คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #7 : 04 - แค่หนึ่งวันธรรมดาๆ ค่ะ
สองเดือน
ตั้งแต่งานเปิดตัวนี่มันก็ผ่านมาสองเดือนแล้ว
กว่าชีวิตประจำวันของฉันจะกลับมาเป็นปกติก็กินเวลาเกือบหนึ่งเดือน พอมานั่งคำนวณเวลาที่ต้องเข้าเรียนทำเอาตัวฉันได้แต่ถอนหายใจด้วยความเหนื่อยล้า
ทำไมชีวิตวัยรุ่นไม่ว่าโลกใบนี้หรือโลกในความทรงจำแม่มดถึงได้เจอแต่คำว่าเข้าเรียน
“ให้ตายเถอะ
อิกเซเนทซ์!”
เสียงตะโกนอย่างเอือมระอาปนหงุดหงิดดังลอดจากประตูห้องทำงานของท่านพ่อ
ฉันที่กำลังเดินผ่านชะงักฝีเท้านิดหน่อย ปกติคงเดินหนีทันทีนั่นแหละ
ถ้าไม่เหลือบไปเห็นเด็กหนุ่มที่น่าจะเป็นหัวข้อหลักของบทสนทนากำลังยืนเกาะขอบประตูห้องเงียบๆ
น้องชายฝาแฝดของฉันกำลังแอบฟังคนอื่นล่ะ
นานๆ ทีเห็นแบบนี้นะเนี่ย
“อีกแล้วเหรอคะ?”
แน่นอนพอเห็นน้องชายทำแล้วก็อดทำตามไม่ได้
ว่าแต่กำลังคุยเรื่องอะไรกัน
ท่านพ่อ ท่านแม่?
“ถึงได้บอกให้หยุดได้แล้วค่ะ”
“ทำไมทั้งลูกสาว
ลูกชายพวกเราถึงได้ทัศนคติแย่ขนาดนี้”
เดี๋ยวสิ
อย่าทำเหมือนพวกเรานิสัยเสียจนไม่น่าคบสิคะ ท่านพ่อ
“ดูสิ เอาอีกแล้วล่ะ”
ฉันได้ยินแว่วๆ
จากเอวาว่าเมื่อเช้าท่านพ่อกับท่านแม่พาอิกเซเนทซ์ไปดูตัวกับบุตรีไวเคานต์คนหนึ่ง เพราะเธอคนนั้นเป็นสตรีที่มีทัศนคติดี
แถมใจเย็นกว่าคุณหนูทั่วไป แต่ก็นะ
ต่อให้ใจเย็นยังไงเจอคนแบบเซเนทซ์คงเย็นไม่อยู่ล่ะมั้ง แนวคิดสุดโต้งเช่นนั้น คนที่ไม่เหวอกับน้องชาย ถ้าไม่ใช่ประเภทเดียวกัน ก็มีแค่สองประเภท มองโลกในแง่ดีเกินกับสมองเข้าใจยากเกินปกติ
อ๊ะ ฉันยืมคำพูดธีโอมาน่ะ คิดเหรอว่าจะคิดอะไรแบบนี้เอง
การต้องมานั่งคิดเรื่องคนอื่นเองมันเหนื่อยจะตายไป
ดูท่าทางผู้บังเกิดเกล้า
ต่อให้นอนเดายังเดาผลลัพธ์ไม่ยาก ล้มเหลวสินะ ล้มเหลวแบบไม่ต้องวิเคราะห์อะไร
ล้มเหลวตั้งแต่ประโยคที่ว่าจะหาคู่หมั้นในน้องชายคนนี้แล้วล่ะ ท่านพ่อรู้ดี บุคลิกเซเนทซ์นี่มันไม่ควรพบสตรีอย่างยิ่ง
แค่เป็นเพื่อนยังลำบาก แต่ดันไม่เข็ดสักที เอาเข้าจริงเขาคุยผู้หญิงคนไหนได้นานๆ
บ้าง
ให้ตายเถอะ พอกลับคฤหาสน์ก็มานั่งดราม่าอีก
“เซเนทซ์ก็ทำตัวดีๆ
บ้างสิคะ อย่างไม่ทำพิธีดูตัวพังน่ะค่ะ”
“ไปบอกพวกผู้หญิงพวกนั้นเลิกพล่ามเรื่องไร้สาระก่อนเถอะ”
“ความผิดของคุณผู้หญิงพวกนั้นหรือคะ?”
