คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #9 : ความเป็นไปหลังพายุลูกเล็ก (ถึงเนื่อถึงตัวกันนิดๆ อิอิ)
“น้องรินเป็นอะไรรึเปล่าจ๊ะ?” ธานินถามดารินอย่างเป็นห่วงเมื่อกลับมาขึ้นรถกันอีกครั้ง “แล้วคนเมื่อกี้...”
“เรากลับกันเถอะค่ะ รินรู้สึกไม่ค่อยสบายอยากพักผ่อน...นะคะ” คำสุดท้ายร่างบางหันไปขอร้องเขาด้วยสีหน้าที่ไม่สู้จะสบายจริงๆ ทำให้ธานินต้องขับรถกลับออกไปในทิศทางที่เพิ่งเข้ามาอย่างที่ไม่อาจจะทำอะไรได้ดีไปกว่านั้น เพราะถึงแม้จะถามอะไรออกไปอีก แต่ร่างบางก็ไม่ตอบรับเค้าเลย
หมอนั่น...เป็นใครกัน
คนที่ดารินจ้องตาไม่กระพริบ ส่วนอีกคนเค้าจำได้ว่าเป็น ศศิกานดา ลูกพี่ลูกน้องของดาริน
แล้วทำไมเห็นสองคนนั้นกอดกันแล้วต้องมีอาการแบบนี้ รึว่า...
ธานินรีบสลัดความคิดนั้นทิ้งไปจากหัว
มันจะเป็นไปได้ยังไง...น้องรินมีเค้าคนเดียวเท่านั้น.เค้าคนเดียว...เค้าคนเดียว
ชายหนุ่มย้ำกับตัวเองอย่างนั้นราวกับเป็นเกราะป้องกันสิ่งที่เค้ากำลังกลัว แต่ก็ดูมันจะไม่เป็นผลเลย นึกถึงสายตาของดารินแล้ว....อะไรกัน เรื่องแบบนี้มันเกิดขึ้นได้ยังไง และเมื่อไร...แล้วทำไม..ทำไมถึงไม่มีใครรู้เลย....
แล้วเค้าจะทำยังไงต่อไป?.....
และเมื่อรถแล่นมาจอดที่หน้าคฤหาสน์วิริยะไพศาล ดารินก็ก้าวลงจากรถทันที แทบจะลืมหันมาบอกลาเค้าด้วยซ้ำถ้าเค้าไม่เรียกไว้ ธานินมองตามร่างบางที่เดินลับหายไปช้าๆนั้น.....
...จะทำยังไง?...
ณ ที่เดิมที่ก่อนหน้านั้นเคยมีคนนั่งอยู่สองคน บัดนี้เหลือเพียงคนๆเดียวที่ยังคงนั่งมองแก้วน้ำนิ่งพร้อมหยดน้ำตา
ศศิกานดาปาดน้ำตาทิ้งครั้งแล้วครั้งเล่า แต่มันก็ยังคงไหลอยู่อย่างนั้น...ซุยวิ่งตามร่างของลุกพี่ลูกน้องผู้มีศักดิ์เป็นน้องของเธอออกไปแทบจะทันทีเมื่อร่างนั้นหันหลังและเดินจากไป แต่เมื่อร่างสูงเห็นธานินที่วิ่งตามไปก่อนแล้วก็ชะงัก ได้แต่มองตามไปอย่างเศร้าๆ ก่อนจะเดินออกไปจากร้านโดยไม่หันกลับมาอีกเลย....
ไม่หันกลับมาอีกเลย....
เธอรู้ว่าซุยไม่ได้โกรธเธอ แต่ที่ซุยเดินจากไปโดยไม่หันหลังกลับมาอีกนั่นเป็นเพราะร่างสูงกำลังเจ็บปวด
แต่ถ้าเธอหันกลับมามองข้างหลังบ้าง เธอจะได้เห็นคนที่เจ็บปวดยิ่งกว่า ทุกข์ใจยิ่งกว่าเมื่อรู้ว่าเธอต้องเจ็บปวด
แม้จะไม่มีสิทธิ์ เพราะสิทธิ์นั้นเธอได้ให้ใครอีกคนไปแล้ว...ก็ตาม...
