คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #4 : พบกัน...อีกครั้ง
ร่างสูงในชุดทักซิโดมองดูนาฬิกาข้อมือให้แน่ใจอีกครั้ง ก่อนหันไปคว้ากระเป๋าแล้วเดินออกไปข้างนอก วันนี้เป็นวันเกิดของศศิกานดา...หลังจากวันนั้นในห้องศิลป์ก็ผ่านมา 3 วันแล้ว เป็น 3 วันที่แสนทรมาน เธอตัดใจเรื่องของดารินมาเป็นเวลา 3 วันแล้ว แต่เวลามันดูยาวนานกว่านั้นมาก แต่ละวินาทีที่ไม่ได้นึกถึงช่างทรมานและดูจะมีน้อยกว่าเวลาที่เธอเผลอใจคิดถึงใบหน้าของร่างบางนั้น
ซุยจัดการล็อคประตูลงกลอนให้เรียบร้อยเพราะตอนนี้ผู้เป็นมารดาไม่ได้อยู่บ้าน นพพางค์เริ่มไปทำงานที่โรงแรมได้หลายวันแล้ว และดูท่าทางจะไปได้ดีเสียด้วย แม่ได้รับเลือกให้เป็นผู้ช่วยเชฟและได้รับการยอมรับจากเพื่อนร่วมงานเป็นอย่างดี
เมื่อจัดการทุกอย่างเรียบร้อยแล้วเธอจึงจูงมอเตอร์ไซค์คันโปรดออกมาจากโรงรถ มอเตอร์ไซค์คันนี้เป็นของที่อานทีซื้อให้ในโอกาสที่เธอสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้สำเร็จ ซุยดูแลและรักษามันยิ่งกว่าของล้ำค่า...เสียงมือถือในกระเป๋าดังขึ้น ศศิกานดานั่นเองที่โทรมา ซุยกดปุ่มรับสาย
“ซุย ตอนนี้อยู่ที่ไหนแล้ว?” เสียงจากปลายสายถามมารัวเร็ว
“อยู่ที่บ้าน...ยังไม่ได้ออกไป มีอะไรเหรอ ศศิ?” ร่างสูงแปลกใจ ก็นี่ยังไม่ถึงเวลาซักหน่อยแล้วทำไมศศิกานดาต้องโทรมาเร่ง...
“เอ่อ...เปล่าๆ เห็นว่าช้าเลยโทรมาตามน่ะ ไม่มีอะไรหรอก รีบๆมานะ ฉันให้เวลาเธอ 10 นาที ” แล้วศศิกานดาก็กดตัดสายก่อนที่ซุยจะได้พูดอะไรอีก ร่างสูงแค่แปลกใจแต่ก็ไม่ได้คิดอะไรมาก นอกจากว่าเพื่อนโทรมาตามเพราะตนช้าเท่านั้น จึงรีบสตาร์ทรถแล้วมุ่งไปที่บ้านของเพื่อนสาวทันที
ที่งานเลี้ยง ศศิกานดาในชุดเจ้าหญิงย้อนยุค ดูสวยหวานแต่ก็ดูปราดเปรียวในเวลาเดียวกัน งานวันเกิดของเธอในวันนี้จัดเป็น ‘งานแฟนซีสวมหน้ากาก’ แต่มีหัวข้อบังคับคือ ‘เจ้าชายกับเจ้าหญิง’ ดังนั้นแขกที่มาในงานซึ่งส่วนใหญ่เป็นพวกไฮโซแทบทั้งนั้น จึงแข่งขันกันแต่งอย่างเต็มที่ แต่ก็ยังไม่มีใครเทียบกับเจ้าของงานได้สักคน ศศิกานดามองไปรอบๆงานอย่างเบื่อหน่าย ความจริงเธอไม่ได้อยากจัดงานแบบนี้ซักนิด อยากจะฉลองกับครอบครัวแล้วไปฉลองกับซุยต่อแค่สองคนเท่านั้นมากกว่า...ถ้าไม่ติดว่าวันนี้เธออยากให้ร่างสูงรู้ความจริงอะไรบางอย่างล่ะก็...
