ตอนที่ 23 : ไม่ชอบหวาน : 21 (Rewrite)
ไม่ชอบหวาน
ตอนที่21
“เอานมเย็นแก้วนึงครับป้า”
“จ้า รอเดี๋ยวนะลูก”
ผมยืนรอน้ำสีชมพูของตัวเองอยู่หน้าร้านรถเข็นหน้าวิทยาลัย นี่ก็เป็นเวลาเจ็ดวันแล้ว…ใช่ ไม่ผิดหรอก เจ็ดวันจริง ๆ ตั้งแต่ที่ผมก้าวออกมาจากบ้านหลังสีส้มหลังนั้น เจ็ดวันที่ไม่ได้เจอ เจ็ดวันที่ไม่แม้แต่จะได้ยินเสียง ไม่มีการติดต่อกลับมาจากใครคนนั้น แม้แต่โทรไปเขาก็ไม่รับ ถ้านี่เป็นการทดสอบอะไรบางอย่างผมก็บอกได้เลยนะว่าเขาน่ะใจร้ายมาก
ใจร้ายสุด ๆ…
“ได้แล้วลูก”
“เท่าไหร่ครับ”
“ยี่สิบห้าจ้า”
ธนบัตรใบสีแดงยื่นไปให้ป้าพร้อมกับเงินทอนที่ได้รับกลับมา ไม่คิดเลยว่าจะต้องมาซื้อนมเย็นกินเองแบบนี้ รสชาติมันไม่เหมือนที่ผมทำให้พี่ภูมิกินเลยสักนิด หวานเกินไป… แบบนั้นเลย คงจะเป็นเพราะว่าอยู่กับเขานานจนคุ้นเคยกับรสชาติที่เขาชอบกิน
ไม่ชอบหวาน…
มันเลยกลายเป็นว่าผมกลายเป็นคนกินหวานน้อยไปเลยทั้งที่แต่ก่อนไม่ใช่แบบนี้
สองเท้าก้าวเดินออกมาตามทางเพื่อกลับหอ หลังจากแยกกับไนซ์แล้วรอบตัวผมก็ไม่มีเสียงเจื้อยแจ้วอะไรอีก จะมีก็แค่เสียงเพลงที่เปิดคลอในหูฟังคอยเป็นเพื่อนไม่ให้สมองมันคิดฟุ้งซ่านเกินไป ยกเว้นคิดถึงเขานั่นแหละที่ไม่มีอะไรช่วยได้เลย
ประตูห้องถูกเปิดออกซ้ำแล้วซ้ำเล่า ผมเอาแต่จินตนาการว่าจะมีสักครั้งไหมที่เปิดเข้าไปแล้วจะเป็นห้องนอนของบ้านหลังนั้น ห้องนอนที่ไม่มีอะไรเลยนอกจากมุมหนังสือของผม แต่มีคนข้างห้องเป็นคนที่ผมอยากอยู่กับเขาที่สุด
เป็นอะไรไป…นี่คือชีวิตที่ผมอยากได้ไม่ใช่หรือไง ใช้ชีวิตคนเดียว อยู่หอคนเดียว ทำอะไรเองคนเดียว แล้วทำไมตอนนี้ถึงทำไม่ได้ล่ะ ทำไมถึงกลายเป็นคนขี้เหงาขึ้นมา
ตอนนั้นเองที่เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น ผมละจากหนังสือในเป้มาเป็นเจ้าเครื่องเล็กที่กำลังกรีดร้องก้อง ปลายสายที่โชว์อยู่ตอนนี้มันทำให้ผมรู้สึกดีไม่น้อย ตอนนี้ผมอาจจะต้องการใครสักคนจริง ๆ
“ครับม้า”
[เป็นไงบ้างตัวดี ที่อยู่ใหม่โอเคไหมลูก]
“โอเคเลยครับ”
ไม่จริงเลย
“ข้าวชอบมาก”
ไม่จริงสักอย่าง…
[เดี๋ยวพี่ชายเราก็กลับแล้ว รออีกเดี๋ยวนะครับ]
เสียงของหม่าม้ายังคงดังก้องอยู่ในนี้ ผมพาตัวเองออกมายืนนอกระเบียงห้อง ทอดมองออกไปยังตึกราบ้านช่องที่สูงใหญ่ เป็นครั้งแรกที่ได้รู้ว่ามหานครมันกว้างใหญ่เพียงใด อยู่ใกล้กันแค่นี้แต่ก็ยังหากันไม่เจอ
