การได้นั่งมองข้างทางเวลาที่รถกำลังแล่นมันเป็นช่วงเวลาที่ดีมากเลย มันทำให้เราได้อยู่กับตัวเอง มองต้นไม้ใบหญ้าที่กำลังเคลื่อนผ่านไปช้า ๆ ตึกราบ้านช่องที่ถึงแม้จะไม่มีรากใบแต่กลับงอกงามและผุดขึ้นมาอย่างไม่ขาดสาย
นับเป็นเวลาเกือบเดือนแล้วสินะตั้งแต่จากบ้านมาเพื่อมาอยู่ที่นี่ สังคมที่แตกต่างกัน รวมถึงความเจริญที่นำห่างกันมากจนไม่อยากจะเชื่อว่าอยู่ในประเทศเดียวกัน สมแล้วกับที่เป็นเมืองหลวง
หลายครั้งที่ผมเผลอคิดถึงพ่อกับแม่ หลายครั้งที่แอบคิดว่าอยากให้พวกเขามาอยู่ข้าง ๆ แต่ผมก็จะปลุกตัวเองขึ้นมาเสมอว่าผมมาที่นี่เพื่อทำอะไร แต่ผมก็ไม่ได้โดดเดี่ยวเสมอไปนะ ตอนนี้ผมมีคนที่คอยอยู่ข้าง ๆ ตั้งหลายคนแน่ะ ไม่ว่าจะเป็นเพื่อนใหม่อย่างไนซ์ ที่คอยช่วยเหลือผมทุกอย่าง เป็นกูเกิลแมพพกพา เป็นลำโพงขยายเสียงในสิ่งที่ผมคิด เป็นเพื่อนที่ดีมาก ๆ ราวกับเป็นพี่ชายอีกคนเลยล่ะ
หรือแม้กระทั่ง...คนที่กำลังขับรถให้ผมอยู่ตอนนี้ พี่ชายเจ้าของบ้านตัวสูง ที่ไม่ได้มีหน้าที่เป็นแค่เจ้าของบ้านแต่กลับเป็นได้เกือบทุกอย่าง เป็นคนขับรถรับส่งส่วนตัว เป็นคนหิ้วกลับบ้านเวลาที่ผมเมา เป็นผู้ปกครองที่แสนดีในเวลาที่ผมต้องการความอบอุ่น และข้อสุดท้าย...
เป็นเจ้าของความรู้สึกดี ๆ
"นั่งยิ้มอะไร" เสียงที่ดังขึ้นข้างหูปลุกผมให้ตื่นขึ้นจากความคิดของตัวเอง ก่อนจะหันไปมองใครอีกคนที่นั่งอยู่ข้าง ๆ "ถึงวิทลัยแล้วไม่ลงเหรอ"
ผมที่เพิ่งได้สติเบิกตากว้างก่อนจะหันไปมองรอบ ๆ พร้อมกับพบว่าที่นี่คือประตูทางเข้าหน้าวิทลัยที่แสนคุ้นเคยนั่นเอง "เอ่อ...แล้วนี่พี่ภูมิมีธุระต่อที่ไหนเหรอครับ ถึงได้ขับมินิมา"
ผมนึกแปลกใจตั้งแต่เมื่อเช้าแล้วที่วันนี้พี่ภูมิเลือกจอดเจ้าดูคาติลูกรักไว้ที่บ้าน แต่กลับเอาเจ้ามินิคูเปอร์สีดำออกมาโลดแล่นแทนเสียอย่างนั้นก็เลยเอ่ยถาม
"แล้วไม่ชอบรึไง"
แล้วคำถามนั้นก็แช่แข็งร่างผมอีกครั้ง
"ชะ...ชอบครับ!"
"อืม รู้ว่าชอบก็เลยขับให้นั่งเฉยๆ"
ขับให้นั่งเฉย ๆ ...