“ประมาณนั้นแหละ”
“ไร้ความสุภาพบุรุษโดยสมบูรณ์ค่ะ”
ราบรื่นสมกับเป็นฝาแฝด
---- ไม่ใช่สิ
โทษคนอื่นอันดับแรกนี่สมกับเป็นเซเนทซ์จริงๆ
ถึงจะสงสัยว่าเรื่องไร้สาระที่ว่าคืออะไรก็ตาม จากที่รู้จักเด็กหนุ่มคนนี้ สำหรับเขาทุกอย่างที่ไม่ชอบ หรือ รู้สึกรำคาญคือเรื่องไร้สาระหมด
บางทีสตรีคนนั้นอาจคุยเรื่องที่มีสาระก็ได้ แต่น้องชายฝาแฝดแค่ไม่อยากฟัง
นิสัยเขาก็ราวๆ นี้ตั้งแต่ไหนตั้งแต่ไร ระหว่างที่พวกเรากำลังมองเข้าไปในห้อง
เสียงฝีเท้าใครสักคนกลับเข้ามาใกล้ แม้แวบแรกที่นึกขึ้นได้จะเป็นธีโอเคลื่อนย้ายเข้ามาก็ตาม
ทว่าพอลองนึกอีกที วันนี้ธีโอบอกว่าจะออกไปทำธุระกับเดมาริม
คงไม่โผล่หน้ามาจนถึงตอนเย็น อีกอย่างถ้าเขามาจริงๆ คงไม่มีเสียงเท้า--
อ๊ะ
ถามว่าฉันรู้ได้ยังไงว่าวันนี้เขาไปไหนเหรอ?
คำตอบง่ายๆ
เจ้าตัวนั่นแหละบอกเอง อืม บอกเพื่ออะไร อันนี้ต้องไปถามเขาเองแล้วล่ะ
ฉันมีหน้าที่รับรู้สิ่งที่คนอื่นพูดแค่นั้น แต่ไปกับเดมาริม
คงเป็นเรื่องสมาคมพ่อค้า ตระกูลวัลแซนเดอรัลค่อนข้างมีอิทธิพลเรื่องนี้
“เอ่อ
ทั้งสองท่านกำลังทำอะไรไม่ทราบอยู่ครับ?”
น้ำเสียงทุ้มต่ำเต็มไปด้วยความเหนื่อยหน่าย บุรุษผมสีนิลมองพวกเราด้วยสายตาระอานิดๆ ฉันกลอกตามองชายหนุ่มในเครื่องแบบพ่อบ้านเล็กน้อยตรงข้ามกับน้องชายฝาแฝดแทบไม่ชายตามองเขาก่อนตอบกลับด้วยน้ำเสียงเรื่อยเปื่อย
“กำลังดูท่านพ่อกับท่านแม่ดราม่าค่ะ”
“แล้วเหตุใดต้องมายืนแอบกันล่ะครับ”
“มันง่ายกว่าเข้าไปนั่งฟังข้างใน”
แค่ไม่อยากถูกบ่น
เซเนทซ์กำลังจะสื่ออะไรประมาณนั้น
ดูเหมือนว่าคำตอบจะทำให้พ่อบ้านหนุ่มรู้สึกเอือมยิ่งกว่าเดิม ฉันได้ยินถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนกล่าวต่อ
“ท่านไวเคานต์แลมฟาร์
มาขอพบพวกคุณครับ”
แลมฟาร์?
ตระกูลที่ค่อนข้างมีอิทธิพลในหมู่นักผจญภัย?
น่าแปลกที่ตระกูลที่มีชื่อเสียงด้านนั้นมาขอพบพวกฉัน
อ่า ฉันคิดว่าขอพบที่ว่าน่าจะหมายถึงขอพบฉันกับเซเนทซ์ หากต้องการพบท่านพ่อ
พ่อบ้านคนนี้คงเดินผ่านเข้าไปในห้อง กระนั้นค่อนข้างพิลึก ไททาเนีย
ลันเรย์ธามีความสามารถด้านต่อสู้มากกว่าเด็กสาววัยเดียวกัน เนื่องจากการคุ้มครองจากโอพีเลีย
หากแต่รูปแบบการใช้งานต่างจากพวกสายต่อสู้ทั่วไป
ส่วนอิกเซเนทซ์ ไม่เก่งด้านต่อสู้สักนิด
พูดได้เต็มปากเลย
นิสัยแบบนี้ใครไปคิดว่าถนัดเรื่องสนับสนุน
“ตอนนี้ท่านรอที่ห้องรับแขกครับ”
นักผจญภัย
หรือว่าดันเจี้ยนที่ไปสำรวจวันนั้น
ไม่ได้ถามเขาด้วยสิว่าทุกอย่างเรียบร้อยหรือยัง
อันที่จริงไม่ได้สนใจมากกว่าแหละ
“เลิกเกาะกำแพงกันได้แล้วครับ
เดี๋ยวนายท่านก็บ่นอีกหรอก”
“นายเป็นคนรับใช้จริงไหม?”
