คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #8 : 05 - บางครั้งโลกนี้อาจมีคนชื่อซ้ำกันเยอะนะคะ
“นี่เธออีกแล้วเหรอ”
ประโยคแรกหลุดจากปากหัวหน้ากิลด์นักผจญภัยครั้นได้พบผู้ประสบภัยคนแรก
แทนที่นัยน์ตาสีแซฟไฟร์ของเขาจักมองสตรีตรงหน้าด้วยสีหน้าห่วงใยมันกลับกลายเป็นแววตาเอือมระอาสุดทน ตอนนี้พวกเรากำลังพร้อมใจกันมองเด็กสาวที่ติดในมีทฟลาวเวอร์ ก่อนหน้าฉันเห็นนักผจญภัยข้างหน้าท่าทางร้อนรน อยากจะช่วยเหลือนะ
แต่ไหงพอหัวหน้ากิลด์มา ทุกคนถึงได้ดูชิวขนาดนี้
ไม่มีคิดจะช่วยออกมาไวๆ จริงเหรอ?
มาพร้อมใจกันยืนมองคนกำลังตกที่นั่งลำบากเพื่ออะไร...
“เสียงนี่มันหัวหน้ากิลด์
สวัสดี แล้วก็ช่วยด้วย”
แล้วคนติดก็ไม่คิดทำเสียงให้น่าช่วยเหลือเลยหรือ
เธอดิ้นนิดหน่อย
และ นิ่งต่อเหมือนไม่ได้รู้สึกเดือดร้อนแบบจริงๆ จังๆ
“ก็นะ
เหมือนเรื่องปกติ”
จากน้ำเสียงของหัวหน้ากิลด์
แสดงว่าเด็กสาวคนนี้น่าจะตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้บ่อยจนเผลอมองมันเป็นเรื่องปกติกระมัง แถมท่าทางสถานการณ์ที่เกิดขึ้นไม่น่าใช่อุบัติเหตุ
ง่ายๆ เธออาจมีนิสัยประหลาดๆ
เหมือนเดมาริมก็ได้
ทั้งเคยได้ยินจากธีโอ
ทั้งเคยเห็นเองกับตา เดมาริมชอบเอาตัวไปเสี่ยง, ทำอะไรประหลาดๆ ด้วยตรรกะที่คนปกติไม่อยากจะยึดถือเป็นวิถีชีวิตด้วย
อย่าง ‘ยังไงก็ไม่ตายหรอก ทำๆ ไปเถอะ’ ------นี่นายคิดว่าตัวเองเป็นอมตะหรือไง
แน่นอนพูดคำนี้ทีไรต้องมีเฉียดตายตลอด อ๊ะ ไม่ได้หมายถึงเขาชอบไปเสี่ยงในที่ๆ
อันตรายอย่างเดียวนะ
เด็กหนุ่มผมม่วงคนนั้นมีคำพูดคำจาแสนเสี่ยงต่อการโดนคนหมั่นไส้ดักทุบสักวัน
ความจริงขอความช่วยเหลือด้วยคำพูดที่ไม่น่าช่วย
ฉันควรชินได้แล้วล่ะ
เดมาริม กับ
เซเนทซ์เป็นแบบนั้นประจำ
โดยเฉพาะน้องชายฝาแฝดไม่รู้ว่าบางทีขอให้ช่วยหรือกำลังหาเรื่องด่าคนช่วยกันแน่
เอาเป็นว่านิสัยแบบนี้อย่าใช้เป็นแบบอย่างเชียว
“รู้จักเหรอครับ?”
