ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Valhalla And The Stone Of Zodiac

    ลำดับตอนที่ #6 : พระจันทร์สีเลือด

    • อัปเดตล่าสุด 18 พ.ค. 49


            ณ ดินแดนอันห่างไกล แนวหินหกเหลี่ยมค้ำไว้ด้วยเสาร์หินเล็กๆ ทอดยาวไปสู่

    ดินแดนที่อยู่สูงเหนือที่ใดบนโลก 
    "ภูผาห้วงมรรคา"

    ดินแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งเซียนกึ่งเทพ สถานที่อันงดงาดอันเต็มไปด้วยสายรุ้งค้ำไว้ด้วยเสาหินเล็กๆ

    อย่างไม่หน้าเชื่อว่าจาคงทนน้ำหนักได้ พื้นดินเป็นสีเขียวสดใสด้วยหญ้าอ่อนนุ่มกับใบชา

    ดอกไม้กลิ่นหอมหลากสีสรรค์สร้างความสวยงามแก่พื้นดิน ลำธารใสเล็กๆ มากมายไหลผ่านไป

    ทั่วดินแดนลอยฟ้าราวกับจิ๊กซอ อากาศบริสุทธิ์ปราศจากซึ่งสิ่งเจือปน

    มีหมอกอ่อนๆ ลอยปกคลุมดินแดนลอยฟ้าแห่งนี้ซึ่งเป็นที่อยู่ของเซียนที่ยังไม่บรรลุเป็นเทพ

    ซึ่งมีอยู่เพียง 2 องค์


           
    ณ ศาลาเล็กๆ ประดับด้วยดอกไม้หลากสีสรรค์ บนภูผาห้วงมรรคา

    หญิงผู้หนึ่งนั่งอยู่อย่างเงียบกริบ เธอเป็นหญิงสาวดูอายุไม่เกิน 25 ปี

    ทุกสิ่งทุกอย่างในตัวเธอนั้นงดงามไร้ที่ติ ผมสีดำสนิทยาวถึงเอว

    ปักด้วยปิ่นปักผมสวยงาม และเครื่องประดับผม ผมของเธอพริ้วไปตามสายลมอ่อนๆ

    เธอสวมชุดยาวกรอมเท้าสีขาวบริสุทธิ์ราวกับว่าไม่เคยเปื้อนสิ่งสกปรกมาก่อน

    กับเสื้อคลุมตัวยาวจดพื้นสีชมพูอ่อน พัดขนนกสีขาวสอดไว้ใต้ผ้าคาดเอว

    สวมรองเท้าแก้วส่องประกายระยิบระยับ และผ้าสีขาวลอยอยู่รอบตัวหญิงสาว

    พร้อมกับลูกแก้ว 4 สี 4 ลูก ราวกับคอยปกป้องเธอจากอันตรายทั้งหลายทั้งปวง

    ตาสีไข่มุกของหญิงสาวทอประกายสดใสกับแสงแดดอ่อนๆ ที่ส่องเข้ามาใสศาลาที่

    มีเพียงหลังคา ที่นั่ง และดอกไม้หลากสี  หญิงสาวผู้นี้คือเซียนกึ่งเทพ

    "ธิดาแก้ว หลิน เซียนกู่" เธอกำลังมองดูลูกแก้วทั้ง 4 ที่กำลังส่องแสงอยู่

    พร้อมกับรอยยิ้มอันแสนงดงาม



           
    ตอนนั้นเองหญิงคนหนึ่งก็ปรากฏกายขึ้นที่หน้าศาลา

    เธอเป็นหญิงสาวที่ดูอายุไม่เกิน 25 ปี ทุกสิ่งทุกอย่างในตัวเธอนั้นสง่างามไร้ที่ติ

    เช่นเดียวกันกับธิดาแก้ว ผมสีดำสนิทยาวถึงเอวถักเป็นเปียสวยงาม

    ผูกเปียด้วยริบบิ้นสีแดง และเครื่องประดับผมนิดหน่อยที่เข้ากับเปียยาวของเธอ

    เธอสวมชุดกิโมโนสั้นถึงเข่าสีแดงประดุจเปลวเพลิงกับเสื้อคลุมตัวยาวจดพื้นสีขาวบริสุทธิ์

    และสวมรองเท้าแก้วส่องประกายระยิบระยับเช่นเดียวกันกับธิดาแก้ว

    ตาสีดำสนิทของหญิงสาวคมกริบราวกับจะเจาะทะลุทะลวงทุกอย่าง

    หญิงสาวผู้นี้คือเซียนกึ่งเทพ
    "ธิดาแห่งศาสตราวุธ โคโนเอะ อันจู"

    ดูๆ แล้วการแต่งตัวของทั้ง 2 ไม่ต่างกันมากนัก



           
    "
    เป็นยังไงบ้างล่ะ ปีนี้ ?" เสียงใสไร้อารมณ์จากอันจูถามขึ้น

            "มีทั้งเรื่องดี และไม่ดีนะ อยากฟังเรื่องไหนก่อนดีล่ะ" เสียงอ่อนหวานจากเซียนกู่ตอบกลับ

            "เรื่องดีก่อนแล้วกัน" อันจู เอ่ยโดยไม่ต้องคิดด้วยซ้ำ

            "อืม ปีนี้วาลฮาลลา จะมีนักเรียนรุ่นที่ 3 หลังจากที่เว้นว่างไปนาน
    มีมากกว่า 2 รุ่นก่อนด้วยนะ ตั้ง 60 คนแน่ะ
    ^^ "

            "งั้นเหรอ แล้วเรื่องไม่ดีล่ะ"

            "..."