“ผู้ช่วยหัวหน้าพ่อบ้านครับ”
จริงสิ
อย่างน้อยควรแนะนำชายหนุ่มคนนี้ให้รู้จักกันสักหน่อย ฟัวอาร์ ซิลเบอฟาร์ ชายหนุ่มวัยยี่สิบต้นๆ
เจ้าของเส้นผมสีดำนิลราวกับอัญมณีตัดกับนัยน์ตาคมสีครีม อายุเขามากกว่าพวกเราประมาณ
6 - 7 ปี ฟัวอาร์อาศัยอยู่ที่คฤหาสน์มาตั้งแต่เด็ก อย่าเพิ่งคิดว่าเขาถูกรับเลี้ยงอะไรทำนองนั้น
เจ้าตัวมีคุณแม่เป็นหัวหน้าเมด ตระกูลซิลเบอฟาร์ หรือ ตระกูลฝั่งมารดาเป็นข้ารับใช้ลันเรย์ธาหลายชั่วอายุคน
ส่วนพ่อ ถ้าจำไม่ผิดหนึ่งในนักผจญภัยที่มีชื่อเสียงพอสมควร แต่เสียชีวิตจากการสำรวจโบราณสถานทางใต้
ด้วยเหตุการณ์นั่นทำให้หัวหน้าเมดไม่อาจทิ้งลูกชายให้ใช้ชีวิตคนเดียวได้
เธอจึงตัดสินใจพาลูกชายมาอาศัยที่นี่พร้อมเข้ารับการฝึกพ่อบ้านตั้งแต่วัย 11
ขวบ
ประวัติเจ้าตัวก็ราวๆ นี้
ความเป็นมาปกติ
ไม่มีอะไรพิเศษ
และ เพราะอยู่ที่นี่มานานหลายปีทำให้ฟัวอาร์เสมือนพี่ชายคนโต
ในบางครา ยิ่งเมื่อก่อนชอบเทศนาฉันกับเซเนทซ์บ่อยๆ
เคยโดนบ่นไปหลายชั่วโมงเพราะทำให้ครูสอนพิเศษลาออก
แต่...ตอนนั้นไม่ได้ตั้งใจสักหน่อย ยังเด็กอยู่เลยเผลอมือ
“ยินดีที่พบท่านไททาเนีย,
ท่านอิกเซเนทซ์ ลันเลย์ธา”
เผ่าพันธุ์ในโลกใบนี้อายุยืน
บางทีถ้าเทียบกับโลกในความทรงจำแม่มดคงเป็นเช่นนั้น
ทว่าสำหรับคนบนโลกาที่เป็นแบบนี้มาตั้งแต่ตั้งต้นย่อมไม่รับรู้ถึงความยืนยาวที่ว่า---จากความทรงจำแม่มดฉันพอรับรู้ว่า
‘มนุษย์’ อายุอย่างมากหนึ่งศตวรรษ หากแต่เผ่าพันธุ์ที่โลกของเราคือสองศตวรรษ
ดังนั้นเรียกว่าเท่าตัวกับโลกในความทรงจำแม่มด กระนั้นช่วงอายุการเป็นผู้ใหญ่ของพวกเรากลับเร็วกว่า
ความทรงจำแม่มดผู้ใหญ่คือ 20 แต่สังคมเรา 15 ถือว่าเติบโตพอที่จะเข้าสู่สังคมอย่างเป็นทางการ
พูดตามตรงฉันก็ไม่ค่อยเข้าใจนิยามผู้ใหญ่โลกในความทรงจำแม่มดเหมือนกับพวกเราไหม
สำหรับพวกเราความหมายของผู้ใหญ่คือการเข้าสู่สังคม, ร่ำเรียน หรือ
เริ่มต้นทำงานอย่างจริงๆ จังๆ ครั้นอายุครบ 100 ปี ขุนนางส่วนใหญ่จักเกษียณ
และ ส่งต่อตำแหน่งแก่ทายาท หลังจากนั้นอดีตขุนนางดังกล่าวไปทำอะไรน่ะหรือ
บางก็ออกเดินทางเพื่อค้นหาตัวเอง, บางก็ศึกษาร่ำเรียนเรื่องที่ตัวเองให้ความสนใจ,
บางก็ค่อยสนับสนุนทายาทเงียบๆ จากเบื้องหลัง
ชายหนุ่มผู้มียศไวเคานต์แลมฟาร์มีอายุราวๆ
40 – 50 ปี แม้อายุเกินครึ่งศตวรรษ แต่เค้าโครงหน้าของเขายังดูหนุ่มไม่ต่างจากคน 20
ต้นๆ นี่แหละ ธรรมชาติจากโลกที่สิ่งมีชีวิตมีอายุยืน
เวลาของพวกเราช้ากว่าความทรงจำแม่มด
“สวัสดีค่ะ ไม่ทราบว่ามีธุระอะไรหรือคะ?”
