คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : บทเรียนที่ 1 บทนำนั้นสำคัญไฉน | ครอบครัวคือสิ่งที่ดีที่สุด
วันที่ 1 เดือนสอง เวลาหกโมงเช้า อากาศดีนะวันนี้ หิมะไม่ตก เมฆไม่มากจนน่ากลัวว่าจะมีพายุ พระอาทิตย์ส่องแสงแดดออกพอให้อบอุ่น ลมที่พัดมาไม่แห้งเย็นจนแสบปอดเหมือนช่วงกลางเดือนหนึ่ง ดีแล้วล่ะที่เลือกให้วันนี้เป็นวันแรกของการเปิดสถาบันฯ
ฉันออกจากห้องนอน เปิดประตูระเบียงทิ้งไว้ เสียงรองเท้าบู๊ตส้นเข็มดึงกึกๆตามจังหวะก้าวเดิน เอนตัวลงพิงราวระเบียงเอาไว้ ยกแขนข้างหนึ่งขึ้นเท้าคางแล้วมองลงไปข้างล่าง ห้องของฉันน่ะวิวดีที่สุดในปีกตะวันออกแล้วล่ะ มองจากตรงนี้ฉันสามารถเห็นสวนดอกไม้ฝั่งตะวันออกได้ทั้งสวน รวมถึงพระอาทิตย์สีแดงส้มที่เพิ่งขึ้นมาส่องแสงได้ไม่นานอย่างชัดเจน ฉันมองออกไปได้พักหนึ่งแล้วหยิบซองบุหรี่กลิ่นมิ้นต์สีฟ้าอมเขียวออกมาจากกระโปรงสั้นๆ แขนเสื้อที่ยาวจนเลยนิ้วมือไปทำให้หยิบค่อนข้างลำบาก แต่ก็ออกมาจนได้แหละนะ ฉันเคาะซองเบาๆให้บุหรี่ออกมามวนหนึ่ง แย่จริง เป็นมวนสุดท้ายซะด้วย ช่างเถอะ เดี๋ยวค่อยไปซื้อใหม่ก็ได้
ฉันจุดบุหรี่ด้วยไฟดวงเล็กๆที่ออกมาจากปลายนิ้วชี้ ส่วนซองที่เหลืออยู่ในมือก็ไม่ปล่อยให้เหลือทิ้งเป็นขยะ เพียงแค่พริบตาเดียว ทั้งซองก็ไม่เหลือแม้กระทั่งขี้เถ้า
ค่อยๆอัดควันบุหรี่เข้าไปในปอดช้าๆ ผ่อนออกมาและสูดกลิ่นมิ้นต์ขมๆเข้าไปอีกครั้ง เหม่อมองควันสีเทาหม่นที่ค่อยๆลอยขึ้นสูงก่อนจะถูกชะล้างให้หายไปในอากาศ บรรยากาศแบบนี้ทำให้อยู่ก็นึกถึงเพลงๆนั้นขึ้นมา คงเป็นเพราะบุหรี่ที่ทำให้ระบบความคิดของฉันสงบลงจนสามารถคิดถึงเรื่องนั้นได้ล่ะมั้ง
ฉันเอื้อนเสียงในลำคอเป็นทำนองนำก่อนที่จะร้องเนื้อเพลงตามมาเบาๆ
“ร้องเพลงอยู่เหรอ? เมทสึกิ”เสียงหวานใสของหญิงสาวพูดขึ้น แต่ก็ไม่สามารถกลบเสียงสั่นพร่าของเส้นเสียงในลำคออันเป็นเอกลักษณ์ได้ เสียงนั้นเรียกสติฉันที่ยืนเกาะราวระเบียงร้องเพลงเงียบๆคนเดียวพร้อมกับบุหรี่มวนยาว ฉันหันหน้ากลับไปหาก่อนจะยิ้มให้ ด้วยความที่อยู่ด้วยกันมานานทำให้ฉันรู้โดยที่ไม่ต้องมองหน้าว่านั่นคืออายาเสะ น้องสาวบุญธรรมพ่วงตำแหน่งว่าที่พี่ (?) สะใภ้นั่นเอง
อายาเสะเป็นผู้หญิงตัวเล็กน่ารักน่าทะนุถนอม ผมทวินเทลสีน้ำเงินเข้มเกือบดำตัดปลายไม่เท่ากัน ไม่ไล่ระดับแต่ก็เป็นชั้นๆ แฟชั่นนี่ตามทันยากจริงๆ ทวินเทลข้างหนึ่งผูกริบบิ้น อีกข้างหนึ่งใช้ที่รัดผมมัดเอา ดวงตาสีฟ้าสดใสเจือสีชมพูอ่อนๆในดวงตาข้างขวา ส่วนอีกข้างคาดที่ปิดตาสีขาวสะอาดไว้
แต่ถึงจะน่ารักแค่ไหน แต่ก็ไม่ใช่มนุษย์ เพราะว่าเธอเป็นลูกเสี้ยวเมดูซ่าที่ดันย้อนเกล็ด มีพลังทำให้คนเป็นหินได้เทียบเท่ากับพวกเมดูซ่าแท้ๆ แต่ก็แค่ดวงตาข้างเดียวที่ปิดไว้นั่นแหละ สำหรับเผ่าพันธุ์เมดูซ่าแล้ว เธอยังอายุน้อยมากเพราะเพิ่งจะพ้นเก้าสิบมาได้แค่สามปีเท่านั้นเอง
กลิ่นมิ้นต์ขมๆอันเป็นเอกลักษณ์ของบุหรี่ยี่ห้อที่ฉันสูบลอยคลุ้งไปทั่วอาณาบริเวณ ฉันชอบสูบยี่ห้อนี้เพราะมันไม่ทำให้ติดเหมือนยี่ห้อเก่า แถมดีไซน์ยังสวยเหมาะกับผู้หญิงอีกต่างหาก ฉันหมุนตัวและเดินไปหาอายาเสะ เส้นผมสีไวน์แดงโบกสะบัดเบาๆตามจังหวะที่ก้าวเดิน นิ้วทั้งสองที่คีบบุหรี่อยู่ขยับขึ้นลงเบาๆสองสามครั้งให้ขี้บุหรี่หล่นลงไปบนพื้น ฉันอัดควันเข้าปอดอีกครั้งอย่างยาวนาน นานมากพอที่จะเดินมาถึงอายาเสะและพ่นใส่ใบหน้าน่ารักของเธอ
