คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #11 : 08 - ว่าด้วยบ้านพักค่ะ
ครั้นเสร็จสิ้นการทดสอบที่ชวนมึนถึงจุดประสงค์ นักเรียนทุกคนต้องย้ายเข้ามาพักในพื้นที่ที่สถาบันเตรียมให้อย่างเป็นทางการก่อนเริ่มเปิดเรียนหนึ่งสัปดา์ นั่นทำให้ในเช้าวันจันทร์รถม้าจำนวนมากวิ่งเข้า - ออกสถาบันจนวุ่นวายไปหมด แม้มีนักเรียนหลายคนมาพักที่สถาบันตั้งแต่วันทดสอบ ทว่าเอาเข้าจริงตอนนั้นก็แค่พักที่ห้องรับแขกชั่วคราวของสถาบัน
ถนนกว้างใหญ่พอๆ กับถนนหลักในเขตขุนนาง รอบข้างประดับด้วยพุ่มดอกไม้ที่เบ่งบานตลอดปี ใจกลางมีลานน้ำพุขนาดใหญ่แทนที่จะเรียกว่าหอพัก ฉันคิดว่าที่นี่ควรถูกเรียกว่าบ้านพักเสียมากกว่า เนื่องจากที่พักของสถาบันไม่ใช่ตัวอาคารขนาดใหญ่ แต่มีลักษณะคล้ายพื้นที่บ้านจัดสรร โครงสร้างบ้านมีแตกต่าง หรือ เหมือนกันบ้างตามปกติของจำนวนน่ะนะ บ้านที่ฉันเขาพักเป็นบ้าน 4 ชั้น ถ้าไม่นับข้ารับใช้ที่มาพร้อมพวกเราแล้ว บ้านหลังนี้มีนักเรียนอาศัยร่วมกัน 5 คน แน่นอนเพื่อนร่วมบ้านเพศด้วยกันนะ ถึงมีค่านิยมล้าหลังในความคิดแม่มด แต่ไม่ถึงขั้นให้สตรีกับบุรุษที่ยังไม่แต่งงานอยู่ร่วมกันหรอก อีกอย่างบ้านพักนี้ต้องอยู่จนกว่าจะจบการศึกษาด้วย เรียกว่าบ้านหลังที่สอง เอ๊ะ ฉันมีบ้านหลังที่สองอยู่แล้วนี่ งั้นหลังที่สามคงไม่ผิด
เอาละ พื้นที่มันจะประมาณนี้ ทางเข้าหลักของบ้านจริงๆ คือชั้นสอง ส่วนชั้นหนึ่ง หากต้องการเข้าห้องใช้ประตูเล็กๆ ด้านหลัง หรือ บันไดในบ้านที่จักพาลงไปเท่านั้น มองจากด้านหน้านี้ ชั้นหนึ่งมีแค่หน้าต่างติดม่านล้วนๆ ในเมื่อชั้นสองคือทางเข้าหลัก โดยรวมชั้นนี้จึงเป็นพื้นที่ส่วนรวม โถงใหญ่ ห้องนั่งรับแขก ห้องทานอาหารทางกาน และ ห้องน้ำชาอยู่ในชั้นนี้หมด ตัดมาที่ชั้นสาม - สี่ ทั้งสองชั้นเป็นพื้นที่ส่วนตัวของนักเรียน อันที่จริงขึ้นชื่อว่าคุณหนู - คุณชายไม่แปลกเลยที่ห้องจะกินพื้นที่จนน่ากลัวแบบนี้ พอขึ้นมาเราจะเห็นประตูบ้านใหญ่ยังไม่ได้รับการตกแต่งกับหน้าต่างใสที่มองทะลุเข้าไปเห็นมุมนั่งเล่น และ สวนเล็กๆ ก่อนถึงประตูดังกล่าวมีระเบียงแนวขวางกั้นระยะหว่างทางขึ้นกับทางเข้าห้องของคุณหนูแต่ละคนเอาไว้
