คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : ลังเล...ตัดใจ (เมื่อมันเป็นไปไม่ได้)
ณ บ้านไม้สองชั้นหลังเล็กๆแห่งหนึ่ง ปรากฏภาพของหญิงวัยกลางคนกำลังเดินเข้าไปอย่างรีบร้อน
“ซุย!...ซุย!...”
ร่างสูงในชุดเสื้อแขนยาวสีขาวและกางเกงยีนส์หันมาตามเสียงเรียก ผู้ที่กำลังกึ่งเดินกึ่งวิ่งเข้ามานั้น มีใบหน้าที่ละม้ายกับร่างสูง ผิดกันที่ตัวเล็กกว่านิดหน่อยและริ้วรอยบนใบหน้าที่บอกถึงช่วงวัยที่อาวุโสกว่า แต่ก็ไม่ได้ทำให้ความสวยของใบหน้านั้นลดลง ร่างนั้นยิ้มกว้างให้เธอ จนซุยอดที่จะยิ้มตามไม่ได้
“มีอะไรคะแม่?”
ผู้เป็นมารดาหัวเราะออกมาก่อนจะกระโดดกอดลูกสาว ซุยเซไปตามแรงแต่ก็ไม่ถึงกับล้ม
“แม่ได้งานแล้วจ้ะ”
“จริงหรือคะ?” คราวนี้ซุยยิ้มกว้างออกมาบ้าง ผู้เป็นมารดาพยักหน้า
“ใช่จ้ะ เป็นพนักงานทำขนมในโรงแรมแห่งนึง ใหญ่ด้วยนะลูก”
“ดีจังเลยค่ะ”
“แล้วนั่นจะไปไหนจ๊ะ?” นพพางค์ทักขึ้นเมื่อมองเห็นช่อดอกไม้ในมือของบุตรสาว ซุยยกช่อดอกไม้ให้แม่ดู
“กำลังจะไปที่สุสานค่ะ จะเอาดอกไม้ไปให้อานที”
“พอดีเลยแม่ก็ว่าจะไปอยู่เหมือนกัน งั้นไปพร้อมกันเลยนะ”
“ค่ะ”
สองแม่ลูกออกเดินไปพร้อมกัน สุสานที่ว่าอยู่ไม่ไกลจากบ้านเท่าใดนักเดินแค่แปปเดียวก็ถึง ซุยและผู้เป็นมารดามักจะมาที่นี่เป็นประจำ เพื่อมาเยี่ยมเยียนบุคคลผู้หนึ่งที่ได้จากไปอย่างไม่มีวันกลับ บุคคลผู้เปรียบเสมือนพ่อของซุย ผู้ซึ่งคอยช่วยเหลือสองแม่ลูกมาตลอดจนกระทั่งวาระสุดท้ายของชีวิต คำเรียกขานถึงเขาที่ติดปากซุยอยู่เสมอคือ ‘อานที’
อานทีเป็นเพื่อนกับแม่มาตั้งแต่สมัยเรียน จนกระทั่งแม่มีเธอ อานทีก็ยังอยู่เคียงข้างแม่มาตลอด...ซุยไม่รู้จักพ่อเลย แม่บอกว่าพ่อของเธอตายไปตั้งแต่เธอยังไม่เกิด ดังนั้นซุยจึงนับถืออานทีเหมือนพ่อและอานทีก็รักเธอเหมือนลูกเช่นกัน จนกระทั่งเมื่อปีก่อนมะเร็งได้พรากอานทีไปจากเธออย่างไม่มีวันกลับ
เมื่อมาถึงซุยเข้าไปวางดอกกุหลาบขาวช่อโตไว้บนหลุมศพ สองแม่ลูกต่างจมอยู่ในห้วงภังค์ มีเรื่องต่างๆมากมายที่อยากจะเล่าให้ผู้ที่กำลังหลับใหลอยู่ได้รับฟัง
‘นที...ฉันได้งานทำแล้วนะ เธอไม่ต้องเป็นห่วงแล้ว ฉันดูแลซุยได้และสัญญาว่าจะดูแลแกให้ดีที่สุด ตราบใดที่ฉันยังมีชีวิตอยู่...’
และอีกหลายต่อหลายเรื่องที่เธอถ่ายทอดให้เพื่อนรักได้รับฟัง เมื่อนพพางค์ถอยกลับมาก็พบกับสายตาของบุตรสาวที่มองจ้องมาอยู่ก่อนแล้ว
“มีอะไรลูก?”
“หนูถามอะไรแม่สักอย่างได้มั้ยคะ?”
นพพางค์ มองหน้าลูกสาวอยาสงสงสัย “อะไรจ๊ะ...”
“ทั้งๆที่...อานทีรักแม่มาก แต่ทำไมแม่ถึงไม่แต่งงานกับอานทีละคะ?”
