ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ROSPELAR WAR. - สงครามดินแดนต้องสาป

    ลำดับตอนที่ #3 : - C H A P T E R :: 01 - 700 Years [ 1 ]

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 412
      13
      18 ม.ค. 62




    CHAPTER 01
    - 700 Years Later -






    ทุกครั้งที่พ่ายแพ้ต่อสงคราม และ ถูกยึดเมืองหลวงอันเป็นศูนย์กลางไป ทุกอาณาจักรย่อมมีสถานที่ให้ตั้งหลักเพื่อเตรียมการสำหรับสงครามครั้งต่อไปเสมอ รอสเพล่าร์เองก็ไม่ต่างจากอาณาจักรอื่น แม้เสียเมืองหลวงตั้งแต่เมื่อครั้งอดีต แต่พวกเขายังคงมีเมืองเล็กๆ เมืองหนึ่งตั้งอยู่ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ ใกล้เขตภูเขาอันเป็นเส้นแบ่งระหว่างรอสเพล่าร์กับอาณาจักรข้างเคียง ในอดีตทั้งสองอาณาจักรเคยทำสงครามกันบ่อยครั้ง หากแต่หลังจักรวรรดิเดียมานเข้ายึดเมืองหลวงของรอสเพล่าร์ได้ อาณาจักรดังกล่าวไม่ได้เข้ามายุ่งอีกเลย อาณาจักรข้างเคียงหายสาบสูญไปจากความทรงจำ และ ประวัติศาสตร์ของชาวรอสเพล่าร์กว่าเจ็ดร้อยปี


    เพราะพื้นที่ที่เช่นนั้นทำให้ประชากรไม่ได้อยู่กันอย่างแออัด บางคนตัดสินสร้างที่อยู่บนเชิงเขาบ้าง ในขณะที่บางคนอาศัยอยู่ในพื้นที่รอบด้าน เหตุผลเดียวที่พวกเขาไม่ขึ้นไปอยู่บนเขาเพราะที่นั่นเป็นเส้นแบ่งของอาณาจักร ไม่สามารถระบุได้ว่าแท้จริงใครกันแน่ที่ครอบครองภูเขาลูกนี้ การเข้าไปอาจทำให้เกิดปัญหาในภายหลัง


    อีกทั้งเบาะแสมาว่าบนนั้นเป็นที่อยู่ของพวกนอกกฎหมาย เช่น กลุ่มทหารรับจ้าง, โจร, หรืออีกมากมาย ไม่เว้นแม้แต่แม่มด ทว่าถึงพวกเขาไม่ได้อยู่กันแบบแออัดก็ตาม พื้นที่ใกล้ภูเขาเต็มไปด้วยฤดูหนาวเกือบตลอดทั้งปีทำให้มีข้อจำกัดเรื่องการเพาะปลูกนิดหน่อย ไม่สามารถเพาะปลูก หรือ เลี้ยงสัตว์ได้หลากหลายเช่นเมืองหลวง


    สถานการณ์ ณ ปัจจุบันเสี่ยงต่อการล่มสลายเพราะพิษเศรษฐกิจพอสมควร


    ร่างชายหนุ่มเรือนผมสีน้ำตาลยืนนิ่งท่ามกลางต้นไม้ใหญ่ นัยน์ตาสีฮาเซลบลูประหลาดจับจ้องไปยังหุ่นไม้จำลองตรงหน้าด้วยแววตาแน่วแน่ในขณะที่มือกำชับด้ามดาบไม้แน่น ทว่าในจังหวะที่กำลังฟาดดาบลงบนหุ่นไม้นั้นประสาทสัมผัสด้านเวทมนตร์กลับทำงานขึ้นมาโดยอัตโนมัติทำให้เขาชะงักเล็กน้อย


    คริสเตียน เวนเกลล่า ทหารระดับสูงที่มีความสามารถด้านเวทมนตร์เหลือบมองผู้มาเยือนด้วยแววตาเรียบนิ่ง ทันทีที่เห็นร่างคนที่กำลังเข้ามาใกล้ตนเองชายหนุ่มวางดาบในมือลงก่อนหญิงสาวคนนั้นส่งเสียงถามด้วยโทนเสียงเย็นชา


    “ไม่ใช่ว่าใช้ดาบไม่ได้เหรอ?”


