ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    THE FORBIDDEN GARDEN++//[YuRI]\\++

    ลำดับตอนที่ #2 : คำสัญญา

    • อัปเดตล่าสุด 18 ม.ค. 49


       

    แสงแดดยามเช้าและเสียงดังรอบๆตัวทำให้ดารินค่อยๆลืมตาขึ้นช้าๆ  ตอนแรกยังรู้สึกงงๆ แต่พอสักพักก็เริ่มจำเหตุการณ์ได้   ดารินลุกพรวดขึ้นทันที รอบๆมีคนอยู่เต็มไปหมด ดารินจำได้ว่าเป็นคนของรีสอร์ทแล้วก็กลุ่มเพื่อนของเธอเอง  หนึ่งในนั้น...เอมิกา  หันมาเห็นเธอเข้าพอดี 

                    นี่ๆ ยัยรินตื่นแล้วสิ้นเสียงเอมิกาเพื่อนของเธอที่เหลือและพนักงานก็พากันมาห้อมล้อมดาริน วิภาวรรณ เพื่อนสนิทของดารินโผเข้ามากอดเธอ สะอึกสะอื้นเป็นการใหญ่

                โอย..ยัยริน รู้มั้ยพวกเราเป็นห่วงแค่ไหน ไม่มีใครได้นอนเลยเมื่อคืนนี้  นี่ถ้าเอมกับพนักงานไม่ห้ามไว้ ฉันกับกุ๊ก จะออกมาตามหาเธอตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว

                    อารยาหรือกุ๊กที่ยืนอยู่ข้างๆพยักหน้าสนับสนุนเพื่อน 

                    เอมก็ทำถูกแล้วนี่นาวรรณ  มันอันตรายนะ ดารินลูบหลังปลอบเพื่อนสาวเบาๆ  วิภาวรรณยังสะอื้นไม่หยุด เอมิกาจึงตัดบทขึ้นมาอย่างรำคาญ

                    นี่ๆ พอได้แล้วยัยวรรณ  พายัยรินกลับไปพักผ่อนที่รีสอร์ทก่อนเถอะ  แล้วเธอจะคร่ำครวญต่อแค่ไหนก็ได้

                    จริงด้วย วิภารรณเพิ่งนึกขึ้นได้  เธอเช็ดน้ำตาแล้วประคองดารินให้ลุกขึ้น  ทั้งหมดออกมาจากกระท่อมหลังเล็กนั้น ดารินเหลียวไปมองรอบๆ คนที่อยู่กับเธอเมื่อคืนไปไหนแล้ว?

                    เอม ดารินเรียกเอมิกาที่ดูจะยังมีสติดีกว่าใคร เอมิกาหันมายักคิ้วเป็นเชิงถามว่ามีอะไร 

                    คนที่ติดอยู่กับฉันที่นี่อีกคนล่ะ ไปไหนแล้ว

                    เอมิกาทำท่านึกขึ้นได้ อ๋อ คนนั้นเพื่อนเขามารับไปแล้วล่ะ ตอนแรกฉันใจหายหมดนึกว่าเธอมาติดอยู่ในกระท่อมกับผู้ชายสองต่อสอง  ที่ไหนได้...ฉันงี้หน้าแตก  เค้าเป็นผู้หญิงที่หล่อมากเลยนะ

                    ใจดารินสั่นนิดๆ  ใช่...ซุยเป็นแบบนั้น เธอไม่อยากให้ใครมาชมซุยแบบนี้เลย...นี่เธอหึงรึเปล่านะ  ดารินรีบสลัดความคิดออกไปจากหัว  ทำไมเธอถึงได้เห็นแก่ตัวแบบนี้  เหลือบไปเห็นเสื้อคลุมที่ตัวเองใส่อยู่ มันเป็นของซุย...ความรู้สึกค่อยๆกลับคืนมาอีกครั้ง  ดูสิ...ขนาดไปแล้วก็ยังทิ้งความใจดีเอาไว้ให้อีก  เธอจะมีโอกาสได้พบซุยอีกไหมหนอ....

                    แล้วนี่รู้ไหมเขาเป็นเพื่อนกับใคร เสียงเอมิกาดังขึ้นมาอีก  ดารินหันไปมองเพื่อนสาว ส่ายหน้า

                    เขาเป็นเพื่อนกับคุณศศิกานดา ลูกพี่ลูกน้องของเธอยังไงล่ะ

                    ดารินไม่รู้เลยว่าตัวเองยิ้มกว้างขนาดไหน....

