คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : - C H A P T E R :: 01 - 700 Years [ 1 ]
ทุกครั้งที่พ่ายแพ้ต่อสงคราม และ ถูกยึดเมืองหลวงอันเป็นศูนย์กลางไป ทุกอาณาจักรย่อมมีสถานที่ให้ตั้งหลักเพื่อเตรียมการสำหรับสงครามครั้งต่อไปเสมอ รอสเพล่าร์เองก็ไม่ต่างจากอาณาจักรอื่น แม้เสียเมืองหลวงตั้งแต่เมื่อครั้งอดีต แต่พวกเขายังคงมีเมืองเล็กๆ เมืองหนึ่งตั้งอยู่ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ ใกล้เขตภูเขาอันเป็นเส้นแบ่งระหว่างรอสเพล่าร์กับอาณาจักรข้างเคียง ในอดีตทั้งสองอาณาจักรเคยทำสงครามกันบ่อยครั้ง หากแต่หลังจักรวรรดิเดียมานเข้ายึดเมืองหลวงของรอสเพล่าร์ได้ อาณาจักรดังกล่าวไม่ได้เข้ามายุ่งอีกเลย อาณาจักรข้างเคียงหายสาบสูญไปจากความทรงจำ และ ประวัติศาสตร์ของชาวรอสเพล่าร์กว่าเจ็ดร้อยปี
เพราะพื้นที่ที่เช่นนั้นทำให้ประชากรไม่ได้อยู่กันอย่างแออัด
บางคนตัดสินสร้างที่อยู่บนเชิงเขาบ้าง ในขณะที่บางคนอาศัยอยู่ในพื้นที่รอบด้าน
เหตุผลเดียวที่พวกเขาไม่ขึ้นไปอยู่บนเขาเพราะที่นั่นเป็นเส้นแบ่งของอาณาจักร
ไม่สามารถระบุได้ว่าแท้จริงใครกันแน่ที่ครอบครองภูเขาลูกนี้
การเข้าไปอาจทำให้เกิดปัญหาในภายหลัง
อีกทั้งเบาะแสมาว่าบนนั้นเป็นที่อยู่ของพวกนอกกฎหมาย
เช่น กลุ่มทหารรับจ้าง, โจร, หรืออีกมากมาย ไม่เว้นแม้แต่แม่มด ทว่าถึงพวกเขาไม่ได้อยู่กันแบบแออัดก็ตาม
พื้นที่ใกล้ภูเขาเต็มไปด้วยฤดูหนาวเกือบตลอดทั้งปีทำให้มีข้อจำกัดเรื่องการเพาะปลูกนิดหน่อย
ไม่สามารถเพาะปลูก หรือ เลี้ยงสัตว์ได้หลากหลายเช่นเมืองหลวง
สถานการณ์ ณ
ปัจจุบันเสี่ยงต่อการล่มสลายเพราะพิษเศรษฐกิจพอสมควร
ร่างชายหนุ่มเรือนผมสีน้ำตาลยืนนิ่งท่ามกลางต้นไม้ใหญ่ นัยน์ตาสีฮาเซลบลูประหลาดจับจ้องไปยังหุ่นไม้จำลองตรงหน้าด้วยแววตาแน่วแน่ในขณะที่มือกำชับด้ามดาบไม้แน่น
ทว่าในจังหวะที่กำลังฟาดดาบลงบนหุ่นไม้นั้นประสาทสัมผัสด้านเวทมนตร์กลับทำงานขึ้นมาโดยอัตโนมัติทำให้เขาชะงักเล็กน้อย
คริสเตียน เวนเกลล่า
ทหารระดับสูงที่มีความสามารถด้านเวทมนตร์เหลือบมองผู้มาเยือนด้วยแววตาเรียบนิ่ง ทันทีที่เห็นร่างคนที่กำลังเข้ามาใกล้ตนเองชายหนุ่มวางดาบในมือลงก่อนหญิงสาวคนนั้นส่งเสียงถามด้วยโทนเสียงเย็นชา
“ไม่ใช่ว่าใช้ดาบไม่ได้เหรอ?”