ดังนั้นเธอถึงต้องโทรไปเร่ง ไม่อย่างนั้น ‘สองคนนั้น’ จะมาซะก่อนแล้วก็คงจะคลาดกัน
เวลาผ่านไปประมาณ 10 นาที ร่างสูงก็วิ่งกระหืดกระหอบเข้ามาในงาน แล้วมาหยุดยืนอยู่ตรงหน้าเพื่อนสาว
“มาแล้วๆ เฮ้อ เหนื่อยชะมัดเลย ดีนะที่รู้ทางลัดมาบ้านเธอไม่งั้นคงเสียเวลานานกว่านี้แน่ๆเลย” ซุยบ่นพลางยืนเช็ดเหงื่อ แล้วจึงกล่าวทัก “โอ้โห วันนี้ศศิสวยจัง”
ศศิกานดาหน้าแดง มองคนตรงหน้าราวกับเคลิ้มไป ร่างสูงในชุดทักซิโดสีดำที่ดูแล้วคงราคาไม่แพง พูดให้ฟังง่ายๆคือ ชุดที่ดูพื้นๆ แต่เมื่อร่างสูงใส่แล้วกลับดูดีเหลือเกิน...ตอนแรกซุยตัดสินใจไม่ถูกว่าจะมางานนี้ดีหรือไม่ เหตุผลเพราะ เจ้าตัวไม่อยากแต่งเป็นเจ้าหญิง ที่ถ้าหากซุยแต่งก็คงจะดูดี แต่เจ้าตัวกลับไม่มั่นใจ ศศิกานดานึกไปถึงตอนคุยกันเมื่อเย็นวาน
“แฟนซีสวมหน้ากาก?” ร่างสูงทวนคำหน้ายุ่ง มื่อฟังเพื่อนสาวพูดถึงงานเลี้ยงวันเกิด “อืม ก็คงพอได้ล่ะมั้ง”
“แต่มีหัวข้อบังคับด้วยนะ”
หน้ายุ่งๆยิ่งยุ่งเข้าไปใหญ่ “หัวข้ออะไร”
“เจ้าชายกับเจ้าหญิง” ฟังจบซุยแทบสำลักแฟนต้ารสเบอรี่เลิฟที่กำลังดื่มอยู่ ศศิกานดาหัวเราะขำท่าทางนั้นเพราะเดาไว้แล้วว่าคนตรงหน้าจะมีปฏิกิริยาแบบนี้
“ไม่ใช่เรื่องน่าขำนะ...” ซุยบอกงอนๆ “...เอ่อ ฉันไม่ไปได้มั้ย?...”
“ทำไมล่ะ?” ศศิกานดาแกล้งถาม ทั้งๆที่รู้คำตอบ
“ศศิจะให้ฉันแต่งเป็นเจ้าหญิงหรือไง เธออยากเห็น ‘อะไร’ แบบนั้นเหรอ” อะไร ที่เจ้าตัวว่า ศศิกานดาไม่เห็นด้วยเลย ซุยไม่รู้ตัวเลยกระมังว่าตัวเองน่ะ ดูดี ขนาดไหน เพียงแต่เจ้าตัวมักคิดว่าตนเองไม่เหมาะกับของสวยๆงามๆ แต่ไม่ว่ายังไงๆ เธอก็ต้องพาซุยไปงานนี้ให้ได้
“แล้วใครว่าฉันจะให้ซุยแต่งเป็นเจ้าหญิงเล่า ฉันจะให้ซุยแต่งเป็นเจ้าชายต่างหาก”
หน้าของซุยตอนนี้ถ้าน้องๆปี 1 แฟนคลับมาเห็นเข้าล่ะก็จะว่ายังไงนะ ศศิกานดาคิดขำๆกับตนเอง เมื่อหน้าเท่ๆกลายมาเป็นหน้าจ๋อยๆซะแล้ว
“เฮ้อ...ก็พอทนกว่าเจ้าหญิงละนะ...” ซุยพึมพำกับตนเอง
ศศิกานดาอมยิ้มเมื่อนึกถึง...และทั้งๆที่เธอเสนอว่าจะหาชุดให้แล้ว แต่ซุยกลับปฏิเสธ บอกว่าคงจะหาเองได้
“ยิ้มอะไรน่ะ ศศิ” ซุยถามเมื่อเห็นว่าอยู่ๆเพื่อนสาวก็ยิ้มขึ้นมา “รึว่าเพราะฉันเป็นแค่เจ้าชายทักซิโด้...ก็ฉันไม่มีปัญญาหาชุดเจ้าชายหรูๆนี่นา...”
“เปล่า...ฉันแค่คิดว่าซุยดูดีมากน่ะ” พูดไปแล้วก็เขินกันทั้งคู่
“เอ้อ...ขอบใจ...”