    มิเนอร์ว่า หญิงสาวผู้มีผมสีฟ้าประหลาดจากตระกูลอัศวินเก่าแก่ เออวาริส มารดาของมิเนอร์ว่าเป็นอาจารย์สอนเวทมนตร์ให้แก่คริสเตียนตั้งแต่เด็ก นั่นทำให้ทั้งสองเปรียบเสมือนเพื่อนสมัยเด็ก, ฝึกฝนเพื่อเข้าเป็นอัศวินมาพร้อมกัน กระนั้นพวกเขากลับมีลักษณะการต่อสู้แตกต่างกัน เนื่องจากเหตุผลเรื่องพลังเวทในร่าง


    หญิงสาวถนัดต่อสู้ด้วยอาวุธ ตรงข้ามกับคริสเตียนที่ต่อสู้โดยใช้เวทมนตร์ เรื่องใช้อาวุธประเภทดาบถือว่าเป็นเรื่องยากมาก เนื่องจากพลังเวทดันไม่ยอมรับอาวุธเหล่านั้น สำหรับคริสเตียนการใช้ดาบของเขาไม่ต่างจากแกว่งไม้มั่วซั่วหรอก


    แน่นอนไม่แปลกเลยสักนิดที่มิเนอร์ว่าจะทักแบบนั้น หากคริสเตียนเห็นเธอพยายามฝึกเวทมนตร์อย่างเอาเป็นเอาตายเขาคงเผลอพูดแบบนั้นเช่นกัน นัยน์ตาสีฟ้าคล้ายท้องนภาเลื่อนมองใบหน้าเขาอีกครั้งก่อนกล่าวถามเสียงเรียบนิ่ง


    “ทำไมถึงมาฝึกบนเขา”


    “สนามฝึกในเมืองพื้นที่แคบไป”


    คริสเตียนตอบกลับด้วยน้ำเสียงที่เรียบไม่แพ้กัน นัยน์ตาสีฮาเซลบลูเลื่อนมองหญิงสาวที่กำลังยืนกอดอกด้วยแววตางุนงง จากนั้นตัดสินใจถามต่อในทันที


    “มีธุระอะไร?”


    “ผลการประชุม”


    “ประชุมสภาขุนนางใช่ไหม?”


    “ใช่”


    “ทำไมถึงไม่ยอมเรียกทหารระดับสูงไปร่วมด้วย”


    คริสเตียนกุมขมับตนเองเล็กน้อย ทางด้านมิเนอร์ว่าเมื่อได้ยินคำถามเช่นนั้น ดวงตาของเธอเลื่อนไปยังราชวังหลวงก่อนตอบกลับเสียงห้วนๆ


     “คงไม่อยากให้คนที่ไร้บรรดาศักดิ์ศักดิ์เข้าไปยุ่งกับสภาขุนนาง”


    ฝ่ายชายหนุ่มผมน้ำตาลเมื่อได้ยินคำตอบจากคนตรงหน้า เขาลอบถอนหายใจอย่างอดไม่ได้ จากนั้นถามต่อโดยไม่ไตร่ตรองเรื่องมารยาท ที่จริงต่อหน้ามิเนอร์ว่าไม่จำเป็นต้องใส่ใจเรื่องมารยาทหรอก เธอไม่เคยสนใจว่าคนอื่นจะแสดงกิริยาเช่นไรมาตั้งแต่ไหนตั้งแต่ไรแล้ว


    “เพราะอะไรถึงได้มารายงานเรื่องนี้ ทั้งๆ ที่ขุนนางส่วนใหญ่ไม่อยากให้ยุ่งด้วยล่ะ?”


