหมื่นชุดน่ะพออยู่แล้ว

    ฉันหลับตาลง คิดสภาพห้องที่เหมาะกับการสอบแบบนี้ เพียงแค่นึกภาพ สิ่งที่คล้ายๆของเหลวก็ผุดขึ้นมาเป็นรูปร่างโต๊ะกับเก้าอี้สีขาวจากพื้นห้องอย่างรวดเร็วตรงหน้าเด็กๆที่ดูจะตื่นตะลึงจนส่งเสียงฮือฮากันใหญ่ เด็กใหม่นี่เป็นอย่างนี้ทุกรุ่นเลยให้ตายสิ

    ฉันพูดด้วยเสียงปกติแต่ดังแบบที่ไม่ต้องใช้ยันต์หรือลำโพง พวกเขาได้ยินเท่ากันทั้งหมด ไม่มีดังไปไม่มีเบาไป ก็บอกแล้วว่านี่เป็นมิติสำหรับฉัน “พวกเธอเป็นรุ่นแรกในรอบเก้าปี จงดีใจที่ได้รับการคัดเลือกแบบนี้ เราไม่ได้ใช้วิธีนี้ในการคัดเลือกมานานแล้ว นั่นคือการสอบข้อเขียน”ฉันเว้นระยะให้เด็กๆที่กำลังเงิบได้ที่ทำความเข้าใจให้ทันก่อน

    “วันนี้จะสอบสองครั้ง ฟรีทุกอย่าง หนังสือ อินเตอร์เน็ต ไวไฟ เคเบิลใยแก้วอะไรก็ได้ทั้งนั้น แต่ห้ามติดต่อกับคนอื่น”

    พี่ริซ่าเดินมากระตุกแขนเสื้อฉัน พูดเสียงเบา ท่าทางคงจะเงิบไม่แพ้เด็กๆ “เฮ้ ไม่ง่ายไปหน่อยเหรอ”

    “วิชาแรกคือความรู้รอบตัว มีทั้งหมด 4 ชุด ชุดละ 20 ข้อ แต่สุ่มให้คนละชุดเท่านั้น เริ่มสอบตั้งแต่เก้าโมงถึงเที่ยง และวิชาที่สองคือวิชาการใช้ชีวิตในสถาบันฯ  มีทั้งหมด 30 ข้อ สอบตั้งแต่บ่ายโมงถึงบ่ายสามโมง ให้เวลาติวก่อนสอบสิบห้านาที”

    ใครมันจะไปคิดล่ะว่าการคัดเลือกจะเป็นแบบนี้ ขู่กันแทบตายตั้งแต่เริ่ม แต่ดันเจอแบบนี้เสียอย่างนั้น ฉันยิ้มขำ เด็กๆพวกนั้นหยิบออกมาทั้งโทรศัพท์มือถือ โน้ตบุ๊ต แท็บเล็ต หรือแม้กระทั่งหนังสือเป็นตั้งออกมากางเตรียมพร้อม โถๆ น่าสงสารเสียจริง เด็กพวกนี้ไม่รู้อะไรเลย วิธีนี้เป็นการคัดเลือกที่ดีที่สุด แต่จะทำให้สูญเสียบุคลากรดีๆที่ฉันถูกใจมากที่สุด ฉันจึงเลี่ยงที่จะใช้วิธีนี้มาโดยตลอด แต่ว่าปีนี้ฉันรู้สึกเหนื่อยจนไม่อยากจะออกแรงเลยใช้วิธีนี้แทน ให้ตายสิ ฉันติดใจเด็กผมขาวนั่นจริงๆ หวังว่าเขาจะผ่านพ้นรอบนี้มาได้นะ

    พี่ริซ่าถือกระดาษมาให้ คงเป็นคำถามเจาะลึกสุดหินแน่ๆล่ะ “เมทสึกิ เช็คคำถามด้วย ชุดนี้โอเคมั้ย?”อืม ข้อสอบคัดเลือกนักเรียนเข้าสถาบันฯที่ดีที่สุดของโลกอยู่ในกระดาษไม่กี่แผ่น ช่างน่ารักจริงๆ