[กินข้าวหรือยังครับ ม้าบอกพี่อาทิตย์ให้เอาลูกชุบลงไปฝากเราด้วยนะ ม้าทำไว้เยอะเลย]
มันเป็นตอนนั้นที่น้ำตามันไหลออกมา ผมพยายามควบคุมเสียงสะอื้นไม่ให้หลุดออกไปให้คนในสายได้ยิน มันเป็นความเหงาที่ตีขึ้นมาจากส่วนลึกของหัวใจ แค่ได้ยินเสียงของแม่ก็พลันจะพังทลายลงตรงนี้
“ข้าวกินแล้วครับ ขอลูกชุบเยอะ ๆ นะครับม้า”
นี่สินะ ที่บอกว่าคนเรามักจะโตขึ้นจากความเจ็บปวด ผมยังคงปล่อยน้ำตาให้ไหลริน ยกมือขึ้นมาปิดบังเสียงที่ไม่ควรให้หม่าม้ารับรู้ ลมหนาวยังคงทำหน้าที่ของมันได้ดีในตอนนี้ เย็นยะเยือกลงไปจนถึงขั้วหัวใจจนเจียนตาย
[ครับผม เอ้อ หมาไอ้มุ่ยที่ลูกเลี้ยงเอาไว้มันออกลูกห้าตัวแน่ะ สีขาวสองตัวสีน้ำตาลสามตัว]
แรงสะอื้นโยกตัวผมขึ้นลงอย่างสั่นสะท้าน ไม่เคยคิดเลยว่าความเหงาจะตัวเท่าโลกขนาดนี้และมีอิทธิพลเหลือเกิน ผมมองเห็นผู้คนมากมายที่กำลังเดินผ่านไป แต่กลับไม่รู้สึกว่ามีใครราวกับทั้งโลกเหลือเราแค่คนเดียว
บางทีชีวิตก็เป็นเหมือนการเล่นเกมส์
ผ่านด่านนี้ไปได้ ด่านต่อไปอาจพบตัวบอส
เพียงแต่ชีวิตไม่มีการตายแล้วเกิดใหม่ ตายแล้วเติมเลือด ทุกอย่างเกิดขึ้นได้ครั้งเดียว การผิดหวัง การสมหวัง การล้มเหลว การพบจุดหมาย
ไม่มีแม็พในการเดินเกมส์ใด ๆ ไม่มีตัวช่วยเลย…
ผมใช้ชีวิตซ้ำ ๆ ตื่นขึ้น หลับลง ก้าวเดิน หยุดนิ่ง ทุกสิ่งเกิดขึ้นเป็นวัฏจักรเพราะจักรวาลอันคือหัวใจของผมมันได้หายไปแล้ว
ผมถอนหายใจอีกครั้งและอีกครั้ง เฝ้าคิดว่าตอนนี้คนที่อยู่ทางนั้นจะทำแบบนี้เหมือนกันบ้างไหม เขาจะมองไปแล้วเจอผมอยู่ในความทรงจำรึเปล่า หนึ่งเดือนแล้วนะ หนึ่งเดือนแล้วที่ไม่ได้เจอกัน แต่ผมไม่เคยคิดถึงเขาน้อยลงเลย
“เป็นอะไรไอ้หนู”
เสียงแหบพร่าเอ่ยขึ้นที่ข้างหู ผมใช้สองมือปาดน้ำตาแล้วหันกลับไปมองเขา ความเหงามันทำให้ผมอ่อนแอจนมองใครก็อยากให้กลายเป็นเขาไปหมด
“พี่เสือ”
แต่มันก็ไม่มีทางเป็นไปได้…
“อือ กูเอง”
เขาหย่อนตัวลงนั่งข้าง ๆ มองผมที่กำลังยกมือขึ้นกอดเข่า สายตาคู่นั้นมันก็ยังเหมือนเดิม แต่สิ่งที่ไม่มีเหมือนเดิมมันก็ยังเป็นเขา เขาที่ดูดีขึ้นจนแปลกตาไปหมด
“มองกูนาน เพราะกูหล่อขึ้นใช่ปะ”
“ความจริงก็ใช่…พี่ไปทำอะไรมาครับ?” ผมถามเขาพร้อมกับทำตาโต มันเป็นความจริงที่เขาดูดีขึ้น ขอบตาก็ไม่ดำคล้ำ ผมรุงรังนั้นก็หายไป
“กูไปศัลยกรรมมา”
“ถามจริงนะ?”