ค่ำคืนที่ผ่านไปนับว่าเลวร้ายที่สุดสำหรับซุยเลยก็ว่าได้ ร่างสูงนอนไม่หลับตลอดทั้งคืนเพราะเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวานนี้ แถมวันนี้ยังต้องมีเรียนแต่เช้า
เมื่อมาถึงมหาวิทยาลัยก็เจอกับศศิกานดาพอดี ซุยยิ้มทักทายราวกับว่าเมื่อวานไม่ได้เกิดเรื่องอะไรขึ้นกระนั้น แต่ลึกลงไปในแววตาศศิกานดาเห็นแววหม่นหมองที่เจ้าตัวไม่สามารถปิดมันไว้ได้ และถึงปิดได้ก็คงกับคนอื่นที่ไม่ใช่เธอ
ทั้งสองมานั่งคุยกันที่โต๊ะประจำใต้ต้นไม้ใหญ่ เป็นศศิกานดาที่เริ่มต้นประโยคขึ้นมาก่อน
“พวกเธอได้คุยกันรึยัง?”
ซุยหันมามองเธอ ไม่คาดคิดว่าจะถูกถามแบบนี้และไม่แน่ใจว่าศศิกานดาถามตนออกมาด้วยความรู้สึกอย่างไร หญิงสาวเข้าใจแววตานั้น
“ไม่ต้องห่วงหรอก ฉันบอกแล้วไงว่าถ้าซุยเลือกแล้วฉันก็คงไม่ห้ามซุยอีก ตอนนี้ที่ทำได้...ก็คงมีเพียงแค่คอยเอาใจช่วยความรักของเพื่อน”
ทั้งๆที่พูดเองแต่ร่างโปร่งก็อดไม่ได้ที่จะเจ็บปวดลึกๆข้างใน ซุยมองเธอด้วยแววตายิ้มๆวางมือตนเองลงบนมือเพื่อนสาว
“ขอบคุณมากนะ ศศิ”
“แล้วว่าไงล่ะ” ศศิกานดาเลื่อนมือออก กลัวว่าถ้ายังอยู่ในสภาพนั้นตนเองอาจจะทนไม่ได้ เผลอร้องไห้ออกมา
ซุยส่ายหน้า และยิ้มเศร้าๆกับคำถามนั้น
“อย่าเศร้าไปเลยน่า อะไรๆต้องดีขึ้นแน่นอน”
“ขอบคุณมากนะ” ร่างสูงพูดคำนั้นอีกครั้ง ศศิกานดาหัวเราะแล้วตบไหล่เพื่อน
“ขอบคุณฉันบ่อยไปแล้ว พูดคำอื่นเป็นมั่งมั้ยเนี่ยรึเศร้าจนลืมภาษามนุษย์ไปแล้ว ฮะ?”
ศศิกานดาพูดล้อๆแล้วทั้งคู่ก็หัวเราะกัน
ขอโทษนะซุย....แม้ตอนนี้มันอาจจะยังฝืนๆ
แต่ฉันจะพยายามกลับไปเป็นคนเก่าที่รักเธออย่างเพื่อนให้ได้
แม้ว่าฉันจะมองไม่เห็นถึงความสำเร็จเลยก็ตาม....
ซุยกลับมาถึงบ้านในตอนเย็นด้วยสภาพที่เปียกโชกไปทั้งคนทั้งรถ เพราะตอนนี้ฝนกำลังตกอย่างไม่ลืมหูลืมตาและตกมาตั้งแต่ช่วงบ่ายแล้ว ตกหนักจนอาจจะกลายเป็นพายุได้ในคืนนี้
และเมื่อจอดรถลงที่หน้าบ้าน ร่างสูงลงจากรถเพื่อจะไปเปิดประตู แต่สายตาก็เหลือบไปเห็นสิ่งที่อยู่หลังม่านฝน กำลังนั่งกอดเข่าตัวเปียกโชก....เหม่อลอยจนไม่ได้ยินเสียงรถที่เข้ามาจอด ร่างนั้นสั่นเทาน้อยๆด้วยความหนาว เพราะที่กำบังที่ใช้หลบฝนนั้นเล็กจนฝนสาดซัดเข้ามาได้
“น้องริน...” ซุยปล่อยเสียงให้ผ่านออกมาจากริมฝีปากอย่างยากลำบาก ร่างบางที่กำลังเหม่อหันมาตามเสียงนั้น
ร่างบางมาทั้งชุดนักเรียนทำให้เสื้อที่เปียกแนบเนื้อเนียนจนเห็นทรวดทรง และที่ยิ่งไปกว่านั้นคือร่างบางเริ่มซีดแล้ว ปากที่เคยเป็นวีหวานอมชมพูซีดและสั่น ดูท่าว่าคงจะมานั่งคอยนานแล้ว
ซุยฉุดร่างบางให้ลุกขึ้นและจูงมือให้ตามเข้ามาในบ้านแต่พอร่างบางลุกขึ้นก็เซล้มไม่เป็นท่า ซุยจึงช้อนร่างบางขึ้นมาอุ้มไว้แนบอก ดารินเงยหน้าขึ้นมองพบกับสายตาที่แฝงไปด้วยความรู้สึกต่างๆ ทั้งตำหนิ เป็นห่วง และตัดพ้อระคนกัน แต่ไม่มีใครเอ่ยคำพูดใด
แล้วร่างสูงก็อุ้มร่างบางเดินเข้าไปในบ้าน....