ผู้เป็นแม่นิ่งเงียบไป ก่อนจะหันมาตอบคำถามของเธอด้วยสีหน้าเศร้าๆที่ทำให้ซุยใจหาย
“...เราเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันจ้ะ”
คำตอบของมารดาถือเป็นที่สิ้นสุด ซุยไม่ซักไซ้อะไรอีก นพพางค์ยังพูดต่อไป
“ขอโทษนะลูก ที่แม่ทำตามี่ลูกหวังไม่ได้...”
ซุยหันมาทางผู้เป็นมารดาอย่างตกใจ “ไม่ใช่นะคะแม่ หนูไม่ได้หมายความแบบที่แม่เข้าใจ...อย่าคิดมากเลยค่ะ หนูเพียงแต่สงสัยเท่านั้น”
ร่างสูงเข้าไปโอบกอดมารดา เธอไม่อยากให้แม่ต้องคิดมาก ผู้เป็นมารดาพยักหน้ารับ ยิ้มให้พลางถาม
“จ้ะ...ว่าแต่จะกลับกันรึยังจ๊ะ”
“ยังค่ะ” ซุยผละออกจากตัวมารดา “ขอหนูอยู่ที่นี่ต่ออีกนิด”
“ถ้าอย่างนั้นแม่กลับก่อนนะ จะได้ไปเตรียมอาหารกลางวันให้ลูกด้วย”
“ค่ะ”
ซุยมองส่งผู้เป็นมารดา เมื่อลับร่างนั้นแล้วร่างสูงก็ค่อยๆทรุดตัวลงนั่ง สายตาเหม่อลอยตกเข้าสู่ห้วงภวังค์
‘อานทีคะ...นับจากวันนั้น วันที่หนูได้เจอกับคนๆนึงที่กระท่อมในรีสอร์ท จนกระทั่งหนูกลับมาที่นี่เวลาผ่านไปเกือบสองเดือนแล้ว เราไม่ได้เจอกันอีกเลย...หนูพยายามตัดใจเรื่องนี้มาตลอด แต่หนูก็ยังหยุดคิดถึงเธอไม่ได้ ความรู้สึกจากวันนั้นมาจนถึงวันนี้มันยังไม่เปลี่ยนแปลง หนูรู้ดีว่าหากตัวเองยังรู้สึกแบบนี้ต่อไปมันจะเป็นการทำร้ายตัวหนูเองและที่สำคัญคือทำร้ายคนๆนั้นด้วย แต่อาคะ...หนูไม่คิดว่าหนูจะรักใครได้เท่าเธออีกแล้ว ดังนั้น ได้โปรดอวยพรให้หนู...ให้เราได้พบกันอีกครั้ง...เพื่อให้หนูได้บอกคำๆนั้นกับเธอ...’
ซุยซบหน้าลงกับเข่า ใช่...เพื่อที่เธอจะได้บอกคำๆนั้นให้ร่างบางได้ฟัง
...คำว่ารัก...
แต่ทุกครั้งที่คิดแบบนี้ คำๆนึงก็จะแทรกขึ้นมา
...มันเป็นไปไม่ได้.....แล้วร่างสูงจะรู้สึกถึงการบีบรัดของหัวใจ...เจ็บ
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
+++++++++++++++
เช้าวันต่อมาซุยไปที่มหาวิทยาลัยและมุ่งหน้าไปที่ห้องของชมรมทันที เช้านี้ร่างสูงไม่มีเรียนจนกระทั่งบ่าย ดังนั้นเจ้าตัวจึงอยากจะไปวาดรูปที่ค้างมานานเพราะไม่มีเวลาให้เสร็จเสียที ซุยเป็นสมาชิกฝีมือดีของชมรมศิลปะเคยส่งภาพเข้าประกวดหลายหน ได้รางวัลมาก็หลายครั้ง แต่นั่นก็ไม่ใช่เหตุผลหลักที่ร่างสูงวาดรูป เธอวาดเพราะเธอชอบมันจริงๆ
ร่างสูงผลักประตูห้องเข้าไป จิตใจมัวแต่จดจ่ออยู่กับผืนผ้าใบที่มีรูปเสก็ตช์ค้างไว้อยู่ จนไม่ทันสังเกตเห็นว่าภายในห้องมีใครคนหนึ่งกำลังนั่งคอยตนอยู่ก่อนแล้ว มือเรียวยาวค่อยๆปลดผ้าคลุมออก เผยให้เห็นภาพที่อยู่บนผืนผ้าใบ...ภาพของผู้หญิงคนหนึ่งที่ตราตรึงอยู่ในหัวใจเธอมาจนบัดนี้
คนที่นั่งอยู่ภายในห้องอีกคนรู้สึกเจ็บที่หัวใจอย่างบอกไม่ถูกเมื่อเห็นภาพนั้น ภาพของคนที่เธอคิดว่าร่างสูงน่าจะรีบๆลืมไปเสียที ศศิกานดาก้มลงมองการ์ดในมือแล้วก็ตัดสินใจได้...เมื่อร่างสูงไม่มีวันจะลืมคนในภาพได้ เธอก็คงต้องให้เจ้าตัวได้รู้ความจริงบางอย่าง..ที่เธอได้แต่หวังว่าเมื่อรู้แล้วร่างสูงคงจะรีบตัดใจได้เสียที
“ซุย...” เธอส่งเสียงเรียกออกไป เพราะไม่อย่างนั้นก็ไม่มีทางที่ซุยจะหันกลับมามองเห็นเธอ ร่างสูงแทบจะไม่สนใจสิ่งรอบด้านด้วยซ้ำ
ด้านฝ่ายที่ถูกเรียกก็ถึงกับสะดุ้ง เพราะเสียงนี้...ศศิกานดา....ซุยพูดไม่ออกเพราะพวกเธอไม่ได้พูดกันอีกเลยนับจากเหตุการณ์ที่รีสอร์ทคราวนั้น และฝ่ายที่ไม่พูดก็คือศศิกานดา เจอกันที่มหาวิทยาลัยศศิกานดาก็หลบหน้าเธอตลอด แม้เธอจะเข้าไปคุย ไปง้อ ศศิกานดาก็ทำเย็นชาใส่จนเธอใจฝ่อและคิดว่าเพื่อนสาวจะไม่ให้อภัยเธอเสียแล้ว...