แล้วทั้งคู่ก็ไม่ได้คุยกันมากไปกว่านั้น เพราะแขกเริ่มทยอยมาแล้ว ทั้งคู่หยิบหน้ากากของตนเองขึ้นมาสวม ซุยอยู่รับแขกกับศศิกานดาด้วยเพราะเพื่อนสาวขอร้อง
“ศศิ คอแห้งรึเปล่า?” ซุยถามเมื่อเวลาผ่านไปได้ซักพัก ศศิกานดาพยักหน้า
“งั้นเดี๋ยวฉันไปเอาน้ำมาให้ น้ำส้มเหมือนเดิมนะ” พูดจบซุยก็หันหลังออกเดินไปยังโต๊ะอาหาร โดยที่ศศิกานดาห้ามไม่ทัน แต่เพียงแค่ซุยหันหลังกลับและออกเดินไปได้ไม่กี่ก้าวเท่านั้น เสียงใสๆเสียงหนึ่งก็ดังขึ้น
“สุขสันต์วันเกิดค่ะ พี่ศศิ”
เสียงนั้นหยุดตรึงร่างสูงอยู่กับที่ เสียงที่คุ้นเคย...เสียงที่หัวใจเฝ้าคิดถึงทุกวินาที และเมื่อได้ยิน...ในตอนนี้หัวใจจึงหนักอึ้งเต็มไปด้วยความรู้สึกบางอย่าง...ที่คิดว่าตัดมันไปได้แล้ว...แต่ไม่ใช่ เสียงนั้นสะกดให้ร่างสูงยืนอยู่อย่างนั้นไม่สามารถหันกลับมาได้
ศศิกานดามองไปทางซุย รู้ว่าได้ยินเสียงและจำได้...ขอโทษนะซุย ฉันคงจะมีแต่วิธีนี้เท่านั้นที่จะทำให้เธอเลิกคิดถึงคนๆนี้ได้ อย่าหาว่าฉันใจร้ายเลยนะ...เธอจะได้รู้ความจริงซักที ว่าเรื่องของเธอมันไม่มีทางเป็นไปได้
“สวัสดีจ้ะ น้องริน” ศศิกานดาเอ่ยนามนั้นช้า ชัด ราวเน้นย้ำหัวใของคนที่ยืนอยู่ไม่ไกลพลางรับของขวัญกล่องใหญ่จากร่างบาง และประโยคต่อไปที่ทำให้คนฟังแทบหายใจไม่ออก
“คุณธานินก็มาด้วย ยังรักกันหวานชื่นเหมือนเคยนะคะ หมู่นี้ไม่ว่างานไหน ควงกันไป เป็นปาท่องโก๋เชียวนะ ยังงี้ยัยรินเรียนจบเมื่อไร คงจะมีข่าวดีให้กับสองตระกูลซักทีนะคะ” พูดจบก็เหลียวไปมองคนร่างสูง ที่เริ่มออกเดินต่อช้าๆคล้ายคนหมดเรี่ยวแรง
พอแล้ว....
ธานิน...บุรุษหนุ่มหน้าตาหล่อเหลา วัยไม่เกิน 30 เพิ่งจบปริญญาโทจากอังกฤษมาหมาดๆ เป็นคู่หมายของดาริน ที่ผู้เป็นพ่อเลือกไว้ให้ ธานินเป็นลูกของนักธุรกิจใหญ่ พ่อของเขาเป็นเพื่อนกับพ่อของดาริน ทั้งสองต่างเป็นมหาอำนาจในสาขาธุรกิจของตน และพ่อของเขายังมีอิทธิพลในวงการเมืองอีกด้วย เรื่องที่ทั้งสองตระกูลใหญ่จะดองกันเป็นข่าวที่รู้กันทั่ววงสังคมไฮโซ และเรื่องที่ธานินรักคู่หมายของเขาคนนี้มากก็เช่นกัน แม้แรกเริ่มเขาจะมีทีท่าต่อต้านการคลุมถุงชนเช่นนี้ แต่เมื่อมาพบกับดารินเขาก็เริ่มรักเธอ...และรักมากเสียด้วย ผิดกับดารินที่คิดกับเขาแค่พี่ชายเท่านั้น ดารินเพียรบอกเขาเสมอว่าเธอรักเขาอย่างพี่ ไม่ได้คิดแบบอื่น แต่ธานินไม่เคยละความพยายาม