    __________________________________________________________________________________________

            เร็นตื่นขึ้นมาแต่เช้าตรู่ของวันอาทิตย์ ทั้งบ้านเงียบสงบ

    นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ในบ้านจะไม่มีคนอยู่ระหว่างวันเสาร์-อาทิตย์

    พี่ริวไปแข่งขันเทนนิสที่ประเทศจีน พี่หลิงไปเที่ยวกับเพื่อนๆ ตั้งแต่วันศุกร์ที่ไหนก็ไม่รู้

    (ทำตัวลึกลับจริงๆ) แน่นอนจะขาดพี่หมิวไปได้ยังไง ถ้าโดยปกติแล้วเร็นคงจะนอนเล่น

    ดูโทรทัศน์อย่างไร้อารมณ์ แต่วันนี้ไม่ใช่ เพราะวันนี้เขามีนัดไปสวนสาธารณะ

    กับเพื่อนสนิททั้ง 2 คน

            "ไปสวนสาธารณะวันอาทิตย์ตั้งแต่เช้า นายจะบ้ารึไงแดดแรงจะตาย

    ที่สำคัญไปกับผู้ชายซะด้วย นายไม่รู้จักหาผู้หญิงไปควงบ้างรึไง
    " คำบ่นซ้ำๆ ซากๆ

    จากเจ้าหยดน้ำตัวกลมตั้งแต่วันเสาร์ ยังคงเข้าหูของเร็นบ่อย จนแทบจะจำได้อยู่แล้ว

            "ถ้าไม่อยากไปนายจะอยู่บ้านก็ได้นะ" และคำพูดสั้นๆ ซ้ำๆ ซากๆ เช่นกัน
    จากเด็กหนุ่มที่กำลังแต่งตัว

            "แล้วก็ถ้าว่างนะ ช่วยไปดูตู้ไปรษณีย์ให้หน่อยสิ ถ้ามีเอาจดหมายเข้ามาด้วยนะ"

            "อย่างงี้ต้องคิดค่าแรงซะแล้ว ใช้ทุกวันจริง ถึงจะมีพลังจิตมันก็ไม่สะดวกเท่าไหร่หรอกนะ -"-"

            "แล้วก็พวกแฟนคลับของอาเจ๊เนี่ย มันมีจดหมายเยอะขนาดส่งมาได้ทุกวันเชียว ขนาดบุรุษไปรษณีย์ยังเอือม"

            ฟลูนบินไปยังตู้ไปรษณีย์หน้าบ้าน แล้วใช้พลังจิตยกซองจดหมาย
    ทั้งหมดในตู้ทั้ง 4 ออกมา (4 คน ในบ้านใช้คนละตู้) โดยไม่ให้ปนกัน ยากพอควรเลย

            เมื่อแต่งตัวเสร็จแล้วเร็นก็เดินไปตามทางเดินเข้าไปในห้องนั่งเล่น

    เก้าอี้นวม 3 ตัวแทบจะจมอยู่ใต้กองของจดหมายของพี่หลิง พี่ริว และพี่หมิว

    แน่นอนเร็นก็ไม่เคยได้จดหมายอีกตามเคย แม้จะมีตู้จดหมายเป็นของตัวเอง

            "ทำไมพวกอาเจ๊ต้องอ่านจดหมายพวกนี้ด้วยนะ ถ้าเป็นฉันล่ะก็ทิ้งหมดเลยดีกว่า น่ารำคาญ ไม่รู้ทนอ่านได้ยังไง ?"

            "พี่หลิงบอกว่า จดหมายทุกฉบับเขียนขึ้นด้วยความรู้สึกของผู้เขียนน่ะ ถ้าทิ้งก็เหมือนดูถูกเขา อะไรประมาณนี้"

            "เชื่อเขาเลย -"-"

            "รีบไปเหอะ 2 คนนั้นคงจะไปรอแล้ว"




           
    ทั้ง 2 คน ออกจากบ้านมา เป็นวันที่อากาศทึบทึม เร็นฮัมเพลงเบาๆ

    ระหว่างเดินไปตามทางที่น่าเบื่อ ขณะที่ฟลูนก็นินทาปีศาจหลายเผ่าพันธุ์ไปเรื่อยเปื่อย