     

     

                ร่างสูงโปร่งระหงเดินกลับไปกลับมาช้าๆอยู่หน้าเตียงที่มีร่างหนึ่งนอนหลับสนิทอยู่ ในใจมีคำถามมากมายที่อยากจะถาม แต่ก็คงต้องรอให้คนที่กำลังหลับตื่นขึ้นมาซะก่อน

                    เมื่อเหลียวกลับไปดูร่างสูงที่นอนเหยียดยาวอยู่บนเตียง  ความรู้สึกบางอย่างในอกก็เอ่อล้นออกมา  เธอเดินไปทรุดกายนั่งลงที่ข้างเตียงนั้นแล้วใช้นิ้วมือเขี่ยไรผมที่ระหน้าคมเข้มออก..เธอไม่เคยรู้ตัวมาก่อนเลยว่าหลงรักคนๆนี้ตั้งแต่ตอนไหน...และก็ไม่กล้า...ที่จะบอกรักด้วยเช่นกัน เพราะเธอคบกับคนๆนี้อยู่ในฐานะเพื่อนสนิท...คงไม่ดีแน่ถ้าหากเธอบอกความรู้สึกออกไปแล้วใจไม่ตรงกัน  ความสัมพันธ์ที่มีมาตั้งนานก็คงต้องจบลง และเธอคงทนไม่ได้หากไม่ได้อยู่ข้างกายคนๆนี้

                    ซุย...

                    ศศิกานดาหลับตานิ่ง ใช่!...เธอรู้ดีว่าความรู้สึกแบบนี้ไม่ควรเกิดขึ้นกับผู้หญิงด้วยกัน แต่มันช่วยไม่ได้นี่นา...ในเมื่อผู้หญิงคนนั้นคือ ซุย ที่ดีกว่าผู้ชายทั่วๆไปตั้งหลายเท่า  ทั้งหน้าตา นิสัย และความสามารถ...

                    อืม... เสียงครางเบาๆนั้นทำให้ศศิกานดาดึงมือกลับมาทันที ซุยค่อยๆลืมตาขึ้น พบกับเพื่อนก็ยิ้มให้ กี่โมงแล้วศศิ

                    จะเที่ยงแล้วล่ะศศิกานดาตอบ  ซุยทำหน้าตื่น

                    ฉันนอนนานขนาดนั้นเชียว พลางเอามือลูบท้องตัวเอง มิน่าล่ะ นอนนานขนาดนี้ชักหิวขึ้นมาซะแล้วสิ

                    ซุยที่ไม่ได้ทานอะไรเลยตั้งแต่เย็นวาน บวกกับเมื่อกลับมาถึงที่พักก็ปีนขึ้นเตียงล้มตัวลงนอนทันที สมควรอยู่หรอกที่จะหิว

                    เดี๋ยวฉันไปยกข้าวต้มมาให้ รอแปปนึงนะ

                    ร่างเพรียวของศศิกานดาเดินออกจากห้องไปและกลับเข้ามาใหม่พร้อกกับถาดอาหารในมือ ซุยรับมาวางบนตักแล้วเริ่มลงมือทาน ศศิกานดานั่งรอจนซุยทานเสร็จ แล้วจึงถามคำถามที่อยากถามออกไป

                    นี่ซุย เมื่อคืนทำไมถึงไปติดอยู่บนนั้นได้ล่ะ?

                    ฮืมม์? ซุยเงยหน้าจากแก้วน้ำ อืม...ก็บังเอิญน่ะ

                    บังเอิญ!?” ศศิกานดาตะโกน หาคำตอบที่มันดีกว่านี้หน่อยซิ  รู้มั้ยว่าฉันเป็นห่วงแค่ไหนน่ะ เธอบ่นพลางส่ายหัว เรื่องความขี้เกียจพูดของซุยนี่เธอต้องยอมรับจริงๆ

                    ซุยแกล้งหันไปดื่มน้ำต่อ เพราะไม่อยากโดนซักไซ้มาก  ศศิกานดาหมดปัญญาไล่ต้อนคนพูดน้อย จึงพูดต่อซะเอง

                    แล้วรู้รึเปล่าว่าคนที่อยู่กับซุยเมื่อคืนนี้เป็นลูกพี่ลูกน้องของฉันเอง  ชื่อดาริน

                    ซุยสำลักน้ำเมื่อได้ยินชื่อนั้น...ดาริน...