หนึ่งในนักผจญภัยกล่าวถามด้วยน้ำเสียงประหลาดใจ
ฉันเคยได้ยินว่าหัวหน้ากิลด์มักรู้จักคนมากหน้าหลายตาเป็นเรื่องปกติ
หากแต่ดูเหมือนคนที่เขารู้จักส่วนใหญ่จะเป็นนักผจญภัยด้วยกัน
อันที่จริงสามัญชนมีสังคมของสามัญชน กลับกันขุนนางเองก็การสร้างสังคมขึ้นตามใจส่งผลให้คนแทบไม่มีความปฏิสัมพันธ์กับคนที่ฐานะทางสังคมต่างจากตนเองเกินไป
พูดตามตรงการสนิมสนมระหว่างชนชั้นไม่อยู่ในข้อห้ามแต่อย่างไร
บุตรีดยุค หรือ องค์หญิงจะไปสนิมกับสามัญชน หรือ
เด็กกำพร้าในโบสถ์ก็ไม่มีใครห้ามหรอก
แต่ที่ไม่ค่อยมีเพราะพื้นฐานธรรมเนียมปฏิบัติตนมันต่างกัน สามัญชนบางคนมองว่าการปฏิบัติตัวของขุนนางเต็มไปด้วยความยุ่งยาก และ
น่ารำคาญเกินบรรยายไม่ต่างจากที่ขุนนางบางรายมองว่าวิถีชีวิตของสามัญชนมันช่างมักง่าย
และ ไร้สีสันสิ้นดี
ถ้าไม่คิดปรับตัวเข้าหากันนละครึ่งทางมีแต่จะสร้างปัญหาเปล่าๆ
กรณีที่ปรับตัวได้ก็แล้วไป
เอาเถอะ
อย่างไรเสียเป็นเรื่องของสภาพแวดล้อมที่ต่างกันน่ะนะ
อ่า
สำหรับฉันไม่ว่าปรับตัวเข้าหาฝ่ายไหนมันก็ยุ่งยากหมดนั่นแหละ
ขุนนางก็วุ่นวายกับภาพลักษณ์
สามัญชนก็ต้องเหนื่อยกับการพยายาม
ชีวิตนี่มันยากจริงๆ
“คนสนิทของท่านหรือ?”
ไวเคานต์แลมฟาร์ปรากฏตัวทีหลังพร้อมตั้งคำถามที่ฉันเชื่อว่าหลายคนอยากจะรู้เหลือเกิน
หากแต่ก่อนหัวหน้ากิลด์จะตอบกลับ
ชายหนุ่มยืนกอดอกหรี่ตามองภาพตรงหน้าครู่พลางชิงถากลับอย่างรวดเร็ว “อ๊ะ
ลูกสาวบารอนเบลูมสินะ?”
“ใช่ครับ ท่านไวเคานต์----เธอเป็นบุตรบุญธรรมตระกูลเบลูม”
บารอนเบลูมเป็นตระกูลขุนนางใหม่ ตำแหน่งดินแดนติดอาณาจักรอื่น
ความจริงถือว่าเป็นชายแดน ทุกครั้งที่ฉันเห็นคำนี้จากความทรงจำแม่มด มักจะเป็นสถานที่ที่วุ่นวายเกินบรรยาย ทว่าโลกใบนี้ไม่มีสงครามมานานเกือบพันปี
ดังนั้นชายแดนส่วนใหญ่จึงไม่ได้วุ่นวาย
ถ้าไม่นับรวมความวุ่นวายจากมอนสเตอร์
หรือ โจรน่ะนะ
การข้ามไปยังอีกอาณาจักรถือว่ามิใช่เรื่องยาก
เพราะแบบนั้นเราถึงได้เห็นธีโอไปที่นั้นทีที่นี่ที แต่แนะนำว่าเข้าไปแบบถูกวิธีด้วยล่ะ
ไม่งั้นอาจจบไม่สวย แม้อาณาจักรปฏิบัติกับคนต่างแดนเหมือนนักท่องเที่ยวทั่วไป
แต่กับโจร หรือ พวกลักลอบเข้ามาไม่ถูกวิธีตรงกันข้ามเลย ธีโอมักพูดกรอกใส่หูทุกเรื่องเกี่ยวกับการท่องเที่ยวให้ฉันฟัง
ว่าแต่ฉันดูเหมือนคนชอบเที่ยวทั่วโลกเหมือนเขาหรือ?