ฉันกล่าวคำทักทายตามปกติพลางตั้งคำถามแสนธรรมดา
เนื้อหาที่เขามาขอพบเกี่ยวข้องกับดันเจี้ยนที่ฉันไปสำรวจพร้อมธีโอตามคาด
ทว่าปัญหาที่เกิดขึ้นกลับมิใช่ปัญหาเรื่องความผิดพลาดของแผ่นที่
แต่เป็นปัญหาเกิดจากการถล่มทางเข้าดันเจี้ยน การถล่มเกิดจากด้านใน เสาเวทระหว่างประตูพลังเวทอ่อนลงจากความเสียหายปริศนากระทั่งไม่กี่ชั่วโมงก่อนมันเกิดการถล่มจนปิดกั้นทางเข้า
...5 ลำดับอัตราการก่อเรื่องวุ่นวายของผู้ได้รับการคุ้มครอง แม่มดแห่งภัยพิบัติคือลำดับ 1 ลำดับ 2 รองลงมาเป็นแม่มดสงคราม และ ลำดับ 3 แม่มดแห่งหอสมุด ถึงส่วนใหญ่จะชอบระเบิดที่นั้นที่นี่เป็นว่าเล่นก็เถอะ แต่มักเกิดเฉพาะยามต้องการทดลองทฤษฏีในหนังสือเท่านั้น เอาน่า อย่างน้อยผู้ได้รับการคุ้มครองจากโอพีเลียก็ไม่ได้คิดจะทำลายบ้านเรือนชาวบ้านหรอก
เหมือนเข้าใจสิ่งที่ไวเคานต์กำลังคิด---ฉันอาจทำอะไรสักอย่างกับเสาด้านใน เพราะอยากรู้ว่ามิติเซเลสไทน์มีความแข็งแกร่งแค่ไหน
จริงๆ วันนั้นอยากทำเหมือนกัน แต่ธีโอห้ามไว้
ไม่สิ
อันที่จริงที่ฉันอยากรู้คือถล่มทั้งดันเจี้ยนด้วยการโจมตีจากภายนอกมันต้องใช้พลังมากแค่ไหนต่างหาก ไม่ใช่เสียหายภายใน และ ถล่มเพียงทางเข้า
ถึงเรื่องลักษณะทางเข้าดันเจี้ยนถล่มจะเกิดขึ้นได้ยากก็เถอะ
แต่มันมีคำตอบอยู่ตั้งแต่แรกนี่ อืม รู้สึกว่าคำบอกเล่าไวเคานต์ยังไม่ตอบข้อสงสัยสักเท่าไรแฮะ
เอาเป็นว่าช่างก่อนแล้วกัน
ก่อนดันเจี้ยนถล่มมีปาร์ตี้นักผจญภัยรับภารกิจเข้าไปในดันเจี้ยนจำนวน
3 ปาร์ตี้ ดังนั้นงานหลักของเหตุการณ์มิใช่การหาต้นเหตุ แต่เป็นการกู้ภัยคนที่เข้าไปติดในดันเจี้ยนต่างหาก
เพราะที่นั้นเป็นดันเจี้ยนเกิดใหม่ส่งผลให้ยังคงถือว่าเป็นสถานที่ที่อันตราย ฉันเองก็สงสัยว่าทำไมถึงไม่ให้ธีโอช่วย
ในเมื่อเขาเป็นหนึ่งในไม่กี่คนที่วาร์ปไปมาได้ การตามหานักผจญภัยในดันเจี้ยนที่ตัวเองสำรวจแผ่นที่น่าจะเป็นงานถนัด
คำตอบคือ---
“นายน้อยเฮเลเกลล่าเดินทางไปต่างอาณาจักรเพื่อช่วยตระกูลวัลแซนเดอรัลเจรจาเรื่องการค้าระหว่างอาณาจักร”
ข้ามไปอาณาจักรอื่นอีกแล้ว
ผู้ชายคนนั้น...
“ถ้าเป็นธีโอล่ะก็แค่เรียกกลับมาก็ได้ไม่ใช่เหรอคะ?”
“ตอนนี้ท่านดยุคเฮเลเกลล่ายังหาตำแหน่งของนายน้อยไม่เจอครับ บางทีอาจกำลังอยู่ในมิติของผู้ได้รับการคุ้มครองจากแม่มดเซเลสไทน์ และ สองทางเข้าที่ถูกปิดจำเป็นต้องเปิดมันอีกครั้ง คนที่มีพลังมากพอจะถล่มทางเข้ามีเพียงไม่กี่คน กระนั้นเพราะช่วงนี้ใกล้ถึงเทศกาลแรกของสถาบันทำให้ส่วนใหญ่วุ่นกันหมด”
ไททาเนีย สตรีผู้ได้รับการคุ้มครองจากแม่มดโอพีเลีย ในหมู่ผู้มีค่าโจมตีสูงพอทำลายมิติของเซเลสไทน์ถือว่าอายุน้อยที่สุด แน่นอนนี่เป็นการคาดเดาของพวกระดับสูง พวกเขาวิเคราะห์ด้วยการวัดค่าจากลูกบาศก์ กระนั้นมันไม่ได้ยืนยันอย่างเป็นทางการ เพราะฉันไม่เคยสู้จริงๆ จังๆ อ่า
อย่าพูดว่าให้สู้เพื่อพิสูจน์ฝีมือจะดีกว่า ต่อให้มีงานประลองเกียรติ หรือ
ศักดิ์ศรีอะไรก็ไม่เอา เหนื่อยจะตายไป แถมต้องเจ็บตัวด้วย
ไม่เอาหรอก---
ความหมายง่ายๆ ของไวเคานต์แลมฟาร์ต้องการให้ทำลายประตูที่ปิดตายจากการถล่ม
แต่พวกเขาย่อมรู้ดีว่าการทำลายทางเข้าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป
ไม่ชอบคิดอะไรซับซ้อน ดังนั้นอย่าถามว่าต้องรอบคอบแค่ไหนถึงจะพอ เอาเป็นว่าแค่ทำตามที่ไวเคานต์ต้องการ