ส่วนสูงของฉันกับอายาเสะห่างกันร่วม 16 เซนติเมตร ฉันสูง 170 เซนติเมตร ในขณะที่อายาเสะสูงแค่ 154 เซนติเมตรเท่านั้น และนั่นก็ทำให้ฉันดูเหมือนพี่สาวใจร้ายที่กำลังแกล้งน้องสาวอยู่อย่างไรอย่างนั้น แต่ก็เป็นอย่างนั้นจริงๆนั่นแหละ
“ว้าย เมทสึกิ ไม่เอาน่า พี่ก็รู้นี่นาว่าฉันไม่ชอบน่ะ”อายาเสะสะบัดหน้าหนีจนทวินเทลสีน้ำเงินเข้มเกือบดำที่มัดไว้สั่นไหวไปตามจังหวะ แต่ไม่นานควันเหล่านั้นก็จางลงไปจากมือเล็กๆที่โบกไหวของน้องสาวตรงหน้าฉัน ลืมไปรึเปล่าว่าเธอเป็นงู ประสาทรับกลิ่นของเธอน่ะแย่จะตายไป
ฉันฉีกยิ้มให้อย่างกวนๆมั่นใจว่าเธอต้องเห็นฟันขาวแทบทุกซี่ แน่นอนว่าฉันไม่ได้รู้สึกผิดอะไรเลยแม้แต่น้อย “ช่วยไม่ได้ ก็เธอน่ารักน่าแกล้งออกขนาดนี้นี่นา”และที่พูดนี่ก็ความจริงล้วนๆ
กลายเป็นอายาเสะที่ทำหน้าบึ้งอย่างขัดใจ แต่คนน่ารักทำหน้าอะไรก็ยังน่ารัก “ฮึ่ย ไปทานข้าวเช้าได้แล้ว วันนี้เรามีคัดเลือกนักเรียนนะ...”
“แล้วผอ.อย่างฉันก็ต้องไปเปิดงานด้วย จ้ะๆ เธอพูดอย่างนี้มาตั้งแต่สามวันก่อนแล้ว เปลี่ยนแค่ว่า วันมะรืน วันพรุ่งนี้ แล้วก็วันนี้แค่นั้นเอง”อายาเสะยังพูดไม่ทันจบ ฉันก็ต่อให้เพราะมันเป็นอย่างที่พูดจริงๆ จนถึงตอนนี้ อายาเสะได้แต่อมลมแก้มป่องอย่างขัดใจ เธอหมุนตัวกลับพลางบ่นงึมงำว่าคนอุตส่าห์หวังดี หลังจากนี้จะไม่บอกอะไรแล้ว ฉันหัวเราะไล่หลังไปเบาๆเพราะรู้นิสัยของอายาเสะดี ฉันอัดบุหรี่เข้าปอดเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะทิ้งลงพื้น ส้นเข็มของบู๊ตยาวพิเศษขยี้ลงไปบนบุหรี่ที่หมดค่าแล้วอย่างแม่นยำเหมือนทุกครั้ง
ฉันเดินเข้าห้องนอนแล้วปิดประตูระเบียง ลงกลอนอย่างแน่นหนาพร้อมแปะยันต์ข่ายมนตร์กันขโมยทับอีกชั้นเพราะคงไม่ได้กลับมานอนที่นี่อีกนาน ความจริงแล้วบ้านหลังนี้ก็มีสัญญาณกันขโมยนะ แต่ไอ้ของแบบนั้นกับพวกตำรวจน่ะเชื่อถือไม่ได้หรอก เชื่อฉันเถอะ
แล้วฉันก็เดินออกไปที่ห้องโถงของปีกตะวันออกชั้นบน ลงบันไดเวียนไปชั้นล่างเลี้ยวผ่านห้องโถงกลางไปยังห้องอาหารที่ตอนนี้ทุกคนมานั่งรอทานกันอยู่แล้ว
ฉันนั่งลงที่หัวโต๊ะ ดวงตากวาดมองอาหารอย่างไม่ไว้วางใจ แต่ดูจากหน้าตาไม่น่าจะใช่อาหารที่พี่ริซ่าทำเพราะมันดูดีเกินกว่าที่ไอ้พี่ติดน้องที่ทำอาหารทุกอย่างให้เป็นยาพิษนั่นจะทำได้
ถ้าจะให้พูดตรงๆ บ้านของฉันก็ถือเป็นครอบครัวใหญ่ สมาชิกของบ้านมีทั้งหมด 10 คน ทั้งหมดนี่นับรวมฉันด้วย
ผู้ชายตัวโตๆ ท่าทางนิ่งขรึมเย็นชา ผมรองทรงถูกระเบียบสีดำ ดวงตาเรียวคมสีดำสนิท ที่นั่งอยู่ข้างๆทางด้านขวามือคือพี่ชายแท้ๆของฉัน พี่ฟารุย เราเป็นสมาชิกสายตรงของตระกูลมิสทีเก้ที่ได้ล่มสลายไปนานมากแล้ว ตอนนี้พี่ฟารุยทำงานเป็นผู้กำกับการตำรวจที่สถานี เซนทรัล มิลเลนเนี่ยม ที่อยู่ใจกลางเมืองแห่งนี้ และกำลังจะแต่งงานกับอายาเสะในเดือนหน้านี้แล้ว แน่นอนว่าคู่หมั้นกันก็ต้องนั่งข้างกันอยู่แล้วล่ะนะ
นอกจากฉันกับพี่ชายแท้ๆที่เป็นมนุษย์แล้ว พี่ชายไม่แท้ของฉันมีอีกสามคน น้องสาวไม่แท้ก็อายาเสะ ลูกบุญธรรมอีกสี่คน และทุกคนไม่ใช่มนุษย์