“ถ้าได้อย่างนั้นก็ดีสิครับ ผมตื๊อเขาทุกวันแต่เขาไม่ใจอ่อนเลย คุณศศิช่วยพูดให้บ้างสิครับ” ชายหนุ่มกล่าวอย่างอารมณ์ดี
“ว่าไงจ๊ะ ยัยริน” ศศิกานดารีบทำหน้าที่ ดารินไม่ตอบคำถามแล้วพาเปลี่ยนเรื่อง
“ไม่พูดเรื่องนี้กันดีกว่าค่ะ พี่ศศิคะคุณพ่อฝากมาอวยพรค่ะ ท่านงานยุ่งมาไม่ได้ ท่านฝากของขวัญมากับรินแล้ว เอ่อ....รินขอตัวเข้าไปในงานก่อนนะคะ พี่ศศิจะได้ทักทายแขกคนอื่น” กล่าวจบ ร่างโปร่งบางในชุดย้อนยุคดูสวยหวานราวกับเจ้าหญิงจริงๆ ก็ออกเดินนำทันที ธานินหันไปพูดกับศศิกานดาอีกสองสามคำแล้วรีบเดินตามไปประกบอย่างหวงแหน
ธานินชวนเธอคุยโน่นคุยนี่อยู่ตลอดเวลา แต่ดูเหมือนว่าดารินจะไม่ได้สนใจกับเรื่องเหล่านั้นเลย ร่างบางกำลังคิดไปถึงคนตัวสูงๆ ที่อยู่ในใจของเธอตลอดเวลา...เธอรอคอยเหมือนที่เค้ารอคอยเช่นกัน ว่าสักวันจะได้พบ เธอคิดถึงใบหน้านั้นเหลือเกิน อยากพบ อยากพูดคุย เมื่อกี้ตอนที่เดินเข้ามาในงาน...เธอเห็น...เธอจำได้ ร่างสูงยืนอยู่กับพี่ศศิ แต่พอเดินเข้ามาใกล้กลับไม่ได้อยู่ตรงนั้นแล้ว...เธอตาฝาดไปรึเปล่านะ..เพราะอยากพบเค้ามากเกินไป แล้ว...เค้าจะคิดถึงเธอ เหมือนที่เธอคิดถึงเค้ารึเปล่านะ...
ซุยเดินกลับมาหาศศิกานดาอีกครั้งโดยพยามทำสีหน้าให้เป็นปรกติที่สุด ในมือถือแก้วน้ำส้มของศศิกานดาและไวน์ที่เจ้าตัวหยิบมาโดยไม่รู้ตัว ยื่นน้ำส้มให้เพื่อนพลางบอก
“เอ่อ...ฉันรู้สึกไม่ค่อยดี ขอเข้าไปรอในงานนะ”
“เป็นอะไรไป ไม่สบายเหรอ” ถามทั้งที่รู้อยู่แก่ใจ
“เปล่า...แค่มึนๆน่ะ แขกใกล้จะมาครบแล้วนี่...เจอกันในงานนะ” กล่าวจบร่างสูงก็เดินกลับเข้าไปในงานเลี้ยง ศศิกานดามองตามหลังเพื่อนไปอย่างรู้สึกสงสาร แต่เธอจะยอมใจอ่อนไม่ได้เด็ดขาด...เพื่อเธอและเพื่อซุย
“ที่ฉันทำทุกอย่างก็เพราะรักเธอนะซุย...” ศศิกานดาพูดกับตัวเองแผ่วเบา
ลืมเขา แล้วมองฉันบ้างเถอะ ถึงวันนั้น..ฉันจะกล้าบอกรักเธอ...
ทีแรกร่างสูงตั้งใจจะมารอเพื่อนในงานเลี้ยง แต่ผู้คนที่มากมายยิ่งทำให้เธอรู้สึกสับสนจึงเปลี่ยนเป้าหมายมาเป็นสวนข้างนอก ตั้งใจว่าอีกสักพักจึงจะกลับเข้าไป
ซุยถอดหน้ากากออก หน้าคมเจือรอยเศร้ารวดร้าว แก้วไวน์ในมือถูกยกขึ้นดื่มทั้งที่เจ้าตัวไม่เคยพิสมัยน้ำเมาแบบนี้เลยซักนิด เมื่อกลืนอึกแรกลงคอแล้วเจ้าตัวแทบอยากจะโยนแก้วนั้นทิ้ง แต่แล้วก็เปลี่ยนเป็นดื่มรวดเดียวหมดทำให้สำลัก...ซุยทรุดตัวลงนั่งบนสนามหญ้า วางแก้วไวน์ลงข้างตัว...หัวใจเต้นไม่เป็นปกติ ทุกครั้งที่มันเต้นซุยรู้สึกได้แต่ความปวดร้าว...