    ไม่มีใครสังเกตว่าพวกเขากำลังถูกแววตาคู่หนึ่งจ้องมอง




           
     
    10 โมงครึ่ง เร็นมาถึงสวนสาธารณะโดยมีเพื่อนทั้ง 2 คอยอยู่แล้ว

    พวกเราเดินคุยกันไปอย่างอารมณ์ดี และไปหยุดที่กึ่งกลางของสวนสาธารณะ

    ที่มีน้ำพุตั้งอยู่ ห่างออกไปนั้นมีม้านั่งใต้ต้นไม้ใหญ่ พวกเขาเลือกนั่งคุยกันที่นั่น


    เวลาผ่านไปนานพอสมควร เอเริ่มหยิบหนังสือเล่มเล็กออกมาอ่าน

    ส่วนเคนก็จ้องมองไปที่น้ำพุอย่างกับว่าจะมีอะไรซักอย่างพุ่งออกมา

    พวกเขากำลังรอเร็นกับฟลูนซึ่งไปซื้อน้ำและขนมสำหรับอาหารมื้อเที่ยงของพวกเขา




           
    เมื่อเร็นเดินมาจนถึงหัวมุนทางเดินแล้วนั่นเอง เขาและฟลูนได้รู้สึกว่า

    มีอะไรบางอย่างพิกลๆ เกิดขึ้น รูปปั้นสัตว์ทุกตัวหันหัวไปในทางที่เพื่อนทั้ง 2 ของเขานั่งอยู่

    ทั้ง 2 มองหน้ากัน คงไม่ใช่หรอก แค่บังเอิญล่ะมั้ง

            "เอ นายดูนั่นสิ" เคนชี้มือไปที่คนหลายคนที่เดินผ่านไปผ่านมา

            "เสียมารยาทจริง นายอย่าเอามือไปชี้คนอื่นสิ"

            "เปล่านะ ฉันรู้สึกว่าพวกเขาแปลกๆ ยังไงก็ไม่รู้"

           



           
    ผู้คนทั้งหลายโดยส่วนใหญ่นั้นแต่งตัวแปลกๆ เหมือนกับแต่งชุดคอสเพลย์

    ไปเที่ยวงานการ์ตูนเดินผ่านไปผ่านมาจำนวนมาก หลายๆ คนกระซิบกระซาบกัน

    ด้วยท่าทางตื่นเต้นบ้าง น่าเบื่อบ้าง เศร้าบ้าง

            "มีงานการ์ตูนแถวนี้ด้วยเหรอ ?" เอถามเมื่อเร็นกับฟลูนเดินมาถึง

            "ไม่มีหรอก ถ้ามีฉันก็ต้องรู้สิ" แน่นอนสาวกการ์ตูนอย่างเร็นกับฟลูนไม่มีทางพลาดเรื่องอย่างงี้ได้หรอก พวกเขาตอบพลางมองดูผู้คนในชุดคอสเพลย์อย่างสงสัยเล็กน้อย

            ไม่กี่นาทีต่อมาพวกเขาก็พูดคุยกันถึงเรื่องอื่นๆ พร้อมๆ กับจัดการอาหารมื้อเที่ยง

    ของพวกเขา บ่ายโมงแล้ว ฟลูนเริ่มแสดงอาการน่าเบื่อออกมา

            "พวกนายทนได้ไง น่าเบื่อจะตาย ร้อนก็ร้อน >"<"

            "ง่ะ !"

            "ไม่นึกว่าอสูรชั้นสูง จะมีความอดทนน้อยนะ"

            "เอ นี่พูดตัดบทได้ทุกทีเลยนะ ฮะๆ"

            "เดี๋ยวฉันไปซื้อน้ำให้อีกก็ได้ ฟลูนไปด้วยกัน"

            แล้วเร็นก็เดินออกไปพร้อมกับฟลูนอีกครั้ง เขาดูอารมณ์ดีกว่าทุกครั้ง

    และเขาได้ลืมเรื่องรูปปั้นสัตว์กับผู้คนที่แต่งตัวแปลกๆ ไปแล้ว 

    เร็นเดินผ่านกลุ่มคนชุดคอสเพลย์ในรูปแบบชุดของคนจีนโบราณ (คงจะเป็นหนังจีน)

    ทุกคนดูอายุไม่ต่างจากเร็นเท่าไหร่นัก และยังคงกระซิบกระซาบกันอย่างตื่นเต้นอีกนั่นแหละ

    เอกับเคนเดินตามหลังมาพร้อมกับเหตุผลว่าอยู่เฉยๆ มันน่าเบื่อ 

    ตอนขากลับเมื่อพวกเขาถือแก้วน้ำเดินผ่าน เด็กสาวน่ารัก 2 คน คนหนึ่งผมสีน้ำตาลแดง

    ส่วนอีกคนผมสีดำสนิท ทั้ง 2 สาวอยู่ในชุดเครื่องแบบนักเรียนแบบญี่ปุ่น

    ทั้ง 4 หยุดยืนตัวแข็งอย่างพร้อมหน้าพร้อมใจกัน พวกเขาทันได้ยินคำบางคำที่ 2 สาวพูดกัน