ข่าวลือเมื่อ
2 – 3 ปีก่อนมีอุบัติเหตุหนึ่งเกิดขึ้น เนื้อหาคร่าวๆ
เกี่ยวกับมอนสเตอร์ประเภทคราเคนหลุดออกจากดันเจี้ยน
เนื่องจากประตูมิติหลังเคลียร์ดันเจี้ยนเกิดขัดข้องกะทันหันส่งผลให้มีการเปิดใช้งานทางออกท้ายดันจนบอสหลุดออก
ซึ่งปกติไม่มีทางเกิดขึ้นง่ายๆ หรอก
ไม่รู้ว่าบังเอิญจริงๆ
หรือ มีใครจงใจเปิดมันหรือเปล่า
บารอนเบลูมบาดเจ็บในเหตุการณ์ดังกล่าวอย่างหนักจนต้องพักฟื้นนานหลายเดือน
ผลพวงจากอาการบาดเจ็บทำให้เขาไม่สามารถมีลูกได้อีกจึงต้องรับเลี้ยงเด็กกำพร้าเพื่อสานต่อตระกูล
ไม่สิ อันที่จริงเจ้าตัวยังไม่มีภรรยาด้วยซ้ำ ได้ยินว่าเขารับทายาท 3 คน บุตรชายคนโต, บุตรสาวคนกลาง, และ บุตรชายคนเล็ก
“ก่อนถูกรับเข้าตระกูลเคยเป็นนักผจญภัยระดับ
S”
ฉันไม่ได้มีความรู้เกี่ยวกับกิลด์นักผจญภัยมากเท่าที่ควร
แต่ระดับ S นี่ระดับสูงสุดใช่ไหม?
“ระดับ S ? แต่ดูอายุน่าจะยังน้อยอยู่”
อายุน้อยจริงๆ
นั่นแหละ จากลักษณะรุ่นราวคราวเดียวกับฉันชัดๆ
หากเป็นเช่นนั้นจริง
เด็กสาวตรงหน้าควรถูกจัดเป็นหนึ่งในอัจฉริยภาพ หรือ
การคุ้มครองจากแม่มดเอื้ออำนวยให้เดินทางนี้ จริงด้วย ฉันพูดเรื่องนี้หรือเปล่า เรื่องที่ว่าต่อให้การคุ้มครองเดียวกัน ทว่าลักษณะการต่อสู้พื้นฐานอาจต่างกันได้ กระนั้นยังคงบางอย่างไว้เหมือนกัน ยกตัวอย่างแม่มดแห่งหอสมุด แม้ฉันโจมตีโดยการสร้างลูกบาศก์ แต่ไม่ใช่ได้รับผู้คุ้มครองจากโอพีเลียทุกคนจะทำลักษณะนี้ บางรายอาจเป็นร่ายประโยคยาวๆ
เหมือนบทร่ายมนตร์จากความทรงจำแม่มด บางรายอาจไปโจมตีระยะประชิดด้วยอาวุธด้วยซ้ำ
ทว่าสิ่งที่เราเหมือนกันคือความรุนแรง และ ความเชื่องช้าขณะโจมตี
โดยเฉพาะจังหวะหน่วงก่อนโจมตีนี้
แก้ไม่ได้จริงๆ...
“เรื่องมันยาวน่ะ---”
“ช่างหัวประวัติฉันเถอะ
ช่วยที”
ระหว่างหัวหน้ากิลด์กับไวเคานต์แลมฟาร์กำลังสนทนากัน
เสียงสตรีผู้เคราะห์ร้ายกลับดังขึ้นอีกรอบพร้อมแรงดิ้นที่ขาราวกับเร่งให้พวกเขาช่วยออกไป
นัยน์ตานักผจญภัยมองอย่างเอือมระอาก่อนหันไปเอ่ยกับหัวหน้ากิลด์ต่อ
“วิธีพูดไม่เห็นเหมือนคุณหนูเลยนะครับ”
“ก็เคยเป็นสามัญชนมาก่อนนี่”
“ก็บอกว่าช่วยที”
“ขอถามอะไรสักอย่างได้ไหมครับ?”