                    แล้วกันซุย!” ศศิกานดารีบเอาผ้ามาเช็ดปากให้ซุย แล้วพูดต่อ แต่ก็ไม่ได้สนิทอะไรกันมากมายนักหรอก  คุณแม่ของฉันเป็นพี่สาวของพ่อเขาน่ะ

                    อืม... ซุยรู้สึกว่าใจตัวเองเต้นแรงผิดปกติ เมื่อนึกถึงหน้าขาวใสที่อยู่ด้วยกันเมื่อคืน เมื่อเช้าตอนที่ทุกคนไปพบ ร่างบางกำลังหลับอยู่แถมศศิก็รีบพาตัวเองลงมาเลยไม่รู้ว่าตอนนี้ เธอ จะเป็นยังไงบ้าง...แต่คงไม่เป็นไรหรอกมั้ง  ก็เห็นเพื่อนของเค้าอยู่ด้วยตั้ง 2-3 คน

                    ซุย... ศศิกานดาสะกิดเรียกซุย เมื่อเห็นว่าเธอเหม่อไปในขณะที่กำลังคุยกันอยู่

                    หืมม์?...อะไร ซุยหันไปยิ้มฝืนๆให้ ศศิกานดามองหน้าซุยอย่างไม่สบายใจ

                    ไม่สบายรึเปล่า? เธอเอื้อมมือไปอังหน้าผากซุย ตัวก็ไม่ร้อนนี่...

                    ฉันไม่เป็นอะไรหรอก ซุยว่าแล้วจับมือของศศิกานดาออก แต่พอเห็นหน้าของคนที่ขี้กังวลก็เลยอยากแกล้งให้รู้สึกผ่อนคลายซะบ้าง ซุยกระตุกมือข้างที่จับมือของเพื่อนสาวเอาไว้ ศศิกานดาที่ไม่ทันได้ตั้งตัวก็เอนไปตามแรงดึง ล้มลงไปพิงกับแผ่นอกกว้างของซุย

                    มือเรียวยาวลูบเส้นผมตรงและหนานุ่มนั้น กล่าวล้อๆ โอ๋ๆ...คุณแม่ไม่ต้องเป็นห่วงนะคะ คุณลูกสบายดีทุกอย่างเลยค่ะ

                    ศศิกานดารู้สึกว่าหัวใจของตัวเองเต้นแรงและเร็วราวกับจะระเบิดออกมานอกอก

                    ซุย  ฉันรักเธอ... ศศิกานดารู้สึกทั้งสุขและทุกข์ในคราวเดียวกัน

                    แต่ก่อนที่ความรู้สึกของเธอจะเตลิดไปไกลจนควบคุมไม่อยู่ ศศิกานดาผลักอกอันอบอุ่นนั้นออกแล้วลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว แกล้งพูดเสียงดุใส่ซุย

                    จะบ้ารึไง ลูกที่ไหนเค้าทำแบบนี้กับแม่กันเล่า! ซุยบ้า!” แล้วรีบเดินออกไปจากห้อง  ซุยขำกับท่าทางของเพื่อนสนิท มองดูร่างนั้นเดินออกไปจนลับตา

                    แล้วภาพใบหน้าของอีกคนก็ปรากฏขึ้นมาจะได้พบกันอีกมั้ยนะ...

                รู้สึก...อยากเจอ...เหลือเกิน...

     

     

                    ซุย...แต่งตัวเสร็จรึยัง?

    ศศิกานดาเคาะประตูเรียกเพื่อนที่กำลังแต่งตัวอยู่ในห้อง  มีเสียงขานรับขานรับว่าเข้ามาได้  ศศิกานดาจึงเปิดประตูเข้าไป

                    ซุยแต่งตัวเสร็จพอดี เธอมองร่างสูงตรงหน้าอย่างชื่นชม  ซุยอยู่ในชุดทักซิโดสีดำที่ดูไม่ขัดกันเลยแม้คนใส่จะเป็นผู้หญิง ซุยส่งมือไปให้หญิงสาว กล่าวเป็นเชิงล้อว่า

                    วันนี้คุณผู้หญิงสวยจัง

                    ศศิกานดารู้สึกร้อนวูบที่ใบหน้า ตอนนี้เธออยู่ในชุดราตรีสีแดงเข้ม  ผมมุ่นเกล้าสูงเผยให้เห็นลำคอเนียนระหง ไหล่ขาวคลุมด้วยแพรบางสีครีม  ใบหน้าที่ตบแต่งอย่างประณีตทำให้เธอดูสวยราวนางพญาเลยทีเดียว