คนที่อยู่ข้างๆฝั่งซ้ายมือของฉัน ที่เอาส้อมเขี่ยอาหารไปมาด้วยท่าทางเหมือนเด็กๆคือพี่ชายคนแรก พี่เซนี่ หรือชื่อเต็มเซรินิม่า เคลิเบลอส พี่เป็นลิเวียแทนสายพันธุ์แท้ โดยส่วนมากสายพันธุ์สัตว์ทะเลมักจะฉลาด และพี่เซนี่ไม่ใช่ข้อยกเว้น เพราะเซลล์สมองของพี่อัพเกรดจนถึงขีดสุด ในขณะที่ทักษะด้านอื่นต่ำเตี้ยเรี่ยดิน นอกจากความฉลาดแล้ว พี่เซนี่ยังโคตรขี้อิจฉาแบบสุดๆ ตามธรรมชาติของลิเวียแทนนั่นแหละ และพี่เซนี่สนใจแฟชั่นมาก มากพอๆกับพี่เอสและนาโอะเลยทีเดียว
พี่เซนี่ไถผมสีน้ำเงินไปครึ่งหัว ที่ยังเหลืออยู่ก็ซอยสไลด์ลงไป ขอบสีทองล้อมกรอบสีน้ำเงินดำในดวงตา ม่านตาสีทองอ่อนเป็นเอกลักษณ์ ที่หูก็เจาะไม่รู้กี่รู และจุดเด่นของพี่คือแต่งตัวจัดเต็มทุกวัน
ที่นั่งถัดจากพี่เซนี่คือพี่ริซ่า หรือริซาราอิ สกอร์ไปน์ ขอบคุณพระเจ้าที่พี่ไม่นึกคึกเข้าครัว ไม่งั้นคงได้เลื่อนวันเปิดเทอมไปจริงๆ พี่ริซ่าเป็นมนุษย์จักรกลตัวแรกที่มีความรู้สึกนึกคิดแบบมนุษย์ กล่าวคือพี่มีความรัก ความสงสาร ความโกรธ ฯลฯ อย่างที่มนุษย์มี แต่พี่ไม่มีความรู้สึก ประสาทสัมผัสอื่นๆนอกจากรูปและเสียงใช้การไม่ได้ แต่ยิ่งนานไป ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีก็มากขึ้น ฉันอัพเกรดสเป็คพี่ให้กลายเป็นมนุษย์จักรกลที่เกือบสมบูรณ์แบบ พี่สามารถต่อปากต่อคำได้ แถมยังปากจัดอย่างน่ากลัวเสียด้วย และไม่รู้ทำไมพี่ริซ่าถึงได้กลายเป็นซิสค่อนอย่างสุดกู่จนน่ากลัวได้ก็ไม่รู้
ผมของพี่ยาวถึงสะโพกสีม่วงเข้ม ส่วนมากจะมัดต่ำเป็นหางม้า ดวงตาสีม่วงอ่อน พี่ริซ่าไม่สนใจเรื่องแฟชั่นเลยแม้แต่นิดเดียว พี่ริซ่ามีเสื้อผ้าน้อยที่สุดในบ้าน และทุกชุดล้วนเป็นทางการทั้งสิ้น ต่างจากพี่เอสกับพี่เซนี่ที่ต่างคนต่างก็มีห้องเก็บเสื้อผ้าไว้คนละห้องใหญ่ๆ และมีปัญหาเสื้อผ้าล้นตู้จนต้องเอาไปบริจาคเป็นประจำ
พี่เอส หรือเอลัสซา เธียรอนยังไม่ลงมา แต่งตัวนานเหมือนปกติ เชื่อเถอะว่ารายนั้นน่ะคงหาเรื่องแกล้งนักเรียนอยู่แน่ๆ พี่เอสเป็นไฮนิมฟ์ ว่าง่ายๆก็พรายเจ้า นิมฟ์เพศชายมีสัดส่วนต่อเพศหญิงเป็นหนึ่งต่อร้อย มีนิมฟ์เพศชายหนึ่งในพันชอบเพศตรงข้าม น่าเสียดายที่พี่ไม่ใช่หนึ่งในพันที่ว่า แถมยังเป็นนิมฟ์ที่อยู่ในกลุ่มอาการนิมโฟมาเนียอีกต่างหาก พี่เอสเป็นลูกหลานของราชวงศ์เธียรอน แต่ลำดับสายเลือดก็ห่างจนหมดโอกาสลุ้นเป็นรัชทายาท และพี่เอสรักสวยรักงามมากถึงมากที่สุด
พี่เอสเป็นผู้ชายที่ตัวเล็กที่สุดในบ้าน เตี้ยกว่าฉันด้วยซ้ำ (น้ำหนักน้อยกว่าด้วย) และพี่เป็นผู้ชายที่สวยมาก สวยแบบที่ฉันเทียบไม่ติด ผมหนานุ่มสลวยสีชมพูยาวถึงข้อเท้าแม้จะถักเปียไว้ก็ตาม ดวงตาสีชมพูใสเช่นเดียวกับเพชรสีชมพูบนสร้อยที่พี่เอสใส่ประจำ พี่เอสเองก็แต่งตัวเก่งไม่ต่างจากพี่เซนี่ แต่พี่เอสจะชอบแต่งตัวเป็นผู้หญิงมากกว่า (เรียกกันว่าสาวดุ้นนั่นเอง)
ลูกๆทั้งสี่คนของฉันคงอยู่ในครัว หรือบางทีอาจจะมีคนเผลอหลับอยู่ในห้องน้ำและอีกคนก็ตามไปตบให้ลุกขึ้นมาก็เป็นได้
“หม่าม้า อาหารไม่อร่อยเหรอ” เสียงของยูลลูกชายคนเล็กเหมือนลั่นขึ้นข้างหูจนฉันสะดุ้ง แย่จริง ฉันคงเผลอเหม่อไปหน่อย
ฉันยิ้มกลบเกลื่อน “อาหารของลูกน่ะอร่อยที่สุดอยู่แล้ว” แค่ได้ยินเท่านี้ยูลก็ยิ้มหน้าบาน เด็กคนนี้น่ารักจนฉันเผลอตามใจจน--- อืม น่าจะเสียคนไปแล้วล่ะ แต่เรื่องอาหารนี่ขอเถอะ ถึงจะยังเด็ก แต่ยูลก็ทำอาหารได้อร่อยที่สุดในบ้านจริงๆ
