เป็นเช้าอีกหนึ่งวันที่ไม่อยากให้มาถึงเลย รู้สึกว่าได้พักไปเอง ทำไมวันจันทร์ถึงเดินทางมาถึงเร็วอย่างนี้ แล้วก็เช่นเดิมเหมือนทุกวัน ผมตื่นมาทำข้าวกล่องแต่เช้า สำหรับสองที่ วันหยุดที่ผ่านมาแทบไม่ได้ทำอะไรนอกจากนอนกลิ้งไปกลิ้งมาบนเตียง แล้วก็เดินขึ้นเดินลงจากบ้านแบบเรื่อยเปื่อย
แต่ว่านะ...ทุกอย่างมันกลับไม่ได้เหมือนเดิมไปเสียหมด โดยเฉพาะหัวใจของผม มันก็ยังเต้นแรงทุกครั้งที่คน ๆ นั้นมาอยู่ใกล้ ๆ มันไม่ควรเป็นอย่างนี้ ผมยังต้องอยู่ที่นี่ไปอีกตั้งสองปี
ควรจะทำยังไงดีนะ...
ระหว่างที่รอเจ้าของบ้านก็ล้มตัวลงนั่งบนโซฟาตัวนุ่มไปพลาง ๆ ไม่นาน พี่ภูมิก็เดินหอบเครื่องไม้เครื่องมือพะรุงพะรังออกมาเต็มไปหมด ผมเห็นดังนั้นจึงลุกขึ้นก่อนจะเดินไปช่วยพี่เขา
"ของทำงานเหรอครับ?"
"อืม วันนี้น่าจะกลับดึก "
ผมพยักหน้ารับเล็กน้อย ก่อนคนตัวสูงตรงหน้าจะใช้กุญแจปลดล็อคมินิคูเปอร์คันสวย พร้อมกับยัดอุปกรณ์ทำโครงงานทั้งหลายแหล่ลงที่เบาะด้านหลัง
ว่าแต่วันนี้จะได้นั่งมินิแล้ว ดีจัง...เกิดมาเพิ่งเคยได้นั่งรถแพงขนาดนี้
"ทำหน้าอะไรอย่างนั้น"
"ก็คนมันดีใจนี่นา ตื่นเต้นด้วย" ผมตอบพร้อมกับส่งยิ้มแหยะๆไปให้กับคนตรงหน้า
"ตื่นเต้นเสร็จแล้วก็ขึ้นมา"
ไม่รอช้า ผมรีบตรงดิ่งไปเปิดประตูอีกฝั่งนึงทันที เบาะนุ่ม ๆ กับแอร์เย็น ๆ นั่นชวนให้ตื่นตาตื่นใจเป็นไหน ๆ การมีรถแพง ๆ มันก็ดีอย่างนี้นี่เองเนอะ
รถยนต์สีดำสนิทออกวิ่งมาตามเส้นทางที่แสนคุ้นเคย ผมลองสังเกตดู ในรถพี่ภูมิไม่มีของตกแต่งอย่างอื่นเลยสักชิ้นนอกจากเฟอร์นิเจอร์ที่แถมมากับรถ แม้แต่ตุ๊กตาสักตัวก็ยังไม่มี
ชีวิตช่างปราศจากความมุ้งมิ้งอะไรเช่นนี้
Errrrr
แรงสั่นสะเทือนของอะไรบางอย่าง ผละให้ผมต้องละสายตาจากการสำรวจภายในมินิคูเปอร์คันงามของอีกคน ไปเป็นเจ้าตัวปัญหาที่กำลังกรีดร้องจากกระเป๋ากางเกงเพื่อมากดรับสาย
"ฮัลโหล"
ไม่ใช่ใครที่ไหน เพื่อนคนแรกและคนเดียวของผมนั่นเอง
'ไปเรียนยังอะ'
"กำลังไปไป อยู่บนรถพี่ชาย" ผมพูดพร้อมหันไปมองบุคคลที่กำลังทำหน้านิ่งอยู่ข้าง ๆ
'วันนี้ไม่ได้ไปนะ มาธุระ'
ทันทีที่ได้ฟังคำของเพื่อน ก็แทบอยากจะร้องไห้ออกมาตรงนั้น ไม่มีไนซ์แล้วผมจะอยู่ยังไงล่ะเนี่ย เครียดเลย
'แต่ฝากสมุดบัญชีที่ยืมไปอ่านไว้กับพี่ชายแล้วนะ'
"จริง ๆ เจอกันเมื่อไรค่อยให้เราก็ได้นะไนซ์"