    “ขุนนางส่วนหนึ่งอยากได้ความเห็นจากทหารที่มีประสบการณ์มากกว่า” หญิงสาวตอบกลับอย่างไม่ใส่ใจ


    --- ซะงั้น


    “ช่วงนี้กำลังประชุมเรื่องขาดแคลนกำลังคนสินะ


    คริสเตียนถามอีกครั้งเป็นผลให้มิเนอร์ว่าผงกศีรษะอย่างเชื่องช้า ดูเหมือนปัญหาเรื่องขาดแคลนกำลังคนจะกลายเป็นเรื้อรังไปเสียแล้ว แม้บางสถานที่มนุษย์ให้กำเนิดทายาทจนเกิดปัญหาจำนวนประชากรล้นก็ตาม แต่ในรอสเพล่าร์กลับตรงข้าม เพราะสงครามอันยาวนานเกือบพันปีทำให้ทุกครั้งที่สงครามปะทุขึ้นจำนวนประชากรลดลงอย่างน่าใจหาย อีกทั้งเหล่าขุนนางในอดีตมองข้ามปัญหานี้ไปจนกลายเป็นปัญหาใหญ่ในภายหลัง


    ตอนนี้พูดได้เต็มปากว่าประชากรรอสเพล่าร์น้อยลงเต็มที ต่อให้มีจำนวนพอสำหรับสนามรบ แต่เขาแน่ใจว่าไม่พอสำหรับพัฒนาอย่างอื่นแน่ ชายหนุ่มกลอกตาไปมาอย่างอดไม่ได้ก่อนหญิงสาวผมฟ้าจะกล่าวผลสรุปของการประชุมออกมาด้วยแววตาไม่สนใจสิ่งใดทั้งสิ้น


    “ผลการประชุมคือยังหาข้อสรุปจากการประชุมไม่ได้ ดังนั้นจะจัดการประชุมอีกในอาทิตย์หน้า” มิเนอร์ว่าเว้นช่วงระยะหนึ่งก่อนเล่าต่อ


    “ตอนนี้กำลังถกเถียงประเด็นที่ว่าควรทำอย่างไรกับเรื่องกำลังคน มีข้อเสนอความเห็นให้เกณฑ์สามัญชน, ลดกำลังทหารลงสักกองเพื่อนำจำนวนคนเหล่านั้นไปพัฒนาด้านอื่น, และ บางความเห็นบอกว่าจ้างทหารรับจ้างจากดินแดนอื่น”


    “ถ้าต้องการลดกำลังพลจำนวนขนาดนั้นหมายถึงต้องใช้คนที่มีพลังสูงเกือบเทียบเท่าทหารกองหนึ่ง ซึ่งในรอสเพล่าร์ตอนนี้ก็แทบเหลือแล้ว และ ถ้าไม่มีคนที่มีความสามารถระดับนั้นเข้ามาแทนที่ล่ะก็ เราต้องใช้เวลาฝึกทหารที่เหลือเข้มกว่าเดิม นานกว่าเดิม ระยะเวลาการฝึกอาจไม่ทันการสำหรับสงครามครั้งถัดไปเลยด้วยซ้ำ ถ้ามีเวลาก่อนสงครามมากกว่านี้ค่อยคุยกัน”


    นัยน์ตาสีฮาเซลบลูเลื่อนมองไปมาพลางหยิบดาบขึ้นมาถือเอาไว้ ทางด้านมิเนอร์ว่านิ่งราวกับกำลังใช้ความคิดเมื่อได้ยินคำกล่าวของเพื่อนวัยเด็กตรงหน้า สิ่งที่เขาพูดมานั้นถูกต้องพอสมควรเลยทีเดียว เธอค่อยๆ เงยหน้ามองชายหนุ่มตรงหน้า และ ถามต่อด้วยน้ำเสียงจริงจัง