บ้าจริง ขยันทำให้ใจสั่นอยู่เรื่อย ทำไมต้องมาทำเหมือนว่าให้ความสำคัญกันด้วยเนี่ย
"ไปได้แล้ว" คนข้างกายเอ่ยขึ้นมาอีกครั้ง คงจะเห็นว่าผมนั่งนิ่งอยู่นานเลยใช้มือผลักที่หัวผมเบา ๆ เป็นการเรียกสติ
จริง ๆ ก็ไม่ชอบให้ใครมาเล่นหัว แต่กับเขาต้องยกให้...เป็นกรณียกเว้น
"ขับรถดี ๆ นะครับ"
นั่นเป็นคำสุดท้ายที่พูด เจ้าของรถพยักหน้ารับเบา ๆ ก่อนผมจะก้าวขาลงจากมินิคูเปอร์คันสวย พร้อมกับปิดประตูทันทีเมื่อเท้าสัมผัสกับพื้น แล้วเจ้าเครื่องยนต์สีดำก็เคลื่อนตัวออกไปจนลับตาในที่สุด
การแบกหนังตาให้ตื่นตลอดเวลาในคาบเรียนของวันศุกร์เป็นอะไรที่ทรมานมาก ร่างกายมันอ่อนล้ามาทั้งอาทิตย์แล้ว แถมยังเสียพลังงานไปมากกับการรับน้องเมื่อสองวันที่ผ่านมา ยิ่งพอได้กินมื้อเที่ยงเข้าไปยิ่งยากเลย พอหนังท้องตึงหนังตาก็หย่อนลงตามกัน
Rrrr
การสั่นสะเทือนของเจ้าไอโฟนเครื่องเล็กในกระเป๋ากางเกง ทำให้ตาที่กำลังจะปิดสนิทของผมเปิดขึ้นอีกครั้ง มือขวาล้วงไปหยิบเจ้าตัวปัญหาออกมาเพื่อดูว่าใครกันที่ว่างโทรมาในเวลาเกือบจะบ่ายสองเช่นนี้ แล้วก็ต้องแปลกใจยิ่งกว่านั้นเมื่อบุคคลผู้แสนจะว่างคนนั้น ก็คือพี่ชายตัวดีของผมเอง
"ฮัลโหลดิน"
[เรียนอยู่ส่วนไหนของตึกบัญชีครับ]
"...?" ด้วยสติอันพร่าเบลอบวกกับความง่วง ไหนจะแปลกใจว่าทำไมพี่ชายถึงได้พูดอะไรแปลก ๆ เลยไม่ได้เอ่ยตอบอะไรออกไปทั้งนั้น
[ถ้าไม่ลงมาจะเดินไปหาทีละห้องแล้วนะ]
"เดี๋ยว ดินจะมาเล่นมุกอะไรเนี่ย?"
[ไม่เล่นมุกนะครับ ดินยืนอยู่หน้าตึกนานแล้วเมื่อยขา]
"หา!?" ผมตกใจจนเผลออุทานออกมาเสียงดังจนเพื่อนตัวสูงข้างหน้าหันมามองด้วยอาการมึนงง ทันทีที่รู้สึกตัวก็รีบวิ่งออกไปชะโงกหน้ามองที่หน้าต่างเพื่อดูว่ามีคนยืนอยู่หน้าตึกจริงไหม
แล้วก็ต้องตกใจยิ่งกว่าเดิม เพราะว่ามันมีคนยืนอยู่จริง ๆ!
และผู้ชายรูปร่างลักษณะอย่างนั้น ทำไมผมจะจำเขาไม่ได้
พี่ชายที่เลี้ยงผมมาตั้งแต่เด็ก!
ตอนนั้นเองที่ผมหันกลับมาด้านหลังอีกครั้งแล้วพบว่าสายตานับสิบกำลังจ้องมองมาทางผมด้วยสีหน้างง ๆ จึงต้องรีบทำอะไรสักอย่าง "เอ่อ...มิสครับ ผมขออนุญาตไปเข้าห้องน้ำนะครับ"
หลังจากอาจารย์ประจำวิชาพยักหน้ารับ ผมก็รีบวิ่งลงบันไดมาตั้งแต่ชั้นสามจนถึงชั้นหนึ่งด้วยอาการหอบหนัก ก่อนจะวิ่งมาหยุดอยู่ตรงหน้าพี่ชายแท้ ๆ ที่กำลังยืนพิงรถสปอร์ตสีดำ อยู่ในเครื่องแบบเชิ้ตสีขาวกับกางเกงสแล็คสีดำแบบเดียวกับชุดนักศึกษาที่ผมกำลังใส่อยู่ตอนนี้
คิดว่ากลมกลืนมากมั้ง...
"ดินมาได้ไงครับ?"
นั่นเป็นคำแรกที่ผมถามเขา ตอนนี้เขาควรจะอยู่ต่างประเทศไม่ใช่เหรอ เขาควรจะทำงาน แล้วทำไมถึงมายืนอยู่ตรงหน้าผมได้
"ไม่ดีใจที่เจอพี่ชายเลยเหรอครับ?" แล้วก็ต้องได้พบกับน้ำเสียงเชิงน้อยใจจากพี่ชายขี้งอน
"ดีใจครับ แต่แปลกใจมากกว่า" เพราะแบบนั้นก็เลยเดินไปกอดที่เอวพี่ชายไว้หลวม ๆ "ว่าแต่ทำไมถึงมาได้ล่ะครับ?"