'เฮ้ย ไม่ได้ เผื่อต้องใช้ไง เราบอกพี่มันไว้แล้วอะว่าเดี๋ยวเพื่อนจะเข้าไปเอา'
เมื่อเห็นว่าการปฏิเสธไม่เป็นผล ผมจึงได้แต่ปล่อยเลยตามเลย "แล้วจะให้เราไปเอาที่ไหน"
'ตึกคอมฯนั่นแหละ มันเรียนคาบเช้าอยู่ที่ห้องหนึ่งสองศูนย์สองทั้งคาบอะ'
"อืม ๆ เดี๋ยวเราไป มีอะไรเดี๋ยวโทรหานะ"
เพื่อนปลายสายขานรับก่อนที่ผมจะกดตัดสายไป เป็นเวลาเดียวกับที่มินิคูเปอร์คันงามเคลื่อนตัวมาถึงวิทยาลัยที่แสนคุ้นเคย
"วันนี้กลับดึกแค่ไหนเหรอครับ?" ผมเอ่ยถาม เมื่อนึกขึ้นได้ว่าเมื่อเช้า พี่ชายตัวสูงหอบงานมาทำพร้อมกับบอกว่าวันนี้น่าจะเลิกดึก
"งานเสร็จมั้ง" คำตอบนั้นก็ทำให้ผมพยักหน้ารับอีกครั้ง ก่อนจะเอื้อมมือไปคว้าเอาถุงข้าวกล่องของตัวเองจากทางเบาะหลังมาถือไว้
"งั้นให้ผมกลับเอง..."
"เลิกก็โทรมา เดี๋ยวมารับ" พี่ชายตัวสูงเอ่ยขึ้นก่อนที่ผมจะพูดจบ เล่นเอาคำพูดที่เตรียมไว้ในคอ ถูกกลืนหายไปหมด
"แต่ว่าพี่มีงาน"
"กลับเป็นเหรอ?"
ได้ยินแบบนั้นก็ต้องส่ายหัวเล็กน้อย จะให้กลับเป็นได้ยังไง ตั้งแต่มาก็มีใครอีกคนคอยรับคอยส่งตลอด กะจะหาออกเที่ยวอยู่ แต่เพื่อนที่มีคนเดียวดันเป็นไนซ์ บุคคลที่ไม่ชอบที่แออัดเสียงดังเป็นที่สุดอีก
"ผมกลับแท็กซี่ได้นะ"
"รวยมากมั้ง" พี่ภูมิเอื้อมมือมาผลักหัวผมเบา ๆ หนึ่งที ก่อนจะเตรียมตัวออกสตาร์ทเครื่องยนต์อีกครั้ง "เลิกแล้วโทรมา โอเคไหม"
พูดขนาดนั้นจะปฏิเสธอะไรได้อีก พยักหน้ารับเบา ๆ พร้อมกับก้าวขาลงจากรถ ก่อนมินิคูเปอร์สีดำสนิทจะเคลื่อนตัวหายไปจากตรงนี้
เอาล่ะทีนี้ก็ตึกคอมพิวเตอร์...มาเจอกันสักตั้งหน่อยเป็นไง
สูดหายใจเข้าจนเต็มปอด เพราะตอนนี้กำลังมายืนอยู่ด้านหน้าตึกสีน้ำเงินเข้มแล้ว แหล่งรวมคนสายโปรแกรมไว้เพียบ จะก้าวเข้าไปด้วยขาข้างซ้ายก็แล้วกันนะ ถือคติขวาร้ายซ้ายดี รีบไปหาให้เจอ รีบกลับออกมา
สองเท้าก้าวผ่านทีละห้องมาเรื่อย ๆ ซึ่งขนาดของห้องแต่ละห้องนั้นไม่ได้เล็กเลย เนื่องจากตอนนี้เพิ่งจะแปดโมงสิบห้า คาบแรกที่จะเริ่มเรียนก็ตั้งแปดโมงครึ่ง เลตเวลาให้กับคนมาสายหน่อยก็อาจจะเก้าโมง ตึกทั้งตึกมันเลยดูเงียบกริบจนน่ากลัว
ผมเดินเล่นมาช้า ๆ ก่อนที่หูจะไปสะดุดเข้ากับบางสิ่งที่ดังแว่วออกมาจากห้องตรงหน้า เมื่อหยุดเงยหน้าขึ้นดูก็พบว่าเป็นห้องหนึ่งสองศูนย์สอง
เจอแล้ว!