            "ฉันจะต้องสอบเข้าให้ได้เลย คอยดูสิ!" เสียงใสจากสาวน้อยผมดำสนิท

            "จ้า แต่ถ้าจะสอบได้ต้องเตรียมพร้อมเสมอนะ..." เสียงอ่อนหวานไพเราะจากสาวน้อยผมสีน้ำตาลแดง

            ก่อนที่จะฟังจบ สาวน้อยผมดำสนิทก็เดินมาชนกับเคน

    ร่างเล็กๆ ของเธอเซจนเกือบล้มลง เป็นชั่วเวลาหนึ่งทีเดียวก่อนที่สาวน้อยน่ารักผมดำ

    ในชุดนักเรียนยิ้มหน้าบานให้เคน

            "ขอโทษครับ" เคนรีบพูด

            "ไม่เป็นไรค่ะ" เธอพูดเสียงใส

            "วันนี้ฉันอารมณ์ดี คุณเองก็น่าจะอายุประมาณ 12 ปี สินะคะ

    คุณควรจะเริ่มเตรียมพร้อมก่อนสอบเข้า ม.1 ได้แล้วน้า" แล้วเธอก็ยิ้มให้อีกครั้ง

    ก่อนที่จะเดินจากไปพร้อมกับเพื่อนแสนน่ารักอีกคนหนึ่ง




           
    เคนยืนเหมือนรากงอกอยู่ตรงนั้น เขาถูกสาวน้อยน่ารักทักเอาดื้อๆ

    แล้วเธอคนนั้นยังรู้อายุของเขาได้อีกด้วย แม้ว่าอีกตั้งหลายเดือนกว่าจะถึงสอบเข้า ม.1

    เพราะตอนนี้พึ่งจะกลางเดือนกรกฎาคมเอง

            "นายเป็นอะไรรึเปล่า ?" เร็นถามเคนที่ยังยืนตัวแข็งพร้อมกับหน้าแดง

    ส่วนเอก็อ้าปากค้างเขาไม่ได้ตกใจเรื่องเขาลืมอ่านหนังสือสอบเข้าม.1 แต่ตกใจ

    เพราะว่าเขาพึ่งจะเคยได้ยินเสียงใสจากสาวน้อยน่ารักเป็นครั้งแรก

            "นายไม่รู้สึกอะไรเหรอเร็น ?"

            "รู้สึกอะไรกัน แค่มีผู้หญิงน่ารักมากทักนิดหน่อยเนี่ยนะ"

            "ก็เร็นน่ะ เคยชินกับการพูดกับสาวน่ารักอย่างพี่สาวแสนสวยทั้ง 2 แล้วนี่" ฟลูนอธิบายคลายความสงสัยให้กับเคนและเอ

            "อืม ที่แท้พวกเธอก็พูดคุยกันถึงเรื่องสอบเข้าม.1" เอพูดขึ้นหลังจากถูกเร็นถอนรากขึ้นมาได้

            "แต่อีกตั้งนานนี่ ถึงจะต้องสอบเข้า ม.1"

            "จะบอกให้นะ สำหรับพวกที่ขยันน่ะ เตรียมพร้อมตอนนี้ยังช้าไปด้วยซ้ำ"

            "แต่ถ้าทางเธอจะเป็นพวกคุณหนูนะ ฉันรู้สึกว่าเธอดูเป็นคนเอาแต่ใจนิดหน่อยน่ะ" เร็นเอ่ยขึ้น

            "ว่าแต่พวกนายจะเข้าโรงเรียนอะไรกันล่ะ" ฟลูนถามขึ้นมา




           
    ทั้ง 3 มองหน้ากัน แล้วอ้าปากค้าง สงสัยจะยังไม่ได้คิดเลยล่ะมั้ง

    ขนาดเอก็เป็นไปกับเขาด้วย แต่ถ้าเป็นเอคงไม่ต้องห่วงหรอก

    แต่อีก 2 คนนี้สิลำบากแน่เลย น่าแปลกที่พี่ทั้ง 3 ของเร็นแทบจะไม่พูดถึงเรื่องนี้เลย...

            "...??!!!!"

            "เป็นอะไรไปฟลูน ทำหน้าตาซะน่ากลัว"

            "เปล่า ไม่มีอะไร ฮะๆๆ"

            'เมื่อกี้มีจิตสังหารมาที่พวกเรา หรือว่าเราคิดไปเองนะ แต่รู้สึกมันคุ้นๆ ยังไงก็ไม่รู้ ถ้าไม่มีอะไรจริงก็ดีหรอก'

            ทั้ง 4 เดินคุยกันไปเรื่อยๆ จนถึงน้ำพุอีกครั้ง พร้อมทั้งคุยเรื่องต่างๆ ไปเรื่อยเปื่อย

    จนเริ่มมืด
      คนทั้งหลายเริ่มลดน้อยลง จนไม่เหลือใคร

            "คงต้องกลับบ้านแล้วล่ะ วันนี้พวกพี่อาจจะกลับมา" เร็นมองดูนาฬิกา

            "อืม งั้นพวกเราก็แยกย้ายกันกลับเถอะ ฟ้ามืดแล้วนี่"

            "....!!!"

