ลำดับตอนที่ #3
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : 03 : ผมก็หวงของผม
หมี่ไม่ได้เนิร์ด
⭐
03 : ผมก็หวงของผม
"ไอ้หมี่ชั่ว! เฮ้ยพวกมึง! ไปจับตัวไอ้หมี่ไว้อย่าให้มันหนีไปได้"
มันเป็นคำสุดท้ายที่หมี่ได้ยินก่อนที่เพื่อนจะเข้ามาล็อกแขนเขาไว้ทั้งสองข้างจนขยับไปไหนไม่ได้ "อะไรของพวกมึง"
"มึงจะไปไหนอีกแล้ว ไปได้ทุกวี่ทุกวัน เลิกเรียนปุ๊บหายปั๊บ บาสก็ไม่ยอมมาเล่น"
ไอ้คนผมโล้น หรือมีชื่อทรงเพราะ ๆ ว่าสกินเฮดเอ่ยถามหมี่ โดยมีอีกสองชีวิตล็อกแขนทั้งสองข้าง ทำอย่างเขาเป็นนักโทษหนีคดีอย่างนั้นเลย
"กูจะไปหาปุยเมฆ" คนตัวสูงที่สุดในกลุ่มพูด พร้อมกับใช้สายตามองไปยังเพื่อนทั้งสองอย่างเอาเรื่อง ไม่นานแขนที่เคยถูกพันธนาการก็คลายออกไป
"ปุยเมฆ? พี่ตี๋ที่ร้องเพลงร้านบุฟเฟต์อะนะ?"
"เออ"
"นี่มึงไปสืบจนรู้จริงดิว่าพี่เขาเรียนที่ไหนอะ?"
หมี่พยักหน้ารับอีกครั้ง มันไม่เคยมีอะไรเกินความสามารถของนายโกเมนทร์ไปได้หรอก ยิ่งถ้าเรื่องนั้นเป็นเรื่องปุยเมฆด้วยแล้ว หมี่ถวายชีวิตได้เลยพูดแค่นี้
"เอาหลาว ๆ หว่างเวิดแหล่วนิ"
"กูกราบเลยนะไอ้ซี้ด"
"อนุโมทนา สาธุนะโยม"
"พ่อง! กูหมายถึงขอให้มึงเลิกพูดภาษาบ้านมึงสักทีโว้ย!"
หมี่ยืนมองเพื่อนเถียงกันไร้สาระแล้วก็ได้แต่ส่ายหัว ไอ้ฮาซี้ดเป็นคนใต้ แน่นอนแค่ภาษากลางยังไม่มีใครฟังมันพูดรู้เรื่อง ยังจะเสือกพูดภาษาบ้านตัวเองอีก ทำไมเขาต้องมาศีลเสมอกับพวกบ้าพวกนี้ด้วยวะ
"กูบอกว่ากูเป็นห่วงมันนิ"
"มันนิที่เป็นเพลงเจสซี่เจปะ?"
"ไอ้สัด นั่นมันมันหนี่ มันหนี่ มันหนี่"
"วีดอนท์นี้ดยัวร์มันหนี่ มันหนี่ มันหนี่"
เออ เอาเข้าไป...
"พอ! เล่นตลกเป็นสามช่าเลยพวกมึงอะ" ไอ้ผมสกินเฮดมันขัดเพื่อนขึ้นมาอีกครั้ง หมี่รู้สึกขอบคุณมาก นึกงงตัวเองแล้วว่าเป็นเพื่อนกับพวกมันมาได้ยังไงเกือบหกปีวะเนี่ย
"ใจคอนี่มึงจริงจังแล้วใช่ปะวะ กับคนนี้อะ?"