    “กองกำลังของนายมีเท่าไร”


    กองกำลังที่หญิงสาวพูดถึงคือกองกำลังส่วนตัวที่เขาเป็นคนคัดเลือกสมาชิกเองกับมือ โดยปกติทหารระดับสูงจะมีกองกำลังส่วนตัวอยู่ กองกำลังของพวกเขาไม่ทำงานให้กับขุนนางคนไหนเป็นพิเศษ แต่ทำงานให้อาณาจักรโดยตรง


    “รวมทั้งหมดเก้าสิบสี่คน แต่ระดับใช้เวทแบบชำนาญไม่ถึงสิบคน เธอล่ะ”


    “ไม่ต่างกันเท่าไร”


    “แล้วประชุมนั่นยังไงต่อ”


    ชายหนุ่มถามต่อทำให้มิเนอร์ว่าผงะนิดหน่อย เธอนั่งลงบนพื้นหลังจากที่ยืนนานหลายนาทีก่อนตอบกลับ


    “ขุนนางถูกแยกออกเป็นสองฝั่งเหมือนเคย ฝั่งหนึ่งสนับสนุนให้รับสมัครทหารรับจ้าง เนื่องจากคิดว่าการเกณฑ์สามัญชนเกือบทั้งหมดเข้ามาเป็นความคิดที่ผิดพลาดเกินไป”


    “อีกฝั่งล่ะ”


    “สนับสนุนเรื่องเกณฑ์สามัญชน โดยให้เหตุผลว่าพวกทหารรับจ้างต้องรักชีวิตตนเองมากกว่าสิ่งใด ไม่เหมาะสำหรับสนามรบ”


    “หากเจอทหารรับจ้างที่มีความสามารถระดับเดียวกับทหารระดับสูงได้ล่ะก็ เรื่องลดจำนวนกำลังพลคงไม่ใช่ปัญหา แต่อย่างที่ว่ามาแหละ ทหารรับจ้างรักชีวิตตนเองมากกว่า”


    คริสเตียนกล่าวต่อทันทีที่มิเนอร์ว่าเอ่ยจบ หญิงสาวค่อนข้างเห็นด้วยกับสิ่งที่เขากล่าวออกมา ถ้าเจอคนที่มีความสามารถระดับเดียวกับพวกเขาคงลดกำลังพลลงได้ เธอชายตามองคริสเตียนพลางถามเสียงแผ่วเบากว่าปกติ


    “ความเห็นส่วนตัวนายล่ะ?”


    “เอนไปทางรับทหารรับจ้าง”


    “เหตุผล?” มิเนอร์ว่าถามกลับเมื่อได้ยินคำตอบจากเขา


    ถ้าให้พูดหลักๆ สามัญชนส่วนใหญ่ไม่ได้รับการฝึกพื้นฐานในการสู้รบ แม้แต่ทหารระดับสูงอย่างพวกเราก็ได้รับการฝึกฝนมาตั้งแต่เด็ก ฉันกำลังคิดว่าถ้าต้องการฝึกให้พวกเขาได้สักครึ่งหนึ่งของทหารระดับสูงต้องใช้เวลานานเท่าไร อีกทั้งพวกเขาขาดประสบการณ์ในสนามรบ ที่สำคัญหากเกณฑ์สามัญชนเข้าร่วมรบมากเกินไปนั้นมีโอกาสที่จะเกิดการขาดแคลนเสบียง รวมทั้งขาดแคลนกำลังคนในเรื่องอื่นด้วย ยิ่งปล่อยไว้ปัญหาเรื่องกำลังคนจะเรื้อรังยิ่งกว่าเดิม สุดท้ายถ้าเลือกเช่นนั้นเราจะต่างจากผู้คนในอดีตตรงไหน?”