"ถ้ามันต้องพยายามมากนักก็เลิกกันไปเถอะ"
เสียงที่ดังแว่วออกมาจากในห้องปลุกผมให้ตื่นขึ้นจากความคิดของตัวเอง เนื่องจากว่าเดินมาอยู่ใกล้มาก จึงทำให้ได้ยินคำพูดจากข้างในได้อย่างชัดแจ๋ว
เดี๋ยว ก่อนจะคิดว่าผมเป็นคนขี้สอดรู้สอดเห็นเรื่องชาวบ้าน ให้เรียกว่านี่เป็นการดูเชิงดีกว่าครับ เพราะจากที่ฟังน้ำเสียงแล้ว มันคล้าย ๆ กับคนร้องไห้ ถ้าเกิดอะไรขึ้นมาผมจะช่วยได้ทันไง เป็นคนดีนะเนี่ย
"คนเราถ้าคบกันด้วยใจทุกอย่างมันไม่มีคำว่าพยายามหรอกเสือ"
พยายามยืนนิ่งพิงกับผนังห้องด้านหน้า พอจะรู้ว่ากำลังมีคนทะเลาะกันอยู่ข้างใน น่าจะเป็นแฟนกัน
"พ่อแม่ฟางก็ไม่ชอบเราอยู่แล้วนี่ เรามันเด็กช่างนี่นะ"
"มันไม่เกี่ยวกันเลยเสือ เสือไม่เคยสนใจเราเลย วันๆอยู่แต่กับร้านซ่อมบ้าบอนั่น วันหยุดไม่เคยมาหา ชวนไปไหนก็ไม่ค่อยอยากไป มันเหมือนเสือพยายามจะคบกับเรามากกว่าใช้ใจคบจริงๆ"
บทสนทนาเริ่มรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ จนผมเองเริ่มจะสงสารทั้งสองคนนั้น ถ้าเป็นคนรู้จักก็คงจะบอกว่าค่อยๆคุยกันดี ๆ แต่นี่ไม่รู้จักไง แถมมาถือวิสาสะฟังด้วย อยู่เงียบ ๆ ต่อไปนะข้าว
"อืม เอาที่ฟางว่าดีอะ ร้านซ่อมเราทิ้งไม่ได้หรอก ถ้าฟางว่าไม่ไหวก็ไป แค่นั้น"
เสียงสนทนาจากในห้องเงียบหายไป ผมได้ยินแต่เสียงสะอื้นที่ดังออกมาอย่างหอบเหนื่อย สักพักก็มีร่างของผู้หญิงคนนึงวิ่งออกมาจากในห้องพร้อมกับใช้สองมือปาดน้ำตา และวิ่งพรวดออปไปอีกทาง
ตอนนั้นเองที่เผลอถอนหายใจอย่างโล่งอก ขอบคุณใครคนนั้นไม่เลือกจะวิ่งมาทางนี้ ไม่งั้นต้องเห็นผมเข้าแน่ ๆ เป็นผลพวงมาจากการก้าวเท้าซ้ายเห็น ๆ
"ทำอะไร"
!!!
งานเข้าแล้วข้าว...
ค่อย ๆ หันไปมองต้นทางของเสียงอย่างเก้ ๆ กัง ๆ ก่อนจะพบเข้ากับผู้ชายตัวสูง ผิวเข้ม กำลังยืนมองมาทางผมด้วยสายตาที่พร้อมฆ่ามาก
ตายแน่ ๆ ...
เลือกที่จะส่งยิ้มเจื่อน ๆ ไปให้คนตรงหน้า ก่อนจะรีบหมุนตัวเตรียมพร้อมจะวิ่งออกไปจากตรงนั้นแต่ก็ไม่สำเร็จ เมื่อสัมผัสได้ถึงแรงขยุ้มเข้าที่คอเสื้อด้านหลัง ก่อนที่ร่างทั้งร่างของผมจะต้องหยุดชะงักอยู่ตรงนั้นเพราะหนีไปไหนไม่ได้
"ถามว่าทำอะไร"
เขาใช้สองมือหมุนตัวผมให้กลับมายืนเผชิญหน้าก่อนจะส่งสายตาดุ ๆ มาให้อีกครั้ง
"เอ่อ...ผมจะไป...ไป..."