โดนยิงคำถามมาแบบนั้นหมี่เองก็ยืนนิ่ง ถ้าถามว่าจริงจังไหมก็คงจะบอกว่าจริงจังมาก ไม่เคยรู้สึกถูกชะตากับใครจนอยากจะจีบเหมือนคนนี้เลย
"มึงยังจะถามนะไอ้เอ๋ง แม่งเล่นตามจีบพี่เขาขนาดนี้แล้ว คนห่าอะไรวะกินหมูกระทะได้ทุกอาทิตย์"
พอพวกมันเริ่มพูดถึงปุยเมฆ ใบหน้ารั้น ๆ นั่นก็ลอยขึ้นมาทันที มันทำให้หมี่นึกไปถึงปากอูม ๆ นั่น คิ้วหนา ๆ กับตาตี่ ๆ ที่ถึงจะเบิกโตแค่ไหนมันก็ไม่เคยจะโตขึ้นมาแม้แต่นิด วันแรกที่เจอที่ร้านหมูกระทะก็แค่สนใจว่านักร้องที่ไหนทำไมเสียงเพราะจัง มันก็เลยกลายเป็นต้นเหตุให้ร้านบุฟเฟต์ร้านนี้ กลายมาเป็นตัวเลือกแรกเสมอเวลาที่เพื่อนชวนกันไปกิน จากตอนแรกที่ก็แค่ชอบเสียงเกากีตาร์เพราะ ๆ นั่นอย่างเดียว ไป ๆ มา ๆ ก็ชอบคนร้องเข้าด้วยซะอย่างนั้น
วันนั้นที่ส่งจดหมายขอเพลงไปเต๊าะ ก็แค่อยากรู้ว่าอีกคนจะทำหน้ายังไง พอมันเป็นปฏิกิริยาที่ค่อนข้างตรงกับที่คิด แบบนั้นก็เลยยิ่งชอบจนอยากจะแกล้งให้ทำหน้าแบบนั้นบ่อย ๆ ปุยเมฆทำให้หมี่ไม่เป็นตัวของตัวเองขนาดนี้ หมี่ก็จะไม่ยอมปล่อยให้ปุยเมฆไปเป็นของใครเหมือนกัน ด้วยเกียรติของนักธรรมชั้นเอกเลยครับพระอาจารย์
"เอางี้ ไหน ๆ ก็เป็นคนแรกในรอบร้อยปีที่ไอ้หมี่มันปิ๊ง พวกเรามาช่วยมันจีบพี่เขากันดีกว่า"
"ยังไงวะ?"
"อืม...เอามุกไปจีบพี่เขาป้ะ บอกเลยว่ากูอะระดับเซียน"
ขอร้องเลย...หมี่ฉิบหายทุกครั้งที่พวกนี้บอกว่าจะช่วย
"ลองนะ อะแฮ่ม! คนสวยจ้ะ รู้ไหมว่าเธอเปรียบเหมือนอวัยวะที่คอยขับไล่สิ่งที่ไม่ดีออกไปจากชีวิตพี่เลยนะจ้ะ"
"อะไร?"
"ลำไส้ใหญ่"
สัด...
"ถุย! เปรียบเขาเป็นลำไส้ใหญ่เนี่ยนะ! เดี๋ยวมึงฟังของกู"
"จัดมา"
"คนสวยจ้ะ รู้ไหมว่าเธอเปรียบเหมือนอวัยวะที่คอยขับเคลื่อนชีวิตของพี่ให้ก้าวไปข้างหน้าเลยนะจ้ะ"
"อะไรวะ?"
"ส้นตีน"
เค...
"ฮ่า ๆ ส้นตีนมึงก็ไม่ต่างจากลำไส้เลยไอ้สัด ของกูบ้าง ๆ"
"ไหนว่ามาซิ"
"คนสวยจ้ะ รู้ไหมว่าเธอเปรียบเหมือนสิ่งที่เข้ามาเพิ่มสีสัน ให้โลกที่มีแต่สีดำของผมได้มีสีใหม่"
"มันคือ?"
"ผมหงอก"
จบแล้ว
หมี่คงโดนพี่เมฆไล่ถีบตั้งแต่ลำไส้ใหญ่
ไอ้พวกบ้าที่ยิงมุกใส่กันหัวเราะลั่น แต่ละอย่างที่พวกมันคิดมานี่ดี ๆ ทั้งนั้น "พอกันทั้งหมดเลยพวกมึงอะ"
นายหมี่ซั่วส่ายหัวเอือม ๆ ก่อนจะก้าวขาขึ้นพาดนินจาคันโปรด เขาไม่ฟังเสียงนกเสียงกาที่ไล่ตามมานั่นอีกแล้ว ก็คงจะเป็นไอ้พวกนั้นที่หาเรื่องมาถ่วงเวลาหมี่เหมือนเดิมนั่นแหละ
เสียเวลาจริง ๆ
คาวาซากินินจาสี่ร้อยโลดแล่นไปตามท้องถนน มุ่งหน้าสู่ที่ ๆ นึงที่มีหัวใจของหมี่อยู่ที่นั่น ไม่ได้เวอร์เลยนะ ปุยเมฆเป็นเหมือนหัวใจของหมี่จริง ๆ คนอะไรวะน่ารักชะมัด ยิ่งเวลาที่ปุยเมฆด่าหมี่นี่น่ารักคูณสองเลย ..