    คำถามแต่ละชุดจะมีผสมระหว่างความรู้เรื่องของทวีปต่างๆซึ่งจะใช้เกณฑ์ตัวนี้แบ่งเป็นชุดๆ ทั้งหมด 7 ข้อ

    เทคโนโลยี 2 ข้อ แบ่งเป็นเทคโนโลยีในชีวิตประจำวันกับเทคโนโลยีประยุกต์

    เวทมนตร์ 3 ข้อ แบ่งออกเป็นหัวข้อเวทธาตุพื้นฐานอันได้แก่ ดิน น้ำ ลม ไฟ สายฟ้า หนึ่งข้อ, เวทสายขาว เวทสายดำหนึ่งข้อและการใช้อัญมณี/ไอเทมเวทมนตร์อีกหนึ่งข้อ

    คณิตศาสตร์ 2 ข้อ จะไปทางฟิสิกส์เล็กน้อยคือมีการคำนวณความเร็ว ระยะทาง องศาและมุมทั้งสองข้อ

    การใช้อาวุธ 2 ข้อ ส่วนมากถ้าไม่ใช่ต่อมาจากข้อข้างบนก็จะเป็นการวิเคราะห์วิจารณ์สมรรถภาพอาวุธที่บริษัทหรือองค์กรอะไรพวกนั้นขยันปล่อยออกมาสูบเงินนั่นแหละ พร้อมยกตัวอย่างการใช้งานด้วยนะ

    และสุดท้ายคือการควบคุม, จัดการตนเองและผู้อื่น 4 ข้อ แบ่งออกเป็นการควบคุมจิตใจตนเอง การจัดการสถานการณ์สำหรับตัวคนเดียว การควบคุมเพื่อจัดการประชาชน  และการบริหารงานทั่วๆไป

    แต่ทวีปแห่งเวทมนตร์อย่างโอดเลกก์จะไม่มีคำถามเกี่ยวกับเทคโนโลยี แต่จะไปมีคำถามวิเคราะห์การใช้เวทมนตร์หรือประวัติผู้คิดค้นเวทมนตร์ในแต่ละบทแทน 2 ข้อ

    ถามว่าทำไมมีแต่คำถามแบบนี้? ก็มันเป็นคำถามความรู้รอบตัว น่าเสียดายที่เด็กๆเดี๋ยวนี้ไม่ค่อยมีความรู้เรื่องนี้สักเท่าไหร่ จึงเป็นเรื่องที่บันเทิงสำหรับฉันพอสมควรที่ใช้วิชานี้คัดเลือก







    ------------------
    ------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

     เข้าสู่ช่วง คุยกับคนเขียน


    สวัสดีค่ะ มองต์บลังค์ คนเขียนเรื่องนี้เองนะคะ บทที่แล้วไม่มีอะไรจะคุยก็เลยไม่ได้เขียน

    วันนี้แค่อยากจะขอโทษทุกคนที่ยังติดตามเรื่องนี้อยู่น่ะค่ะ เพราะว่าเราตั้งใจจะอัพตั้งแต่เมื่อวานแล้วค่ะ!!

    แต่เพราะว่าไปงานหนังสือมา (ไอสเปนท์ออลออฟมายเซเว่นเธาซันด์ #ครายยยยย) และก็น็อคจนสลบเหมือดคาเตียงแบบที่ทำได้แค่รับพ่อหนุ่มเวนอสกับซินเซียร์เข้าสถาบันได้แค่นั้น

    จนถึงตอนนี้ก็ยังปวดไหล่ ปวดหลัง ปวดขา และปวดเท้ามากๆอยู่เลยล่ะค่ะ

    จบมหกรรมเสียทรัพย์ครั้งยิ่งใหญ่แล้วก็เลยมาอัพต่อนี่แหละค่ะ

    ตอนนี้สถาบันเราคนเต็มแล้ว ปิดรับแล้ว ต้องขอขอบคุณทุกๆคนที่สมัครเข้ามามากๆนะคะ

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×