ยูลเป็นสิ่งมีชีวิตที่เรียกรวมๆว่าปีศาจ เผ่าพันธุ์ที่มาจากนรกของแท้ ดวงตาสีบลูโอเชี่ยนงดงามคล้ายกับพี่ฟารุยและเส้นผมสีน้ำเงินเข้มเฉดเดียวกับอายาเสะ ถ้าไม่ใช่ว่าไปรับมาเลี้ยงด้วยกัน ทุกคนคงนึกว่ายูลเป็นลูกของพี่ฟารุยกับอายาเสะไปแล้วแน่ๆ และตอนนี้ยูลเป็นปีศาจที่ยังเด็กมากเลยยังไม่มีเพศ
เอาจริงๆคือเรื่องเพศของปีศาจเป็นสิ่งที่ลึกลับและฉันไม่เข้าใจเลยสักนิดเดียว
สำหรับฉัน ไม่ว่าใครจะว่ายังไง ยูลก็เป็นลูกที่ฉันรักมากที่สุด ห่วงมากที่สุด และหวงมากที่สุด ฉันรู้ดีว่าฉันรักเขาเกินไปจนกลายเป็นตามใจทุกอย่าง แต่ยูลเป็นเด็กดี ถ้าไม่ติดเรื่องเอาแต่ใจ ชอบงอแง ขี้โวยวาย ขัดใจไม่ได้ ห้ามอะไรก็ไม่ฟังล่ะนะ
“มานี่ไอ้น้องเวร หลับในอ่างอาบน้ำอย่างนั้นเดี๋ยวก็ได้ตายกันพอดี”เสียงโวยวายดังลั่นมาก่อนตัวแบบนี้คงไม่พ้นอากิแน่ๆล่ะ และคนที่ทำให้อากิโวยวายได้ก็คงมีแค่ฟ็อกคนเดียว
“พี่อากิไม่ปล่อยให้เค้าตายหรอกน่า เค้ารู้”
“แต่รอบนี้พี่ฟ็อกจมลงอ่างไปเลยนะครับ”
เอาจริงเหรอนั่น
“ถึงได้บอกไงว่าพี่อากิน่ะไม่ปล่อยให้เค้าตายหรอก เนอะเฮซเนอะ~”
เสียง ‘ผัวะ’ ดังลั่นตามมาติดๆ โชคดีที่กะโหลกไม่แตกนะฟ็อกนะ เด็กที่ไม่รู้จักระวังตัวแถมความรู้สึกช้าอย่างไม่น่าเชื่อนี่น่าเหนื่อยใจ ฉันหัวเราะออกมาเบาๆกับภาพครอบครัวแสนสุขวันนี้
อากิเป็นน้องสาวคนโตของครอบครัวเนบเบีย พ่อและแม่เป็นนักเวทที่เดินมาเกิดผิดประเทศ ตอนที่พ่อโดนจับยัดคุกตลอดชีวิตไม่มีสิทธิ์อุทธรณ์ แม่ก็มาตายจากไปเพราะขายตัวจนติดโรคตาย อากิเลยเข้ากองทัพส่งเงินมาเลี้ยงน้องชายทั้งสองคน ถึงอากิจะเป็นลูกสาวคนโตแต่ก็รับมาเลี้ยงเป็นคนสุดท้ายเพราะว่าติดภารกิจรับใช้ชาติ อากิเป็นเด็กที่ขี้โมโห หงุดหงิดง่าย แถมยังดื้อมากอีกต่างหาก ถึงอย่างนั้นก็รักน้องชายมาก มากระดับเดียวกับที่ฉันรักยูลนั่นแหละ
อากิสูงที่สุดในหมู่พี่น้องถึงจะเป็นผู้หญิงก็ตาม ถ้าเทียบกันจริงๆ อากิสูงกว่าฉันเสียอีก แถมหุ่นยังดีมากอีกต่างหาก ทั้งสามพี่น้องเหมือนกันที่สีผมและสีตาที่เป็นสีส้มแรงกระแทกตาอันเป็นกรรมพันธุ์ที่รุนแรงอย่างปฏิเสธไม่ได้ อากิซอยผมจนสั้น แต่งหน้าเข้มแบบเด็กอีโม แต่งตัวไม่ค่อยจะเรียบร้อย แถมยังดัดแปลงเครื่องแบบให้คล้ายกับชุดทหารอีกต่างหาก และอากิติดอมยิ้มหย่าบุหรี่ขั้นรุนแรงพอๆกับที่ติดบุหรี่
ฟ็อกเป็นลูกคนกลาง สูงพอๆกับฉัน แต่ผอมบาง แขนเล็ก ขาเรียว หุ่นเป๊ะเหมือนนางแบบนิตยสารเลยก็ว่าได้ ผมสีส้มยาวประบ่า นอกจากนี้ยังรักสวยรักงามอย่างไม่น่าเชื่อ ฟ็อกเข้ากันได้ดีกับพี่เอส ใบหน้าสวยน่ารัก ดวงตากลมโตสีส้ม และจะรัดเข็มขัดไว้ที่ต้นแขน แขน คอ เอว ต้นขา และน่อง แม้กระทั่งรองเท้าบู๊ทก็เป็นแบบเข็มขัด
ฟ็อกเป็นเด็กที่ประสาทสัมผัสช้าเกินกว่ามนุษย์ปกติ ทั้งปฏิกิริยาตอบกลับอัตโนมัติ การทำงานของสมอง เหมือนกับถูกฉีดยาชาหรือโดนไฟช็อตสมองตลอดเวลาอย่างนั้นแหละ แถมยังขี้ลืมมาก ยกเว้นเรื่องพี่สาวกับน้องชายที่จะแม่นเป็นพิเศษ
ส่วนคนสุดท้ายคือเฮซ เฮซเป็นเด็กดี ดีอย่างที่ว่าหาไม่ได้อีกแล้วในโลกนี้ สุภาพ เรียบร้อย ขยันขันแข็ง ตั้งใจทำงาน ไม่ดื้อ ไม่ซน ไม่ใช้ความรุนแรง เรียนดี กีฬาเก่ง ดนตรีก็เล่นได้ ทำอาหารก็อร่อย (ถึงจะไม่เท่ายูล) งานฝีมือก็ทำเป็น รักสงบ ไม่ชอบยุ่งเกี่ยวกับใคร และไม่ชอบให้ใครมาวุ่นวายกับตัวเองด้วยเช่นกัน