น่ารักโคตร ๆ
ลมเย็น ๆ พัดมาพร้อมกับกลิ่นขนมครกใบเตยของป้าที่ตั้งร้านอยู่ข้าง ๆ มันยั่วยวนคนที่ยังไม่กินมื้อเที่ยงได้ดีเลยทีเดียว เมฆปักหลักรอรถเมล์อยู่ที่ป้ายเหมือนเดิม ห้ามใจแล้วห้ามใจเล่าว่าจะไม่เดินเข้าไปซื้อขนมครกนั่นเด็ดขาดเพราะจะเก็บเงินไว้ไปซื้อทาร์ตไข่แถวบ้าน ซึ่งสายนี้ก็ไม่เคยจะเป็นใจเลย ชั่วโมงละคันที่แท้จริง
"พี่หิวเหรอครับ"
เสียงที่ดังขึ้นข้างหลังมันทำให้เมฆหันไปมองโดยอัตโนมัติ แล้วมันก็เป็นไอ้เด็กคนนั้นจริง ๆ ไอ้เด็กคนนั้นที่ไม่รู้ว่าไปเอาเวลาว่างจากไหนนักหนามาตามเขา
"มาทำไมเนี่ย?"
"ทำไมถามอย่างนั้นล่ะครับ พี่ไม่อยากเจอผมเหรอ"
ก็เออน่ะสิ
สาบานว่าถ้าพูดแบบนี้มันคงทำหน้างอ
ไอ้เด็กแว่นที่ใส่ชุดนักเรียนเนี้ยบเป๊ะเดินมานั่งข้าง ๆ เขา เสื้อล็อกในเรียบร้อยแม้นอกเวลาเรียนเหมือนเดิม ถุงเท้าก็ยาวได้มาตรฐาน รองเท้าก็ไม่เหยียบส้น แลดูเป็นเด็กที่อยู่ในโอวาทแต่ทำไมความกวนตีนนี่มีเยอะจัง
"มองทำไมครับ ผมหล่อเหรอ?"
คงจะเป็นตอนที่คำถามนั้นดังขึ้นมาเมฆถึงได้รู้ตัวว่าเผลอจ้องมันนานเกินไปแล้ว "มะ...ไม่ใช่สักนิดเหอะ!"
หลงตัวเองก็ที่หนึ่งเลย
"ฮ่า ๆ ไม่ต้องปฏิเสธหรอกครับ ผมเป็นของพี่อยู่แล้ว จะมองทั้งวันยังได้"
ของเขาอะไรกันวะ! ขี้มโนจริงเด็กคนนี้
เมฆถอนหายใจฟึดฟัด ตอนนั้นเองที่เด็กข้างกายหยัดตัวลุกขึ้น ซ้ำยังคว้าเอาแขนเมฆไปจับไว้อย่างถือวิสาสะอีกด้วย
"ไปกันเถอะครับ ผมหิวแล้ว"
เพราะคำว่าหิวของมันที่ทำให้เมฆเลิกคิ้วสูง "หิว? แล้วเกี่ยวอะไรกันวะ มึงก็ไปกินสิ"
เด็กมอปลายยกยิ้มอีกแล้ว แต่เมฆยังคงขมวดคิ้วยุ่ง เขายังไม่ได้บอกสักหน่อยว่าจะไปกับมันน่ะ ได้ไปส่งวันเดียวชักจะได้ใจใหญ่แล้ว
"พาไปกินหน่อยสิครับ ผมไม่รู้จักแถวนี้เลย พี่เมฆไม่กลัวผมโดนฉุดเหรอ"
อีกคนว่าพร้อมกับทำท่าทางเป็นหมาหูตก แต่ว่าหมอนี่น่ะนะจะโดนฉุด ตัวอย่างกับเด็กยักษ์แบบนี้คงจะฉุดไหวอยู่หรอก
"นะครับ พาหมี่ไปหน่อยนะ"
มาลูกอ้อนอีกแล้ว แต่จะไม่ว่าอะไรเลยถ้ามันไม่เอาหัวมาถู ๆ ที่แขนเขาเหมือนหมาอ้อนกินข้าว ไหนยังจะทำปากแบบนั้นกับตาหง็อย ๆ นั่นอีก
"เออ ๆ ไปก็ไป!"
แล้วรู้ไหม
เมฆน่ะแพ้อะไรแบบนี้ที่สุด...
