ท่ามกลางหมู่นกและแมกไม้ที่ปลูกอยู่รอบตัวบ้านตรีทศชาติ ที่ใต้ถุนบ้านไม้หลังเก่ากำลังมีผู้ชายสองคนนั่งเล่นจ้องตากันอยู่ หนึ่งชีวิตเป็นทหารเกณฑ์ และหนึ่งชีวิตที่เพิ่งจะได้เป็นนักศึกษาชั้นปีที่หนึ่ง อ้อ มีอีกหนึ่งชีวิตที่มาแค่เสียง เพราะตัวน่ะอยู่เมืองผู้ดีโน่น
"นี่อาทิตย์ ข้าวให้มาช่วยตัดสินใจนะครับ ไม่ได้ให้มานั่งถอนหายใจทิ้งแบบนี้อะ"
ผมดุคนที่กำลังนั่งทำปริบ ๆ อยู่ตรงนี้ พี่ชายที่ไม่เคยจะมีเวลาให้เลย อีกคนก็อยู่ในค่าย ส่วนอีกคนก็อยู่ต่างประเทศ คิดถึงแค่ไหนก็ทำได้แค่โทรหา ทิ้งให้น้องต้องมาเผชิญชะตากรรมคนเดียว
ส่วนชะตากรรมที่หนักที่สุดตอนนี้ก็คือ ผมอยากไปเรียนที่วิทยาลัยแห่งนึง ที่นี่โดดเด่นมากเรื่องสาขาที่ผมอยากเรียนนั่นก็คือบัญชี แต่ปัญหาก็คือ...ที่นั่นอยู่ไกลมาก แล้วม้าก็ไม่อนุญาตให้ไป คราวนี้สิ่งที่ต้องทำก็คือ ยืมมือลูกชายสุดที่รักของม้าทั้งสองคนเข้ามาร่วมขบวนการ
'ทำไมข้าวไม่หาที่เรียนในเชียงใหม่ล่ะครับ วิทลัยในเชียงใหม่ก็เยอะแยะ'
ดิน พี่ชายคนโตที่สุดที่ตอนนี้กำลังคุยกันทางไกลเอ่ยขึ้น คุณว่าที่กัปตันนี่ก็อีกคน บอกให้คิดวิธีช่วยกันเปลี่ยนใจม้า แต่เท่าที่ฟังมานี่ไปตามม้าตลอด
"ก็ข้าวอยากไปใช้ชีวิตเป็นเด็กกรุงเทพเหมือนเพื่อนคนอื่น ๆ นี่นา ทีดินยังไปต่างประเทศได้เลย แล้วนี่ของข้าวอยู่ในประเทศอะ"
'มันไม่เหมือนกันครับ ดินโตแล้ว'
"โตแล้วยังไง พูดเหมือนดินไม่เคยเป็นเด็กอะ ทุกคนก็เริ่มจากเด็กทั้งนั้น"
ไม่รู้ล่ะ ไม่ช่วยก็จะงอนให้หมดนี่แหละ อุตส่าห์มีพี่ชายอยู่ตั้งสองคน จะช่วยน้องไม่ได้สักคนก็ให้มันรู้ไป
"เอางี้ ลองคุยกับม้าดี ๆ ดู เผื่อม้าจะอนุญาต" คราวนี้เป็นคุณพลทหารที่เอ่ยขึ้นมา
"ข้าวลองคุยแล้วครับ ม้าไม่ฟังกันเลย แถมยังเป่าหูป๊าด้วย ว่าถ้าป๊าอนุญาตอะม้าจะงอน"
คำพูดนั้นทำให้พี่ชายคนรองถอนหายใจออกมาอีกครั้ง แต่ใจนึงผมก็เข้าใจม้านะ ห่างกันไกลสุดก็โรงเรียนส่งไปเข้าค่ายลูกเสือ แต่นี่จะไปไกลคนละจังหวัด แถมยังไปนานด้วย แต่ผมก็ยังไม่ล้มเลิกความคิดที่จะไปอยู่ดี
"เอางี้ เดี๋ยวอาทิตย์ลองคุยกับม้าให้อีกที พอจะคิดอะไรดี ๆได้แล้ว"
"หืม? คิดอะไรได้เหรอครับ"
"ไม่บอก รอฟังพร้อมม้าก็แล้วกัน"
"เอ้า บอกกันหน่อยสิ นะ น้าาา"
พยายามกอดแขนอ้อนวอนพี่ชายอีกครั้ง แต่เจ้าตัวก็ไม่ยอมฟังกันเลย นอกจากเอาแต่ยิ้มกรุ้มกริ่มแบบนั้น
คิดจะทำอะไรของอาทิตย์กันแน่?