น้ำอุ่นจากฝักบัวราดรดลงมาบนตัวของร่างบางบรรเทาความหนาวเหน็บ เมื่อเช็ดตัวออกจากห้องน้ำมาก็พบกับเสื้อผ้าที่จัดไว้ให้เปลี่ยน แต่ไม่เห็นตัวผู้นำมาวางไว้ให้ ดารินสวมใส่เสื้อผ้านั้น แล้วเดินไปรอบๆบ้านเพื่อหาร่างสูง
ซุยเปิดประตูเข้ามาพอดีเนื้อตัวเปียกโชก เพราะต้องกลับออกไปเอารถที่ทิ้งไว้ข้างนอกและจัดการความเรียบร้อยอื่นๆของบ้านอีกนิดหน่อย
ผ้าขนหนูถูกยื่นมาให้ตรงหน้า ซุยรับมันมาเช็ดผมโดยที่ไม่ยอมละสายตาจากคนที่ยื่นให้ จนดารินต้องเป็นฝ่ายหลบตาและเดินไปนั่งลงที่โซฟาตัวนุ่มที่ใช้เป็นที่รับแขกของบ้าน ผ้าขนหนูอวลกลิ่นหอมบางๆจากตัวผู้ใช้เมื่อครู่ ซุยสูดลมหายใจรับความหอมหวานนั้น เช็ดเนื้อเช็ดตัวแล้วเดินเข้าไปในครัว
เห็นโน้ตที่แปะติดกับตู้เย็นแล้วก็นึกขึ้นได้ วันนี้แม่ไปเยี่ยมเพื่อนที่เพิ่งคลอดลูกที่ต่างจังหวัดกับเพื่อนๆที่ที่ทำงาน กลับพรุ่งนี้ตอนสายๆ ซุยแปะโน้ตลงกับตู้เย็นตามเดิม แล้วเริ่มลงมือทำบางสิ่งบางอย่างที่ดารินได้ยินแต่เสียงเครื่องครัวกระทบกันเบาๆอยู่ด้านนอก
ไม่นานนักแก้วนมอุ่นๆก็วางลงตรงหน้าของร่างบางพร้อมกับเสียงทุ้มที่กล่าวขึ้นเป็นประโยคแรก
“ดื่มสิ จะได้หายหนาว”
ดารินยกแก้วขึ้นมาจิบๆ ร่างสูงเองตอนนี้ก็มีกาแฟร้อนๆอยู่ในมือเช่นกัน แต่ดูเจ้าตัวจะไม่สนใจเปลี่ยนเสื้อผ้าของตัวเองเลยนอกจากกระโปรงที่เปลี่ยนเป็นกางเกงแล้วเมื่อตอนเข้ามาในบ้านครั้งแรก
ซุยนั่งลงที่ฝั่งตรงข้าม รอจนนมพร่องไปได้ครึ่งแก้วซุยจึงเอ่ยถามมาอีก
“มาที่นี่ได้ยังไง”
“ซุยเคยบอกว่าบ้านอยู่แถวนี้” ดารินวางแก้วนมลง “เลยถามคนแถวๆนี้ดู”
“แล้วนั่งตากฝนอยู่ทำไมตั้งนาน เห็นบ้านล็อกอยู่แล้วทำไมไม่กลับบ้าน แล้วรู้มั้ยแถวนี้มันอันตรายถ้าเธอมาเดินคนเดียว....”