คนโดนตามใจฉีกยิ้มร่า ขายาว ๆ ก้าวนำไปแล้วซึ่งเมฆเองก็ทำได้แค่เดินตามเงียบ ๆ มันตรงมาที่มอเตอร์ไซค์คันเดิม แต่วันนี้มีหมวกกันน็อกเพิ่มอีกใบจากเมื่อวานที่มีแค่ใบเดียว และมันยื่นมาให้เขา...เตรียมมาขนาดนี้เลยเหรอเนี่ย
"หมวกกันน็อกใบแรกของผมเลยนะเนี่ย รักมากเลยด้วย" เจ้าของส่วนสูงเลยหัวเมฆพูดขึ้น ซึ่งเขาเองก็ได้แต่หรี่ตามองมันอย่างจับผิด
หมวกกันน็อกสีชมพูขนาดนี้น่ะเหรอจะเป็นของผู้ชาย แต่ว่าก็น่าจะใช่จริง ๆ เมื่อพลิกมาดูด้านในแล้วมันมีชื่อของใครสักคนปักอยู่ด้วย
'หมี่ซั่ว'
"ชื่อหมี่ซั่วเหรอ?" เมฆถามทั้งที่ยังคงมองไปที่ตัวหนังสือตรงหน้าอยู่
"ครับ น่ารักป้ะ?" เด็กโย่งเจ้าของหมวกถามแบบนั้นกับหน้าทะเล้น ๆ ของมัน เมฆเบ้ปากใส่เจ้าตัวไปหนึ่งทีก่อนเด็กหมี่จะฉีกยิ้มกว้างกลับมาจนเห็นฟันครบทุกซี่ "ผมชื่อหมี่ซั่ว แม่ตั้งให้คล้องกับพี่สาวที่ชื่อข้าวจี่"
ข้าวจี่กับหมี่ซั่วงั้นเหรอ...
ไม่เข้ากันสักนิดแต่ก็ .. น่ารักดี
"ชื่อเข้ากับพี่สาวน่ะไม่ดีใจแล้ว แต่ชื่อเข้ากับใครคนนึงนี่สิ โคตรดีใจเลย"
"ใครเหรอ?"
"พี่ไงครับ"
เพราะรู้ว่ามันกำลังจะหยอดอะไรอีกแล้วมันเลยทำให้เมฆคิ้วขมวดยุ่ง ชื่อมันกับเขางั้นเหรอ หมี่กับเมฆ...
"เนี่ย เนื้อคู่ชัด ๆ แค่ชื่อก็เหมือนเกิดมาเพื่อกันและกันแล้ว"
เพ้อเจ้อ แค่มอม้าเหมือนกันเนี่ยนะ แบบนั้นเขาไม่เป็นเนื้อคู่กับคนที่ชื่อมอม้าทั้งโลกเลยหรือไง คิดอะไรที่คนอื่นเขาไม่คิดกันอีกแล้ว
"ไปเถอะครับ ผมมีเรียนพิเศษตอนทุ่มนึงด้วย"
เมฆขานรับในลำคอเป็นครั้งสุดท้าย มองเด็กมอปลายที่ก้าวขาขึ้นพาดบิ๊กไบค์อย่างคล่องแคล่ว บังคับมันออกมาจากที่จอดอย่างกระฉับกระเฉง
บอกตรงนี้เลยว่าใครเห็นมันตอนนี้ก็คงต้องมีหยุดมองกันบ้างโดยเฉพาะสาว ๆ ชุดนักเรียนมัธยมกับบิ๊กไบค์สีดำขลับนี่มันก็เข้ากันดีชะมัด ไหนจะขายาว ๆ กับหมวกกันน็อกสีดำเท่ ๆ นี่อีก แต่อย่าให้ถอดมันออกมาเชียว มีแต่ความกวนตีนแบบทะเล้น ๆ ทั้งนั้นเลย
//
จากที่โดนเด็กโย่งอ้อนขอให้พามากินข้าว คนอย่างเมฆก็คงจะไม่รู้จักหรอกนะไอ้ร้านอาหารดี ๆ น่ะ จะรู้จักก็แค่ตลาดนัดข้างทางนี่แหละที่เมฆเองก็ฝากท้องไว้ที่นี่ตลอด
"กินข้าวข้างทางได้นะ?" เป็นเมฆที่หันไปถามเด็กตัวสูงที่ยืนอยู่ข้างกายอีกครั้ง หมอนั่นไหวไหล่เล็กน้อยก่อนเมฆจะเป็นคนเดินนำเข้าไปข้างใน
เนื่องด้วยมันก็เริ่มจะมืดแล้ว แน่นอนคนมันก็แน่นนิดหน่อยเพราะเป็นช่วงเวลาเลิกงาน เด็กช่างเดินนำเด็กมัธยมช้า ๆ ดูมันไม่ค่อยจะคุ้นกับตลาดนักสงสัยจะไม่เคยเดิน แหงล่ะ ดูท่าทางลูกคุณหนูขนาดนั้นนี่นา
"เอาทาร์ตไข่สี่ชิ้นครับ"
คนคุ้นเคยเส้นทางตัดสินใจเดินมาทำธุระของตัวเองก่อนนั่นก็คือการซื้อของโปรดอย่างทาร์ตไข่ร้านประจำ เมฆกินมันจนติดแล้ว กินวันละสองชิ้นเพราะมันเก็บไว้ไม่ได้นานนัก วันไหนไม่ได้กินก็เลยจะเหมือนขาดอะไรไปสักอย่าง
"ร้านประจำเหรอครับ" คนที่ยืนอยู่ข้าง ๆ เอ่ยถามขึ้นระหว่างที่เมฆกำลังควักเงินขึ้นมาจ่ายป้า
"อือ ร้านนี้อยู่ใกล้สุดแล้ว"
"แล้วอร่อยสู้อันที่ผมซื้อให้รึเปล่า"
สองมือชะงักค้างไปอีกครั้ง พลางก็นึกไปถึงพอดีว่าหมอนี่ชอบซื้อทาร์ตไข่มาให้เขาเหมือนกัน แต่ว่านะ มันจะไปสู้อันนั้นได้ยังไงกันล่ะ นั่นมันทาร์ตไข่ที่ซื้อจากห้างเลยนะ ชิ้นนึงก็ตั้งเกือบสามสิบบาท กับทาร์ตไข่ในตลาดธรรมดา ๆ ชิ้นละสิบสองที่ก็ต้องต่างกันอยู่แล้ว
แต่ถ้าจะให้บอกว่าชอบของมันมากกว่าน่ะเหรอ
"อันนี้อร่อยกว่าตั้งเยอะ"
ฝันไปเถอะ...