“ว่ามาสิ”
“เมื่อกี้คุณพูดว่าอีกแล้วกับเด็กคนนี้ใช่ไหม?
แสดงว่าเรื่องพวกนี้เกิดขึ้นบ่อยๆ”
“ช่วยที”
“อืม ใช่
เกิดขึ้นทุกครั้งที่ปล่อยให้มาดันเจี้ยนคนเดียว”
“ขอร้องล่ะ
ช่วยที“
“งั้นทำไมไม่ปล่อยให้อยู่แบบนี้ไปสักพักครับ”
“เฮ้! บอกว่าช่วยที”
ไม่มีใครคิดสนใจเสียเร่งให้ช่วยนั่นหน่อยเหรอ
ฉันเห็นบุตรีบารอนดิ้นแรงขึ้นเรื่อยๆ ทุกครั้งที่ส่งเสียงขอให้ช่วย แต่อย่างที่เห็นแหละ
ไม่ได้เข้าหูใครเลย
“อันที่จริงเด็กนี้หลุดได้เองน่ะนะ
เมื่อก่อนเคยปล่อยทิ้งไว้เพราะชอบมุดปากมีทฟลาวเวอร์
แต่รุ่งขึ้นก็โผล่หน้าออกมาในสภาพไร้ยางอายอยู่ดี
อย่างน้อยก่อนมารายงานภารกิจช่วยจัดการสารรูปไร้ยางอายให้เรียบร้อยก่อนไม่ได้หรือไง!”
สรุปต่อให้ปล่อยยังไงเดี๋ยวก็กลับมาทำตัวระรื่นในวันถัดมา
อ่า คนประเภทนี้มีเยอะจริงๆ อ๊ะ---หมายถึงฉันด้วยเหรอ?
ก่อนหน้านี้เดินชิวในดันเจี้ยน แถมจิบชา
ตอนนั้นไม่มีมอนสเตอร์นี่จะลนลานให้เหนื่อยทำไม
....ที่จริงต่อให้มีก็ไม่สนอยู่ดี...
“อย่านินทาคนอื่นต่อหน้าสิ
แล้วก็ช่วยที”
“ไม่ได้นินทา
กำลังบ่นให้ฟังต่างหาก ถ้าได้ยินแล้วก็ช่วยปรับปรุงตัวที”
“ในนี้ไม่ได้ยินเสียงอะไรเลยแฮะ”
เสียงอู้อี้แสนแผ่วเบาทันทีที่หัวหน้ากิลด์ทำเสียงเหมือนกำลังดุสตรีตรงหน้า
ขาสองข้างของเธอหยุดดิ้นกะทันหัน
หากแต่ท่าทีคล้ายเพิกเฉยต่อคำต่อว่าทำเอาชายหนุ่มผู้เป็นหัวหน้านักผจญภัยย่นคิ้วอย่างหงุดหงิดก่อนบ่นพึมพำเบาๆ กับนักผจญภัยที่เหลือ
“ปล่อยให้หลุดเองกันเถอะ”
“นั่นสินะครับ
“เห็นด้วยอย่างยิ่งค่ะ”
“ไปช่วยคนอื่นต่อกันเถอะ”
พร้อมใจกันเลยนะ
คนจากกิลด์นักผจญภัยเนี่ย
ทั้งฉัน,
เซเนทซ์ และ ไวเคานต์แลมฟาร์ยืนมึน พฤติกรรมสุดแสนประหลาด และ
ไม่สมกับเป็นหน่วยกู้ภัยประจำกิลด์นักผจญภัยไปครู่หนึ่ง ตอนแรกนึกว่าพูดเล่นซะอีก
นั่นกำลังเดินหนีแล้วไม่ใช่หรือไง
จะทิ้งจริงๆ เหรอ
ดูน่าสงสาร
แต่ก็ไม่น่าสงสาร
“เฮ้!”