มีป้ายชื่อติดด้วยล่ะว่าตรงนี้เป็นของใคร
หลังเข้ามาในประตูสักบ้าน มันก็มีห้องคล้ายๆ กันหมด ฉะนั้นใช้คำนี้ถูกแล้ว คราวนี้จะเป็นระเบียงยาวท่อนไปถึงหน้าต่างบานใหญ่ตรงปลายสุด ภายในพื้นที่ส่วนตัวถูกออกเป็น 4 ห้องด้วยกัน ได้แก่ห้องนอน, ห้องอาบน้ำ(ห้องน้ำ), ห้องแต่งตัว และ ห้องสำหรับงานอดิเรก หรือ ฟรีสไตล์นั่นแหละ ซึ่งห้องนี้เดิมทีมันว่างเปล่า อย่างที่สองชั้นสามกับสี่เปนพื้นที่ส่วนตัว พอนับดูแล้วมันมีแค่สี่ห้อง ทว่าบ้านแต่ละหลังอยู่ได้ห้าคนใช่ไหม? อีกคนอาศัยอยู่ตรงไหน คำตอบคือห้องใต้หลังคาไง พื้นที่ส่วนนี้แบ่งเป็นห้องๆ แบบชั้นก่อนๆ ลำบากหน่อย เท่าที่ฉันขึ้นไปดูเหมือนจะมีเพียงห้องน้ำกับทางเข้าที่มีประตูปิดเอาไว้ ที่เหลือเป็นกำแพงบวกม่านกั้นแยกห้อง แต่ไม่ต้องคิดมาไป เพดานบ้านหลังนี้เป็นเพดานสูง ดังนั้นพอลองเข้ามายืนจริงๆ ห้องใต้หลังคานี้แทบไม่ต่างจากด้านล่างเลย
เผื่อสงสัยว่าห้องครัว และ ห้องซักรีดอยู่ตรงไหน คำตอบคือชั้นหนึ่งไง ข้ารับใช้เองก็พักที่ชั้นนั้น เรียกได้ว่าแยกโซนชัดเจน
ด้านนอกมีสวนดอกไม้ขนาดใหญ่ และ จุดนั่งพักผ่อนร่วม เรียกได้ว่าบ้านพักนี้มีทุกอย่างครบครั้น อันที่จริงทางสถาบันเองก็ไม่ได้กำหนดว่าใครต้องนอนห้องใช้ห้องไหน ทว่าโดยพื้นฐานผู้มีสถานะสูงกว่ามักมีสิทธิ์เลือกก่อน ถึงโมนิก้าไม่ได้อยู่บ้านเดียวกับฉัน แต่ถ้าจำไม่ผิดเธอได้เลือกทีหลังคนอื่นเลยจำใจอยู่ใต้ห้องหลังคา เอาเข้าจริงห้องใต้หลังคาก็ไม่ได้แย่นะ ออกจะหรูด้วยซ้ำ หน้าต่างกว้างจนเห็นวิวข้างนอก เพดานก็สูง แถมเวลาจะทำอะไรไม่ต้องเดินเปลี่ยนห้องให้เหนื่อย เอ่อ กลับมาที่เพื่อนร่วมบ้านฉันก่อนดีกว่า ความจริงไม่คิดว่าคนที่ทดสอบวิ่งพร้อมกันจะเป็นเพื่อนร่วมบ้าน