ไปไหนดีล่ะทีนี้ ก็จะมาห้องหนึ่งสองศูนย์สอง แต่ตอนนี้ห้องนั้นอยู่ตรงหน้าแล้วนี่ไง
"ไปไหน?"
"อ๋อ ปะ...ไปห้องน้ำครับ! ไปก่อนนะ!"
จะรอดแล้ว!
แค่เกือบน่ะนะ...เพราะคน ๆ นั้นเอื้อมมาล็อกคอผมเอาไว้จนขยับไปไหนไม่ได้ ดิ้นยังไงก็ไม่หลุดแถมยังหายใจไม่ออกอีก
ไอ้ข้าวตายแน่ ๆ เลยแม่จ๋า
"ห้องน้ำชั้นนี้อยู่ทางนู้น ไม่เนียนนะไอ้หนู" คนตรงหน้าพูดพร้อมกับชี้ไปยังฝั่งตรงข้ามกับทางที่ผมกำลังจะเดินไปเมื่อกี้ ขอล้มเลิกทฤษฎีเท้าซ้ายแล้วนะ มันไม่ได้ผลแล้ว
"ก...ก็ผมไม่รู้นี่ครับ ผมเรียนบัญชี ไม่ได้เรียนคอมฯ"
แรงตบป้าบเข้าที่หัวทำเอาผมสะดุ้งเล็กน้อย ก่อนจะยกมือขึ้นมาลูบหัวตัวเองผล็อยๆด้วยความเจ็บ
ไม่เคยมีใครกล้าตบหัวผมเลยนะ !
"แล้วสะเออะขึ้นมาทำอะไร มาแอบดูโปรเจครับน้องเหรอ?"
"เปล่านะ ! ผมมาเอาสมุดบัญชีจากพี่ชายเพื่อนต่างหาก แล้วบังเอิญเดินผ่านมาได้ยิน..."
"เลยแอบฟัง?"
ถามตรง ๆ แบบนี้ผมก็ไปไม่เป็นน่ะสิ...ก็มันเป็นความจริงทั้งนั้น
"เอ่อผม..."
"ช่างเถอะ ยังไงก็เลิกไปแล้ว"
งงนิดหน่อย เพราะคนตรงหน้าที่ดูจะโกรธผมมากๆในตอนแรก อยู่ดี ๆ ก็เปลี่ยนเรื่องไปกะทันหันจนไม่ทันได้ตั้งรับ แต่สิ่งที่ทำให้ไม่รู้สึกปลอดภัยเอามาก ๆ ก็คือ เขาลากสายตาลงมาจ้องที่ถุงข้าวกล่องในมือผมราวกับเสือผู้หิวโหย
อย่ามายุ่งกับมื้อเช้าของผมเชียวนะ !
เมื่อเห็นว่าเขาจ้องมาแปลก ๆ ผมที่สัมผัสได้ถึงความไม่ปลอดภัยของข้าวผัดไข่ม้วนที่อยู่ในกล่อง ก็รีบเอาถุงไปซ่อนไว้ข้างหลังทันที
"หวงเหรอ?"
คนตรงหน้าพูดพร้อมเอื้อมมือมาฉุดกระชากลากถูถุงในมือผมอย่างจริงจัง ส่วนตัวผมเองก็ไม่ยอมหรอก จะเสียมื้อเช้าให้คนอื่นไม่ได้ เพราะมันออกไปซื้อใหม่ไม่ทันแล้วนะ !
"ถ้าไม่ยอมให้ กูก็จะไม่ยอมลืมว่ามึงมาแอบฟังกูคุยกับแฟน"
คำนั้นเล่นเอาผมชะงักค้างไปเลย เหมือนโดนจี้ใจดำไปหนึ่งที ก็มาแอบฟังเขาจริง ๆ นี่นะ
"ว่าไง จะให้ไม่ให้"
เอายังไงดี มื้อเช้าหนึ่งมื้อแลกกับการชดใช้ความผิดของตัวเอง
"แต่ต้องแบ่งกันนะ"
ยอมก็ได้...