เด็กหมี่เบะปากคว่ำไปแล้ว ทำงอนเป็นเด็ก ๆ ไปได้แต่เมฆไม่ได้สนใจ คราวนี้เขาบอกให้มันเดินนำ อยากกินอะไรก็ดูเอาจะได้ซื้อ แอบเห็นว่าไอ้เด็กเนิร์ดมันปล่อยชายเสื้อให้หลุดออกมานอกกางเกงแล้ว เหงื่อไหลท่วมแผ่นหลังเห็นชัดออกมาจากเสื้อนักเรียนสีขาวสะอาด ท่าทางจะขี้ร้อนน่าดู แต่อากาศมันก็พอ ๆ กับร้านหมูกระทะรึเปล่า ขี้ร้อนขนาดนี้ยังจะพาตัวเองไปได้ทุกอาทิตย์
เด็กโง่...
"เอาไส้กรอกสองไม้ครับ"
เวลาผ่านไปนานแค่ไหนไม่รู้ รู้แค่ว่าเด็กโย่งมันซื้อของกินมาเต็มไม้เต็มมือไปหมด มีทั้งยำวุ้นเส้น ก๋วยเตี๋ยว โดนัท ล่าสุดนี่ก็ลูกชิ้นปิ้งกับไส้กรอก หิวหรืออดอยากมาจากไหนวะเนี่ยถามจริง
"มีเวลาเหลือครึ่งชั่วโมง ไปหาที่นั่งกินก่อนได้ไหมครับ"
ใบหน้าเปื้อนเหงื่อหันมาถามเมฆอีกครั้ง แล้วเขาจะทำอะไรได้อีกนอกจากพยักหน้ารับ มาด้วยขนาดนี้แล้วนี่
ทั้งสองชีวิตเดินมาจนถึงม้าหินอ่อนพัง ๆ ตรงที่จอดรถ ข้าวของมากมายถูกวางลงบนนั้นก่อนเจ้าของร่างโย่ง ๆ จะหย่อนตัวลงนั่ง แล้วเริ่มลงมือจัดการกับของกินที่ตัวเองซื้อมาทีละอย่าง
เมฆเห็นมันยกแขนเสื้อนักเรียนขึ้นเช็ดหน้าอยู่หลายหน ดูจากเหงื่อที่ไหลมาจนเกือบจะถึงหางคิ้วนั่นคงจะรำคาญน่าดู แบบนั้นเขาก็เลยล้วงไปหยิบผ้าเช็ดหน้าผืนโปรดออกมาจากเป้แล้วยื่นไปให้
"เช็ดหน้าก่อนไหม เหงื่อไหลท่วมแล้ว"
ร่างตรงหน้าชะงักไปเล็กน้อย มันยังคงจ้องมาที่ผ้าในมือเมฆด้วยสีหน้างง ๆ เห็นอย่างนั้นเขาก็เลยเอื้อมไปยัดใส่มือมันเสียเลยจะได้จบ ๆ
"ขอบคุณนะครับ"
เสียงนุ่ม ๆ นั่นพูดในขณะที่ยกผ้าของเมฆขึ้นเช็ดหน้า แต่ทำไมมันต้องมามองหน้าเขาแล้วก็ยิ้มนี่สิ ท่าจะบ้าแฮะ
"ผมต้องคืนผ้าไหมครับ?"
"คืนสิ คนสำคัญให้มาเลยนะ"
ว่าแล้วก็แย่งมันคืนมาทันที เด็กตรงหน้าเบะปากคว่ำไปแล้ว ตอนนั้นนั่นแหละที่เมฆต้องคิ้วขมวดยุ่ง เขาพูดอะไรผิดไปงั้นสินะ "ทำหน้าอะไรอย่างนั้น?"