คำบ่นยาวเหยียดเตรียมจะพรั่งพรูออกมาจากปากของร่างสูง แต่ถูกขัดด้วยเสียงหวานๆแต่สั่นของร่างบาง
“ยังไงวันนี้ฉันก็ต้องมาพบซุย” ร่างบางน้ำตาคลอ “ไม่อย่างนั้นฉันก็ไม่รู้จะทำยังไงกับความรู้สึกนี้ มันอึดอัด...ทรมาน....”
สีหน้าของร่างสูงอ่อนลงก่อนจะเอื้อมมือข้ามโต๊ะไปเช็ดน้ำตาให้ ร่างบางร้องไห้เหมือนเด็กๆขี้แย ซุยอมยิ้มก่อนจะลุกไปนั่งข้างๆเลย แต่ยังเว้นระยะไว้เพราะตัวเองยังเปียกอยู่
“ฉันคิดมาตลอดทั้งคืน ฉันรู้ว่าระหว่างซุยกับพี่ศศิเป็นเพื่อนที่สนิทกันมาก แต่ว่า...แต่ว่าไม่ว่าจะกับผู้หญิงคนไหนฉันก็ไม่อยากให้ซุยแตะต้อง ฉัน...ฉันกลายเป็นคนเห็นแก่ตัวไปแล้ว ฉันไม่ควรที่จะหวงซุยไว้กับฉันคนเดียว แต่ทำไมไม่รู้มันห่วงและหวงเธอมากขึ้นเรื่อยๆ....” ดารินสะอื้นร้องไปปาดน้ำตาทิ้งไป ซุยมองภาพนั้นอย่างเอ็นดูก่อนจะจับมือที่กำลังเช็ดน้ำตาอยู่ป้อยๆนั้นมากุมไว้เบาๆ
“มีความสุขจัง” ดารินมองหน้าร่างสูงอย่างไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่ได้ยิน ซุยขำกับภาพนั้นอีกก่อนจะกล่าวต่อไป “ที่ได้รู้ว่าเธอรักฉันแค่ไหน...รู้มั้ยว่าถ้าวันนี้เธอไม่มาหา ฉันจะไปหาเธอเอง...”
ซุยมองร่างบางยิ้มๆก่อนจะกล่าวต่อ “คำอธิบายของฉันก็คือ...วันนั้นหลังจากเราแยกกันฉันก็ไปพบศศิเพราะเรานัดกันไว้แต่เช้า...ฉันตั้งใจจะไปบอกศศิเรื่องของเรา แล้วพอฉันบอกศศิก็ร้องไห้....คงเพราะเป็นห่วงเธอ ฉันไม่รู้จะทำยังไง...ก็เลยกอดปลอบ จนเธอเดินเข้ามาเห็น...”
ร่างบางมองตาร่างสูงนิ่ง
“เธอจะเชื่อรึไม่ก็ตาม แต่ฉันไม่โกหกคนที่ฉันรัก”
“ฉันเชื่อทุกคำพูดของซุย เพียงแต่ฉันกำลังคิดว่าตัวเองนั้นเห็นแก่ตัว จริงๆแล้วฉันไม่ได้โกรธหรือว่าไม่พอใจซุยหรือพี่ศศิ...ฉัน....” ดารินก้มหน้าซ่อนความอาย “ฉันแค่ไม่อยากให้ซุยกอดกับผู้หญิงคนอื่น ไม่อยากให้ซุยใจดีกับผ้หญิงคนอื่น..ฉะ...ฉันรู้ว่ามันไม่ดี ฉันจะพยายามเปิดใจให้กว้างกว่านี้....”
ร่างบางพูดไม่ทันจบก็ถูกริมฝีปากเย็นของร่างสูงประทับปิดไปเสียก่อน เมื่อถอนริมฝีปากออก ซุยเอาศรีศะตนเองชนกับศรีษะร่างบางตาต่อตาประสานกันใกล้...
“ไม่ต้องหรอก...ห่วงและหวงฉันเถอะนะ...”
ซุยประทับริมฝีปากของตนบนริมฝีปากของร่างบางอีกครั้ง เธอจะไม่เอ่ยถามเรื่องของธานิน...เพราะรู้อยู่แล้ว ว่าคนๆนั้นคือคู่หมายของคนที่เธอรัก เขาคือคนที่มาก่อนและเธอต่างหากที่มาทีหลัง ถึงแม้ว่าจะไม่ชอบให้ใครมาโอบกอดร่างบางเหมือนกันก็เถอะ
แต่ดารินไม่อาจนิ่งอยู่ได้ เธอไม่อยากให้ร่างสูงไม่สบายใจเช่นกัน
“เรื่องของพี่ต้น...” ดารินเริ่มเมื่อหน้าออกห่างกัน แต่ซุยพูดขัดเสียก่อน
“ไม่ต้องหรอก ฉันรู้และเข้าใจ...เขาเป็นคู่หมายของเธอ...”