เสียงตะโกนลั่นละม้ายเรียกให้ทุกคนหันกลับมาสนใจ หัวหน้ากิลด์พ่นลมหายใจเฮือกใหญ่ออกมาแบบไม่ปิดบังพร้อมทั้งกลอกตาเซ็งๆ สารภาพว่าฉันเผลอคิดว่าพวกเขาจะดึงเธอออกมาเสียอีก หมายถึงดึงจริงๆ จังๆ นะ
ไม่ได้เปรียบเปรย ดึงโดยไม่พึ่งพลังเวท แต่กลับกลายเป็นมีการร่ายเวทบนผิวหนังของมีทฟลาวเวอร์ จากสภาพมอนสเตอร์ตัวนี้น่าจะตายไปแล้ว
ปกติซากศพมอนสเตอร์สลายเองตามธรรมชาติภายใน 5 – 10 นาที
หลังจากนั้นเกิดใหม่ในบริเวณเดิม
เวลาเกิดใหม่ขึ้นอยู่กับประเภทมอนสเตอร์
กล่าวให้เห็นภาพกว่านั้นคงประมาณมอนสเตอร์ในเกมต่างๆ นั่นแหละ
กระนั้นเหมือนมีทฟลาวเวอร์นี้จะตายเกินเวลาที่ต้องสลายแล้ว
บางทีคงเพราะมันมีเหยื่ออยู่ในปากล่ะมั้งทำให้ยังไม่เกิดกระบวนสลาย
ฉันเคยอ่านผ่านๆ จากหนังสือ มอนสเตอร์ประเภทกินเนื้อเป็นแบบนี้กันหมด ต่อให้ตาย มันก็ไม่สลายจนกว่าเหยื่อจะถูกย่อย
พูดตามตรงแอบเหี้ยมพอตัวแฮะ
“อ๊า!!” ระหว่างยืนมองการช่วยเหลือ เด็กสาวผู้ประสยภัย
หลุดอุทานเสียดังจนนักผจญภัยต้องช้อนสายตามอง
“อย่าส่งเสียแปลกๆ
ได้ไหม?” ชายหนุ่มในเครื่องแบบนักผจญภัยกล่าวเสียงเรียบ
“จะทิ่มตาแล้ว!”
“มองเห็นด้วยเหรอ?”
“ในฐานะนักผจญภัย
โมนิก้าถือเป็นคนเก่งคนหนึ่ง แต่ฉันเองก็ไม่เข้าใจว่าทำไมถึงชอบติดกับดักง่ายๆ
ของมอนสเตอร์ระดับต่ำแบบนี้” หัวหน้ากิลด์กล่าวเสียงเรียบก่อนมองพื้นดิน
“ความประหลาดของพวกอัจฉริยภาพล่ะมั้งคะ
ได้ยินว่าไม่สุดโต้งทางใดก็ทางหนึ่ง” สภาชิกกิลด์อีกคนเอ่ยพลางหัวเราะแห้งๆ
อืม ความจริงขนาดฉันไม่มีประสบการณ์แบบนักผจญภัยยังมองตำแหน่งกับดักมีทฟลาวเวอร์ออก ดูยังไงเด็กคนนี้จงใจเดินไปติดกับเองมากกว่า
“ฉันแค่อยากเก็บหัวใจมีทฟลาวเวอร์”
เห็นไหม จงใจจริงด้วย
ว่าแต่อะไรนะ
หัวใจมีทฟลาวเวอร์?
“ฆ่าๆ ไปก่อนก็ได้
ไม่จำเป็นต้องมุดเข้าไป”
“มันยุ่งยาก”
“......”