"ดินลากลับมาสามวันน่ะ คิดถึงน้องชายมากเลยรีบกลับจากเชียงใหม่ลงมากรุงเทพให้เร็วที่สุด"
"ดินไปหาป๊ากับม้ามาเหรอ!?" ผมเอ่ยถามพี่ชายด้วยสีหน้าตื่นเต้น "ข้าวคิดถึงป๊ากับม้ามากเลย พวกเขาสบายดีไหมครับ?"
"สบายดีสิครับ "
เมื่อได้ยินเช่นนั้นผมก็โล่งใจ ช่วงนี้ไม่ค่อยได้คุยกับม้าเท่าไหร่เลยเพราะไม่ค่อยมีเวลา นาน ๆ จะได้คุยกันครั้งนึง แต่ก็แค่แป๊บเดียวแล้วก็ต้องวาง
"โอ๊ะ ว่าแต่นั่นรถดินเหรอ?" ผมหันไปสนใจเจ้ารถสปอร์ตสีคำคันนี้อีกครั้งเมื่อเห็นว่ามันดูโดดเด่นสะดุดตา จะไม่ทักก็คงไม่ได้
ตอนนั้นเองที่พี่ชายตรงหน้าส่ายหัวเบา ๆ ก่อนจะหันมามอง "เปล่าครับ ดินไปเช่าเขามา"
แล้วคำตอบของเขาก็ทำให้ผมอ้าปากค้าง...
"ทำไมล่ะครับ เปิดตัวทั้งทีก็ต้องเอาให้เท่ ๆ ไม่ใช่เหรอ"
แต่แล้วผมก็ต้องหลุดขำออกมาอีกรอบหลังจากผู้ชายที่พยายามจะเท่เอ่ยคำพูดน่าตลกพวกนั้นออกมาด้วยใบหน้านิ่ง ๆ ก่อนที่อีกคนจะเดินมาคว้ามือผมพร้อมทำท่าเหมือนจะลากขึ้นรถ
"เดี๋ยวครับ จะพาข้าวไปไหน?"
"ไปเที่ยวไงครับ" คนตรงหน้าหันมาพูดก่อนจะหันไปเปิดประตูรถสปอร์ตสีดำคันหรู
"ไม่ได้นะดิน ข้าวมีเรียนคาบชมรมอีกคาบนึงอะ"
"โดดสิครับ" พี่ชายตัวสูงจอมเอาแต่ใจพูด เมื่อเห็นว่าผมมีท่าทางลังเลเขาจึงใช้ไม้ตายไม้เดียวที่ผมไม่เคยจะสู้เขาได้เลยคือ เอาหัวมาถูที่หัวผมเบา ๆ แล้วพูดด้วยน้ำเสียงออดอ้อน "แล้วข้าวไม่คิดถึงดินเหรอครับ"
ทำไงได้...ใช้วิธีนี้ผมก็ต้องยอมเขาทุกที
"ทีหลังอย่าเล่นแบบนี้อีกนะครับ"
คนตรงหน้ายิ้มหวาน ๆ ส่งมาให้ ก่อนที่ผมจะกดโทรศัพท์ไปหาเพื่อนสนิทเพื่อบอกไนซ์ว่าไม่ได้กลับขึ้นไปเรียนแล้ว ฝากเก็บกระเป๋าไว้ให้ด้วย ไนซ์เองก็ดูจะแปลกใจอยู่ไม่น้อยแต่ก็ไม่ได้ถามอะไรออกมา ผมคิดว่าเขาคงไม่สะดวกเพราะมิสกำลังสอนอยู่
มือถือเครื่องเล็กถูกเก็บใส่ในกระเป๋ากางเกงเรียบร้อย ก่อนจะหันมาทางพี่ชายที่เปิดประตูรถรออยู่แล้ว พร้อมกับก้าวขาเข้าไปนั่งด้านใน โดยมีอีกคนเดินอ้อมไปอีกฝั่งก่อนจะหย่อนตัวลงมานั่งข้าง ๆ
ทีอย่างนี้ยิ้มระรื่นเชียว
"การเป็นกัปตันมันว่างขนาดนั้นเลยเหรอครับ ถึงมีเวลามารับน้องไปเที่ยวอะ" ผมแขวะเขา
"ยังไม่ได้เป็นกัปตันเลย แต่จะเป็นให้ได้เร็ว ๆ นี้"
"รีบ ๆ เข้าล่ะครับ จะสามสิบแล้วนะได้ข่าว เดี๋ยวไม่มีแรงบังคับเครื่องบิน"