"นั่นก็เรื่องของกู ส่วนเรื่องของมึงคือตามกูมา"
ไม่รอให้ผมได้ตอบอะไรทั้งนั้น ชายตรงหน้าหันหลังเดินไปที่ไหนสักที่ ผมจึงรีบวิ่งตามกล่องข้าวมื้อเช้าฝีมือตัวเองออกไปทันที
จะไม่ยอมให้อะไรมาพรากเราไปเด็ดขาด !
ผ่านไปไม่นาน คน ๆ นั้นพาผมเดินมานั่งตรงม้าหินอ่อนข้างๆตึกสาขาคอมพิวเตอร์ พร้อมกับเปิดกล่องข้าวผัดขึ้น โดยมีเจ้าของมันที่นั่งมองอยู่ตรงนี้ตาละห้อย
"จะกินแล้วนะ "
ยัง...ยังจะมาซ้ำเติมกันอีก ใจต้นข้าวจะขาดอยู่รอนรอน...
"มึงชื่ออะไร"
คนผิวเข้มละความสนใจจากกล่องข้าวตรงหน้าก่อนจะหันมาถามผม "ต้นข้าว"
"ชื่ออย่างตุ๊ด"
ตอนนั้นเองที่ผมเริ่มรู้สึกร้อนที่หัว อยากจะเข้าไปกระชากกล่องข้าวกลับมาแล้ววิ่งออกไปจากตรงนี้เต็มทน แต่ก็ทำไม่ได้
"อยู่ปีไหน?"
"ปีหนึ่งครับ"
"เหรอ หน้าอย่างกับเด็กปอหก"
"แล้วแต่จะพูดเถอะครับ" ผมพูดออกไปอย่างนั้นเพราะคิดว่ายังไงเราก็คงจะไม่มีทางได้เจอกันอีกแน่นอน ต้องไม่เจออีกแน่ ๆ ไม่มีทางที่จะได้เจอแน่นอน
"แล้วคุณล่ะอยู่ปีไหน?"
"ปีสอง"
"เหรอครับ เห็นหน้าก็นึกว่าเป็นอาจารย์แล้ว"
แต่ถึงอย่างนั้นก็ขอเอาคืนหน่อยเถอะ คน ๆ นั้นวางช้อนในมือลงพร้อมกับมองมาที่ผมด้วยแววตานิ่ง ๆ ใจกลัวมันก็กลัว เผลอกำมือแน่นแล้วเนี่ย แต่อีกใจก็อยากจะเอาคืนบ้าง คนแบบนี้ปล่อยไว้ยิ่งได้ใจ
"ฝากไว้ก่อนเถอะมึง แล้วนี่ไม่ไปเอาสมุดแล้วเหรอ? "
!!!
ใช่ ผมลืมไปเลย ป่านนี้พี่ชายไนซ์รอแย่แล้ว นึกขึ้นมาได้ก็เลยหันไปมองคนตรงหน้าตาขวาง ก่อนจะรีบคว้าเอากล่องข้าวมาถือไว้ในมืออย่างรวดเร็ว
"หมดเวลาของพี่แล้วครับ ผมถือว่าแบ่งแล้วนะ เพราะฉะนั้นช่วยลืมมันไปด้วย ขอตัวก่อนครับ"
พูดเท่านั้นก่อนจะหันหลังให้คนผิวเข้ม พร้อมกับรีบวิ่งกลับขึ้นไปยังชั้นสองของตึกคอมพิวเตอร์อีกรอบ ข้าวเช้าก็ไม่ได้กินแถมยังโดนแย่งอีก วันนี้จะมีอะไรซวยไปกว่านี้อีกไหมเนี่ย !