"เปล่าครับ แค่รู้สึกหึงขึ้นมา"
"หึง?"
"ครับ หึงคนสำคัญของพี่อะ"
ให้ตาย...คนสำคัญที่ว่านี่คือน้องสาวต่างหากล่ะเด็กบ๊อง
"ไร้สาระ รีบกินเดี๋ยวก็ไปเรียนไม่ทันหรอก" เมฆตั้งใจจะผลักประเด็นนี้ออก ถึงลึก ๆ จะนึกขำมันแค่ไหนก็เถอะนะ ผู้ชายอะไรคิดเล็กคิดน้อยเก่ง
"ไม่กินแล้วได้ไหมอะ กินไม่อร่อยแล้ว"
"อย่ามางอแงนะหมี่ อาหารไม่ใช่บาทสองบาทอย่ามาทิ้ง ๆ ขว้าง ๆ"
เห็นเด็กโย่งเริ่มจะดื้อเมฆก็เลยดุ เกิดมาในครอบครัวที่พ่อแม่ให้เงินใช้เต็มที่ก็ดีแค่ไหนแล้ว ไม่เหมือนเมฆที่ต้องคอยจำกัดงบของตัวเองในแต่ละมื้อ การจะมาซื้อของกินทุกอย่างที่อยากกินเลยเป็นเรื่องที่ไม่มีทางเกิดขึ้น
"พี่ทำให้ผมคิดมากนะรู้ไหม"
เจ้าของปากคว่ำ ๆ นั่นพูดขึ้นมาอีกแล้ว เมฆนั่งมองมันอยู่ตรงนี้ มองเด็กตรงหน้าที่กำลังจ้องมาที่เขาไม่วางตา กับใบหน้าที่เหมือนผิดหวังจริงจังของมันแต่มุมนึงก็ดูเจ้าเล่ห์
"เนี่ย หวงพี่เพิ่มขึ้นไปอีกเท่าตัวเลย"
แล้วมันก็เป็นคำนั้นที่ทำให้เมฆกัดปากตัวเองแน่น
สองตาหลุบต่ำลงมองพื้นเพื่อหนีสายตาที่กำลังมองมา อุตส่าห์บอกตัวเองมาตลอดว่าอย่าแพ้มุกตื้น ๆ ของเด็กเมื่อวานซืนคนนี้ แต่ตอนนี้กลับไม่เป็นแบบนั้น
"หยุดพูดแล้วกินเข้าไป"
คิดจะเล่นอะไรของมันกันนะ...
"ถ้าพี่ไม่อยากให้ผมคิดมากพี่ต้องให้ผมไปส่งนะ"
ตีหน้างอนก็เก่งที่หนึ่ง โมเมก็เก่งที่หนึ่ง แล้วนี่อะไร หาเรื่องไปส่งเขาอีกแล้ว พ่อแม่รู้คงจะภูมิใจที่ลูกชายใส่ใจเรื่องของคนอื่นเก่งขนาดนี้ แล้วถามว่าเมฆปฏิเสธอะไรได้บ้างงั้นเหรอ
"อือ .. จะไปก็ไป"
ไม่มี...
⭐
"ไอ้เมฆ กูขอยืมสรุปของมิสปิ่นหน่อยดิ กูขี้เกียจอ่านทั้งเล่มอะ"
"เรื่องอะไร ไปอ่านเอาดิกูยังอ่านเลย"
"โหย นะเมฆน้า ให้เค้ายืมหน่อยน้า"
"ขอร้องเลยนะแฮม"
เมฆดุคนที่ตัวก็โตเป็นเดอะฮัค มากอดแขนออดอ้อนแถมยังใช้น้ำเสียงเหมือนคนตัวเล็ก ๆ แบบนั้นอีก มันคิดว่ามันน่ารักเหรอเมฆถามจริง
"เอาไป"
"ตัวเองใจดีง่า รักเค้าล่ะสิตามใจขนาดนี้"
"รำคาญ!"