ผมสีส้มซอยสั้นระต้นคอ ทัดหูเก็บข้างหนึ่งอย่างดูเป็นผู้ดี ดวงตาสีส้มที่ดูเฉยชา เย่อหยิ่งและไว้ตัว ก็ว่าไม่ได้นะ เพราะเฮซไม่เคยทำเรื่องให้ที่บ้านเดือดร้อนเหมือนคนที่เหลือเลยสักครั้ง เฮซเหมือนมีพี่ริซ่าเป็นไอดอล ทั้งท่าทางและสไตล์การแต่งตัวเหมือนจะโขกมาจากพี่ริซ่าทั้งดุ้นเลยก็ว่าได้
นี่แหละสมาชิกในบ้านฉัน แต่ละคนธรรมดากันที่ไหน
หืม เหมือนพี่เอสที่หายไปจะลงมาแล้วแฮะ
การก้าวเท้าเดินแต่ละก้าวเงียบสนิท นั่นเป็นเรื่องปกติของพวกพราย แต่พี่เอสจะมีเสียงกรุ๊งกริ๊งของริบบิ้นติดกระดิ่งที่ผูกกับข้อเท้าดังตามจังหวะการก้าวแทน เป็นสัญญาณว่าพี่ลงมาจากห้องแล้ว แต่คราวนี้ฉันได้ยินเสียงอื่นที่ไม่ใช่เสียงกระดิ่งด้วย
และพี่เอสก็ปรากฏตัวด้วยชุดที่ทำให้เราทุกคนอึ้งไป พี่เซนี่ถึงกับทำส้อมหลุดมือเลยทีเดียว คงอิจฉาล่ะมั้ง “เอส นั่นมันชุดบ้าอะไร” โอเค ฉันกำลังจะถามอยู่พอดี ชุดเอลฟ์ผู้หญิงยาวกรุยกรายระพื้นสีขาวสะอาด ผ้าคลุมไหล่สีฟ้าอ่อนลงไปกองอยู่ที่ข้อพับข้อศอก เครื่องประดับสีเงินพราวพรายที่ข้อมือคงเป็นที่มาของเสียงนั่น และเชือกสีขาวเงินที่สอดเข้าไปในเปีย ขับให้พี่เอสดูงดงามอย่างไม่อาจละสายตาได้ พี่ไม่รู้ตัวเองบ้างหรือไงว่าพี่ที่เป็นแบบนี้น่าฉุดขนาดไหน ถึงพี่ไม่แต่งแบบนี้ ไอ้เทพเวรพวกนั้นก็แทบจะลงมาหาพี่ทุกสามเวลาหลังอาหารอยู่แล้ว นี่ยังไม่นับพวกมนุษย์หรือเผ่าพันธุ์บ้าบอที่พยายามจะยลโฉมพี่ชายของฉันให้ได้อีกนะ
“หือ ก็ฉันอยากใส่ แล้วจะทำไม”
นั่นไง ไม่ใช่ไม่รู้ตัวหรอก แต่จะเช็คเรตติ้งต่างหาก จริงๆเลยนะ มีพี่ที่เป็นนิมฟ์อยู่แล้ว แล้วยังจะเป็นนิมโฟมาเนียอีกนี่น่าเหนื่อยใจจริงๆ
“เอส ไม่ห่วงตัวเองก็ห่วงน้องสาวเถอะนะ อิจฉาจนอกจะแตกตายอยู่แล้วมั้งนั่น”พี่เซนี่ยิ้มกวนๆก่อนจะพยักหน้าส่งๆมาทางฉันกับอายาเสะ และพี่เอสสวนทันควัน
“เซนี่ นั่นกำลังพูดถึงตัวเองอยู่เหรอ”
“อย่าหลงตัวเองไปหน่อยเลยเอลัสซา อย่างนายมีค่าพอให้ฉันอิจฉาด้วยเหรอ”
“เซรินิม่า!!”
โว้วๆ แมตช์นี้จัดว่าเด็ด ปกติพี่เซนี่ไม่ค่อยมีเรื่องกับพี่เอสเท่าไหร่หรอก เพราะพี่เอสเป็นหนึ่งในคนที่พี่เซนี่เหนือกว่าเกือบทุกด้านจนพี่เซนี่ไม่จำเป็นต้องไปอิจฉา เรียกชื่อจริงกันแบบนี้ไม่ใช่เรื่องเล่นๆแล้วล่ะ ต้องรีบหยุดเข้าซะแล้ว เดี๋ยวได้เปิดศึกกันจริงๆแล้วจะเดือดร้อนเพื่อนบ้านแถมยังไม่ได้ไปทำงานอีกต่างหาก เรื่องนี้เริ่มซีเรียสแล้วนะ
ฉันพูดขัดทั้งสองคนที่ยังคงจ้องตากันอย่างไม่มีใครยอมใคร “หยุด” แน่นอนว่าด้วยความดังระดับนี้ไม่มีใครฟังฉันแน่ ทั้งคู่ยังจ้องตากันต่อไป แต่ไม่เป็นไร เพราะฉันมีเครื่องขยายเสียงอัตโนมัติ
“เฮ้ย เมทสึกิสั่งให้หยุดแล้วยังไม่ยอมหยุดกันอีก!!”
นั่นแหละ พี่ริซ่า ความเป็นซิสค่อนเกินเหตุของพี่ก็มีดีตรงนี้แหละ ขอโทษค่ะที่หลอกใช้
พี่เซนี่กับพี่เอสยอมเลิกกันแต่โดยดี พี่เซนี่กลับมาจ้วงไส้กรอกในจานอย่างเอาเป็นเอาตาย ส่วนพี่เอสก็เดินมาประจำที่ของตัวเอง รวบชายกระโปรงยาวๆให้เข้าที่แล้วนั่งลง มือบางหยิบส้อมและมีดตัดไส้กรอกทานอย่างเงียบๆ กิริยาสมหญิงยิ่งกว่าผู้หญิงอย่างฉันเสียอีก
เป็นอากิที่พูดขึ้นมาทำลายความเงียบบนโต๊ะอาหาร เพราะลูกสาวคนโตของฉันทานหมดเป็นคนแรกเหมือนที่เคย “แม่ กระโปรงสั้นไปรึเปล่า?”