            "หยุดก่อน อย่าขยับนะ"  หน้าตาของฟลูนดูตกใจจนน่ากลัว

            "ทำไมล่ะ มีอะไรรึเปล่า ??" เอจ้องดูฟลูนอย่างสงสัย  แต่คำตอบคงไม่ตั้งเพราะทั้ง 3 ได้คำตอบแล้ว...




           
    รูปปั้นสัตว์ทุกตัวกำลังเดินเข้ามาหาพวกเขา  แสงไฟรอบข้างดับวูบลง 

    แสงที่เหลืออยู่มีเพียงแสงสีเงินจากดวงจันทร์เต็มดวง

            "อะไรน่ะ ทำไม..."  เคนพูดไม่ออกกับสิ่งที่เกิดขึ้น

            'ที่พวกนี้ถึงเคลื่อนไหวได้  จะต้องมีอะไรควบคุมอยู่แน่เลย แล้วมันคืออะไรกัน ??' ฟลูนคิดหนักกับปัญหาที่กำลังใกล้พวกเขามาเรื่อยๆ

            'ใช่แล้ว !! กระแสจิตไง'

            "เวทย์มนต์ไซเลน คลื่นมนตราป่วนกระแสจิต" วงแหวนดาวหกแฉก

    ส่องแสงสว่าง ปรากฏขึ้น แสงสว่างสีม่วงค่อยๆ ขยายวงกว้างออก

    รูปปั้นสัตว์ที่ถูกแสงนั้นหยุดชะงักนิ่งเช่นเดิม

            "สำมะเหร็ด เน้อ…" ฟลูนร้องเสียงดัง แต่ยังไม่ทันไรก็ต้องเปลี่ยนจากดีใจ เป็นตกใจ เงาร่างยักษ์ประมาณ 3 เมตรได้ เขาสีขาวตามตัวสะท้อนกับแสงจันทร์

            "ยังเร็วเกินไปที่จะดีใจ อสูรแห่งไซเลน" มันกระซิบอย่างแผ่วเบา

            "ขนาดรู้ว่าฉันคืออสูรแห่งไซเลน ยังกล้าปรากฏตัวอีกรึ ?" ฟลูนยิ้มตอบ 3 สหายต่างยืนตะลึงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น

            "ฮึ เจ้าต่างหากโดนคำสาปแห่งราชาจนมีสาระรูปแบบนี้ ยังกล้าขัดขวางข้า เลเอิร์ธ ผู้นี้งั้นรึ ?" ปีศาจแสยะยิ้มโชว์ฟันคมขาวของมัน

            "ถึงจะต้องสาปก็พอจะใช้เวทย์มนต์ได้ แค่ปีศาจระดับ D1 มันจะยากขนาดไหนกันเชียว ?" ฟลูนยิ้มเยาะใส่ปีศาจบ้าง

            "ความประมาทเป็นหนทางสู่ความตาย หากไม่อยากตายก็จงอย่าขัดขวางข้า"

            "แกมาที่นี่ได้ก็แสดงว่าประตูเดธฮิวเปิดเป็นครั้งที่ 2 แล้วสิ !!"

            "ถูกต้อง แต่ช่างน่าเสียดายที่มันเปิดมากกว่าครั้งที่ 1 เพียง 1 เมตรเท่านั้น ปีศาจที่ออกมาได้จึงมีพึงระดับ B3 เท่านั้น แต่ต้องขอบคุณผู้ที่เปิดมันออกมาจริงๆ"

            "แล้วแกมาที่นี่ทำไมกัน ?"

            "555 เป็นถึงอสูรกับสัมผัสไม่ได้ เจ้านี่มันงี่เง่าจริงๆ" มันหัวเราะเสียงบาดหู

            "ความจริงแล้วข้ามีความแค้นกับมนุษย์จะฆ่ามนุษย์ซักกี่คนก็ไม่เห็นแปลก แต่ที่มาวันนี้ก็เพราะสัมผัสแห่งราชาไงล่ะ แม้ตอนนี้สัมผัสนั้นจะหายไปแล้ว แต่ใน 3 คนนี่จะต้องมีราชาอยู่..." มันหันมามองเด็กทั้ง 3 ที่ยังยืนตัวแข็งกันอยู่

            "จะไปมีได้ไง 3 คนนี้เป็นมนุษย์นะ"

            "ปีศาจในเผ่าเอโทนอย่างข้าล้วนมีกระแสจิตที่รุนแรง เจ้าก็รู้ ข้าไม่มีวันพลาด"

            "...!!!"