อีกครั้งที่เหล่านักผจญภัยทำหน้าเอือมระอา ชายที่กำลังใช้เวทสลายร่างมีทฟลาวเวอร์หยุดการกระทำของตนเองเล็กน้อย
ความเงียบสงัดกลืนกินโดยรอยหลายนาที กระทั่งหัวหน้ากิลด์พึมพำเบาๆ
“ขอให้โชคดี โมนิก้า เบลูม”
“เดี๋ยวดิ”
เสียงขัดจังหวะมุกเดินหนีดังลอดจากมีทฟลาวเวอร์
อันที่จริงพวกเขาแค่รู้สึกเอือมจนรู้สึกไม่อยากช่วยขึ้นมาเสียดื้อๆ
แม้กล่าวเช่นนั้นไปก็ตาม แต่อย่างไรเสียพวกเขาก็มาที่นี่เพื่อกู้
ดังนั้น---ช่วยไม่ได้ล่ะนะ ถามว่าทำไมฉันถึงไม่ยอมช่วยอะไรเหรอ อ่า จะให้ช่วยอะไรล่ะ
เวทมนตร์ไม่ได้มีไว้ช่วยคนอื่น ทลายประตูดันเจี้ยนอย่าได้เรียกว่าช่วยเลย พลังโจมตีเน้นๆ
ขนาดนั้น ส่วนเซเนทซ์ เขาเป็นประเภทดีบัพมากกว่าบัพ โดนเข้าไปไม่น่าต่างจากโดนมอนสเตอร์ประเภทก่อกวนเล่นงาน
“ต้องดึงขาด้วยไหม?”
“ไม่ต้องหรอก
พอพื้นที่รอบๆ โล่งแล้วก็หลุดได้ตามปกตินั่นแหละ”
ใช้เวลากว่าสิบนาทีก่อนจักพาเด็กสาวคนนั้นออกจากปากมอนสเตอร์ได้ ทว่าทันทีที่ออกมาได้ภาพที่เห็นกลับเป็นเธอยืนยืดเส้นยืดสายเหมือนเพิ่งลุกจากเตียงยามเช้า ผู้ประสบภัยยืดตัวคลายกล้ามเนื้อพลางกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย
“เรียบร้อย อ่า
เหมือนได้เกิดใหม่เลย”
ไม่มีกลิ่นอายสำนึกผิดตั้งแต่ต้นจนจบ
“ว่าแต่เมือกมีทฟลาวเวอร์เป็นกรดนะครับ”
“เด็กนี้อยู่ในปากมีทฟลาวเวอร์ได้ขนาดนี้
ไม่เป็นอะไรหรอก”
ประเดี๋ยว เมือกเป็นกรด---
“ไร้ยางอายสุดๆ
นายน้อยไม่ควรมอง”
เสียงไวเคานต์ดังจากข้างๆ
พลันทัศนวิสัยมืดบอดอย่างรวดเร็วจนในหัวเริ่มเกิดคำถาม
ฉันย่นคิ้วเข้าหากัน รู้นะว่าทำไมภาพถึงมืด แต่ทำไม---ทำไมล่ะ ฉันเป็นผู้หญิงเหมือนกันจะมาปิดตาทำไม
แล้วเมื่อกี้พูดว่านายน้อยใช่ไหม? ต้องอิกเซเนทซ์สิ ไม่ใช่ฉัน
“เดี๋ยวก่อนค่ะ
มาปิดตาฉันทำไมคะ?”
“ขออภัย
สับสนกับน้องชายของคุณ”
“แยกคนด้วยสีตาหรือคะ?”