...ก็ตัดใจแล้วไม่ใช่รึไง ทำไมยังเจ็บปวดแบบนี้...ซุยยิ้มเยาะตัวเอง...ไม่ใช่หรอก เธอไม่เคยตัดใจได้เลยต่างหาก
...ยังคิดถึงทุกลมหายใจ แม้กระทั่ง...ตอนนี้
แต่แล้วก็เหมือนโชคชะตาซ้ำเติม เมื่อร่างหนึ่งเดินออกมาจากงานเลี้ยงและทรุดตัวลงนั่งไม่ไกลจากเธอนัก...ดารินรู้สึกเบื่อเพราะเข้าไปในงานได้ไม่นานก็มีโทรศัพท์มาเรียกตัวธานินจากทางบริษัท เห็นว่าเป็นเรื่องสำคัญต้องรีบไป ก่อนไปธานินบอกเธออย่างเกรงใจ
“น้องริน...เอ่อ คือ...”
“มีเรื่องะไรเกิดขึ้นใช่มั้ยคะ” ดารินถามอย่างเข้าใจ “งั้นรีบไปเถอะค่ะ”
“แต่น้องริน...” ธานินลังเล
“รินอยู่คนเดียวได้ค่ะ ไม่ใช่เด็กแล้วนะคะ” ก็เพราะไม่ใช่เด็กน่ะซิ ธานินถึงได้ห่วงหวงนักหนา
“น้องรินจะไม่รั้งพี่ไว้เหรอจ๊ะ”
ดารินมองอย่างแปลกใจ “จะรั้งไว้ทำไมละคะก็พี่ต้นมีงานสำคัญ”
นี่ก็อีก...ถ้าเป็นผู้หญิงคนอื่นที่ธานินเคยคบๆมา จะรั้งตัวเขาไว้ไม่ให้เขาไป แต่ดาริน วิริยะไพศาลแทบจะเรียกได้ว่าผลักไล่ไสส่งเขาไปเลยกระมัง
“งั้นพี่จะไปบอกน้องศศิให้มาอยู่เป็นเพื่อนนะ”
“ไม่ต้องหรอกค่ะ บอกแล้วไงคะว่ารินอยู่คนเดียวได้” ดารินเริ่มเสียงแข็งขึ้นมา นั่นแหละธานินจึงยอมไป
ดารินถอนหายใจยาวเมื่อนึกถึง ดูธานินจะแสดงความเป็นเจ้าเข้าเจ้าของเธอมากขึ้นทุกวัน เธอไม่ได้คิดอะไรกับเขา ไม่ได้รู้สึกเหมือนกับที่เค้ารู้สึกกับเธอเลย เพราะใจเธอตอนนี้ มีใครคนนั้นอยู่เต็มเปี่ยม
ซุยหยิบหน้ากากขึ้นมาสวมมองตรงไปยังร่างบาง ความรู้สึกบางอย่างเต็มเปี่ยมฉายชัดทางแววตาราวกับต้องการจะสื่อให้ถึงร่างบางที่อยู่ตรงหน้า...มันจะจบแบบนี้หรือไร มันเป็นการรอคอยที่เปล่าประโยชน์ใช่มั้ย...เธอจะยอมให้มันเป็นเช่นนั้นหรือ จะยอมให้มันสูญเปล่าทั้งๆที่ยังไม่ได้ทำอะไร ร่างสูงกำมือแน่น สัญญาที่เธอให้ไว้คราวนั้น...แค่ความรู้สึก...อยากจะบอกแค่ความรู้สึกก็ยังดี...
คำสั่งของหัวใจพาให้เธอมาหยุดยืนอยู่ตรงหน้าร่างบาง
เพราะความมืดทำให้มองเห็นกันได้ไม่ถนัด และร่างสูงไม่ปริปากซักคำ ดารินรู้สึกเพียงมีคนมาหยุดยืนอยู่ใกล้แต่ไม่รู้ว่าเป็นใคร
“ขอโทษค่ะ คุณเป็นใครคะ?” ร่างบางกล่าวถามออกไป แต่ร่างสูงกลับพูดไปอีกเรื่อง
“ตอนที่โรมิโอพบกับจูเลียตครั้งแรกเค้ารู้สึกยังไงนะ จะรู้สึกเหมือนฉันตอนนี้รึเปล่า” ร่างสูงยิ้มฝืนๆในความมืด “แต่คงจะไม่เหมือนกันหรอก เพราะนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เราเจอกัน”
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++
++++++++++++++++++
555+++ ในที่สุดเราก็มาแล้ว
อย่าว่ากันเลยนะ
เม้นท์กันด้วยจิ
เม้นท์น้อยจนน่าใจหาย
เม้นท์วันละนิดจิตแจ่มใสน้า
ความคิดเห็น