“ฮ่า ๆ นี่มึงเชื่อกูจริงจัง?” เขาเอื้อมมือมาผลักหัวผมหนึ่งที จะว่าไปมันก็ไม่ใช่ว่าเชื่อ ศัลยกรรมมันคงจะเปลี่ยนไปมากกว่านี้ แต่นี่เขายังคงมีเค้าโครงเดิมอยู่โข
“กูศัลยกรรมแบบไม่ใช้มีด”
“ยังไงครับ?”
“ใช้ความผิดหวังศัลยกรรมตัวเองไง”
ความผิดหวังศัลยกรรมตัวเอง…
มันฟังดูเป็นประโยคที่ดูเข้าใจง่ายแต่ก็ไม่เข้าใจ
“พอได้ลองมองอะไรนาน ๆ ขึ้นมันก็จริงอย่างที่มึงบอก”
“…”
“ฟางทิ้งกูเพราะตัวกู มึงไม่ยอมคบกับกูเพราะตัวกู กูก็เลยไปคิดว่ามีอะไรในตัวกูที่ไม่ดีบ้างนะ จากนั้นก็ศัลยกรรมมันทิ้งไป”
คนที่พอจะฟังเข้าใจก็เริ่มพยักหน้าหงึกหงัก อยู่ดี ๆ ก็กลายเป็นคนรู้จักพูดจาขึ้นมาเสียอย่างนั้นเลยแฮะ นี่พี่เขาตั้งใจจะเปลี่ยนตัวเองจริง ๆ เหรอเนี่ย
“มึงต้องเสียดายและเสียใจที่ปฏิเสธกูวันนั้นแน่นอนเด็ก”
เพราะได้ฟังคำพูดน่าหมั่นไส้จากเขาก็เลยเบ้ปากใส่อีกคนไม่ยั้ง “ครับ ๆ ไว้วันไหนเสียดายขึ้นมาแล้วจะบอกนะ”
ได้โอกาสเอาคืนบ้างก็เลยแกล้งแหย่เขา ความจริงแล้วต่อให้เขาจะเปลี่ยนไปแค่ไหน คนไม่ใช่ยังไงมันก็ไม่ใช่อยู่แล้ว เหมือนในโลกนี้ที่มีคนเพียบพร้อมกว่าพี่ภูมิตั้งเยอะแต่ผมก็ยังชอบเขา เพราะว่าเป็นเขาต่อให้ไม่ต้องทำอะไรก็ยังเป็นเขาอยู่ดี
“แล้วนี่มานั่งทำอะไร ไม่กลับบ้านเหรอ”
ความเงียบเข้าปกคลุมอีกครั้งหลังจากจบคำถามนั้น ไม่ใช่ไม่รู้ว่า ‘บ้าน’ ในที่นั้นของเขาก็คือบ้านหลังนั้น บ้านหลังสีส้มที่มีเจ้าของบ้านเป็นคนหน้านิ่ง ๆ แต่มันก็ไม่ใช่บ้านผมนี่นา มันเป็นบ้านของพี่ภูมิเขาต่างหาก
“ผมย้ายมาอยู่หอใกล้ ๆ นี่แล้วครับ” ตัดสินใจบอกเขาไปแบบนี้ พี่เสือดูจะแปลกใจเล็กน้อยแต่เขาก็ไม่ได้ถามอะไรออกมา ซึ่งนั่นมันก็ดีแล้วล่ะ ดีกว่าการที่เขาต้องมานั่งฟังคนหัวใจพัง ๆ คนนึงร้องไห้ “เดี๋ยวต้องกลับแล้วนะครับ”
“งั้นเดี๋ยวกูเดินไปเป็นเพื่อน”
ผมยืนคิดสักพักก่อนจะพยักหน้ารับ สองชีวิตเดินมาด้วยกันโดยไม่มีบทสนทนาใด ๆ เกิดขึ้น ปล่อยความเงียบให้ทำงานของมันไป จนรู้สึกได้ถึงแรงสะกิดที่ไหล่ซ้ายมันเลยทำให้ผมต้องหันกลับไปมอง
“กูให้”
สายไหมสีฟ้าถูกยื่นมาตรงหน้า ไม่รู้ว่าพี่เขาแอบไปซื้อตั้งแต่ตอนไหน ผมคงจะมัวแต่ตั้งหน้าตั้งตาเดินจนไม่สนใจอะไรเกินไปล่ะมั้งถึงไม่รู้เลย “ขอบคุณครับ”
มันเป็นตอนที่ผมกำลังเอื้อมมือไปรับสายไหมมาจากพี่ชายคนนั้น สายตาก็ดันไปสะดุดอยู่ที่ผู้ชายคนนึงที่ยืนอยู่ข้างหลังเขา ดวงตาเรียว ๆ กับโครงหน้าแบบนั้น มีแค่คนเดียวและเป็นคนที่ผมรู้จักเขาดี…พี่ภูมิ