“ที่ไม่อยากฟังเพราะไม่ห่วงและหวงฉันเหรอ”
“ไม่ใช่หรอก....” ร่างสูงมองตาร่างบางด้วยแววที่ทำให้ใจของร่างบางเต้นไม่เป็นจังหวะ “แต่เป็นเพราะ....ไม่อยากฟังเรื่องของเขาจากปากเธอต่างหาก”
ร่างบางโผเข้ากอดร่างสูงทันที
“เธอทำให้ฉันมีความสุขจนแทบละลาย”
“แต่ตัวฉันเย็นเฉียบ...” ร่างสูงพูด ยังไม่เลิกมองแววตาแปลกๆมาทางร่างบาง ดารินถอยหนีแต่ซุยคว้าตัวไว้ทันและดึงให้กลับมานั่งบนตักของตน
ร่างสูงซุกไซร้ซอกคอขาวเนียนจากทางด้านหลัง พลางกระซิบแผ่วเบาที่ริมหูแต่ทำเอาดารินหน้าแดงไปทั้งหน้า
“ช่วยทำให้ฉันอุ่นทีสิ...”
ซุยยังคงซุกซนหอมระเรื่อยไปทั้งร่างแต่ดารินขืนตัวไว้บอกด้วยเสียงหอบๆ
“เดี๋ยวคุณแม่ของซุยจะกลับมาแล้ว...”
“แม่ไม่อยู่หรอก ไปต่างจังหวัดกับเพื่อน”
“คนฉวยโอกาส” เมื่อหมดข้ออ้าง ดารินก็ว่าเอาดื้อๆ
“ไม่ได้ฉวยโอกาส” ซุยก็เถียงดื้อๆเช่นกัน “แต่กำลังขอร้อง ให้ช่วยทำให้ฉันอุ่นที”
หมดข้ออ้าง หมดทางหนี ซุยวางร่างบางราบบนโซฟา ก่อนถามเสียงทะเล้น
“ที่นี่ หรือ ในห้องนอน?”
“ซุยบ้า!!” ดารินว่าพร้อมหันหน้าหนี...อายจะตายอยู่แล้วยังจะมาให้เลือกสถานที่อีก
ซุยหัวเราะ ก่อนจะหอมแก้มนวลที่แดงเรื่อด้วยความอายนั้น...
“ฉันจะทนุถนอมเธออย่างดี”
ซุยว่า แล้วร่างสูงก็ทำตามคำพูด เธอทนุถนอมร่างบางอย่างที่สุดในขณะที่ให้ความอบอุ่นซึ่งกันและกัน ท่ามกลางสายฝนเย็นเยียบ แต่ใจสองดวงกลับอบอุ่น
เคยมีคนกล่าวไว้ว่า มีความสุขเพื่อที่จะทุกข์
มันเป็นเช่นนั้นเสมอ
เพราะเมื่อยามใดที่เราหัวเราะ น้ำตารอคอยเราอยู่อย่างเงียบๆ
เป็นสัจธรรมของชีวิต
แต่ก็มีคนเคยกล่าวไว้เช่นกันว่า คนเรามีความทุกข์เพื่อที่จะสุข
แต่ไม่ว่าจะเป็นสุขหรือทุกข์
นั่นคือสิ่งที่เราต้องเจอ เมื่อยังมีชีวิต มีลมหายใจ
ถ้าเราเตรียมตัวและมีสติต่อความสุขเมื่อทุกข์เราจะไม่เจ็บมาก
แต่กับใจสองดวงที่ไม่เคยเตรียมตัวมาก่อนเลยล่ะ
เมื่อต้องรู้ความจริงที่ไม่อยากรับรู้
มันจะเป็นอย่างไร?.....
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
++++++++++++++++++++++++++++++++
++++++++++++++++++++++
++++++++++++++
++++++++
+++
+
อิอิ
อัพๆๆๆๆ
เม้นๆๆๆๆ
อัพๆๆๆนะจ๊ะ
ตอนหน้านี่แหละไคลแมกซ์ของเรื่อง
ความคิดเห็น