ระหว่างที่กำลังเตรียมอาหารสำหรับมื้อเย็น ตอนนั้นเองที่เหลือบไปเห็นแผ่นหลังของพี่ชายยืนคุยอะไรบางอย่างอยู่กับต้นกล้วย
หา? คุยกับต้นกล้วย?
ไม่น่าจะใช่...น่าจะกำลังโทรศัพท์หาใครสักคน ท่าทางคุยกันออกรสออกชาติขนาดนั้น อยากรู้จังว่าคุยอะไรกัน ไปแอบฟังดีกว่า
ในขณะที่เท้าข้างขวากำลังจะเหยียบบันไดขั้นแรกได้สำเร็จ เสียงแหลม ๆ ของม้าก็ดังขึ้นมาขัดจังหวะจนได้
"ข้าว! จะไปไหนน่ะลูก?"
ผมเดินคอตกกลับมาหาหม้อเกียงเขียวหวานอีกครั้ง เลยไม่ได้รู้ว่าอาทิตย์คุยกับใครเลย จะเกี่ยวกับเรื่องดี ๆ ที่พี่ชายบอกรึเปล่าก็ไม่รู้ แต่ถึงอย่างนั้นก็ช่างเถอะ จะด้วยวิธีไหนก็ต้องไปเรียนที่กรุงเทพฯ ให้ได้เลย!
'ทำอะไรกินกันเหรอครับม้า ฝีมือม้าหรือลูกชายเนี่ย?'
"ฝีมือม้าสิคะ น้องข้าวเอาแต่เหม่อ บอกให้หั่นมะเขือก็ปาไปครึ่งชั่วโมงยังไม่เสร็จเลย"
หันไปมองลูกชายคนโตกับม้าที่กำลังคุยกันผ่านวีดิโอคอลดูเข้าขากันดีเหลือเกิน ก็ได้แต่เบะปากเบา ๆ วันนี้เชฟไม่มีสมาธิเฉย ๆ หรอก รอเชฟออกโรงก่อน ฝีมือใครก็สู้ต้นข้าวไม่ได้แน่นอน
"อ้าว ว่าไงพ่อทหาร ป๊าเรียกไปหาแน่ะ"
ใครบางคนที่เพิ่งวางสายจากบุคคลปริศนา กำลังเดินตรงมาทางนี้ เป็นจังหวะเดียวกับที่ม้าพูดขึ้น ว่าแต่ทำไมป๊าต้องเรียกอาทิตย์ไปหา แล้วผมไปด้วยได้ไหม?
ตอนนั้นเองที่กำลังเดินตามพี่ชายและม้าเข้าไปในห้องเงียบ ๆ แต่ก็ยังไม่เล็ดรอดไปจากสายตาของม้าได้อยู่ดี
"น้องข้าวอยู่นี่ ดูหม้อแกงเขียวหวานไว้ให้ม้าครับ"
"แต่ว่าม้า..."
"ไม่มีแต่"
ริมฝีปากเบะคว่ำเป็นรอบที่สิบของวัน ก่อนจะพาตัวเองกลับมายืนอยู่หน้าเตาแก๊สเหมือนเดิม ทำไมต้องมีความลับกันด้วยนะ ทำเหมือนกับว่าไม่อยากให้ผมรู้ยังไงอย่างงั้น เนี่ย! มีพิรุธชัด ๆ เลย
ผ่านไปร่วมครึ่งชั่วโมงแล้วที่พี่ชายคนรองและม้าหายเข้าไปในห้องทำงานของป๊า เอาหูแนบกับประตูก็ได้ยินแค่เสียงพูดฮึมฮัม จับใจความไม่ได้สักคำอยู่ดี
"เย้ย!"
ระหว่างที่กำลังแอบฟังคนข้างในผ่านประตูบานนั้น อยู่ดี ๆ มันก็เปิดพรวดพราดออกมาจนผมสะดุ้งโหยง มองไปเห็นพี่ชายคนรองที่เอาแต่ยิ้มปริ่มก็อดจะแปลกใจไม่ได้ มีเรื่องอะไรดี ๆ อย่างนั้นเหรอ?
"ถ้างั้น อาทิตย์ขอคุยกับน้องแป๊บนึงนะครับม้า"
หืม?
"ได้สิลูก รีบคุยรีบขึ้นมากินข้าวล่ะ"
ฟังบทสนทนาตรงหน้าแล้วก็ได้แต่คิ้วขมวด ตอนนั้นเองที่แขนข้างซ้ายถูกพี่ชายลากไปแล้ว "เดี๋ยวครับอาทิตย์ นี่มันเกิดอะไรขึ้น?"