เหนื่อยจะพูดกับมันแล้ว เข้าฤดูสอบแล้วยังเอาแต่เที่ยวอยู่ได้ แบบนี้ไงถึงต้องลงรีเกรดทุกเทอม แทนที่จะได้เอาเวลาปิดเทอมไปพักดันต้องมาเรียนซัมเมอร์ บทเรียนก็มีให้เห็นแต่ไม่ยักกะจำ
"เพื่อเป็นการตอบแทนเดี๋ยววันนี้กูไปส่งที่หอโอเคไหม" เพื่อนตัวโย่งเก็บสรุปของเมฆใส่เป้ก่อนจะหันมาพูด
ทีนี้ล่ะเห็นเป็นบุญคุณ
"จะมีสักครั้งไหมที่มึงทำอะไรจากจิตสำนึกอะ"
"มีดิ รักมึงไง เนี่ยจากจิตสำนึกเลยนะที่รัก"
เชื่อตาย...ถ้าเขาไม่ให้ยืมสรุปมันก็คงไม่ยอมไปส่งหรอก
แล้วไอ้ที่รงที่รักเนี่ย บอกกี่ครั้งว่าห้ามเรียกก็ไม่เคยฟัง ยิ่งโดนเพื่อนผู้หญิงยุหน่อยยิ่งเอาใหญ่ คิดอะไรอยู่มาจับคู่ให้เขากับไอ้หมูแฮมเนี่ย ขนลุก!
คาบสุดท้ายหมดลงไปแล้ว สองชีวิตในชุดนักศึกษาพาตัวเองออกไปจากตรงนี้ โดยเมฆตั้งใจจะไปรอมันข้างหน้าตรงทางเข้าในระหว่างที่หมูแฮมมันวกกลับไปเอามอเตอร์ไซค์ที่โรงจอดรถ
อาจจะเป็นเพราะความเคยชินมันเลยทำให้เมฆมองไปที่ป้ายรถเมล์ก่อนเป็นอันดับแรก ที่นั่งตรงนั้นมันว่างเปล่า แล้วก็เป็นตอนนั้นที่คำพูดของเด็กเมื่อวานซืนลอยขึ้นมาในหัว คำพูดที่มันพูดเจื้อยแจ้วตลอดทางเมื่อวานตอนไปส่งเมฆ
'ผมไปรอพี่ทุกวันเลยนะ ที่ป้ายรถเมล์อะ'
'ว่างเนอะ เอาเวลาไปสนใจเรียนไหม'
ไหนบอกว่ามารอกันทุกวันไง
'ผมไม่มีกะจิตกะใจไปสนใจอะไรหรอก ตราบใดที่ปุยเมฆยังไม่สนใจผมอะ'
'สิบปี รอไหวก็รอไป'
'โหย สิบปีก็รอพูดแค่นี้ แต่สิบปีปุ๊บต้องยอมเป็นแฟนเลยนะ'
ขี้โม้ชะมัด ..
"มองหาใครเหรอครับ"
เสียงของใครบางคนดังขึ้นที่ข้างหู เพราะว่าเผลอคิดอะไรเพลิน ๆ เลยสะดุ้งสุดตัวจนต้องยกมือขึ้นมาทาบอก
"เฮ้ย!"
โผล่มาจริง ๆ เหรอเนี่ย?
"ตกใจเหรอครับ ขอโทษนะ ผมแค่ไปซื้อขนมครกใบเตยให้เจ๊" มันพูด แล้วก็ยิ้มอยู่ใต้แว่นกลม ๆ ของมันนั่นแหละ "แล้วมองหาใครอยู่เหรอครับ มองหาผมรึเปล่า?"
"ไม่"
"ว้า หมี่เสียใจนะเนี่ย"
ขอร้องเลย .. มาหม่งมาหมี่ คิดว่าน่ารักมากไหมตอบ
"กลับบ้านกันที่รัก!"
เสียงของเพื่อนสนิทเมฆดังขึ้น พร้อม ๆ กับที่มันขับพีซีเอ็กซ์คันโปรดมาหยุดอยู่ข้าง ๆ แต่ทันทีที่เห็นว่าเมฆไม่ได้ยืนอยู่คนเดียวไอ้คนตัวสูงก็ชะงักกึก
"อ้าว แล้วเด็กที่ไหนวะเนี่ย?"
เมฆหันไปมองเด็กแว่นตรงหน้าอีกครั้ง มันกำลังยืนนิ่ง สายตาของมันมองเมฆสลับกับหมูแฮมไปมา ถ้าให้เดามันก็คงกำลังตกใจกับคำว่าที่รักที่ไอ้เพื่อนจอมกวนมันเรียกเขาไปสักครู่นี่แหละ
"ถามไม่ตอบด้วยเว้ยเฮ้ย"
แล้วมันก็เป็นเมฆเองที่เริ่มจะรำคาญเพื่อนตัวเองขึ้นมาเสียอย่างนั้น "แฮม มึงกลับเลยไม่ต้องไปส่งกูแล้ว"
"อ้าว ได้ไงอะ ก็มึงบอกเองว่าจะให้กูไปส่งอะ"
"เออ เอาไว้วันหลังละกัน"
เขาดันไอ้เพื่อนตัวยุ่งให้ขับรถออกไปจากตรงนี้ได้แล้ว ถึงจะงง ๆ แต่เจ้าตัวก็ยอมทำตามในที่สุด ตอนนี้ตรงนี้ก็เลยเหลือแค่เมฆกับเด็กหน้าหง็อยคนนึงเท่านั้น
"ยืนนิ่งทำไม จะไปส่งไหม?" พูดเพราะรู้สึกว่าเด็กตรงหน้ามันเริ่มจะนิ่งแปลก ๆ เจ้าของแว่นกลมที่สูงกว่าเมฆพยักหน้ารับ ก่อนจะเดินนำไปที่รถคันเดิมที่จอดอยู่ใกล้ ๆ ป้ายรถเมล์
"พี่คนนั้นเขาเป็นใครเหรอครับ"
"หือ?"