ผมเอ่ยแซวคนตรงหน้าแบบหมั่นไส้ จะสามสิบอะไรกัน พี่ชายตรงหน้ายังดูฟิตปั๋งอยู่เลย
คนแก่ของผมหัวเราะออกมาเล็กน้อย พร้อมกันนั้นก็เบ่งกล้ามโชว์ด้วย เห็นแบบนั้นก็เลยอดจะขำไม่ได้ แก่แค่ไหนก็ยังเป็นพี่ชายจอมติงต๊องของผมอยู่ดี
"ไปไหนกันดีครับ?" กัปตันหนุ่มเอ่ยถามอีกครั้ง
"ข้าวอยากกินบิงซู"
"งั้นไปหาห้างแถวนี้กินกัน"
ผมพยักหน้ารับเล็กน้อย ก่อนที่รถสปอร์ตสีดำจะเคลื่อนตัวออกจากหน้าตึกคณะไปตามเส้นทางเพื่อมุ่งหน้าไปยังห้างสรรพสินค้าที่อยู่ใกล้ที่สุด
จะว่าไปแล้วผมคิดถึงคนตรงหน้ามากเลย ดีใจด้วยที่เขากลับมา อย่างน้อยก็จะได้มีเวลาพักผ่อนตั้งสามวัน ผมรู้ว่าเขาต้องแบกรับหน้าที่ในฐานะพี่ชายคนโตเอาไว้มากแค่ไหน ถึงเขาจะไม่เคยแสดงออกมาเลยว่าเหนื่อย แต่ผมรู้นะว่าจริง ๆ แล้วในจุดที่เขากำลังยืนอยู่นั้น มันคงจะเหนื่อยมาก ๆ
อาทิตย์ก็อีกคน...พี่ชายทั้งสองคนของผมมีบุคลิกที่ต่างกันมากเลยทีเดียว อย่างดินก็จะเป็นผู้ชายโรแมนติก ขี้อ้อน ขี้เอาใจ ซึ่งถ้าสาว ๆ คนไหนได้ไปเป็นแฟนนะผมว่ารักตายเลย ด้วยอายุของผมกับดินที่ห่างเกือบสิบปี ม้าเลยบอกว่าพี่ชายคนนี้จะโอ๋ผมมากเป็นพิเศษ เหมือนผมเป็นลูกอะไม่ใช่น้อง
ส่วนอาทิตย์ ดูจะเป็นคนโผงผางหน่อย คิดอะไรก็พูด ออกจะขวานผ่าซากไปนิด ไอ้คำว่าโรแมนติกน่ะอย่าไปพูดถึงเลย แต่ก็เป็นคนที่เชื่อถือได้ในระดับนึง เพราะเหตุนี้จึงทำให้เขามีเพื่อนอยู่ทุกสารทิศ เพราะความเข้ากับคนอื่นได้ง่ายของเขา รวม ๆ กันแล้วก็จะบอกว่าพี่ชายผมน่ะน่ารักทั้งสองคนเลย
หวงน้องเก่งที่หนึ่งด้วย...
//
เวลาหมดไปกับการเดินเข้าออกร้านนั้นร้านนี้ หลังจากที่กินบิงซูกันเสร็จแล้ว เราก็ไปเดินเล่นซื้อของกันนิดหน่อยจนได้ของติดไม้ติดมือมาเต็มไปหมด ดินบอกว่าของบางอย่างถ้าซื้อไปจากที่ไทยจะถูกกว่า ส่วนใหญ่ที่ซื้อเลยจะเป็นพวกของใช้ส่วนตัวเสียมากกว่า
ผมก้มมองนาฬิกาที่ข้อมืออีกครั้ง เวลาที่โชว์อยู่นั้นมันทำให้คนตรงนี้เริ่มคิ้วขมวดยุ่ง ยังไม่ได้บอกใครอีกคนเลยว่าวันนี้ไม่ต้องมารับ...
คิดได้อย่างนั้นผมจึงรีบหยิบเจ้าไอโฟนเครื่องเล็กขึ้นมาก่อนจะกดไปที่เบอร์ของพี่ชายเจ้าของบ้านตัวสูงทันที
[ว่าไง]
"พี่ภูมิ วันนี้ไม่ต้องมารับนะครับ เดี๋ยวผมจะกลับกับดิน" ตอนนั้นเองที่ปลายสายเงียบไปสักพัก จนผมไม่แน่ใจว่าเขากำลังฟังอยู่รึเปล่าจึงต้องพูดซ้ำอีกรอบ "พี่ภูมิ ฟังอยู่ไหมครับ?"