หากเป็นธีโอคงสามารถพาพวกเรามายังดันเจี้ยนในทันที ทว่าไม่ใช่ทุกคนที่จะใช้เวทเคลื่อนย้ายได้ โดยปกติการเดินทางในโลกใบนี้
หากเป็นระยะทางไกล แต่ไม่ได้เร่งรีบ เรามักใช้พาหนะทั่วๆ ไปอย่างรถม้าในการเดินทาง
ส่วนกรณีเร่งรีบบวกระยะทางไม่ถึงขั้นข้ามเขตปกครองมักใช้สัตว์เวทเป็นพาหนะ
แน่นอนสัตว์เวทมีข้อจำกัดเรื่องขนสัมภาระได้น้อยผิดกับรถม้า ยิ่งไปกว่าสัตว์เวทในโลกนี้ไม่สามารถนำมาผูกกับยานพาหนะได้
ถ้าใช้พวกมันเดินทางวิธีเดียวคือการนั่งบนหลังตรงๆ
เพราะแบบนั้นเลยขนสัมภาระไม่ได้อย่างว่าไง
อ๋อ สัตว์เวทพวกนี้อาศัยอยู่แถวๆ ป่าใหญ่ ไม่มีเจ้าของชัดเจน
วิธีเรียกพวกมันยามต้องการใช้งานคือการใช้อุปกรณ์เวทรูปร่างคล้ายขลุ่ย
เรียกได้เฉพาะสัตว์เวทที่เป็นมิตรน่ะนะ ที่นิยม และ ง่ายสุดน่าจะเป็นสัตว์เวทที่มีชื่อว่า เฟอร์ตาร์ รูปลักษณ์ของมัน อืม ถ้าเทียบกับความทรงจำแม่มดคงคล้ายสัตว์ในตำนานอย่างเพกาซัสล่ะมั้ง ม้ามีปีกตัวสีขาว อะไรทำนองนั้น แค่คล้าย ไม่เหมือนกันซะทีเดียว จุดต่างแน่ๆ เห็นด้วยตาเปล่าน่าจะมีสองจุด ตำแหน่งแรก..เฟอร์ตาร์รูปร่างคล้ายม้าก็จริง แต่เป็นสัตว์ที่มีเขา ลักษณะเขาละม้ายเขากวางมูส จุดสองปีก เฟอร์ตาร์ไม่ได้มีปีกสีขาวเหมือนนก แต่ลักษณะปีกจะเหมือนปีกมังกรที่ส่องแสง
และ การเดินทางครั้งนี้ใช้เฟอร์ตาร์ พูดตามตรงไม่ชินกับการขี่สัตว์เวทจริงๆ ปกติธีโอพาเคลื่ยนย้ายตลอด แถมพื้นฐานของฉันไม่ค่อยอยากจะไปไหนไกลบ้าน จะว่าไปพอมานึกดูเพิ่งรู้ระยะทางจากคฤหาสน์มายังดันเจี้ยนแห่งนี้ ไม่สิ แค่จากประตูเมืองกับดันเจี้ยนยังไกลเลย
----- ได้ยินว่านักผจญภัยเดินเท้าไปมาระหว่างกิลด์กับดันเจี้ยนกันเป็นเรื่องปกติ
......
แสงวิบวับบนปากถ้ำที่เสมือนทางเข้าดันเจี้ยนบ่งบอกถึงความผิดปกติที่เกิดขึ้นภายใน
ทุกอย่างตรงตามไวเคานต์อธิบายไม่มีผิดเพี้ยน
เสาด้านในเกิดความเสียหายจนพลังอ่อนตัวลง กระทั่งไม่สามารถเชื่อมเข้าไปด้านในได้
พวกเราเรียกอาการนี้ว่า ‘การถล่ม’ กรณีเกิดจากภายนอกคงแค่ก้อนหินปิดทางเข้า
ซึ่งแน่นอนไม่ใช่ปัญหา แค่ยกหินพวกนั้นออกเป็นอันจบ
ทว่าการถล่มจากภายในนั้นต่างออกไป หากเสียหายจากด้านใน ต้องแก้จากด้านใน
แต่เรากลับเข้าไปไม่ได้นี่แหละปัญหาต่อให้ตอนนี้มองเข้าไปยังเห็นความมืดของถ้ำลึก
ทว่าหากพยายามเดินเข้าไปมันจะไม่สามารถไปต่อได้
คงประมาณกำแพงที่มองไม่เห็นล่ะมั้ง
ทางเดียวที่แก้ได้มีแค่ต้องทำลายเสาเวทที่เสียหายทิ้งโดยการทำลายจากด้านนอก
ระหว่างทางไวเคานต์อธิบายให้ฟังนิดหน่อย การทำลายทางเข้าดันเจี้ยนจะทำให้ประตูเปิดตลอดเวลา
แต่เพราะเราไม่ได้ทำลายตัวดันเจี้ยนทั้งหมด ด้านในดันเจี้ยนจึงมีการทำงานปกติ
สร้างแร่, พืช, มอนสเตอร์ขึ้นมาเรื่อยๆ ตามธรรมชาติ
ทว่าด้วยทางเข้าที่ถูกเปิดตลอดเวลาอาจมีมอนสเตอร์จากด้านในหลุดออกมาภายนอกได้
ฉะนั้นหลังทำลายต้องมีการเฝ้าระวังอย่างเข้มงวด และ
พยายามอย่าให้มอนสเตอร์ในดันเจี้ยนหลุด ไม่ต้องกังวลว่าทางเข้าจะเปิดตลอดกาล
พื้นฐานมิติสามารถซ่อมแซมความเสียหายจากการถูกทำลายได้ ขั้นแรกต้องดูความเสียหายจากการทำลายทางเข้า
และ ดูขนาดพื้นที่ของทางเข้าจะสามารถบอกเวลาที่ดันเจี้ยนซ่อมแซมตัวเอง
และ
แน่นอนฉันถูกกำชับหลายครั้งว่าห้ามทำลายเกิน 10 เมตร
10 เมตรสินะ....