คำตอบที่ทำให้เกิดคำถามมากขึ้น จริงอยู่ว่าฉันกับเซเนทซ์เป็นฝาแฝด แต่พวกเราแทบไม่มีอะไรเหมือนกันนอกจากสีตากับส่วนสูงที่ใกล้เคียง โดยรวมความเหมือนแค่นี้ ขนาดหลับตามองยังไม่เกิดความสับสนเลยไม่ใช่หรือไร---เอาเข้าจริงสีตามันก็ไม่ได้เป๊ะ แค่เฉดเขียวเหมือนกันเท่านั้นเอง ไม่นานทัศนวิสัยตรงหน้าเริ่มกลับมาสว่าง สตรีที่เพิ่งออกจากปากมีทฟลาวเวอร์มีเส้นผมสีน้ำตามเข้มยาวถึงกลางหลัง จากมุมของฉัน เธอตอนนี้ยืนหันข้างนิดๆ ส่งผลให้ไม่แน่ใจสีตา แต่เค้าโครงใบหน้าดูออกไปทางน่ารักมากกว่าสง่า ยิ่งไปกว่านั้นไร้ยางอายอย่างที่คิด
เสื้อผ้าท่อนบนถูกกรดละลายไปหมด
หมายความว่าเด็กสาวคนนั้นกำลังเปลือยท่อนต่อหน้าคนจำนวนมากใช่ไหม?
คำตอบคือ ใช่
และ
ตอนนี้เธอกำลังทำท่าเขินอายเหมือนสาวน้อยทั่วไปใช่ไหม?
คำตอบคือ ไม่
โคตรไร้ยางอาย!
“เห็นไหมก้อนเนื้อด้านบนกับด้านล่างมันก็ไม่ต่างกัน”
กระนั้นโลกใบนี้คงไม่มีอะไรน่าปวดหัวไปกว่าแนวคิดของอิกเซเนทซ์
ถ้าธีโอหรือเดมาริมอยู่ด้วยน้องชายของฉันคงถูกปิดปากทั้งๆ ที่ยังไม่พูดจบเป็นแน่
จะว่าไปตอนนี้รู้สึกหลายคนเริ่มแยกไม่ออกว่าควรเหวอสารรูปเด็กสาว หรือ คำพูดของอิกเซเนทซ์ก่อนดี
“ยังไงก็เถอะ
หาเสื้อผ้าให้เธอใส่ด่วน”
“ฉันกลับสภาพนี้ก็ไม่มีปัญหา”
“แต่สตรีไม่ควรเปลือยกายต่อหน้าบุรุษนะคะ”
“ไอ้ชุดเกราะเหมือนบิกินี่จากเศษผ้านั่นนับเป็นชุดด้วยเหรอ”
เด็กสาวผมน้ำตาลกล่าวลอยๆ “อีกอย่างเมือกช่วยเซ็นเซอร์ยังกับหมอกศีลธรรมในอนิเมะใต้ดินที่พยายามขึ้นบนดิน”
มีจริงด้วยแฮะ
อารมณ์แบบจู่ๆ ก็ลอยมายังกับสกรีนโทนดอกไม้ของพระเอกก่อนหน้า
ทุกอย่างดูวุ่นวายไปหมดแล้วแฮะ
ฉันได้ยินเสียงฝีเท้าห่างจากตรงนี้ไปไกล ดังนั้นไม่จำเป็นต้องกังวล หัวหน้ากิลด์กับบุรุษพยายามไม่มองเด็กสาวคนนั้น
ทว่าสีหน้าพวกเขากลับยังแสดงออกถึงความเอือมระอา ขณะที่สตรีกำลังพยายามนำเสื้อคลุมสวมให้แก่เจ้าของเส้นผมสีน้ำตาลตรงข้ามกับเจ้าตัวยืนหาวหวอด
ฉันยืนมองภาพตรงหน้านานหลายนาทีกระทั่งน้องชายฝาแฝดเปิดปากกล่าวอีกรอบ
“อยากกลับแล้ว”
และ เพื่ออรรถรสที่ดีฉันจะเอ่ยเหตุผลที่เขาอยากกลับแล้วกัน
“จะว่าไปได้เวลาของว่างวันนี้นี่คะ”
ความคิดเห็น