            เลเอิร์ธ เคลื่อนตัวไปทางเด็กทั้ง 3 ซึ่งยังคงยืนตกตะลึงอยู่

            "หนีเร็ว !!" ฟลูนร้องตะโกนเสียงดังเตือนสติทั้ง 3

            "ล...แล้วนายล่ะ ?"

            "นี่ไม่ใช่เวลามาเป็นห่วงคนอื่น ฉันดูแลตัวเองได้ ไปซะ"

            "ไม่มีทาง.." เลเอิร์ธ กระโดดเข้าหาทั้ง 3 คนที่เริ่มออกวิ่งไปในความมืด

            "ศรแสงวายุ" ตัวของฟลูนเรืองแสงขึ้นพร้อมกับเส้นแสงสีขาวพุ่งเข้ากระแทก

    หลังสีเทาของเลเอิร์ธ จนปีศาจร่างยักษ์ล้มไปข้างหน้า

            "เป็นไงล่ะ ถึงเล็กก็เจ๋งเน้อ ><"

            "ตูม...!!"  หมัดหินขนาดใหญ่ซัดจนฟลูนกระเด็นชนต้นไม้ใหญ่ พร้อมกับหมัดที่ชกลงไปที่หยดน้ำมีปีกอีกครั้ง

            "ฟลูน...!" เร็นกระโดดอุ้มฟลูนออก หมัดหินกระแทกลงกับพื้นซึ่งแตกเป็นเสี่ยงๆ แต่มนุษย์หรือ ? จะเร็วเท่าปีศาจ เขาสีขาวแหลมคมตามหลังเร็นมาอย่างรวดเร็ว...! และ...

            "ฉึกกก...!!" เลือดสีแดงฉานสาดกระเซ็นไปทั่วร่างของเร็น

    ตาของฟลูนตะลึงค้างกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น มันไม่ใช่เลือดของเร็น

    แต่เป็นเลือดของเคนที่เอาตัวเข้ามาขวางเอาไว้ เขาแหลมสีขาวทะลุร่างของเคนถูกเลือดย้อม

    จนเป็นสีแดง




           
    "
    เคนนนน !!!" เร็นร้องตะโกนเสียงดังลั่น  เลเอิร์ธสะบัดร่างของเคนกระเด็นลง

    กลับพื้นพร้อมกับเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วอีกครั้ง เพียงแค่หมัดเดียวร่างของเร็นและฟลูนก็

    กระเด็นไปคนละทาง




           
    เอซึ่งวิ่งออกมาเพื่อหาคนไปช่วย เขากวาดสายตาไปทั่วเพื่อหาใครซักคนที่อยู่แถวนั้น

    แต่ไม่มีใคร ถนนโล่งไม่มีแม้แต่รถซักคัน มีมือข้างหนึ่งจับที่ไหล่ของเขา

    ความรู้สึกอบอุ่นแผ่ซ่านไปทั่วทั้งตัว ช่างเป็นมือที่อบอุ่นเหลือเกิน เอหันไปมองเจ้าของมืออันแสนอบอุ่นนั้น

            "เพื่อนของเร็นจริงๆ ด้วย เอใช่มั้ย ?" พี่หลิงนั่นเอง รอยยิ้มของเธอยังอ่อนโยน

    ไม่เปลี่ยน แล้วด้านข้างเธอ พี่หมิวกับพี่ริวก็อยู่ด้วย

            "มืดแล้วนะ ไม่กลับบ้านเหรอ ?" พี่หลิงถามขึ้น ซึ่งทำให้เอนึกขึ้นได้

            "แย่แล้วครับ มีปีศาจเข้ามาทำร้ายพวกเราครับ ผมกำลังหาคนไปช่วยอยู่พอดี"

            "ปีศาจอย่างงั้นเหรอ !?"

            "พาพวกเราไปเร็ว !" ไม่มีการถามหรือพูดอะไรกันอีก เอพาทั้ง 3 วิ่งเข้าไปที่กลางสวนสาธารณะ

            "เตรียมตัวตายได้แล้ว" เลเอิร์ธแสยะยิ้มโชว์ฟันขาวแหลมคม

    ฟลูนบาดเจ็บจนขยับไม่ได้ เลเอิร์ธกำลังจะฆ่าเร็นซึ่งนอนตัวแข็งอยู่

    ร่างกายของเขาไม่ยอมขยับตามคำสั่ง เขานอนหงายมองขึ้นฟ้า

    ดวงจันทร์เต็มดวงสีเงินเริ่มถูกเมฆบดบัง รอบข้างกลับมามืดอีกครั้งเมื่อไร้ซึ่งแสงจันทร์

    ลมเย็นเฉียบพัดผ่านร่างของเร็นไป เมฆเคลื่อนที่ออกอีกครั้งแสงจันทร์เต็มดวงสาดส่องมาอีก

    ครั้งแต่ไม่ใช่สีเงินอย่างเช่นเคย




           
    ดวงจันทร์ทรงกลดเปงวงพร้อมกับค่อยๆ เปลี่ยนสีเป็นสีแดงราวกับเปลวไฟ

    เลเอิร์ธไม่ได้สังเกตเห็น มันกำลังเดินตรงมาที่เร็น หัวใจของเร็นเต้นเร็วขึ้นเรื่อยๆ

    ภาพดวงจันทร์สีแดงสะท้อนอยู่ในตาของเขา
    'เด็กน้อย... ต้องการใช่มั้ย... 