มิเนอร์ว่า หญิงสาวผู้มีผมสีฟ้าประหลาดจากตระกูลอัศวินเก่าแก่ เออวาริส
มารดาของมิเนอร์ว่าเป็นอาจารย์สอนเวทมนตร์ให้แก่คริสเตียนตั้งแต่เด็ก
นั่นทำให้ทั้งสองเปรียบเสมือนเพื่อนสมัยเด็ก, ฝึกฝนเพื่อเข้าเป็นอัศวินมาพร้อมกัน กระนั้นพวกเขากลับมีลักษณะการต่อสู้แตกต่างกัน เนื่องจากเหตุผลเรื่องพลังเวทในร่าง
หญิงสาวถนัดต่อสู้ด้วยอาวุธ ตรงข้ามกับคริสเตียนที่ต่อสู้โดยใช้เวทมนตร์
เรื่องใช้อาวุธประเภทดาบถือว่าเป็นเรื่องยากมาก เนื่องจากพลังเวทดันไม่ยอมรับอาวุธเหล่านั้น
สำหรับคริสเตียนการใช้ดาบของเขาไม่ต่างจากแกว่งไม้มั่วซั่วหรอก
แน่นอนไม่แปลกเลยสักนิดที่มิเนอร์ว่าจะทักแบบนั้น หากคริสเตียนเห็นเธอพยายามฝึกเวทมนตร์อย่างเอาเป็นเอาตายเขาคงเผลอพูดแบบนั้นเช่นกัน
นัยน์ตาสีฟ้าคล้ายท้องนภาเลื่อนมองใบหน้าเขาอีกครั้งก่อนกล่าวถามเสียงเรียบนิ่ง
“ทำไมถึงมาฝึกบนเขา”
“สนามฝึกในเมืองพื้นที่แคบไป”
คริสเตียนตอบกลับด้วยน้ำเสียงที่เรียบไม่แพ้กัน
นัยน์ตาสีฮาเซลบลูเลื่อนมองหญิงสาวที่กำลังยืนกอดอกด้วยแววตางุนงง
จากนั้นตัดสินใจถามต่อในทันที
“มีธุระอะไร?”
“ผลการประชุม”
“ประชุมสภาขุนนางใช่ไหม?”
“ใช่”
“ทำไมถึงไม่ยอมเรียกทหารระดับสูงไปร่วมด้วย”
คริสเตียนกุมขมับตนเองเล็กน้อย
ทางด้านมิเนอร์ว่าเมื่อได้ยินคำถามเช่นนั้น
ดวงตาของเธอเลื่อนไปยังราชวังหลวงก่อนตอบกลับเสียงห้วนๆ
“คงไม่อยากให้คนที่ไร้บรรดาศักดิ์ศักดิ์เข้าไปยุ่งกับสภาขุนนาง”
ฝ่ายชายหนุ่มผมน้ำตาลเมื่อได้ยินคำตอบจากคนตรงหน้า เขาลอบถอนหายใจอย่างอดไม่ได้
จากนั้นถามต่อโดยไม่ไตร่ตรองเรื่องมารยาท
ที่จริงต่อหน้ามิเนอร์ว่าไม่จำเป็นต้องใส่ใจเรื่องมารยาทหรอก
เธอไม่เคยสนใจว่าคนอื่นจะแสดงกิริยาเช่นไรมาตั้งแต่ไหนตั้งแต่ไรแล้ว
“เพราะอะไรถึงได้มารายงานเรื่องนี้
ทั้งๆ ที่ขุนนางส่วนใหญ่ไม่อยากให้ยุ่งด้วยล่ะ?”
“ขุนนางส่วนหนึ่งอยากได้ความเห็นจากทหารที่มีประสบการณ์มากกว่า”
หญิงสาวตอบกลับอย่างไม่ใส่ใจ
--- ซะงั้น
“ช่วงนี้กำลังประชุมเรื่องขาดแคลนกำลังคนสินะ”
คริสเตียนถามอีกครั้งเป็นผลให้มิเนอร์ว่าผงกศีรษะอย่างเชื่องช้า ดูเหมือนปัญหาเรื่องขาดแคลนกำลังคนจะกลายเป็นเรื้อรังไปเสียแล้ว
แม้บางสถานที่มนุษย์ให้กำเนิดทายาทจนเกิดปัญหาจำนวนประชากรล้นก็ตาม
แต่ในรอสเพล่าร์กลับตรงข้าม
เพราะสงครามอันยาวนานเกือบพันปีทำให้ทุกครั้งที่สงครามปะทุขึ้นจำนวนประชากรลดลงอย่างน่าใจหาย
อีกทั้งเหล่าขุนนางในอดีตมองข้ามปัญหานี้ไปจนกลายเป็นปัญหาใหญ่ในภายหลัง
ตอนนี้พูดได้เต็มปากว่าประชากรรอสเพล่าร์น้อยลงเต็มที