[ฟังอยู่ อย่ากลับดึก]
แล้วคำที่เขาพูดออกมานั้นมันก็ทำให้ผมยิ้มได้
"ครับ พี่ก็ขับรถดี ๆ นะ"
ปลายสายขานรับเบา ๆ และสุดท้ายเขาก็กดวางไป ผมหันมาสนใจคุณกัปตันอีกครั้ง เมื่อเห็นว่าเขากำลังยืนเลือกเสื้อผ้าอยู่จึงเดินเข้าไปคล้องแขนพี่ชายด้วยความเคยชิน
"เราไปหาซื้อของสดกันดีกว่า วันนี้ข้าวจะทำมื้อเย็นให้กินเอง"
"รอกินมาเกือบเดือนแน่ะ"
ผมหัวเราะเบา ๆ ให้กับท่าทางขี้อ้อนนั้น ก่อนเราจะเดินตรงไปที่แผนกอาหารสดเพื่อเลือกสรรวัตถุดิบสำหรับปรุงอาหารเย็นนี้
ว่ากันว่าเวลาแห่งความสุขมักจะผ่านไปเร็วเสมอ เหมือนการไปตลาดเพื่อซื้อของมาทำอาหาร ผมจะตื่นเต้นมาก ๆ รู้ตัวอีกทีก็ได้ของจนครบแล้ว
หลังจากนั้น...เป้าหมายต่อไปก็คือบ้านหลังสีส้มของพี่ชายตัวสูงนั่นเอง เนื่องจากไปเป็นผู้ดีอังกฤษอยู่เกือบเดือน ผมเห็นพี่ชายแท้ ๆ แอบหอบวอดก้าสองสามขวดติดมือมาด้วย ท่าจะได้ดื่มบ่อยนะเดินหยิบตัวปลิวเชียว
รถสปอร์ตคันหรูเคลื่อนตัวมาจอดตรงหน้าบ้านหลังสีส้มตามเส้นทางที่ผมบอก ก่อนที่ผมจะเดินมาเปิดประตูบ้านเพื่อให้รถสามารถเคลื่อนตัวเข้าไปได้ พร้อมกับขายาว ๆ ของใครอีกคนที่กำลังก้าวลงจากรถ พลางสอดส่องสายตาสำรวจบ้านหลังใหญ่ที่ผมต้องมาใช้ชีวิตอยู่ที่นี่เป็นปี
"มินิคูเปอร์คันนั้นของเขาเหรอ" แล้วนั่นก็เป็นสิ่งแรกที่ดินสนใจและเอ่ยถาม
"อ๋อ ใช่ ๆ ดูคาติคันนั้นก็ด้วยนะ ของพี่ภูมิหมดเลย" ผมพูดพลางชี้ไปที่เจ้าลูกรักของใครอีกคนที่วันนี้ได้จอดพักผ่อนอยู่บ้านเพราะเจ้าของพาอีกคันไปวิ่งเล่น แต่ดูเหมือนพี่ภูมิก็เพิ่งกลับมาถึงบ้านเหมือนกัน เครื่องยนต์มินิยังอุ่น ๆ อยู่เลย
"ข้าวอย่าไปบอกเขานะ ว่ารถคันนี้ดินเช่ามาอะ"
แล้วคำพูดนั้นของว่าที่กัปตันก็ทำให้ผมหัวเราะเบา ๆ อีกครั้งความห่วงเท่ที่ไม่สิ้นสุดของเขานี่นะ ไม่มีใครเกินเลยจริง ๆ
ข้าวของมากมายถูกขนเข้ามาในบ้านโดยพี่ชายกับน้องชายที่เพิ่งกลับจากซูเปอร์ ผมวางถุงอาหารสดทั้งหลายไว้บนโต๊ะอาหารในครัว แต่ว่าก็ยังไม่ได้พบกับเจ้าของบ้านตัวสูงเลย สงสัยจะอาบน้ำอยู่ด้านบนล่ะมั้ง
"ข้าวครับ ดินจะเอาของไปไว้ที่ไหนได้บ้าง?"