    ต้องการให้ทุกอย่าง... จบลงโดยเร็วสินะ...ฉันจะช่วยย...ซักครั้งก็แล้วกัน...
    '


    เสียงกระซิบที่เยือกเย็นดังก้องอยู่ในหัวของเร็น และยังไม่ทันได้ตอบ

    ความเจ็บปวดก็ทิ่มแทงเข้ามาทั่วร่างกายในฉับพลันทันใด

    เป็นความเจ็บปวดอย่างที่เขาไม่เคยรู้สึกมาก่อน ราวกับว่าทั่วทั้งร่างของเขาลุกเป็นไฟ

    ดวงตาพร่าลายไปหมด...




           
    "
    อ๊ากกกกก!"  เสียงร้องของเร็นได้ยินไปถึงพี่หลิง พี่ริว พี่หมิว และเอ

    ซึ่งมาถึงพอดี ร่างของเขาลอยขึ้นพร้อมกับเรืองแสงสีแดงประดุจเปลวไฟ

    แต่ไม่ทันไรทะเลหมอกก็ปกคลุมไปทั่วทั้งสวนสาธารณะ

    ร่างของเร็นยังคงเห็นชัดอยู่แต่นั่นไม่ใช่เร็น ชายที่ยืนอยู่ที่นั่นสูงกว่าเร็น

    ผมยาวสีแดงปลิวไสวไปตามสายลมดูราวกับเปลวเพลิงกะลังเริงระบำ

    ดวงตาคมกริบสีแดงฉานทอประกายแรงกล้าประดุจเปลวไฟ




           
    "
    ร...ราชา" ทั้งเสียง ทั้งร่างกายของเลเอิร์ธสั่นด้วยความกลัว

    ไม่ใช่แค่เลเอิร์ธเท่านั้น ฟลูน พี่หลิง พี่หมิว พี่ริว และเอ ต่างก็ตัวสั่น

    เลเอิร์ธรวบรวมความกล้าทั้งหมดพุ่งเข้าใส่เร็นซึ่งตอนนี้ถูกเรียกว่าราชา

    เขาสีขาวแหลมคมพุ่งไปทางราชา ใบหน้าของราชาดูเบื่อหน่าย

    และเพียงแค่การสะบัดมือ ร่างขนาด 3 เมตรของเลเอิร์ธก็ถูกแสงสีแดงดูดกลืนหายไป

    ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วจนเหลือเชื่อ ทุกคนในที่นั้นทันได้ยินคำพูดหนึ่งจากราชา


    คำพูดที่แผ่วเบาราวเสียงกระซิบ...




           
    "
    ทำไม...?" จากนั้นเขาก็ล้มลงไปนอนกับพื้น กลับกลายเป็นเร็นอีกครั้ง

    แต่สลบไปซะแล้ว หมอกที่หนาทึบหายไปทันที ดวงจันทร์ก็กลับเป็นสีเงินอย่างเช่นเคย

    พี่หลิงวิ่งไปที่ร่างท่วมเลือดของเคน เธอใช้มือแตะที่แผลเบาๆ แสงสว่างส่องประกายงดงาม

    ในความมืด พี่หมิวเข้าอุ้มฟลูน ส่วนพี่ริวไปอุ้มเร็นขึ้นมา แล้วเดินตรงไปหาพี่หลิง

            "ถึงจะรักษาแผลหายแล้ว แต่เสียเลือดมากเกินไป ให้ไปพักผ่อนที่บ้านเราก่อนก็แล้ว

    กัน
    "  ไม่นานนักทุกคนก็มาอยู่กันที่บ้านของเร็น เอโทรไปบอกที่บ้านของตัวเอง

    และเคนว่าจะนอนค้างที่บ้านของเร็น เคนตื่นขึ้นมาไม่นานนักหลังจากที่ถึงบ้าน 

    ทั้งหมดกำลังกินอาหารด้วยกันที่ห้องอาหารยกเว้นเร็นซึ่งยังคงหลับไหลไม่ได้สติ




           
    ส่วนอาหารแน่นอน อาหารสำเร็จรูป ก็ไม่มีใครทำอาหารเป็นนี่นา รสชาติก็พอกินได้ล่ะนะ

            "บอกผมหน่อยได้มั้ย ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ?" เอถามขึ้น

            "ใช่แล้ว บอกมาดีกว่าว่าพวกเจ๊เป็นใครกันแน่ ทำไมใช้เวทย์ได้ แถมยังไม่ธรรมดาซะด้วย" ฟลูนก็ถามด้วยเช่นกัน