ร่างฉันกระตุกขึ้นมาหน่อยๆ หวังว่าคงไม่มีใครเห็นนะ “อ่า สังเกตด้วยเหรออากิ” ฉันได้แต่ยิ้มแห้งๆตอบรับไป
“แม่เค้าก็อยากสวยบ้างอะไรบ้าง ...” แต่หลังจากนั้นฉันฟังไม่รู้เรื่องเพราะฟ็อกเล่นยัดไก่ทอดเข้าปากทั้งๆที่ยังพูดอยู่ ฟ็อก ลูกรักของแม่ ลูกช่างมีจิตใจใสสะอาดงดงามหาใครเทียบได้จริงๆ แต่อยู่ๆพี่ฟารุยกลับแค่นเสียงหัวเราหึออกมาเบาๆก่อนที่จะพ่นประโยคทำลายชีวิตฉันกลางโต๊ะอาหาร
“ไม่ใช่ว่าน้ำหนักขึ้น เลยต้องใส่สูงไว้ก่อนหรอกเรอะ”
พรืด
ฉันนั่งนิ่งๆ แต่ใครจะรู้ว่าตอนนี้ส้อมในมือของฉันกำลังรองรับแรงบีบมหาศาลอยู่ “ทุกคนหัวเราะทำไม ตั้งแต่ปิดเทอมมาก็ได้กินแต่อาหารอร่อยๆฝีมือยูล แล้วก็ขนมหวานที่โคตรอร่อยของอายาเสะ ไม่ต้องทนกินอาหารเกือบอร่อยจากพวกเมดเด็กเส้นของเจ้าอินค์ แล้วคนอย่างฉันจะน้ำหนักขึ้นมันผิดตรงไหน”ที่พูดนั่นเป็นความจริงทั้งหมดเลยนะ
พี่ฟารุยพยักหน้า แล้วหันไปพูดกับอายาเสะเสียงอ่อนเสียงหวาน (จริงๆก็นิ่งๆเหมือนเดิมนั่นแหละ แต่หมั่นไส้ว้อย) จนฉันรู้สึกขยะแขยงขึ้นมาหน่อยๆ ก็ปกติพี่ไม่ทำตัวแบบนี้นี่นา “อายาเสะทำขนมอร่อยที่สุดอยู่แล้ว ฉันเองก็น้ำหนักขึ้นเหมือนกัน”
ฉันเบะปาก แขวะกลับ “พี่มันไอ้บ้ากล้าม เพิ่มน้ำหนักเล่นเวทจนกล้ามมันหนักขึ้นต่างหากล่ะ ไม่ต้องมาโทษขนมของอายาเสะเลย”พอพูดจบแล้ว ฉันรู้สึกได้เลยว่าฉันได้ยินเสียงคนหัวเราะ และพี่ฟารุยก็น่าจะได้ยินเหมือนกัน สายตาเย็นเฉียบกวาดมองไปทั่วโต๊ะจนทำให้คนที่มองอยู่รู้สึกขนหัวลุกได้ง่ายๆ รวมฉันด้วยอีกคน
“ฟารุย ไม่เอาน่า คุณพูดเหมือนกับฉันทำคุณเสียสุขภาพอย่างนั้นแหละ”อายาเสะเป็นคนเข้ามาสงบศึกด้วยเสียงหวานๆจนพี่ฟารุยยอมหยุด ใบหน้าเคร่งเครียดเมื่อสักครู่ผ่อนคลายลงอย่างเห็นได้ชัด ฉันอยากจะทำหน้าอี๋แล้วแขวะสักคำว่าไอ้คนหลงเมีย แต่อายาเสะยังไม่ใช่เมีย ไม่สิ อายาเสะเป็นเมียทางพฤตินัยไป (หลายรอบ) แล้ว แต่ยังไม่ได้เป็นทางนิตินัยสักหน่อย เพราะงั้นอายาเสะก็ยังไม่ใช่เมียของพี่ฟารุยอยู่ดีนั่นแหละ ตามนั้น
ทุกคนค่อยๆทยอยทานอาหารเสร็จทีละคนๆจนครบทุกคน อากิรับหน้าที่รวบรวมจานไปเก็บไว้ในซิงค์ล้างจาน เฮซตามไปช่วยล้าง ฟ็อกเหรอ? ฉันไม่คาดหวังอะไรจากเด็กคนนี้หรอก ฉันได้ยินเสียงว้ายและเสียงพูดอะไรบางอย่างดังมาจากห้องครัว คงจะเป็นเมดล่ะมั้ง ลูกๆของฉันนี่ก็มีนิสัยบางอย่างที่แก้ไม่หายจริงๆนั่นแหละ
เฮซเดินออกมาจากครัวเป็นคนแรกตามมาด้วยอากิ “เขาไม่ให้เราล้างจานครับ เขาบอกว่ามันเป็นหน้าที่ของเขา” ลูกชายของฉันพูดเสียงเรียบ พี่ริซ่าตอบเฮซกลับไป เสียงเรียบนิ่งไม่ต่างกัน
“เอาน่า ยังไงซะพวกเราก็ไม่ได้กลับมาอีกนาน ให้พวกเธอทำหน้าที่เป็นวันสุดท้ายก่อนจะพักร้อนยาวๆอีกหกเดือนก็ไม่เห็นเป็นไร”
“แต่ต้องมาทำความสะอาดก่อนเรากลับมาตอนปิดเทอมก็เท่านั้นแหละ”ฉันพูดเสริมถึงข้อตกลงในหนังสือสัญญาการว่าจ้างของเหล่าเมดเผื่อเด็กๆจะยังไม่เข้าใจ รวมๆก็คือระหว่างที่พวกฉันอยู่ในสถาบันฯ พวกเธอมีสิทธิ์พักผ่อนได้เต็มที่และมีสิทธิ์ทำอาชีพเสริมได้ทุกอย่างยกเว้นทำให้บ้านฉันเสียหาย แต่ถ้าพวกฉันกลับมาเมื่อไหร่ บ้านต้องจัดการทำความสะอาดจนเรียบร้อยพร้อมใช้งาน
เด็กๆพยักหน้าหงึกๆเป็นเชิงว่าเข้าใจ ก็ว่าไม่ได้นะ เพราะทุกครั้งที่ฉันกับพวกพี่ๆไปทำงานทีก็ทิ้งเด็กๆทุกคนไว้ที่บ้านครั้งละห้าเดือน ปีหนึ่งจะกลับมาบ้านสักสองครั้งแค่นั้น
ฉันลุกขึ้นจากโต๊ะแล้วเดินไปที่ประตูโรงรถเป็นสัญญาณว่าได้เวลาไปที่สถาบันฯแล้ว คนอื่นๆก็ลุกเดินตามมาเช่นกัน แต่พวกเขาเดินไปที่ตู้รองเท้าก่อนเพื่อเปลี่ยนรองเท้าจากรองเท้าแตะใส่ในบ้านเป็นรองเท้าสำหรับไปทำงานที่สถาบันฯ ส่วนฉันใส่รองเท้านั่นตั้งแต่อยู่ในห้องนอนแล้ว
รถครอบครัวราคาแพงเป็นพิเศษจอดนิ่งอยู่ข้างๆรถหรูประจำตำแหน่งของพี่ฟารุย เพราะนโยบายประหยัดพลังงานที่รณรงค์ใช้กันในทวีปบีเทียที่ฉันอาศัยอยู่ในตอนนี้ทำให้พวกฉันกับพี่ๆที่ทำงานในสถาบันฯต้องซื้อรถครอบครัวงี่เง่าที่แพงบ้าบอนี่ ในขณะที่พี่ฟารุยมีตำแหน่งและมีหน้ามีตาทางสังคมจึงต้องมีรถประจำตำแหน่ง ไอ้ความลักลั่นย้อนแย้งอย่างหาที่สุดไม่ได้นี่มันอะไรกัน!!