เท่าที่ดูสถานะทางสังคมพวกเราใกล้ๆ กันหมด ฉันกับวิลเลียโลบัสเป็นบุตรีมาร์ควิส อิลต้ากับลิโอเพย์ลอสทั้งสองเป็นบุตรีเอิร์ล เรียกได้ว่าเป็นการจับบ้านที่ไล่เลี่ยกันเกินไป แต่คิดไปก็ปวดหัวเปล่า เพราะยังไงสุดท้ายมันก็หนีไม่พ้นวิธีสุดสิ้นคิดอย่างเป้ายิงฉุบ ตอนไอมีน่าพูดแบบนี้นึกว่าจะมีคนค้านหาวิธีที่ดูเป็นผู้ใหญ่กว่านี้เสียอีก สุดท้ายก็ตามๆ กันไปหมด สงสัยไม่มีใครอยากยืนเสียเวลามากกว่านี้มั้ง แน่นอนคนที่ได้เลือกคนแรกดันเป็นคนที่เสนอวิธีนี้ แต่ทำเอาแปลกใจนิดๆ ที่เธอเลือกห้องใต้หลังคา
อืม หน้าต่างกว้าง แถมมุมสูงอีก เอาไว้สังเกตการณ์สินะ ได้ยินว่านิสัยเด็กหญิงผมดำนี่ประหลาด เพราะมีลักษณะพิเศษบางอย่าง
ช่างเถอะ---
โรพารินเลือกห้องฝั่งตะวันตกบนชั้นสอง เนื่องจากเธอไม่ชอบแสงแดดยามเช้าทำให้ฉันตัดสินใจฉันเลือกห้องฝั่งตะวันตกชั้นสาม เพราะตอนแรกคิดว่าสองแฝดอยากอยู่ชั้นเดียวกัน ทว่าฝ่ายเอนเดอลินธากลับเลือกชั้นสามเหมือนกันทำเอาฉันแอบเหลือบมองหน้านิดๆ สุดท้ายห้องชั้นสองตกเป็นของเชลลิก้าที่จู่ๆ พึมพำขอโทษหากสร้างความวุ่นวายให้ หลังจัดการเลือกห้องเสร็จสรรจ พวกเราต่างแยกไปจัดการห้องของตนเอง อ่า พูดถึงเรื่องจัดห้อง ฉันไม่ทำเอาหรอก...ห้องนอนมีเอวาจัดให้อย่างขะมักเขม้น ส่วนฉันปลีกตัวมาจัดห้องนั่งเล่นชิวๆ ส่วนตัวดีกว่า ใช่ ห้องสุดส่วนตัวไง ถึงมันจะไม่ใหญ่เท่าห้องสมุดที่คฤหาสน์ แต่ก็ทดแทนได้ ฉันเตรียมเฟอร์นิเจอร์ และ ของตกแต่งมาพร้อมให้คลุกอยู่ที่นี่ทั้งปียังได้เลย
“กฎเหล็กก็คือห้ามเข้าออกสถานที่ในสถาบันได้พลการ”
คำถามแรกก่อนเริ่มเลยนะ...
ฉันควรรู้สึกอย่างไรกับคำพูดลอยๆ แบบไม่มีเกริ่นนำของคู่หมั้นดี?
“คะ? จู่ๆ บ่นอะไรคนเดียวอีกคะ?”
ระหว่างกำลังจัดหนังสือเข้าที่คุณคู่หมั้นกลับโผล่พรวดพราดเข้ามาโดยไม่บอกกล่าวทำเอาฉันลอบทำหน้าระอาเล็กน้อยขณะตั้งคำถาม ธีโอเดินเข้ามาหยิบหนังสือออกจากลังกระดาษพร้อมเริ่มช่วยฉันเก็บหนังสือ เนียนนะเราเนี่ย นับวันยิ่งทำตัวเนียนขึ้นทุกวันนะ ว่าแต่เมื่อกี้อะไร ไม่คิดจะตอบหน่อยเหรอ?
“จะว่าไปเมื่อครู่นั่นข้อห้ามพื้นฐาน---”
“ใช่ครับ แต่สภานักเรียนย้ำกับผมหนักมาก ทำไม?”