เพราะว่าเสียงนุ่มที่เอ่ยขึ้นมานั้นจึงทำให้ผมหันกลับไปสนใจพี่ชายอีกรอบ "ดินเอาของไปเก็บข้างบนก่อนก็ได้ ห้องข้าวอยู่ฝั่งขวานะ อย่าเข้าผิด"
"ครับ งั้นดินขึ้นไปเลยนะ" ผมหันไปพยักหน้าให้พี่ชายเบา ๆ สองสามครั้ง ก่อนจะหันมาสนใจกับวัตถุดิบตรงหน้าต่อ
"ทำอาหารก่อนค่อยไปอาบน้ำทีเดียวเลยแล้วกัน"
ตกลงกับตัวเองได้แล้วจึงพับแขนเสื้อเชิ้ตนักศึกษาขึ้นมาจนถึงศอก ทีนี้ก็เริ่มเตรียมวัตถุดิบสำหรับปรุงอาหารทีละอย่าง วันนี้ผมจะทำต้มยำกุ้งน้ำข้นเพราะกัปตันใหญ่บ่นว่าอยากกินตั้งแต่อยู่เมืองนอกแล้ว กับหมูผัดกระเทียมพริกไทย แล้วก็อันสุดท้ายเป็นคะน้าหมูกรอบง่าย ๆ
การได้เข้าครัวก็เป็นสิ่งนึงที่ดูดผมออกโลกภายนอกได้เหมือนกันนอกจากการเล่นเกมส์ มันทำให้ผมมัวแต่จดจ่ออยู่ที่เมนูตรงหน้า วุ่นอยู่กับการหยิบนั่นเติมนี่ จนลืมพี่ชายที่หายขึ้นไปบนห้องได้สักพักแล้วไปเสียสนิทเลย รู้ตัวอีกทีกับข้าวก็เสร็จไปเกือบสองอย่าง แต่ดินก็ยังไม่ลงมาสักที
"ทำอะไร "
ตอนนั้นเองที่กำลังจะหันหลังเพื่อเดินไปหาพี่ชายบนห้อง ร่างของผู้ชายคนนึงก็ปรากฏอยู่ตรงหน้า กับผมเปียกน้ำที่สระแล้วยังไม่ได้เช็ดเหมือนเดิม ชุดอยู่บ้านสบาย ๆ ของเขาก็ยังเป็นชุดเดิม
"จริงด้วย พี่ภูมิครับ วันนี้ผมขออนุญาตให้ดินค้างที่นี่คึนนึงนะครับ" ผมพูดทันทีที่นึกถึงพี่ชายขึ้นมาได้อีกครั้ง ส่วนคนตัวสูงเองก็คิ้วขมวดเล็กน้อยก่อนจะยกผ้าขนหนูขึ้นมาเช็ดหัวที่ยังเปียกอยู่
"ผู้ชายที่อยู่ในห้องนั่นเหรอ"
"ครับ พวกพี่เจอกันแล้วเหรอ?"
ร่างสูงตรงหน้าส่ายหัวเล็กน้อย พร้อมกับเดินมานั่งที่เก้าอี้ไม้ตัวเล็กภายในครัว "เมื่อกี้เดินลงมาได้ยินเสียงผู้ชายคุยโทรศัพท์ดังออกมาจากในห้อง"
"อ๋อ ใช่แล้วล่ะครับ ขอโทษที่ไม่ได้บอกก่อนล่วงหน้านะครับ"
ดีที่พี่ภูมิพยักหน้ารับและไม่ได้ติดใจอะไร เห็นแบบนั้นผมก็เลยหันกลับมาทำกับข้าวต่อ ตอนนี้ก็เหลือแค่ต้มยำแล้ว กลิ่นเริ่มจะใช้ได้แล้วล่ะ
"ต้นข้าว"
"ครับ?"
เพราะได้ยินเสียงที่เรียกกันผมก็เลยต้องหันกลับมามองเขาอีกครั้ง คนตรงหน้านิ่งไปเล็กน้อย แถมยังทำท่าเหมือนกำลังใช้ความคิดอะไรแบบนั้นเลย
เรียกมาแล้วไม่ยอมพูด งั้นผมก็จะมองหน้าเขาอยู่อย่างนี้แหละ
ไม่ได้เรียกว่าฉวยโอกาสใช่ไหม...
"คนนี้เหรอแฟน"
แต่แล้วสิ่งที่ได้ยินก็ทำให้ผมต้องเบิกตากว้าง
"หา!?"
เมื่อกี้เขาถามผมว่า 'คนนี้เหรอแฟน' แสดงว่าเขาคิดว่าดินเป็นแฟนผม? ไม่สิ ที่หนักกว่านั้นคือเขาคิดว่าคนอย่างผมนี่นะมีแฟน?
อึ้งไปสักพัก...แต่คิดไปคิดมามันดันขำ ขอสักหน่อยเถอะ
"ขำอะไร?"