ถึงอย่างนั้นก็เถอะ ทั้งฉันกับพวกพี่ๆที่เหลือก็มีรถส่วนตัวกันทุกคน แต่จะขับก็เฉพาะตอนออกงานสังคมที่ถูกเชิญเท่านั้นล่ะ
รถเดี๋ยวนี้มีรูปร่างเป็นทรงกลมรี นึกสภาพสิ แล้วรถครอบครัวเวรนี่ใหญ่กว่ารถส่วนตัวทั่วไปประมาณสองเท่า ขับเคลื่อนด้วยพลังงานแม่เหล็กไฟฟ้า ถนนทุกเส้นในทวีปบีเทียเป็นถนนแม่เหล็กทั้งนั้น แต่ทวีปอื่นๆอย่างกีห์มริดคงลำบากถ้าจะทำถนน เพราะว่าหิมะที่ตกตลอดเวลาคงจะทับถมจนมองไม่เห็นถนนแน่ๆ ส่วนโอดเลกก์นั่นก็ไม่เปิดรับความเจริญทางเทคโนโลยีใดๆอยู่แล้ว และธรรมชาติในออตตอนก็สมบูรณ์เกินกว่าที่จะทำลายได้ ดังนั้น การใช้รถจึงมีเฉพาะในบีเทียเท่านั้น
ฉันเข้าไปนั่งในรถที่ตำแหน่งคนขับ กดรีโมตเปิดประตูโรงรถ ส่วนพี่ฟารุยเดินตามฉันมาไม่นานก็ขับรถของตัวเองออกไปทันทีที่ประตูเปิดจนสุด พวกเรามีเวรขับรถกัน ไล่ตามลำดับอาวุโสจากพี่เซนี่ พี่ริซ่า พี่เอส แล้วก็ฉัน ถ้าถามว่าทำไมถึงไม่มีอายาเสะอยู่รายชื่อ? ถ้าจะมีใครเชื่อใจความสัมพันธ์ของประสาทสัมผัสระหว่างมือกับตาของงูล่ะก็ไม่ใช่ฉันแล้วคนหนึ่งล่ะ
อันที่จริงรอบที่แล้วเป็นเวรที่ฉันต้องขับ แต่ฉัน(แกล้งทำเป็น)เหนื่อยจนน็อคก็เลยสลับกับพี่เซนี่ ถึงได้ต้องมาเป็นคนขับอยู่นี่ไง เด็กๆจำไว้ว่าอย่าขี้เกียจจนแลกเวรกับคนอื่น เพราะเธอจะได้รับหน้าที่หนักกว่าที่เธอควรจะได้ ที่พูดอย่างนั้นก็เพราะว่าวันนี้เป็นวันเปิดเทอมวันแรก แถมยังเป็นวันแรกของสัปดาห์ของเดือน ซึ่งแน่นอนว่าไม่ว่าใครก็อยากไปทำงานในวันแบบนี้ตั้งแต่เช้าอยู่แล้ว และนั่นส่งผลให้วันนี้จะมีรถติดมากกว่าวันอื่นๆ
“มาแล้วจ้า มาแล้วๆ”พี่เซนี่เปิดประตูรถออก อัดตัวเองไปอยู่ที่นั่งหลังสุดตามมารยาท ขอบคุณพระเจ้าที่พี่เซนี่ยังมีมันอยู่ ตามมาด้วยพี่ริซ่ากับอายาเสะเต็มสามที่นั่ง อากิและฟ็อกนั่งที่แถวถัดขึ้นมา ฟ็อกกอดแขนอากิ เอาหัวถูไถไปมาที่ไหล่เป็นการอ้อน และก็ได้รับฝ่ามือมหากาฬฟาดเข้าที่กลางกะโหลกเป็นครั้งที่สองของวัน ส่วนพี่เอสนั่งตรงเบาะเดี่ยวที่ประจำ พี่ไม่ค่อยชอบนั่งใกล้ใคร ยกเว้นฟ็อกที่พี่จะยอมลดระยะห่างให้มากกว่าปกติ และที่นั่งข้างคนขับของฉันจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากยูล
ตอนนี้เหลือแค่เฮซที่ยืนกระอักกระอ่วนอยู่ข้างล่าง ไม่รู้จะไปนั่งที่ตรงไหนดี ยูลเลยเรียกให้ขึ้นมานั่งด้วยกัน “พี่เฮซ ขึ้นมานั่งสิ”
เฮซเงยหน้าขึ้นมา สีหน้าตกใจอย่างที่ฉันไม่เคยเห็นมาก่อน ดวงตาเหลือบซ้ายขวาอย่างร้อนรนและเกรงใจก่อนจะก้มหน้าลงไปมองพื้นและพูดเสียงสั่นๆ “แต่พี่... คงไม่ดีเท่าไหร่ พี่ไปนั่งกับพี่ฟ็อกกับพี่อากิดีกว่า” เด็กคนนี้นี่ ก็เห็นอยู่ว่าข้างในมันเต็มแล้วยังจะกลัวอะไรอีก ขึ้นมานั่งหน้าคู่กับฉันและยูลมันเสียหายตรงไหนกัน