อืม ยังกล้าถามอีกนะ เข้ามาในนี้ก็เข้ามาแบบพลการไม่ใช่เหรอ ทว่าเหตุผลแค่นี้ไม่น่าทำให้สภานักเรียนต้องมาย้ำ คงไปทำอะไรมาอีกแล้วสิท่า เดานะ เข้าไปในเขตหวงห้ามหรือเปล่า เหมือนจะมีสถานที่หวงห้ามด้วย ก็นะ ตัวสถาบันแบบนับรวมทุกแอเรียเข้าไปมันใหญ่จนเดินเท้าแทบไม่ได้เลยนะ
“...ก็ไม่แปลกนี่คะ ก่อนหน้านี้ไปทำอะไรมาล่ะคะ?...”
“อืม เข้าไปในคุกใต้ดินล่ะมั้ง จำไม่ได้แฮะ”
ลงไปทำบ้าอะไร?
อยากจะถามแหละ แต่เกริ่นว่าจำไม่ได้ขนาดนี้น่าจะจำเหตุผลไม่ได้ ไม่ก็ แค่สำรวจไปเรื่อยมากกว่า
ความอยากรู้อยากเห็นของนักเดินทางสินะ ฉันเองก็อยากรู้เหมือนกันว่าเขาสำรวจทั่วสถาบันหรือยัง ภายในเวลาหนึ่งวันน่ะ ส่วนนักเรียนคนอื่นมีกำหนดการณ์ทัวร์สถาบันโดยสภานักเรียนในวันเปิดเรียน ความจริงสภานักเรียนก็เหมือนจะย้ำกฎอะไรสักอย่างให้ฉันฟังหลายรอบด้วย แต่--ใช่ ฉันจำไม่ได้แล้วว่าเขาพูดอะไรบ้าง ช่วยไม่ได้ ตอนนั้นเริ่มอยากกลับจึงไม่คิดจะฟัง ทว่าหากให้เดาล่ะก็ คงประมาณอย่าถล่มอะไรมั่วซั่วล่ะมั้ง
ว่าแต่เห็นฉันเป็นคนยังไงเนี่ย ทำไมจู่ๆ ฉันถึงต้องไปทำเรื่องเสียพลังงานแบบนั้นด้วย
“แต่เหมือนไม่ได้ห้ามออกนอกสถาบันนะครับ”
หืม? มาแบบนี้อย่าบอกนะว่า---
“ชูครีมวันนั้นอร่อยดีนะครับ ผมจะไปซื้อมาอีก”
“คนทั่วไปคงไม่คิดว่าคุณจะจู่ๆ ข้ามไปอีกทวีปแบบไม่บอกกล่าวค่ะ”
ทุกคราธีโอมักทำหน้าเอือมใส่ฉัน คราวนี้ฉันขอทำบ้างล่ะ กระนั้นเหมือนแม้แต่สีหน้าระอายังแลดูไม่จริงจังจนคุณคู่หมั้นแอบหัวเราะอีก ธีโอยื่นมือหยิกแก้มสองข้างของฉันเบาๆ แลดูโรแมนติกมั้ง...แต่รู้นะว่ากำลังจะพูดอะไรต่อ จะบ่นใช่ไหม เชิญเลยค่ะ---
“อย่างแรกช่วยไปทำอะไรสักอย่างกับหน้าที่ไม่ยอมขยับของคุณหน่อยเถอะครับ ไททาเนียไม่ได้ดูเย็นชาสักนิด แต่ดูเอื่อยเชื่อยจนคนมองรู้สึกเอื่อยไปด้วย แล้วก็ปกติถ้าจะไปไหนผมบอกก่อนตลอดนะครับ”
ก็นั่นไง เหมือนหน้าเดมาริมที่เจ้าเล่ห์ตลอด หรือ หน้าอิกเซเนทซ์ที่คล้ายกำลังอารมณ์เสีย สรุปง่ายๆ สีหน้าเอื่อยเชื่อยคือเรื่องปกติอะไรประมาณนั้น จะว่าไปขอขัดนิดหน่อย ปกติที่ว่าคือก็แค่บอกไม่ใช่ขออนุญาต บางครั้งไม่ได้สนด้วยซ้ำว่าดยุคเฮเลเกลล่าฟังอยู่หรือเปล่า แค่กล่าวแล้วก็ออกไปเลยทำให้หลายคราธีโอมักหลุดรอดจากสายตาผู้เป็นพ่อ เมื่อก่อนคงหากันวุ่น แต่ปัจจุบัน มีเพียงคำพูดสั้นๆ เวลาลูกชายตนหายตัว
' อีกแล้ว--เอาเถอะ เดี๋ยวก็กลับมาเอง '
“พูดๆ ไปธีโอนี่คล้ายแมวที่ชอบหนีเที่ยวเล่น แล้วกลับมาเลยนะคะ”
“อย่าเอาผมไปเทียบกับเจ้าตัวน้อยนั่นสิ อีกอย่างแมวไม่ถูกกับคุณไม่ใช่เหรอ”
.....