    “นั่นสินะ ต้องนานมากแน่ๆ”


    หญิงสาวผมฟ้าพึมพำเบาๆ เท่าที่คริสเตียนเห็นเธอไม่ได้สนใจคำพูดช่วงท้ายๆ เขาเลยแม้แต่นิด อาจฟังดูแปลกๆ แต่มิเนอร์ว่าไม่ค่อยสนใจเรื่องอื่นนอกจากเรื่องสู้รบหรอก โดยปกติใบหน้าเธอนิ่งสนิทตลอดเวลา เว้นเสียแต่ตอนอยู่ในสนามรบถึงยอมแสดงสีหน้ายิ้มแย้มออกมา บางทีเขาเองก็สงสัยว่าเพราะเลือดนักรบในตัวหรือเพราะถูกฝึกให้ฆ่าฟันโดยเฉพาะกันแน่ทำให้เธอมีบุคลิกเช่นนั้น


    และ สาบานได้ตอนนี้หล่อนแค่นั่งฟังเขาบ่นเฉยๆ ไม่มีความคิดเห็นอื่น


    “ทางทหารรับจ้างถ้าจะนำเข้ามาในกองทัพจริงๆ ต้องคิดแผนฉุกเฉินไว้ใช้ในกรณีที่พวกเขาหนีเอาตัวรอด เดิมทีไม่ใช่ชาวรอส ไม่ใช่คนที่มีกฎหมายคุ้มครอง ดังนั้นกฎหมายไม่ใช่ปัญหาสำหรับพวกเขา”


    ความเงียบสงัดปกคลุมทั้งสองทันทีที่ชายหนุ่มพูดจบ มิเนอร์ว่าทอดสายตามองรอบข้าง มันดูคล้ายเธอกำลังจมปลักอยู่กับความคิด ทางด้านคริสเตียนเมื่อเห็นคนข้างตัวเงียบไปเขาเริ่มมองลอกแลกไปมาราวกับเกรงว่ามิเนอร์ว่าจะพูดอะไรแปลกๆ หรือพูดสิ่งที่เป็นไปได้ยากออกมา ไม่นานนักเสียงของหญิงสาวดังขึ้นมาทำเอาชายหนุ่มเผลอกุมขมับ


    “ล่าไหม?”


    “จะไหวเหรอ?”


    คริสเตียนถามกลับเสียงเรียบเป็นผลให้หญิงสาวผมฟ้าชายตามองเขาด้วยแววตาไร้อารมณ์พร้อมตอบกลับเสียงห้วน


    “ถ้ามีพลังน้อยกว่าน่ะนะ”


    “ข้อตกลงไหนถึงจะทำให้พวกเขายอมช่วยจนจบ...” ชายหนุ่มพึมพำเบาๆ อย่างอดไม่ได้ก่อนมิเนอร์ว่าจะตัดสินใจถามต่อ


    “ว่าแต่กำลังพูดถึงทหารรับจ้างพวกไหน”


    “พวกที่อยู่บนภูเขาระหว่างชายแดนละมั้ง”





    ------------------
    ตอนนี้สั้นมากค่ะ เดี๋ยวตอนหน้าต้องพยายามเพิ่มความยากสักหน่อย
    สารภาพว่าแนวนี้แอบแต่งยากพอสมควรค่ะ เพราะรอสเพล่าร์นี้เหมือนเผชิญปัญหาเยอะเกิน
    จนการเรียงลำดับความสำคัญปัญหาเริ่มร่วน(?) แต่หลักๆ ตอนนี้กับตอนหน้าจะพูดถึงปัญหาขาดกำลังคน
    อันนี้เสริมไว้นิดๆ หากใครสงสัยว่าทำไมรอสเพล่าร์ถึงไม่ยอมจำนนต่อจักรวรรดิ และ ยอมเป็นเมืองขึ้นเสียให้สิ้นเรื่อง
    เรื่องนี้มีเหตุผลอยู่ค่ะ แต่เราจะอธิบายในอนาคตค่ะ 

















    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×