                    ขอบคุณที่ชม  เราไปกันเถอะ เดี๋ยวงานจะเริ่มซะก่อน

                    ซุยยิ้มรับ แล้วยื่นแขนให้เกาะ  ศศิกานดาเอื้อมมือไปจับ แล้วทั้งคู่ก็ออกเดินไปพร้อมกัน

                    งานที่ทั้งคู่กำลังจะไปนี้ เป็นงานที่ทางรีสอร์ทจัดขึ้นเป็นประจำทุกเดือน ลักษณะของงานเป็นงานเลี้ยงปาร์ตี้คอกเทลเล็กๆ  แต่ดูหรูหราและมีระดับ จัดขึ้นเพื่อให้แขกที่มาพักที่รีสอร์ทได้มีโอกาสสังสรรค์กัน  คนที่ไม่เคยพบก็ได้มาพบกัน คนที่ไม่เคยรู้จักก็มารู้จักกัน งานเลี้ยงที่ว่านี้นับเป็นจุดขายสำคัญของทางรีสอร์ทที่แขกผู้มาพักทุกคนต่างก็เฝ้ารอ

                    เมื่อมาถึงในงานคนก็เริ่มเยอะแล้ว  ศศิกานดามีผู้เข้ามาทักทายมากมายเพราะเป็นหลานของเจ้าของรีสอร์ทและเธอก็เคยออกงานสังคมบ่อย จึงทำให้เป็นที่รู้จักในหมู่คนสังคมชั้นสูง ผิดกับอีกคนที่ชอบเก็บตัวอยู่กับบ้านจึงทำให้ไม่เป็นที่รู้จักเท่าใดนัก

                    ซุยรู้สึกเมือนถูกผู้ชายในงานจ้องแบบเขม่นๆ แต่ก็ไม่แปลกใจเพราะมักจะเป็นเช่นนี้เสมอในยามที่ตนเดินกับเพื่อนสาวคนนี้ในชุดไพรเวท  ซึ่งไม่ใช่ซุยคนเดียวที่รู้สึกศศิกานดาเองก็รู้สึกถึงรังสีอำมหิตจากสาวๆเช่นเดียวกัน

                    เมื่อบริกรเดินมาเสิร์ฟน้ำ ซุยบริการหยิบเครื่องดื่มให้ศศิกานดาก่อน ซึ่งร่างสูงรู้ดีว่าหญิงสาวชอบแบบไหน แล้วจึงหยิบของตน เมื่อบริกรเดินจากไปศศิกานดาจึงกล่าวล้อๆกับซุยว่า

                    ถ้ามีแฟนแบบนี้รักตายเลย

                    ร่างสูงยักไหล่ เธอไม่ได้อยากมีแฟนแบบฉันหรอกน่า

                    ศศิกานดารู้สึกเจ็บแปลบเมื่อได้ยินคำตอบ...เธอจะรู้ได้ยังไงล่ะซุย...แล้วเธอก็ต้องรีบสลัดความคิดนี้ออกไปจากหัวเมื่อซุยมองท่าทางที่ซึมลงของเธออย่างสงสัย  ศศิกานดารีบยิ้มกลบเกลื่อน

                    ฉันอยากเต้นรำจังเลย แต่แล้วก็เลี่ยนใจ ชี้ไปทางโต๊ะที่ว่างอยู่ แต่พักก่อนดีกว่า  ไปนั่งตรงนั้นกันเถอะ

                    ทั้งสองคนเดินไปที่โต๊ะนั้นแต่บังเอิญมีคนจะมานั่งเหมือนกันพอดี  ทั้งสองฝ่ายมองหน้ากันอย่างเกรงใจ  ซุยมองไปรอบๆเพื่อจะหาโต๊ะตัวใหม่แต่คนก็เริ่มเยอะแล้วและโต๊ะก็ท่าว่าจะเต็ม แต่ในที่สุดศศิกานดาก็เอ่ยขึ้นด้วยมารยาททางสังคมที่ดี

                    เชิญนั่งเถอะค่ะ ดิฉันกำลังอยากจะไปเต้นรำพอดี

                    คนกลุ่มนั้นอันปะกอบไปด้วยหญิงสาม ชายสอง ยิ้มให้เธออย่างขอบคุณ แต่จู่ๆหนึ่งในสองชายก็มองหน้าศศิกานดาเหมือนจะนึกขึ้นได้