            "เรื่องนั้นช่างก่อนเถอะนะ ที่ควรสนใจตอนนี้คือเรื่องของเร็นต่างหากล่ะ" พี่หลิงพูดอย่างใจเย็น

            "จริงสิ ทำไมเร็นถึงกลายเป็นราชาได้" ฟลูนพูดอย่างสงสัย

            "เรื่องนี้ควรจะถามเธอมากกว่านะ ฟลูน เพราะเธอน่าจะรู้เรื่องเกียวกับราชามากพอสมควร" พี่หมิวบอกอย่างเรียบง่าย

            "ไม่รู้หรอก ราชาหายตัวไปตั้งแต่ 1000 กว่าปีก่อน ไม่มีใครรู้ว่าหายตัวไปไหน แต่ลือกันว่าราชาผนึกตัวเองเพราะต้องการหาความสงบน่ะ" ฟลูนอธิบาย

            "อืม ยังไงก็ขอให้ทุกคนปิดเรื่องนี้เป็นความลับกับเร็นก่อนนะ" พี่หลิงบอก

          


           
    แสงสว่างแสบตาแยงตาเมื่อเร็นลืมตาตื่นขึ้น

            "เปงไงบ้าง เร็น" พี่หมิวนั่งอยู่ข้างๆ เขา

            เร็นมองดูพี่หมิว แล้วเขาก็นึกออก  "พี่หมิว เคน เคนถูกทำร้าย บาดเจ็บหนักเลย !"

            "ไม่เป็นไรแล้วจ๊ะ ไม่เป็นไร ทุกคนปลอดภัยแล้ว" พี่หมิวยิ้ม พลางยื่นน้ำให้เร็น

            "ทุกคน เร็นฟื้นแล้วจ๊ะ" พี่หมิวร้องบอก ไม่นานนัก ทุกคนก็เดินเข้ามา มีเคนมาด้วย

            "เคน นายไม่เป็นอะไ..." ไม่ทันพูดจบ พี่หลิงก็โผเข้ากอดเร็น

            "ไม่มีใครเป็นอะไรทั้งนั้นแหละจ๊ะ ห่วงตัวเองก่อนเถอะ" เสียงของพี่หลิงอ่อนโยนจนทำให้เร็นตาสว่างทันที

            "เกิดอะไรขึ้นกัน ก็ปีศาจตัวนั้นกำลังจะฆ่าผมนี่นา ?" เร็นยังคงงงกับเรื่องที่เกิดขึ้นอยู่

            "พวกเรามาช่วยทันน่ะ ปีศาจแค่นั้นกระจอกมากสำหรับเรา" พี่ริวเอ่ยขึ้นหลังจากเงียบไปนาน

            "พวกพี่จัดการกับปีศาจได้เหรอครับ" เร็นถามอย่างสงสัย

            "ใช่แล้ว ทีนี้บอกเรื่องของพวกเจ๊มาได้แล้ว" ฟลูนถาม

            "พวกเราเป็นนักศึกษาของเฮเว็น การ์เด้น จ๊ะ" พี่หลิงตอบอย่างเรียบง่าย

            "ว่าแล้วเชียว ว่าจะต้องเกี่ยวข้องกับรีเฟเนียร์ เจ๊คงหวังให้เร็นเข้าวาลฮาลลาสินะ ?" มี

    เพียงรอยยิ้มจากหญิงสาวแสนสวยตอบกลับมาเท่านั้น แต่ฟลูนได้เข้าใจทั้งหมดแล้ว

            "แลนฟอร์ด ใช่มั้ย ?" ฟลูนถาม และแน่นอนคำตอบยังเป็นรอยยิ้มเช่นเดิม ฟลูนยิ้มตอบกลับไป เขาได้เข้าใจทุกอย่างแล้ว

            "เอาล่ะจ๊ะวันนี้ทุกคนเหนื่อยมามากแล้ว ไปพักผ่อนกันได้แล้ว

    สงสัยอะไรค่อยไปถามฟลูนทีหลังนะจ๊ะ
    " พี่หลิงพูดตัดบทราวกับว่าอ่านใจทั้ง 3 ได้

    เพราะพวกเขากำลังจะถามพอดีว่าพวกพี่ๆ พูดเรื่องอะไรกัน
    ??? 




    ตัวอย่างตอนต่อไป
    : เปิดเผยปริศนาแห่งรีเฟเนียร์ดินแดนที่เต็มไปด้วยความลึกลับ                         

                                    จดหมายที่มองไม่เห็น
    "ที่แท้ก็อยู่นี่เอง ตัวปัญหาของเรา"
                             
    ความกดดันเข้าครอบงำเร็นอีกครั้ง "ฉันทำไม่ได้หรอก"

                             "ทุกอย่างขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของนายนะ เร็น"
                              ...........................................

                                    ••Coming Soon••

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×