ผมเข้าเรื่องที่สงสัยอยู่ทันทีโดยไม่ต้องรีรอ หลังจากถูกลากมาที่เรือนกลางน้ำ พี่ชายคนนี้ก็เอาแต่จ้องกันไม่วางตาจนไม่น่าไว้ใจ
"ม้าอนุญาตให้ข้าวไปเรียนกรุงเทพฯได้แล้ว"
"ว่าไงนะครับ!"
ตกใจ! ตอนนี้ความตกใจมันมีมากกว่าความดีใจไปแล้ว เป็นไปได้ยังไง ผมอ้อนวอนม้ามาตั้งนาน แต่พี่ชายสองคนเข้าไปคุยไม่ถึงชั่วโมงนี่นะ
"เป็นความจริง ทีนี้ก็หายงอนกันได้แล้ว"
ถึงจะพูดอย่างนั้นก็เถอะ ผมยังไม่อยากจะเชื่ออยู่ดี เป็นไปได้เหรอเนี่ย ชีวิตเด็กเมืองกรุงของผมกำลังจะเกิดขึ้นจริง ๆ เหรอเนี่ย!
"แต่มีข้อแม้อยู่อย่างนึง"
"ฮึ? ทะ...ทำไมต้องมีข้อแม้ด้วย"
ดูท่าจะไม่ดีเสียแล้ว ลืมคิดไปว่าสิ่งที่จะทำให้ม้าใจอ่อนได้ก็ต้องไม่ใช่เรื่องธรรมดาแน่นอน ร้ายกันทั้งแม่ทั้งลูก ผมตามใครทันบ้างเนี่ย?
"ข้อแม้ก็คือ"
"..."
"ข้าวต้องไปอยู่กับเพื่อนอาทิตย์เท่านั้น อยู่ที่บ้านมันในกรุงเทพฯ"
"ว่าไงนะครับ!?"
ให้ผมไปอยู่กับคนอื่น? หมายความว่า ที่ม้ายอมตกลงก็เพราะเรื่องนี้ แต่นั่นมันไม่เกินไปหน่อยรึไง ถึงจะเป็นเพื่อนอาทิตย์ก็เถอะ แต่สำหรับผมเขาเป็นใครก็ไม่รู้ อยู่ดี ๆ จะให้ไปอยู่ร่วมชายคาเดียวกัน คิดอะไรของเขาอยู่เนี่ย
"ม้าคุยกับมันแล้วโอเค ตอนแรกหมอนั่นก็ค้านหัวชนฟ้า แต่ตื๊อมันสักหน่อยมันก็ยอมแล้วไอ้นี่อะ เป็นพวกขี้ใจอ่อน"
ซึม...ซึมไปแล้วเรียบร้อย ที่หวังไว้มันไม่ใช่อย่างนี้เลย ชีวิตเด็กหอ นอนคนเดียว ออกไปเที่ยวกับเพื่อน พังหมด
"ข้าวก็ต้องโอเคเท่านั้นใช่ไหมครับ" ปฏิเสธไม่ได้แล้วใช่ไหม เลือกทางอื่นก็ไม่ได้แล้วใช่ไหม
"ใช่ครับ ถ้าข้าวอยากไป ก็มีทางนี้แค่ทางเดียว อ้อ มีอีกทางนึง"
"..."
"หาที่เรียนในเชียงใหม่ครับ"
ร้องไห้แล้ว...
"ไม่ต้องคิดมากหรอก เพื่อนอาทิตย์คนนี้ไว้ใจได้ แถมอยู่กับมันก็เหมือนอยู่คนเดียวนั่นแหละ แม่งไม่ค่อยพูดค่อยจา"
"..."
"มันชื่อแผ่นภูมิ..."
TBC.
ยังจำเรื่องนี้กันได้ไหมม
ตั้งแต่วันนี้ไป
เราจะรีไรต์เรื่องนี้ใหม่แทบทั้งเรื่องครับ
คนอ่านเก่า ๆ อาจจะอ่านไม่ลื่นไหลขอโทษครับ
ผมว่าภาษากับเนื้อเรื่องมันแปลกๆ
แต่ก็อาจจะยังมีโครงเดิมอยู่บ้าง
จะติดตามต่อก็ได้
จะลบก็ได้ไม่ว่ากันจริงๆ ครับTT
Contact me
#ไม่ชอบหวาน
-Lafinz-
ข้อความที่โพสจะต้องไม่น้อยกว่า {{min_t_comment}} ตัวอักษรและไม่เกิน {{max_t_comment}} ตัวอักษร
กรอกชื่อด้วยนะ
_________
กรอกข้อมูลในช่องต่อไปนี้ไม่ครบ
หรือข้อมูลผิดพลาดครับ :
_____________________________
ช่วยกรอกอีกครั้งนะครับ
กรุณากรอกรหัสความปลอดภัย
ม้า แบบนี้เราอ่านแล้วนึกถึงม้าเป็นตัวๆเลย .-.