ต่อให้มีจำนวนพอสำหรับสนามรบ แต่เขาแน่ใจว่าไม่พอสำหรับพัฒนาอย่างอื่นแน่ ชายหนุ่มกลอกตาไปมาอย่างอดไม่ได้ก่อนหญิงสาวผมฟ้าจะกล่าวผลสรุปของการประชุมออกมาด้วยแววตาไม่สนใจสิ่งใดทั้งสิ้น
“ผลการประชุมคือยังหาข้อสรุปจากการประชุมไม่ได้
ดังนั้นจะจัดการประชุมอีกในอาทิตย์หน้า” มิเนอร์ว่าเว้นช่วงระยะหนึ่งก่อนเล่าต่อ
“ตอนนี้กำลังถกเถียงประเด็นที่ว่าควรทำอย่างไรกับเรื่องกำลังคน มีข้อเสนอความเห็นให้เกณฑ์สามัญชน, ลดกำลังทหารลงสักกองเพื่อนำจำนวนคนเหล่านั้นไปพัฒนาด้านอื่น,
และ บางความเห็นบอกว่าจ้างทหารรับจ้างจากดินแดนอื่น”
“ถ้าต้องการลดกำลังพลจำนวนขนาดนั้นหมายถึงต้องใช้คนที่มีพลังสูงเกือบเทียบเท่าทหารกองหนึ่ง
ซึ่งในรอสเพล่าร์ตอนนี้ก็แทบเหลือแล้ว และ
ถ้าไม่มีคนที่มีความสามารถระดับนั้นเข้ามาแทนที่ล่ะก็ เราต้องใช้เวลาฝึกทหารที่เหลือเข้มกว่าเดิม
นานกว่าเดิม ระยะเวลาการฝึกอาจไม่ทันการสำหรับสงครามครั้งถัดไปเลยด้วยซ้ำ
ถ้ามีเวลาก่อนสงครามมากกว่านี้ค่อยคุยกัน”
นัยน์ตาสีฮาเซลบลูเลื่อนมองไปมาพลางหยิบดาบขึ้นมาถือเอาไว้
ทางด้านมิเนอร์ว่านิ่งราวกับกำลังใช้ความคิดเมื่อได้ยินคำกล่าวของเพื่อนวัยเด็กตรงหน้า
สิ่งที่เขาพูดมานั้นถูกต้องพอสมควรเลยทีเดียว เธอค่อยๆ เงยหน้ามองชายหนุ่มตรงหน้า
และ ถามต่อด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“กองกำลังของนายมีเท่าไร”
กองกำลังที่หญิงสาวพูดถึงคือกองกำลังส่วนตัวที่เขาเป็นคนคัดเลือกสมาชิกเองกับมือ
โดยปกติทหารระดับสูงจะมีกองกำลังส่วนตัวอยู่
กองกำลังของพวกเขาไม่ทำงานให้กับขุนนางคนไหนเป็นพิเศษ แต่ทำงานให้อาณาจักรโดยตรง
“รวมทั้งหมดเก้าสิบสี่คน แต่ระดับใช้เวทแบบชำนาญไม่ถึงสิบคน เธอล่ะ”
“ไม่ต่างกันเท่าไร”
“แล้วประชุมนั่นยังไงต่อ”
ชายหนุ่มถามต่อทำให้มิเนอร์ว่าผงะนิดหน่อย เธอนั่งลงบนพื้นหลังจากที่ยืนนานหลายนาทีก่อนตอบกลับ
“ขุนนางถูกแยกออกเป็นสองฝั่งเหมือนเคย
ฝั่งหนึ่งสนับสนุนให้รับสมัครทหารรับจ้าง เนื่องจากคิดว่าการเกณฑ์สามัญชนเกือบทั้งหมดเข้ามาเป็นความคิดที่ผิดพลาดเกินไป”
“อีกฝั่งล่ะ”
“สนับสนุนเรื่องเกณฑ์สามัญชน
โดยให้เหตุผลว่าพวกทหารรับจ้างต้องรักชีวิตตนเองมากกว่าสิ่งใด
ไม่เหมาะสำหรับสนามรบ”
“หากเจอทหารรับจ้างที่มีความสามารถระดับเดียวกับทหารระดับสูงได้ล่ะก็
เรื่องลดจำนวนกำลังพลคงไม่ใช่ปัญหา แต่อย่างที่ว่ามาแหละ
ทหารรับจ้างรักชีวิตตนเองมากกว่า”
คริสเตียนกล่าวต่อทันทีที่มิเนอร์ว่าเอ่ยจบ หญิงสาวค่อนข้างเห็นด้วยกับสิ่งที่เขากล่าวออกมา
ถ้าเจอคนที่มีความสามารถระดับเดียวกับพวกเขาคงลดกำลังพลลงได้ เธอชายตามองคริสเตียนพลางถามเสียงแผ่วเบากว่าปกติ
“ความเห็นส่วนตัวนายล่ะ?”