                    นั่นใช่ศศิรึเปล่าครับ ร่างของศศิกานดาหยุดชะงักหันกลับไปมองหน้าชายหนุ่มอย่างพินิจ แล้วเธอก็จำได้

                    นายเอก!” ศศิกานดาอุทาน เอกชัยยิ้มให้เธอแล้วพยักหน้ารับ เขาหันไปคุยกับเพื่อนสองสามคำ พอคุยจบหญิงสาวที่สวยที่สุดในกลุ่มก็หันมายิ้มให้เธอกับซุย

                    โธ่...ที่แท้ก็เพื่อนเก่าคุณเอกนี่เอง ถ้าไม่รังเกียจเชิญนั่งด้วยกันซิคะ

                    ทั้งสองรับคำเชิญนั้น  เมื่อทั้งคู่นั่งประจำที่กลุ่มของเอกชัยจึงเริ่มแนะนำตัว  ประกอบไปด้วย เอกชัย ชายหนุ่มอีกคนชื่อเมธิน  หญิงสาวที่กล่าวชวนทั้งคู่คือ ชาลินี และอีกสองคนที่เหลือคือ พิมพ์ผกา และไปรยา

                    ศศิกานดาคุยกับทั้งกลุ่มอย่างออกรส  เธอเป็นเพื่อนกับเอกชัยสมัยมัธยมต้น ก่อนที่เธอจะย้ายมาอยู่มัธยมปลายที่เดียวกับซุยและเข้ามหาวิทยาลัยที่เดียวกัน 

                    ซุยนั่งเงียบมาตลอด จะพูดก็ต่อเมื่อมีคนถามและมักจะตอบเพียงสั้นๆเท่านั้น  และเริ่มอึดอัดเมื่อรู้สึกว่าชาลินี กำลังส่งสายตาแปลกๆมาให้ตน อีกทั้งยังชอบหาเรื่องให้มือกระทบกันบนโต๊ะอาหารบ่อยๆซึ่งศศิกานดาไม่ทันสังเกตเห็นเพราะกำลังคุยสนุก

                    คุณซุยเป็นอะไรไปคะ สีหน้าไม่ดีเลย  ไม่สบายรึเปล่าคะ ชาลินีถามอย่างเป็นห่วง เมื่อเห็นสีหน้าของซุยดูแย่ลง ศศิกานดาหยุดคุยทันที  หันมาทางเพื่อนสาว

                    เป็นอะไรเหรอซุย?

                    เปล่าหรอก... ซุยยิ้มให้เพื่อน แค่รู้สึกมึนหัวน่ะ

                    ตายจริง!” ศศิกานดาอุทาน ฉันไม่น่าจะบังคับให้เธอมาด้วยเลยจริงๆ น่าจะให้เธอนอนพักมากกว่า ไหนดูซิตัวร้อนรึเปล่า

                    หญิงสาวเอื้อมมือไปอังหน้าผากเพื่อนอย่างแสดงความเป็นเจ้าของ  เธอเริ่มรู้ตัวแล้วว่าชาลินีกำลังเล็งเพื่อนของเธออยู่  โดยดูจากสายตาหวานเชื่อมที่มองมาทางซุย  ซุยก็รับมุขกับเพื่อนจึงเอาศีรษะไปซบกับไหล่ของหญิงสาว  พูดออดอ้อน

                    อืม...ฉันไม่มีไข้หรอก แค่เพลียๆน่ะ

                    ชาลินีมองศศิกานดาอย่างหมั่นไส้  ศศิกานดาแกล้งทำเป็นไม่เห็น  แล้วพูดกับซุยต่อ

                    งั้นเรากลับกันก่อนเถอะ  ซุยจะได้ไปพักผ่อน

                    ซุยส่ายหัว อย่าเพิ่งเลย..อุตส่าห์เจอเพื่อนเก่าทั้งที  อยู่คุยกันก่อนเถอะ เดี๋ยวฉันขอออกไปสูดอากาศข้างนอกสักพัก  ถ้ารู้สึกดีขึ้นแล้วจะกลับมา