.........................
ช่วงเวลา 2 วันก่อนเริ่มเปิดเรียนอย่างเป็นทางการ วันนี้ฉันถูกลากมาเที่ยวร้านคาเฟ่แถวๆ สถาบันพร้อมกับสหายทั้งหลายล่ะ เอาเข้าจริงยังไม่ทันทำความรู้จักกับคนในบ้านเดียวกันซ้ำ ทุกๆ วันสอง - สามคนนี้วนมาลากไปร้านนู่นทีร้านนี้ที ตั้งแต่จัดการที่พักเสร็จ หน้าฉัน เลิกเอาหน้าฉันไปอ้างอะไรแปลกๆ ทีเถอะ เดมาริมน่ะ ตัวดีเลย ตอนสั่งอาหารดันพูดจาชวนเข้าใจผิดเหมือนหนุ่มพยายามเอาใจสาวในดวงใจ--
อารมณ์ประมาณฮาเร็มของสาวน้อย มองข้างนอกพวกเราสี่คนคงไม่พ้นแบบนั้น แต่เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งจะรู้ว่ามันไม่ใช่
พูดตามตรงนะ ถึงการถูกรายล้อมด้วยหนุ่มหน้าตาดีจะเป็นความฝันของสาวน้อยส่วนใหญ่ก็เถอะ แต่น่ารำคาญจะตายไปไม่ใช่เหรอ แบบว่าเท่าที่ฉันเห็น บางทีจะไม่มีเวลาให้อยู่คนเดียวเลยหรือไง แต่ช่างเถอะ ชีวิตนี้ตัวประกอบอย่างฉันคงไม่มีโอกาสถูกรายล้อมด้วยความรัก อันที่จริงก็ไม่อยากถูกด้วยน่ะนะ แล้วก็ถูกรายล้อมด้วยคนที่พร้อมใช้ฉันไปเป็นข้ออ้างตีเนียนทำอะไรสักอย่างก็ไม่อยากด้วย
จะบ่นว่าทำไมถึงคบพวกประเภทนี้ก็ไม่ได้ นั่นก็น้องชาย ส่วนนั่นก็เพื่อนวัยเด็ก
“เรามาตัดสายสัมพันธ์พี่น้องกับเพื่อนวัยเด็กดีไหมคะ?”
“จะเอาอีกแล้วเหรอ?”