"มะ...ไม่ขำก็ได้" แต่เจอน้ำเสียงดุ ๆ นั่นก็ถึงกับรีบหุบยิ้มทันที "พี่ภูมิเป็นเพื่อนกับอาทิตย์ยังไงถึงไม่รู้จักดินอะครับ?"
"ทำไมต้องรู้จัก"
เพราะคำถามนั้นของเขากับแววตาซื่อ ๆ มันก็เลยทำให้ผมถอนหายใจเบา ๆ ก่อนจะเดินไปประจันหน้ากับพี่ชายตัวสูง ลืมไปว่าเป็นพวกไม่สนใจโลกนี่เนอะ
"ถ้าอย่างนั้นก็ฟังนะครับ"
"..."
"นั่นน่ะดิน พี่ชายคนโตของผมเอง ไม่ใช่แฟน อ้อแล้วที่สำคัญ...ผมยังไม่มีแฟนนะ"
แต่มีคนที่ชอบแล้ว...
มองดูคนตรงหน้าที่นิ่งไปเล็กน้อยก็อดจะขำออกมาเป็นครั้งที่สองไม่ได้ "ทีนี้พี่ก็ควรกลับไปพิจารณาอีกทีนะ ว่าพี่เป็นเพื่อนสนิทกับอาทิตย์จริงรึเปล่า เป็นเพื่อนยังไงไม่รู้จักพี่ชายเพื่อนน่ะครับ"
"ก็ไม่เคยถาม แล้วมันก็ไม่เคยบอก"
"พอกัน"
ผมส่ายหัวเล็กน้อยให้กับคนตรงหน้ารวมถึงอาทิตย์ด้วย พอไม่มีเรื่องอะไรแล้วก็เลยได้หันกลับมาทำเมนูสุดท้ายที่ยังค้างอยู่ เสร็จแล้วจะได้ไปอาบน้ำสักทีเหนียวตัวจะแย่
ชามกับข้าวฝีมือเชฟจากเชียงใหม่ถูกนำมาวางเรียงรายไว้จนเต็มโต๊ะ พร้อมกับพี่ชายแท้ ๆ ของตัวเองที่หายไปนานมาก เดินตัวหอมลงมาจากชั้นสองของบ้าน
ผู้ชายสองคนหยุดจ้องตากันเล็กน้อยก่อนที่พี่ภูมิจะยกมือไหว้คนตรงหน้า ส่วนพี่ชายแท้ ๆ ของผมก็รับไว้ตอบ เห็นแบบนั้นก็เลยจะหาโอกาสปลีกวิเวกสักที เชฟเริ่มจะตัวเหม็นแล้ว
"ดินมาก็ดีแล้ว งั้นอยู่คุยกันไปก่อนนะข้าวไปอาบน้ำก่อน"
"ครับ ใส่ชุดที่ดินซื้อให้วันนี้ด้วยนะ"
"รู้แล้วน่า" ผมพูดพร้อมกับยู่ปากให้พี่ชายหนึ่งที ก่อนจะขอตัวขึ้นไปอาบน้ำข้างบนเพราะเล่นซนมาทั้งวัน
จะว่าไปแล้ว...ถ้าพี่ภูมิเข้าใจผิดคิดว่าดินเป็นแฟนผมจริง ๆ จะยอมยกมือไหว้ไหมนะ คิดแล้วก็ตลกดี แถมพี่ภูมิตอนเหวอยังตลกมากด้วย
แต่ก็ยังหล่อที่สุดในสายตาผมอยู่ดีนั่นแหละนะ...
หมดเวลาอาบน้ำแต่งตัวประมาณครึ่งชั่วโมง พร้อมกับหยิบชุดที่พี่ชายจอมเอาแต่ใจซื้อให้และกำชับว่าต้องใส่ขึ้นมาสวม มันเป็นเสื้อฮาวายลายชมพูฟ้าหวานแหวว ซึ่งก็ไม่ต้องตกใจที่ของน้องจะหวานเพราะของเจ้าตัวเองก็เป็นสีชมพูตัดขาวหวานไม่แพ้กัน ทำตัวมุ้งมิ้งทั้ง ๆ ที่จะเลขสามอยู่แล้ว ไม่เข้าท่าเลยนะคุณธราดล...