“แค่ 10 เมตรจะดีเหรอคะ?”
“10 เมตรครับ”
“10 เมตรเหรอคะ?”
“10 เมตรครับ”
“พูดวนคำเดิมทำไม?”
เซเนทซ์กล่าวสียงห้วนพลางมองฉันกับไวเคานต์ที่กำลังยืนจ้องหน้ากันใกล้ทางเข้าดันเจี้ยน
“10 เมตรค่ะ”
“พอสักทีเถอะ”
อันที่จริงต้องพูดว่าหลังน้องชายบ่นพูดจาวกวนไปมา
ฉันกับไวเคานต์ยังจ้องหน้ากันพักใหญ่ กระทั่งผ่านไปหลายนาที แอบเห็นเซเนทซ์บิดขี้เกียจด้วย
ชายหนุ่มไม่มีท่าทีว่าจะเปลี่ยนระยะให้
สุดท้ายคงต้องเป็นฉันเองที่ต้องทำตามที่เขากำชับ
ลูกบาศก์พลังปรากฏบนฝ่ามือขณะยืนหน้าทางเข้าดันเจี้ยน แม้ฉันไม่รับรู้ถึงความรุนแรงลูกบาศก์ หากแต่ทั้งไวเคานต์ ทั้งเซเนทซ์ และ คนอื่นๆ ต่างหลบออกจากระยะทันทีที่เห็น เอาเข้าจริงถึงไม่รับรู้ก็ตาม แต่รู้นะว่ามันอันตราย อาจารย์สอนเวทมนตร์ชอบพูดว่าลูกบาศก์นี้อันตรายเกินกว่าจะนำไปใช้บ่อยๆ เสียงหินเคลื่อนตัวด้านในจากการทดลองใช้ลูกบาศก์โจมตีครั้งแรก ดูเหมือนพลังโจมตีระดับนี้จะมีผลน้อยกว่าที่คิดเอาไว้ ปกติถ้าเป็นมิติของผู้ได้รับการคุ้มครองน่าจะถูกพังทางเข้าเรียบร้อยแล้ว แต่ทางเข้าดันเจี้ยนกลับแค่สั่นเฉยๆ
หมายความว่ามิติจากเซเลสไทน์แกร่งกว่ามิติจากผู้ได้รับการคุ้มครอง
ตรงตามหนังสือแฮะ
แบบนี้คงต้องเพิ่มความแรงขึ้นสินะ
ไม่ต้องห่วง
ฉันเก่งเรื่องคุมความแรงพลังตัวเอง
“อ๊ะ”
“พังไปแล้วล่ะ”
ภาพประตูกั้นระหว่างป่ากับดันเจี้ยนกำลังถูกทำลายเผยให้ถ้ำที่มีลักษณะคล้ายเขาวงกตขนาดใหญ่ทีละนิด
จนกระทั่ง---รู้สึกความสูงของมันชักจะไม่ใช่แล้ว คราวนี้อาจเป็นความคิดประมาณว่าพังง่ายกว่าที่คิด อืม ใช่แกร่งกว่าที่คาด และ พังง่ายกว่าที่คาด พูดต่อๆ กันในเวลาอันสั้น
ย้อนแย้งชะมัด---โชคดีที่ทางเข้าดันเจี้ยนส่วนใหญ่มักเป็นพื้นที่โล่งสำหรับเตรียมตัวจึงไม่มีตัวอะไรเพ่นพ่าน
ทว่าแรงสั่นจากการทำลาย อืม บางทีอีกไม่นานน่าจะมีฝูงมอนสเตอร์มีปีกบินออกมาวุ่นวาย
“เกิน 10 เมตรนะ นั่น กลับไปเรียนคุมพลังใหม่เถอะ”
“เป็นน้องชายอย่าซ้ำเติมพี่สาวสิคะ”
ฉันบ่นอุบอิบทันทีที่ได้ยินเสียงอิกเซเนทซ์ตำหนิ
“เอ่อ มันจะไม่ถล่มอีกใช่ไหมคะ?”
หนึ่งในนักผจญภัยที่ดูมีประสบการณ์คนหนึ่งตั้งคำถามพลางเงยมองร่องรอยความเสียหายที่ฉันเพิ่งทำลงไป
อืม จากสภาพ...