“เฮซ ไม่เอาน่า ขึ้นมานั่งกับแม่เถอะ ยูล เขยิบให้พี่เค้านั่งซิ”พูดจบ ยูลกระดึ๊บสองสามครั้งมานั่งตรงกลางชิดกับฉันจนแทบจะนั่งตัก แต่ก็มีที่เหลือพอให้เฮซนั่งได้อีกคน ฉันเห็นเฮซทำหน้าลำบากใจแต่ก็ยอมขึ้นมานั่งแต่โดยดีหลังจากถูกบังคับผ่านการกระทำของฉัน ยูลเขยิบออกไปนิดหน่อยเมื่อเห็นว่ามีที่เหลือ แน่สิ เฮซน่ะตัวเล็กจะตาย แล้วยูลก็อายุแค่แปดขวบ มันจะไปกินที่อะไรเยอะแยะ ฉันส่ายหน้าก่อนจะโยนรีโมทไปให้เฮซกดปิดประตูและเหยียบคันเร่งจนสุดแรงทันที ฉันหัวเราะหึเบาๆในลำคอเมื่อเห็นท่าทางตื่นตระหนกที่เฮซเกือบจะกดปิดประตูโรงรถแทบไม่ทัน
พูดตรงๆคือฉันไม่ใช่พวกชอบซิ่ง แต่จะให้ขับช้าๆก็ไม่ใช่สไตล์ของฉันอีกเหมือนกัน สรุปว่าฉันเป็นพวกชอบขับรถเร็วแค่นั้นก็พอ
“เมทสึกิ ไม่ต้องรีบก็ได้ ตอนนี้ยังทันนะ ไม่น่าสาย”อายาเสะพูดขึ้นมาหวาดๆ โธ่แม่น้องสาวที่รักคะ ถึงสายจริง ฉันก็กล้าพอที่จะปล่อยให้นักเรียนรอโดยไม่บอกเหตุผลก็แล้วกัน
“ถ้าประตูมิติไม่เสียก็ไม่ต้องมาขับรถครอบครัวงี่เง่านี่หรอก โธ่เอ๊ย ประตูมิติก็ดันโดนทุบซะได้ ฉันแค่เอาลิ่มกลับบ้านเองนะ ถึงได้บอกไงว่าตำรวจน่ะช่วยอะไรไม่ได้เลย”แล้วก็บ่นต่ออีกยาว
ฉันกำลังพูดถึงเหตุการณ์ที่เป็นที่กล่าวขานบนหน้าหนังสือพิมพ์และสังคมออนไลน์ไปถึงหนึ่งอาทิตย์เต็มๆ ถึงความหละหลวมของการรักษาความปลอดภัยในสถาบันฯอันดับหนึ่งของโลก ตามข้อตกลงคือเมื่อสถาบันฯเข้าสู่ช่วงปิดเทอม เป็นหน้าที่ของพวกตำรวจที่จะเป็นฝ่ายรักษาความปลอดภัยอย่างเต็มรูปแบบ แต่หลังจากปิดเทอมแค่หนึ่งวัน กลับมีไอ้บ้าที่ไหนไม่รู้เดินดุ่มๆเข้าไปทุบทำลายลำโพง, เตาผิง, ผนัง, หน้าต่างกระจกสีโบราณในห้องโถง, ประตู ,รวมไปถึงประตูมิติด้วย ทำเอาลำบากไปหลายวันกว่าที่ฉันกับตำรวจจะหาตัวคนทำลายเจอ น่าเสียดายที่ไม่เจอหลักฐานว่ามันเป็นคนทำเลยไม่ได้จับยัดคุกอย่างที่หวัง
พวกเธอต้องเข้าใจนะว่าประตูมิติน่ะซ่อมลำบาก อย่างน้อยๆก็ใช้เวลาสักสองเดือน พรุ่งนี้ถึงจะครบกำหนดที่ช่างบอก แถมระหว่างนั้นก็ใช้เวลาซ่อมแซมสถาบันฯไปด้วยในตัว
รู้อะไรมั้ย? กระจกสีทำฉันเจ็บที่สุด นั่นน่ะอยู่มาตั้งเก้าร้อยเก้าสิบเก้าปีตั้งแต่สถาบันฯก่อตั้งเชียวนะ ปีนี้ปีเดียวก็จะครบหนึ่งพันปีพอดี แย่ที่สุด
ท่าทางว่าฉันคงจะผลอเหยียบคันเร่งเร็วไปโดยไม่รู้ตัว ฉันเกือบจะไปชนคันหน้าเข้าแล้ว ทั้งที่เข้าเขตรถติดแล้วแท้ๆ นั่นแปลว่าเราเข้าใกล้จุดหมายแล้วนั่นเอง ฉันหักเข้าซ้ายทันทีที่มีช่องว่าง ค่อยๆไหลไปอย่างช้าๆกับมวลรถมหาศาลที่ค่อยๆเคลื่อนไป ฉันก้มลงมองนาฬิกาก็พบว่าใกล้จะได้เวลาเปิดงานแล้ว
อา เด็กๆบนรถที่กำลังกระวนกระวายใจว่าจะไปไม่ทันเปิดงานเอ๋ย อย่าห่วงไปเลย สภาคณาจารย์ผู้ยิ่งใหญ่ของสถาบันฯครึ่งหนึ่งยังอยู่บนรถอยู่เลยจ้ะ ที่พวกเธอควรเป็นห่วงคือพวกที่มารอตั้งแต่เช้ามืดมากกว่า
ความคิดเห็น