เชฟประจำบ้านพาตัวเองออกมาจากห้องพร้อมกับความหวานของสีเสื้อที่แทบจะเป็นสีเดียวกันกับที่พี่ชายใส่อยู่ตอนนี้ แต่ก็ต้องเบิกตากว้างเมื่อพบกับชายหนุ่มทั้งสองกำลังดวนวอดก้ากันสบายใจอยู่ที่โซฟาห้องนั่งเล่น
"นี่ยังไม่ได้กินข้าวแล้วพากันกินเหล้าได้ไงอะ?!" ทันทีที่ก้าวขาสั้น ๆ ไปถึง ผมก็ดุสองคนตรงหน้าไปทันทีแรง ๆ พี่ภูมิหันมามองผมก่อนจะไหวไหล่นิด ๆ เป็นเชิงว่าไม่รู้ไม่ชี้
งั้นเจ้าตัวดีก็คงจะเป็นพี่ชายผมเองนี่แหละ
"ก็คุยกันถูกคอเลยเพลินไปหน่อยน่ะครับ"
นั่นไง
"ถ้าเมาแล้วไม่เท่ขึ้นมาอย่าหาว่าข้าวไม่เตือน"
"ครับ ๆ ดุจังเลยตัวแค่นี้ งั้นเราไปกินข้าวกันดีกว่า อยากกินฝีมือน้องชายใจจะขาดแล้ว"
ทำมาเป็นอ้อนกลบเกลื่อนความผิด ให้สิบบาทเลยว่าพี่ชายตรงหน้าตอนนี้อะกรึ่ม ๆ
เราย้ายมาที่ครัวแล้ว บรรยากาศบนโต๊ะทานข้าวเป็นไปด้วยความแปลกใหม่ คนตัวสูงตรงหน้าสองคนที่เพิ่งจะรู้จักกันครั้งแรก พูดคุยกันถูกคอเพราะเรียนมาด้านเดียวกัน ผมแอบเห็นว่าวันนี้พี่ภูมิดูจะพูดเยอะเป็นพิเศษ อาจจะเป็นเพราะฤทธิ์ของแอลกอฮอล์ที่พี่ชายตัวดีของผมชงจนเข้ม แต่คนที่กระดกเอา ๆ ก็ไม่ใช่ใครที่ไหน...คนชงให้เขานี่แหละ
จากมื้อเย็นอันแสนโอชะก็เลยกลับกลายมาเป็นกับแกล้มชิ้นดีไปโดยปริยาย ผมกับพี่ภูมิช่วยกันแบกพี่ชายตัวดีที่ตอนนี้สติไม่เหลือแม้แต่เปอร์เซ็นต์เดียวขึ้นมานอนบนห้องผม ทิ้งร่างหนัก ๆ ไว้บนเตียงก่อนจะยืนมองสภาพผู้ดีที่ตอนนี้ดูไม่ได้ที่เจ้าตัวห่วงแสนห่วงเนี่ย
"อาการนี้คงยันเช้า"
"นั่นสิครับ ปกติดินห่วงหล่อจะตายวันนี้คงเก็บกดจริง ๆ อะ"
ว่าแล้วก็ถอนหายใจออกมาอีกเฮือกใหญ่ ก่อนจะเดินไปจัดท่าทางให้พี่ชายนอนดี ๆ บนเตียงนี้
"แล้วนี่จะนอนยังไง"
อาจจะเป็นตอนที่คำถามนี้ดังขึ้นมาเลยทำให้ผมชะงักค้าง จริงสิผมลืมนึกไปเลย เล่นนอนแผ่ซะเต็มเตียงอย่างนี้ผมคงเอาตัวบวม ๆของผมแทรกลงไปด้วยไม่ไหวแน่
"ผมนอนได้ครับ พี่ภูมิกลับไปนอนเถอะ ผมรู้นะว่าพี่เองก็กรึ่ม ๆ เหมือนกัน" พูดไปแบบนั้นเพราะไม่อยากให้เจ้าของบ้านเป็นห่วง แค่ดินมารบกวนเพิ่มอีกคนก็เกรงใจจะแย่แล้ว
"ไปนอนด้วยกันไหมล่ะ"
"ครับ?"
มะ...เมื่อกี้เขาว่าไงนะ?
"พี่ชายเราจะได้นอนสบาย ๆ ไง"
"ตะ...แต่ว่าพี่ภูมิจะอึดอัดนะครับ"
ทั้ง ๆ ที่ปฏิเสธออกไป แต่หัวใจมันดันเต้นตุบ ๆ
"ตัวโตขนาดนั้นเลยรึไง" คนตัวสูงพูดพร้อมกับเอื้อมมือยีหัวผมเบา ๆ "ไปนอนด้วยกันนี่แหละ"
ไม่นะ
อย่าตกลงนะข้าว...
"งะ...งั้นรบกวนด้วยนะครับ"
บอกว่าอย่าตกลงไง!
tbc.