บ้าน่า…
ผมพยายามมองเพ่งไปตรงนั้น ตรงที่มีผู้คนพลุกพล่านเพราะเป็นบริเวณตลาด คน ๆ นั้นไม่ได้ยืนอยู่แล้วหรืออาจจะไม่เคยยืนอยู่เลย มีแค่ผมที่ตาฝาดไปเอง
นึกถึงเขามากไปเอง
“เป็นอะไรรึเปล่าไอ้หนู?” เสียงเรียกจากคนที่อยู่ที่ยืนอยู่ด้านหน้าทำให้ผมกลับมามีสติอีกครั้ง ก่อนจะส่ายหัวให้เขารู้ว่าไม่ได้เป็นอะไร
“ไม่มีอะไรครับ ขอบคุณที่เดินมาส่งนะ เดี๋ยวผมจะขึ้นห้องแล้ว”
เป็นอีกครั้งที่พี่เสือพยักหน้ารับ ผมหันหลังเดินห่างจากเขา พลันก็คิดไปด้วยว่าผมจะตาฝาดขนาดมองเห็นภาพของพี่ภูมิได้เชียวหรือไง แต่ถ้าเป็นเขาจริง ๆ ทำไมไม่เดินเข้ามาหากัน ทำไมไม่โทรมาหา แต่เวลาหนึ่งเดือนมันก็คงจะมากพอแล้วกับการบอกอะไรหลาย ๆ อย่าง
ผมไม่ได้มีความหมายกับใครขนาดนั้นโดยเฉพาะเขา…
ประตูถูกลงกลอนจนเสร็จสรรพ มันหนาแน่นพอที่ผมจะข่มตาตัวเองให้หลับได้ นึกไปถึงตอนแรกที่พี่ชายบอกว่าจะฝากให้เพื่อนสนิทช่วยดูแลแล้วผมค้านหัวชนฝาก็อดจะขำออกมาไม่ได้ คนที่ปฏิเสธแทบตายแต่มาวันนี้ที่จะไม่ได้อยู่บ้านหลังนั้นแล้วกลับร้องไห้ขี้มูกโป่งราวกับคนละคน…ตลกดี
กลิ่นหอมของสบู่หลังจากอาบน้ำเสร็จมันชวนให้สมองรู้สึกโล่งพิลึก อยู่มาตั้งนานแล้วแต่ผมก็ยังไม่ชินกับที่นี่สักที ได้แต่ข่มตาหลับไปวันๆ เพื่อจะได้ไม่ต้องคิดถึงใครอีกคน ทั้ง ๆ ที่แต่ก่อนจะมีความสุขมากเวลาที่ได้คิดถึงแต่ตอนนี้กลับเจ็บปวด มีเพียงแค่ห้วงนิทราเท่านั้นที่จะพรากความเจ็บปวดให้จางหายไปได้ ถึงแม้จะแค่ชั่วคราวก็ตามที...
“อาบน้ำแล้วออกมากินโจ๊กนะข้าว”
“คร้าบ”
มันเป็นเช้าของวันเสาร์ พลทหารสุดหล่อกลับมาจากเชียงใหม่ได้หลายวันแล้วและวันนี้เขาก็บอกว่าจะพาผมออกไปเที่ยว ผมก็เลยตั้งใจว่าจะอาบน้ำให้หอมฉุยเพื่อใส่ชุดใหม่ที่เขาซื้อมาฝาก
อาทิตย์ได้งานทำที่กรุงเทพฯ มันพอดีเลยกับที่บริษัทอยู่ใกล้ที่พักมาก ๆ จากที่ว่าจะย้ายไปที่อื่นก็เลยไม่ต้องแล้ว มันค่อนข้างจะไวมากเลยที่เหตุการณ์ทุกอย่างเกิดขึ้นใกล้ ๆ กัน พอมีอาทิตย์มาอยู่ด้วยแบบนี้ป๊ากับม้าก็เลยหายห่วงไปได้หลายเปราะ
“วันนี้ไปซื้อตู้เย็นกัน รู้นะว่าอยากทำกับข้าวจะแย่น่ะ”
พอได้ยินพี่ชายพูดแบบนั้น คนที่กำลังใส่เสื้อผ้าอยู่หน้ากระจกก็เลยดีใจจนกระโดดหย็อย ๆ “จริงนะ! งั้นซื้อของสดมาด้วยเลย เย็นนี้จะกินสุกี้!”