"ทำไมต้องเรียกปุยเมฆว่าที่รักด้วย"
นั่นไง...นี่มันสนใจคำนั้นจริง ๆ ด้วยสินะ
"เพื่อนน่ะ มันก็เรียกของมันไปงั้นแหละอย่าไปสนใจ"
"ไม่สนใจได้ไงครับ"
"..."
"ผมก็หวงของผมนะ"
บ้าบอ...
มันเป็นอีกครั้งที่เมฆต้องส่ายหัวเนือย ๆ เด็กนี่ทำจริงจังเกินไปแล้ว เมฆไปเป็นของมันตั้งแต่เมื่อไหร่กัน แต่จะมองอีกมุมนึงมันก็ดันน่าแกล้งขึ้นมาซะงั้น
"ไปได้แล้ว ช้ากว่านี้จะโทรตามมันกลับมาให้ไปส่งแทน" เมฆแกล้งพูดไปแบบนั้น เด็กตรงหน้าพยักหน้ารับหงึกหงักก่อนจะวิ่งไปที่รถโดยเร็วที่สุด ราวกับกลัวว่าถ้าช้ากว่านี้เมฆจะเปลี่ยนใจอย่างนั้นเลย
ตลกดี...
ครั้งแรกเรามักจะตีค่ามันเป็นความบังเอิญ แล้วอีกหลายครั้งที่มันเกิน จะนับเป็นความบังเอิญได้อีกรึเปล่า...
เมฆได้นั่งรถคันนี้อีกครั้ง กลับมายังเส้นทางเส้นเดิมกับคนขับคนเดิม รถจักรยานยนต์จอดนิ่งสนิทแล้ว เมฆขอบคุณมันเบา ๆ ก่อนจะเดินหนีเหมือนทุกครั้ง แต่ก็จะโดนเด็กคนเดิมเรียกเอาไว้อีกทุกรอบ
"พี่เมฆครับ"
"ว่า?"
"พี่จะไม่บอกจริง ๆ เหรอว่าพักอยู่ห้องไหน"
คนโดนถามยืนคิ้วขมวดยุ่ง เด็กนี่จะรู้ห้องเขาไปทำไมกัน ถามจี้ตั้งแต่คราวนั้นแล้ว "ไม่บอกหรอก แล้วก็ไม่ต้องจุ้นไปตามหาล่ะ"
ออกจะเป็นคำสั่งมากกว่าประโยคขอร้อง เด็กหมี่ยกยิ้มอีกแล้ว ยิ้มแบบที่เมฆเห็นแล้วหงุดหงิดที่สุด คนอายุเยอะกว่าหันหลังเดินออกมาจากตรงนั้น มุ่งหน้าสู่ห้องนอนรูหนูหมายเลยหกหนึ่งสี่ วางเป้ไว้บนเตียงลวก ๆ และจบลงด้วยการออกไปเก็บผ้าที่ตากไว้นอกระเบียงเช่นทุกวัน
แต่วันนี้กลับไม่เหมือนเดิม...
มันเป็นตอนที่เมฆมองลงไปข้างล่าง เด็กผู้ชายในชุดมอปลายคนนึงกำลังยืนพิงบิ๊กไบค์ของมันแล้วมองขึ้นมาทางนี้ก่อนจะโบกมือให้เขาพร้อมกับใบหน้ายิ้ม ๆ
เจ้าของห้องคว้าผ้าที่ตากไว้กลับเข้ามาฟึดฟัด ถ้าเขาไม่ได้สายตาสั้นหรือการมองเห็นผิดเพี้ยน เมฆว่าเมฆอ่านคำพูดจากปากที่พูดขมุบขมิบของมันได้ชัดแจ๋ว
'ฝันดีนะครับ'
เป็นครั้งแรกเลยที่เมฆมั่นใจว่าตัวเองจะต้องฝันร้ายแน่ ๆ ..
tbc.
ผมว่าเรื่องนี้มันคงไม่มีอะไรแล้วนอกจากนายหมี่จีบพี่เมฆ
เชื่อปะ
:)
lafinz
☁
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น