“ไม่ต้องห่วงค่ะ
ไม่ถล่มแน่นอนค่ะ บางทีน่ะนะ”
“เสียงเบานะ
ช่วงท้าย”
“คิดไปเองค่ะ ไม่ถล่มแน่นอนค่ะ”
รู้สึกเหมือนทุกคนพร้อมใจกันหันมองหน้า
กว่าชั่วโมงที่รอตรงปากทางเข้า
แต่กลับไม่มีวี่แววว่าจะมีปาร์ตี้ไหนออกมา ความจริงการถล่มทางเข้าน่าจะทำให้เกิดแรงกระพือทั่วดันเจี้ยน หากใส่ใจความปลอดภัย
นักผจญภัยควรรู้ว่าต้องออกมาก่อนเกิดจะเลวร้ายกว่านี้ กรณีนี้เหมือนทางหัวหน้ากิลด์นักผจญภัยเดาได้หลายทาง
แต่ที่ได้ยินคร่าวๆ น่าจะเป็นไปได้แค่ 3 ข้อ
หนึ่ง เนื่องจากเป็นดันเจี้ยนใหม่ทำให้มักจะมีการหลงทางเกิดขึ้น
สอง
กลุ่มปาร์ตี้ไปติดกับดักเข้า อย่างที่เรารู้กันดี
ขึ้นชื่อดันเจี้ยนต้องมีกับดักเป็นเรื่องปกติ
ตอนที่มาสำรวจกับธีโอเหมือนเห็นแวบๆ เหมือนกัน
สาม
การเข้าไปในลานบอส ข้อนี้จะพูดว่าไม่ตั้งใจเหมือนติดกับดักก็ไม่ใช่
เพราะลานบอสส่วนใหญ่มันชัดเจนอยู่แล้ว ถ้าไม่พร้อมอย่าเข้าไป นั่นแหละ เรื่องพื้นฐานสุดๆ สำหรับนักผจญภัย พูดตามตรงแม้แต่บุตรีขุนนางอย่างฉันยังรู้ว่าหากเข้าไปในลานบอสแล้วมันออกมายากแค่ไหน
เพราะต้องเปิดกลไกประตูที่มองไม่เห็น
อ่า
กรณีนี้หมายถึงตอนบอสเกิดแล้วเท่านั้น
อย่างฉันกับธีโอวันนั้นบอสไม่เกิด
กลไกปิด – เปิดประตูลานบอสเลยไม่ทำงาน
หลังจากนั้นไวเคานต์ที่ยืนรอนานเกินความจำเป็นตัดสินใจหารือกับหัวหน้ากิลด์นักผจญภัยว่าจะเข้าไปตามหา
หากพวกเขาติดกับดักจริงๆ เวลาขนาดนี้มันชักน่าห่วง เห็นพูดกันแบบนั้นล่ะ
สารภาพว่าตอนแรกฉันกะจะนั่งรอตรงนี้จนกว่าจะถูกพากลับ ที่ไหนได้ถูกลากเข้าไปในดันเจี้ยน
เซเนทซ์เองก็ด้วยล่ะ ถูกลากมาพร้อมกัน
พลังน้องชายฝาแฝดมีประโยชน์ในการสำรวจพื้นที่ที่เต็มไปด้วยมอนสเตอร์ อืม
เรื่องนั้นพี่สาวรู้ดี
แต่...ลากฉันมาด้วยทำไม
อยากให้ถล่มดันเจี้ยนต่อเหรอ
เอาเป็นว่าทำได้แค่บ่นกับตัวเองแล้วตามพวกเขาไป
ระหว่างทางมีมอนสเตอร์ทั้งประเภทภาคพื้น และ ประเภทมีปีกโผล่มาเป็นระยะๆ
ส่วนหนึ่งถูกจัดการโดนกลุ่มนักผจญภัย ในขณะที่บางส่วนถูกเซเนทซ์ไล่กลับไป ฉันทำอะไรน่ะเหรอ อ๋อ ไม่ได้ทำอะไรเลยนอกจากเดินตามสบายๆ 10 นาทีให้หลังรู้สึกว่าพวกเราจะมาถึงพื้นที่ที่ 3 ของดันเจี้ยน
คราแรกที่มากับสภาพปัจจุบันมันเหมือนเดิมไม่เปลี่ยน
ถ้ำมืดๆ
ทางเดินกว้างขวาง เต็มไปด้วยฝูงแมลงรุ่งอรุณหลากสีบินไป
พื้นที่นี้ไม่ได้มีฝูงมอนสเตอร์เหมือนพื้นที่ก่อน ทว่ามันกลับเต็มไปด้วยกับดัก และ
พืชที่สร้างผลลบ แต่ใช่ว่าจะมีแค่ผลเสียหรอก
จากการสำรวจครั้งก่อนทำให้รู้ว่าที่นี่เต็มไปด้วยพืชล้ำค่าที่ใช้ได้หลากหลากเต็มไปหมด
แต่ต้องให้คนที่ชำนาญแยกแยะ เพราะพืชมันเยอะจัดจริงๆ
มอนสเตอร์ประเภทเดียวที่อยู่ในชั้นนี้ชอบทำตัวกล่มกลืนกับสภาพแวดล้อม มีทฟลาวเวอร์