เวลาล่วงเลยมาจนเหลือสิบนาทีสุดท้ายของคาบในวันนี้ ผมรีบเก็บหนังสือใส่กระเป๋าพร้อมกับกดเบอร์เพื่อโทรหาอีกคนที่บอกว่าเลิกแล้วจะมารับ
วันวุ่นวายอีกหนึ่งวันที่ไม่มีไนซ์นั่นก็คือการที่ผมนั่งนิ่งไม่ได้คุยกับใครเลย แม้แต่ตอนกินข้าวเที่ยง หลังจากที่กลับขึ้นไปเอาสมุดจากพี่ชายของเพื่อนแล้วผมก็ไม่มีเวลาได้กินมื้อเช้าที่ไปฉุดกระชากลากถูมาจากใครก็ไม่รู้เลยสักคำ คิดแล้วมันเศร้า
สองเท้าก้าวเดินไปหน้าวิทยาลัยตรงที่มองเห็นมินิคูเปอร์จอดอยู่ตรงนั้น ทันทีที่มาถึงมันผมก็ปีนขึ้นนั่งข้างคนขับทันที
"พี่ได้กินข้าวบ้างไหมครับ?" ผมเอ่ยถามหลังจากเห็นว่าอีกคนมีท่าทางอิดโรย เหนื่อยล้า ประหนึ่งไม่ได้รับสารอาหารอะไรเข้าไปในร่างกายเลย
"กะจะกินที่ทำให้นั่นแหละ แต่ไอ้พีทแย่งไปเกือบครึ่งกล่อง"
คำสารภาพนั้นทำให้ผมหัวเราะออกมานิดๆ หลังจากคนพูดเอ่ยน้ำเสียงออกมาแบบเหนื่อยหน่าย พลางนึกไปถึงเรื่องที่ตัวเองก็โดนแย่งข้าวไปเหมือนกัน แถมยังไม่ใช่เพื่อนด้วยแต่เป็นใครก็ไม่รู้
คนที่ทำให้ต้นข้าวไม่ได้กินมื้อเช้าในวันนี้ .. ฝากไว้ก่อน
"แล้วนี่เราจะไปไหนเหรอครับ"
เนื่องจากเส้นทางที่ไม่คุ้นตา บวกกับถนนเส้นนี้ไม่ใช่ทางที่ใช้สัญจรกลับบ้านในทุกวัน จึงทำให้ผมสงสัยและเอ่ยถาม
"รอสักชั่วโมงก่อนได้ไหม กำลังจะเสร็จแล้ว เหลือเก็บรายละเอียดนิดหน่อย"
พี่ชายตัวสูงหันมาตอบอีกครั้ง ตอนนั้นเองที่เข้าใจว่าที่พี่ภูมิพูดคงจะหมายถึงให้ผมไปรอที่มหาลัยเพราะวันนี้เขาหอบงานมาทำด้วยอย่างนั้นสินะ ดีเลยสิ !
"ได้สิครับ เดี๋ยวผมเล่นอยู่แถวนั้นก็ได้"
จะได้เข้าไปในมหาลัยของกรุงเทพแล้ว !
หลังจากที่พี่เขาพยักหน้ารับเบา ๆ ก่อนรถยนต์จะเคลื่อนตัวลงมาจอดในมหาวิทยาลัยขนาดใหญ่ ที่นี่ใหญ่มาก ๆ จนเบญจอมรดูเล็กลงไปเลย ข้างทางมีตึกคณะมากมายเต็มไปหมด ต่างจากเบญจอมรที่มีแค่ห้าตึก
แหงสินะ ก็สถานศึกษาระดับปริญญานี่เนอะ
"โห ตึกเรียนที่นี่ใหญ่จัง"
พี่ชายคนนั้นไม่ได้สนใจผมที่ยืนอ้าปากเหวออยู่ตรงนี้ เขาแค่จูงแขนผมให้เดินตามไปที่ไหนสักที่ ซึ่งผมก็ทำได้แค่เดินตามร่างสูงๆของใครอีกคนเงียบ ๆ เราเดินขึ้นมายังชั้นที่สามของคณะวิศวะ ทันทีที่ประตูเปิดออก ก็ได้พบเข้ากับ บรรดาเพื่อนสนิทของพี่ภูมิที่เคยเจอกันที่ผับวันนั้น
"อ้าวน้องชายภูมิที่เจอที่ผับนี่นา ไปรับคนนี้มาเองเหรอ "
และพี่สาวที่เจอในผับวันนั้นด้วย...