ทันทีที่ฉันบ่นความในใจออกมา เดมาริมเงยหน้าขึ้นพร้อมเลิกคิ้วปั่นประสาท---สองวัน เกิดขึ้นหนหนึ่ง ประโยคเทือกๆ นี้เสมือนประโยคสามัญประจำกลุ่ม ได้ยินบ่อยกว่าประโยคชื่นชมเสียอีก เอะอะจะเลิกคบกันอย่างเดียว เอาเป็นว่ามันเป็นคำพูดที่สื่อถึงความในใจดีมากที่สุดแล้วมั้ง....จะกล่าวว่าทุกอย่างเป็นความบังเอิญหรือโชคชะตานำพากันแน่ระหว่างที่พวกเรานั่งเรื่อยเปื่อยในร้าน เสียงเอะอะโวยวายของสตรีกลับดังลอดเข้ามาในโสตประสาท ออร่าดอกไม้ที่แลดูวันนี้เจิดจ้ากว่าทุกวันทำเอาฉันถึงกับต้องยกมือขึ้นปิดตาตัวเอง
ครั้นกลุ่มพระเอกเกมไม่มีนางเอก หรือ นางร้ายอยู่ข้างๆ พวกเขาก็ต้องถูกรายล้อมด้วยสตรีจำนวนมาก แต่นี่ไม่ใช่ฉากหลักไม่ต้องทำให้เจิดจ้าก็ได้เล่นเอาเกือบตาพร่า แม้แต่มาทานมื้อเที่ยงด้านนอก ยังได้รับความสนใจอย่างล้นลาม เกือบ 70% ของสตรีในร้านต่างมองพระเอกราวกับถูกมนตร์สะกด แต่ใช่มี 30% ที่ไม่ได้สนใจถึงขั้นนั้น ยิ่งไปกว่านั้นภาพนี้นี่มันอะไร คุณหนูหลายคนค่อยๆ เดินตามหลังยังกับ...
“เป็ด...”
“เป็ด?”
“เป็ดล่ะ”
“หา?”
เดมาริมอุทานออกมาอย่างงุนงง ภาพนี้มันเป็ดชัดๆ ไม่คิดงั้นหรือ อ๋อ มัวแต่ก้มหน้ามองกระดาษ ไม่ได้มอง ให้ตายสิ---เสียงเอะอะยังคงดังต่อเนื่อง ฉันเดาว่านะ มื้อเที่ยงวันนี้ไม่น่าจะสงบได้หรอก สมกับเป็นคนที่ได้รับความนิยมจริงๆ ขนาดเสียงดังขนาดนี้ยังไม่รำคาญ หากแต่ระหว่างกำลังมองทิวทัศน์ที่ต่างกันราวกับคนละโลกกับตนเองนั้น ธีโอกลับตั้งคำถามด้วยน้ำเสียงมั่นอกมั่นใจ
“จะว่าไปพวกนายคิดว่าฉันจะเป็นที่นิยมได้ถึงขนาดนั้นไหม?”
เป็นที่นิยมหรือ ถ้าให้แง่คนรักเสน่ห์คงยาก ทว่า---
“ได้สิ มีคนพร้อมกระทืบนายเยอะเลย”
น่าจะล้นหลามด้วย หมอนี้ไปปั่นใครไว้บ้างยังไม่รู้เลย
แต่ความนิยมทางนี้คงไม่อยากได้ล่ะมั้ง ธีโอจิกสายตามองเซเนทซ์ที่ตอบกลับโดยไม่รีรอก่อนมองแรงต่อใส่ฉันกับธีโอ ยังไม่ได้พูดอะไร แค่คิดเอง ยิ่งคบกันนานยิ่งง่ายต่อการอ่านความคิด ต่อให้ไม่ได้แสดงสีหน้ากันก็เถอะ
“ทำไมต้องเป็นแง่นี้ตลอด”
“ก็นายเป็นแบบนี้”
น้องชายฝาแฝดตอบกลับด้วยน้ำเสียงเมินเฉย อืม---ความนิยมในแง่ได้รับการชื่นชมอย่างล้มหลามมันคงยากไปสำหรับตัวประกอบ เหตุผลหรือหลักการที่ตัวประกอบเด่นยากหรือ ก็นั่นไง ขนาดวันทดสอบทำตัวเด่นขนาดนั้นยังมีไม่กี่คนพูดถึง
ออร่าตัวประกอบมันกลบ
ความคิดเห็น