หรือ ที่รู้จักในชื่อ ดอกไม้กินเนื้อ
ชื่อธรรมดาจังแฮะ
ถึงจะพูดว่ามันกินเนื้อก็เถอะ
แต่มีทฟลาวเวอร์กินแค่เนื้อพวกสัตว์ หรือ มอนสเตอร์เล็กๆ มากกว่า ต่อให้มันจู่โจมพวกเรา
ทว่าระยะการโจมตี...ปกติทุกคนต่างรู้ระยะอยู่แล้วนี้
สำหรับพวกเรามีทฟลาวเวอร์คือมอนสเตอร์ระดับต่ำ
มากสุดน่าจะระดับท้ายสุดของกลางล่ะมั้ง กรดอันเป็นอาวุธทำได้แค่แผลเล็กๆ เท่านั้น
ยิ่งถ้าเจอพวกที่มีร่างกายถึกผิดปกตินี้ อาจไม่สะทกสะท้าน
แต่เอาเข้าจริง
เจ้ามีทฟลาวเวอร์ค่อนข้างน่ารำคาญ เพราะมันชอบอยู่ใกล้ๆ สมุนไพรทำให้ก่อนเก็บต้องจัดการมันให้เสร็จถึงจะเข้าไปเก็บได้...และ
พื้นที่ถัดไปถ้าจำไม่ผิด พื้นที่แร่ กับ มอนสเตอร์ประเภทผลึก
แหล่งทรัพยากรอีกแหละ แต่กับดักเยอะยิ่งกว่าชั้นนี้อีก จากการสันนิษฐานของหัวหน้ากิลด์
พวกเขาไปติดที่ชั้นถัดไปมากกว่า
ทว่าระหว่างกำลังเดินทางผ่านห้องเล็กๆ
ข้างทาง
การเคลื่อนไหวที่ผิดปกติของมีทฟลาวเวอร์กลับทำให้ฉันหยุดชะงักพร้อมหรี่ตามองมอนสเตอร์ดอกไม้อย่างใจจดใจจ่อ
แน่นอนทันทีที่เห็นฉันหยุดนักผจญภัยหนุ่มที่เดินตามหลังมาเองก็หยุดฝีเท้าอย่างฉงน
“มีคนติดอยู่ในปากมีทฟลาวเฟอร์ค่ะ”
“ครับ มีคนติดอยู่สินะครับ” เค้าหน้าชายหนุ่มเหมือนมึนๆ ไปเล็กน้อยพลางย่นคิ้วเข้าหากัน เสี้ยววินาทีเขาทำท่าทางเหมือนประมวลผลบางอย่าง “อ๊ะ!? นี่ไม่ใช่เวลามาพูดจาเอื่อยเชื่อย ต้องรีบช่วยเธอออกมา!”
ดูเหมือนชายตรงหน้าจะได้สติว่าควรทำอะไร
เขามองหน้าฉันเหมือนต้องการคำตอบแวบหนึ่งก่อนตะโกนเสียงดังจนทำให้คนที่เดินข้างหน้าหยุดชะงัก
ชายหนุ่มนักผจญภัยรีบวิ่งเข้าไปในพื้นที่ใกล้มีทฟลาวเวอร์อย่างระมัดระวัง
“หวังว่าเธอจะยังอยู่”
“ขนาดนี้ไม่น่ารอดแล้ว”
อยากให้ฉันพูดถึงสภาพคนที่ติดอยู่ในปากมีทฟลาวเวอร์ไหม
จากลักษณะรูปร่าง
และ การแต่งตัว เป็นผู้หญิงแน่นอน ลำตัวท่อนล่างโผล่ออกมาด้านนอก ส่วนท่อนบนติดอยู่ในปากมอนเตอร์
พูดตามตรง มันไม่ใช่แค่ฉันที่เริ่มเอะใจกับสภาพของเธอหรอก
ทุกคนกำลังตั้งคำถามกับสภาพสตรีคนนี้
มีทฟลาวเวอร์มักพุ่งจากพื้นเพื่อกินเนื้อ
แน่นอนปกติท่อนล่างต้องลงไปติดไม่ใช่บน
ยิ่งไปกว่านั้นเธอไม่ขยับสักนิด
ยังกับหมดสติ หรือ เสียชีวิตไปแล้ว อ่า ถ้าเป็นอันหลังมันช่างน่าสลดเสียจริง
ทว่าระหว่างกำลังหาทางดึงร่างออกมา ขาสองข้างกลับเริ่มขยับ
กระนั้นมันไม่ใช่การพยายามดิ้นให้หลุด แต่ดิ้นเพื่อให้รู้ว่ายังไม่ตาย
แลดูไม่ได้พยายามเอาตัวรอดเลย บางทีฉันคิดไปเองหรือเปล่า
“ยังไม่ตาย ช่วยทีออกไม่ได้”
ขนาดหัวติดข้างในยังเสียงดังฟังชัดอีกเหรอ
น้ำเสียงไม่ได้รู้สึกเดือดร้อนไม่ใช่หรือไง
ความคิดเห็น