"เอ่อ...สวัสดีครับ " ผมยกมือขึ้นสวัสดีให้กับผู้ที่อาวุโสกว่า ถ้าจำไม่ผิดตรงนี้น่าจะเป็นเพื่อนพี่เขาหมดเลย พอจะจำชื่อได้ลาง ๆ แต่ก็ไม่ชัวร์เลยไม่กล้าทักขึ้นไป
"ไงครับน้องต้นข้าว หลังจากวันนั้นเป็นไงบ้าง ?" พี่ชายตัวอวบที่ผมจำได้ว่าน่าจะชื่อพี่พีทเอ่ยขึ้น
"อย่าพูดถึงมันเลยครับพี่ ผมนี่ไม่อยากจะจำเลย"
ผมพูดด้วยน้ำเสียงแบบขอไปที ก่อนพี่ๆจะหัวเราะกันออกมายกใหญ่ นึกถึงตอนไหนก็อาย ไม่อยากจะนึกถึงมันอีกเลยจริง ๆ
"เรานี่คออ่อนนะ อย่าเผลอไปดื่มกับกลุ่มอื่นที่ไม่ใช่พวกพี่ล่ะ"
"คงไม่ดื่มอีกแล้วล่ะครับ ตอนเมาหายใจไม่ออกเหมือนจะตายเลย"
"ฮ่า ๆ ใช่แล้ว คนน่ารักแบบน้องไม่เหมาะกับที่แบบนั้นหรอก"
พี่ชายคนนั้นเอื้อมมือมายีหัวผมเล่น ตอนนั้นเองที่ใครบางคนเดินตรงมาทางนี้ ก่อนจะจับมือพี่เขาออกไปแล้วพูดด้วยน้ำเสียงดุ ๆ
"ทำงาน รีบกลับบ้าน ง่วงนอน"
พวกพี่ ๆ เขาผละออกไปแล้ว พี่ภูมิยื่นมือถือมาไว้กับผมก่อนจะเดินไปรวมกับเพื่อน หลังจากนั้นก็เริ่มพูดคุยกันด้วยภาษาทางวิศวะที่ผมไม่อาจจะฟังเข้าใจด้วยได้
หันไปมองพี่สาวอีกคนนั่งสวย ๆ กดมือเล่นอยู่ตรงมุมนั้น ผมจึงเดินเข้าไปบ้าง ก่อนจะหย่อนตัวลงนั่งพร้อมกับหยิบมือถือเครื่องเล็กขึ้นมากดเข้าเกมส์สุดโปรดเพื่อเล่นไปพลาง ๆ ระหว่างรอคนตัวโตทำงาน
เวลาล่วงเลยมานานแค่ไหนแล้วไม่รู้ เพราะเมื่อหลุดเข้าไปโลกของเกมส์แล้วผมก็ไม่ได้สนใจสิ่งต่างๆภายนอกเลย เงยหน้าขึ้นมาอีกทีก็พบว่าพี่สาวคนนั้นไม่ได้อยู่ตรงนี้แล้ว แถมท้องฟ้าด้านนอกยังกลายเป็นสีดำสนิท
"ไป กลับบ้าน" มือของใครบางคนสะกิดที่หัวยิก ๆ เมื่อเงยหน้าขึ้นไปดูก็พบว่าเป็นเพื่อนของพี่ชายนั่นเอง
"เสร็จแล้วเหรอครับ?"
"อืม"
ได้ยินอย่างนั้นจึงเก็งมือถือทั้งสองเครื่องลงในกระเป๋าเป้ ก่อนจะยันตัวเองให้ลุกขึ้นไแยืนอยู่ข้าง ๆ พี่เขา
"วันนี้กินไรดี.."