“ศศิ...” ซุยส่งเสียงอย่างยินดี แต่ก็ยังรู้สึกอึดอัด บรรยากาศรอบๆเริ่มตึงเครียด
หญิงสาวเดินไปเปิดม่าน แสงสว่างส่องลอดเข้ามารวดเดียวจนทำให้คนในห้องรู้สึกแสบตา ซุยยกมือขึ้นบังแสงมองเพื่อนอย่างงงๆ ศศิกานดาเหลียวกลับมาดูภาพ ซุยมองตามแล้วกลับไปมองเพื่อนด้วยแววตาเศร้าๆ
“ทั้งๆที่ฉันบอกให้เธอลืม แต่ทำไมเธอถึงยังทำแบบนี้” ศศิกานดาเริ่มทนไม่ไหวมื่อเห็นแววตาที่ซุยมองที่ภาพวาด มันลึกซึ้งอย่างที่เธอไม่เคยเห็นมาก่อน
ร่างสูงไม่ตอบเพียงแต่ค่อยๆคลุมผ้าคืนดังเดิม แล้วกล่าวเสียงแผ่วเบา “ไม่ใช่ว่าฉันไม่เคยพยายามลืม ฉันทำแล้วแต่มันทำไม่ได้ต่างหาก”
“เธอยังพยายามไม่ถึงที่สุด”
“ศศิ!” ถ้อยคำย็นชาของเพื่อนสาว ทำให้ซุยน้ำตาแทบไหล “จะให้ฉันทำยังไง เธอถึงจะยกโทษให้ฉัน
”
“ฉันบอกไปแล้ว”
“เธอจะด่าว่าฉันยังไงก็ได้ แต่ขอร้องอย่าทำเย็นชาแบบนี้...”
ถ้อยคำของซุยเกือบทำให้หญิงสาวใจอ่อน...เธอก็รู้ว่าฉันจะเย็นชากับเธอได้นานแค่ไหนกันเชียว...แต่พอนึกถึงคนในภาพแล้ว ใจของเธอก็กลับแข็งดังเดิม
“นั่นเป็นการ์ดงานวันเกิดของฉัน อยากให้เธอมานะ...” สีหน้าซุยดีขึ้นเมื่อได้ยินประโยคนี้ ศศิกานดาทำใจแข็งเดินผ่านไปโดยไม่สนใจ สิ้นเสียงปิดประตูซุยหันไปมองภาพวาดอย่างเศร้าๆ ก่อนจะคลุมผ้าปิดไว้ดังเดิม...
ร่างสูงวิ่งตามหลังเพื่อนสาวออกไป ปากพร่ำเรียก “ศศิ...ศศิ...รอฉันด้วย...” มือใหญกำการ์ดไว้แน่น ในขณะที่หัวใจปวดร้าว
...ก็ในเมื่อมันเป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว มันเป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว...ควรเลิกคิดเลิกหวังดีกว่าใช่มั้ย.....
....ในเมื่อมันเป็นไปไม่ได้..อาคะ คำอธิษฐานของหนู คงไม่ต้องแล้วละค่ะ...
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
++++++++++++++++++++++++++++++
ช่วงนี้อากาศเปลี่ยนเป็นร้อน(มาก) อีกแล้ว
รักษาสุขภาพกันด้วยน้า
อย่าลืมเม้นกันคุยกันมั่งนะ นั่นคือกำลังใจในการแต่งเรย...
ความคิดเห็น