“เอนไปทางรับทหารรับจ้าง”
“เหตุผล?”
มิเนอร์ว่าถามกลับเมื่อได้ยินคำตอบจากเขา
“ถ้าให้พูดหลักๆ สามัญชนส่วนใหญ่ไม่ได้รับการฝึกพื้นฐานในการสู้รบ
แม้แต่ทหารระดับสูงอย่างพวกเราก็ได้รับการฝึกฝนมาตั้งแต่เด็ก ฉันกำลังคิดว่าถ้าต้องการฝึกให้พวกเขาได้สักครึ่งหนึ่งของทหารระดับสูงต้องใช้เวลานานเท่าไร
อีกทั้งพวกเขาขาดประสบการณ์ในสนามรบ ที่สำคัญหากเกณฑ์สามัญชนเข้าร่วมรบมากเกินไปนั้นมีโอกาสที่จะเกิดการขาดแคลนเสบียง
รวมทั้งขาดแคลนกำลังคนในเรื่องอื่นด้วย
ยิ่งปล่อยไว้ปัญหาเรื่องกำลังคนจะเรื้อรังยิ่งกว่าเดิม สุดท้ายถ้าเลือกเช่นนั้นเราจะต่างจากผู้คนในอดีตตรงไหน?”
“นั่นสินะ
ต้องนานมากแน่ๆ”
หญิงสาวผมฟ้าพึมพำเบาๆ
เท่าที่คริสเตียนเห็นเธอไม่ได้สนใจคำพูดช่วงท้ายๆ เขาเลยแม้แต่นิด อาจฟังดูแปลกๆ
แต่มิเนอร์ว่าไม่ค่อยสนใจเรื่องอื่นนอกจากเรื่องสู้รบหรอก
โดยปกติใบหน้าเธอนิ่งสนิทตลอดเวลา
เว้นเสียแต่ตอนอยู่ในสนามรบถึงยอมแสดงสีหน้ายิ้มแย้มออกมา บางทีเขาเองก็สงสัยว่าเพราะเลือดนักรบในตัวหรือเพราะถูกฝึกให้ฆ่าฟันโดยเฉพาะกันแน่ทำให้เธอมีบุคลิกเช่นนั้น
และ สาบานได้ตอนนี้หล่อนแค่นั่งฟังเขาบ่นเฉยๆ ไม่มีความคิดเห็นอื่น
“ทางทหารรับจ้างถ้าจะนำเข้ามาในกองทัพจริงๆ
ต้องคิดแผนฉุกเฉินไว้ใช้ในกรณีที่พวกเขาหนีเอาตัวรอด เดิมทีไม่ใช่ชาวรอส
ไม่ใช่คนที่มีกฎหมายคุ้มครอง ดังนั้นกฎหมายไม่ใช่ปัญหาสำหรับพวกเขา”
ความเงียบสงัดปกคลุมทั้งสองทันทีที่ชายหนุ่มพูดจบ
มิเนอร์ว่าทอดสายตามองรอบข้าง มันดูคล้ายเธอกำลังจมปลักอยู่กับความคิด ทางด้านคริสเตียนเมื่อเห็นคนข้างตัวเงียบไปเขาเริ่มมองลอกแลกไปมาราวกับเกรงว่ามิเนอร์ว่าจะพูดอะไรแปลกๆ
หรือพูดสิ่งที่เป็นไปได้ยากออกมา
ไม่นานนักเสียงของหญิงสาวดังขึ้นมาทำเอาชายหนุ่มเผลอกุมขมับ
“ล่าไหม?”
“จะไหวเหรอ?”
คริสเตียนถามกลับเสียงเรียบเป็นผลให้หญิงสาวผมฟ้าชายตามองเขาด้วยแววตาไร้อารมณ์พร้อมตอบกลับเสียงห้วน
“ถ้ามีพลังน้อยกว่าน่ะนะ”
“ข้อตกลงไหนถึงจะทำให้พวกเขายอมช่วยจนจบ...” ชายหนุ่มพึมพำเบาๆ
อย่างอดไม่ได้ก่อนมิเนอร์ว่าจะตัดสินใจถามต่อ
“ว่าแต่กำลังพูดถึงทหารรับจ้างพวกไหน”
“พวกที่อยู่บนภูเขาระหว่างชายแดนละมั้ง”
ความคิดเห็น