"ภูมิคะ มันดึกแล้ว ลลิลขอติดรถไปลงที่คอนโดด้วยคนนะคะ"
ยังไม่ทันได้เอ่ยตอบคำถามของพี่ชายตัวสูง พี่สาวที่ชื่อลลิลก็เดินเข้ามาควงแขนคนตรงหน้าพร้อมกับเกยคางไว้ที่ไหล่กว้าง ซึ่งนั่นก็ทำให้ผมต้องยืนเคว้งก่อนจะส่งยิ้มเจื่อน ๆ ไปให้ทั้งสองคน
"ได้ครับ งั้นไปกันเถอะ"
พี่ชายกับพี่สาวเดินนำออกไปแล้ว มีแค่ผมที่ยืนอยู่ตรงนี้ มองดูแผ่นหลังทั้งสองค่อย ๆ ไกลออกไป ถึงจะบอกว่าไม่ได้เป็นแฟนกันยังไง การกระทำที่แสดงออกมามันก็ชัดกว่าอยู่ดี
ทำไมโหวงแบบนี้ล่ะ...เป็นอะไรไปเนี่ยข้าว
"ไปครับน้องต้นข้าว กลับบ้านกัน" พี่บาสเพื่อนสนิทของพี่ภูมิเดินมาคว้าที่ไหล่ผมเบา ๆ ก่อนที่เราจะเดินตามร่างทั้งสองนั่นไป
"สวยอะดิ นั่นน่ะอดีตดาวคณะเลยนะ"
คำพูดที่พูดขึ้นมากลางอากาศทำให้ผมเลิกคิ้วเล็กน้อย ผมไม่เข้าใจว่าพี่ชายตรงหน้าจะสื่อถึงอะไร แต่คงจะกำลังพูดถึงหญิงสาวที่เพิ่งเดินควงแขนพี่ภูมิออกไปข้างนอกเมื่อสักครู่นี้ล่ะมั้ง
"ดาวคณะเลยเหรอครับ?"
ก็สวยขนาดนั้นนี่เนอะ
"ใช่ บอกใครว่าสองคนนั้นเป็นแฟนกัน เขาก็เชื่อกันหมด"
"แต่พี่ภูมิบอกผมว่าไม่ใช่แฟนนี่ครับ"
"ก็ไม่ใช่จริง ๆ นั่นแหละ แต่ไอ้ภูมิแม่งเป็นพวกขี้เกรงใจ ไม่ชอบปฏิเสธคน เขาให้ไปส่งบ้านก็ไป เขาโทรให้ไปรับก็ไป"
อย่างนี้นี่เอง ก็ไม่แปลกใจเลยเพราะว่าที่พี่บาสพูดมาน่ะจริงทั้งหมด คน ๆ นั้นน่ะเป็นจำพวกนั้นจริง ๆ ไม่อย่างนั้นก็คงจะไม่ยอมให้ผมมาอยู่บ้านด้วยหรอก
"แต่ไม่แน่นะ พอมันมีแฟนจริง ๆ มันก็อาจจะเลิกทำแบบนี้"
มีแฟนจริง ๆ งั้นเหรอ คงจะยากกว่ารอให้ถั่วงอกโตบนโอเอซิส คน ๆ นั้นสนใจโลกซะที่ไหนกัน ยังนึกภาพตอนจีบสาวไม่ออกเลย
"ว่าแต่ พี่ภูมิเขาชอบคนแบบไหนเหรอครับ?"
นึกสงสัยขึ้นมาก็เลยเอ่ยถาม ในขณะที่พาร่างตัวเองมาหยุดอยู่ตรงหน้ามินิคูเปอร์คันงาม ที่ตอนนี้ใครบางคนกำลังเดินอ้อมไปเปิดประตูให้กับพี่สาวคนสวย
"พี่ไม่รู้หรอก ไม่เคยเห็นมันคบใคร รู้แค่..."
"..."
"มันน่ะ ไม่ชอบความหวานทุกชนิด ไม่ว่าจะเป็นขนมหวานๆ หรือแม้แต่คนหวาน ๆ"
พี่บาสพูดเท่านั้นก่อนจะหันไปเอ่ยลาเพื่อนสนิทแล้วเดินจากไป ทิ้งไว้แค่ผม ที่จมอยู่กับคำพูดพวกนั้นแต่เพียงลำพัง
ทุกสิ่งที่พี่เขาไม่ชอบ ..
คือทุกสิ่งที่เป็นผมเลยนี่นา ..
TBC.
#ไม่ชอบหวาน
-Lafinz-
ข้อความที่โพสจะต้องไม่น้อยกว่า {{min_t_comment}} ตัวอักษรและไม่เกิน {{max_t_comment}} ตัวอักษร
กรอกชื่อด้วยนะ
_________
กรอกข้อมูลในช่องต่อไปนี้ไม่ครบ
หรือข้อมูลผิดพลาดครับ :
_____________________________
ช่วยกรอกอีกครั้งนะครับ
กรุณากรอกรหัสความปลอดภัย
(พร้อมบวกแทนลูก555)
ทุกสิ่งที่พี่เขาไม่ชอบ คือทุกสิ่งที่เป็นผมหมดเลยนี่นา
เจ๋บปวดดดด
คนไม่อาบน้ำ