“จัดไปสิรออะไร”
“เย้!”
ถึงจะไม่มีครัวแต่ถ้ามีเครื่องครัวก็พอรับได้ คนเคยทำกับข้าวมาให้ซื้อข้าวกินรสมือมันก็เลยแปลก ๆ ถึงจะสะดวกสบายมันก็ไม่ใช่แนวอยู่ดี
พี่ชายที่ผมเริ่มจะงอกยาวขึ้นหายเข้าไปอาบน้ำบ้าง ผมนั่งกินข้าวอยู่คนเดียวเพราะอาทิตย์น่ะกินแค่กาแฟกับขนมปังก็จบแล้วมื้อเช้า หยิบมือถือพี่ชายขึ้นมาเปิดดูนั่นนี่ พอเจอรูปที่ถ่ายหมาไอ้มุ่ยกับลูกก็เลยดูไม่หยุด ไหนจะมีรูปป๊ากับม้ายิ้มแฉ่งเซลฟี่อีก เห็นแล้วก็อดจะยิ้มตามออกมาไม่ได้เลย
ปึก ปึก ปึก!
ตอนนั้นเองที่เสียงเคาะประตูดังขึ้นสามครั้ง ผมนั่งคิ้วขมวดไปแล้วเพราะไม่คิดว่าจะมีคนมา ไนซ์ก็ไม่ใช่แน่ ๆ แล้วใครล่ะที่รู้ที่อยู่ของเราอีกน่ะ?
“อาทิตย์นัดเพื่อนไว้รึเปล่าครับ?” ผมตั้งใจจะตะโกนเข้าไปถามพี่ชายในห้องน้ำ แต่เหมือนเสียงมันจะเบาเกินไปจนเสียงน้ำไหลกระทบพื้นกระเบื้องกลบมันไปจนหมด
สุดท้ายก็เลยต้องลุกขึ้นไปอีกครั้ง ค่อย ๆ แง้มประตูให้เปิดออกช้า ๆ มันเป็นตอนที่สายลมลูกใหญ่หอบเอาความเย็นเข้ามากระทบกับร่างกาย และผู้ชายที่ยืนอยู่ตรงนี้…เป็นคนเดียวกับคนที่เป็นเจ้าของความคิดถึงทั้งหมดของผม
“พี่ภูมิ…”
Tbc
Lafinz
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

468 ความคิดเห็น
-
#446 Baekberry12 (จากตอนที่ 23)วันที่ 8 กันยายน 2563 / 23:54ฮืออออออออออ#4460
-
#421 0984363270 (จากตอนที่ 23)วันที่ 7 กรกฎาคม 2563 / 21:12ฮือออออ#4210
-
#300 NaokiChun (จากตอนที่ 23)วันที่ 8 สิงหาคม 2562 / 06:28มาตามน้องกลับใช่มั้ย???#3000
-
#289 Windysep (จากตอนที่ 23)วันที่ 30 กรกฎาคม 2562 / 09:39พี่ภูมิหายไปเปนเดือนนี่ยังไงงงง#2890
-
#253 26430 (จากตอนที่ 23)วันที่ 23 กรกฎาคม 2562 / 08:29พี่ภูมิแงงงง#2530
-
#181 pcy921 (จากตอนที่ 23)วันที่ 17 กรกฎาคม 2562 / 17:01พี่ภูมิหายไปไหนมาอะคะ หรือแบบ..แอบมองเทออยู่นะจ๊ะ งี้เหรอ???#1810
-
#34 minminmel007 (จากตอนที่ 23)วันที่ 18 เมษายน 2561 / 22:15พี่ภูมิเขามุ้งมิ้งนะคะคุณขา พ่งพี่ไม่ต้อง ภูมิก็พอ ความแฟนนน คบกันแล้วจะจุ๊บน้องยังไงก็ได้เนอะะะ >///< พี่อาทิตย์มาแว้ววว อย่าใจร้ายน้าาาา#340
-
#28 BomBam1245 (จากตอนที่ 23)วันที่ 10 เมษายน 2561 / 14:48รออยู่ค่ะ สู้ๆ#281
-
#28-1 Lafinz(จากตอนที่ 23)18 เมษายน 2561 / 13:53กลับมาแล้วครับ~#28-1
-