                    งั้นก็ตามใจ แต่ถ้าไม่ไหวก็บอกนะ  จะได้กลับกัน

                    อืม... ซุยรับคำเพื่อนแล้วลุกขึ้น จังหวะนั้นองชาลินีก็ลุกตาม รีบเสนอตัว

                    ให้ฉันไปด้วยนะคะ

                    ขอโทษนะ ฉันอยากไปคนเดียว ซุยตอบกลับอย่างไม่ไว้หน้าเพราะเริ่มรู้สึกรำคาญ  ร่างสูงหันหลังเดินออกไป  ทิ้งให้ชาลินีที่หน้าเจื่อนเล็กน้อยต้องนั่งลงที่เดิมอย่างไม่มีทางเลือก  ศศิกานดายิ้มเยาะแล้วหันไปคุยกับเพื่อนเก่าต่อ

                    เหตุการณ์ทั้งหมดอยู่ในสายตาของใครบางคนที่เฝ้ามองดูอยู่ตลอด

     

     

                    ซุยเดินมาหยุดอยู่ตรงบริเวณน้ำพุที่อยู่ด้านหลังของอาคารจัดเลี้ยง  น้ำพุเป็นรูปปั้นของเทพธิดากำลังถือคนโทน้ำที่ปั้นได้อย่างประณีต หยดน้ำที่กำลังพุ่งสู่เบี้องบนกระทบกับแสงจันทร์เป็นประกาย ซุยสูดลมหายใจรับเอาอากาศบริสุทธิ์เข้าเต็มปอด 

                    เมื่อหันหลังกลับเพื่อนั่งลงที่ขอบบ่อน้ำพุก็เห็นเงาหนึ่งกำลังเดินเข้ามาใกล้  ซุยนึกว่าเป็นชาลินีจึงตวาดออกไป

                    นี่คุณพูดไม่รู้เรื่องหรือยังไง  ฉันบอกว่าอยากอยู่คนเดียว... แต่แล้วก็ต้องหยุดชะงักเมื่อร่างที่ปรากฏออกมาไม่ใช่ชาลินี

                    แต่เป็นคนที่ตนกำลังคิดถึงอยู่ทุกลมหายใจขณะนี้ต่างหาก....

                    ขอโทษค่ะ... ร่างบางกล่าว สีหน้ามีรอยตกใจ ฉันแค่จะเอานี่มาให้คุณ

                    สิ่งที่ร่างบางยื่นมาให้  ก็คือเสื้อตัวนอกของซุยที่ร่างสูงคลุมให้เธอเมื่อคืน ซุยเอื้อมมือไปรับโดยยังพูดไม่ออก

                    ขอบคุณที่ให้ยืมนะคะ...แค่นี้หละค่ะ  ขอโทษที่มารบกวน... ดารินพูดจบ ก็หันหลังจะเดินกลับไปทันที  ซุยรีบคว้าข้อมือเล็กบอบบางนั้นไว้

                    หญิงสาวหันมามอง ซุยจึงได้พูดออกไปเป็นประโยคแรก

                    อย่าเพิ่งไป  อยู่ก่อนสิ...

                    ฉันไม่รบกวนคุณหรือคะ ดารินถามกลับหน้าตาเฉย  ซุยไม่คิดว่าร่างบางจะย้อนจึงเสียหลักไปชั่วขณะ  แต่แล้วรอยยิ้มเจ้าเล่ห์...อย่างที่ไม่มีใครเคยได้เห็น  ก็ปารกฏขึ้นที่มุมปากของร่างสูง  ซุยดึงร่างบางให้มานั่งบนตักตัวเองแล้วสวมกอดกระชับไว้แน่น

                    ปล่อยค่ะ  เดี๋ยวมีใครมาเห็น ร่างบางดิ้น  แต่ซุยกลับกระชับอ้อมกอดแน่นเข้า

                    ไม่ปล่อย  ไม่มีใครหรอกนอกจากฉันกับเธอ ซุยสูดกลิ่นหอมของเรือนผมสีน้ำตาลหยักศกหนานุ่มนั้น  ดารินหน้าแดง  เมื่อรู้ว่าสู้แรงของคนตัวสูงกว่าไม่ได้  จึงเปลี่ยนมาใช้วิธีการเจราจาแทน

                    เมื่อคืนคุณสุภาพแล้วก็อ่อนโยนกว่านี้นะคะ...

                    นั่นน่ะสิ...เมื่อวานฉันยังเป็นฉันคนเดิมได้อยู่  แต่เธอรู้มั้ยว่าตั้งแต่จากกันเมื่อเช้าฉันก็ไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว  มันคิดถึงแต่เธอ...เธอ...แล้วก็เธอ  เธอทำให้ฉันเป็นในสิ่งที่ไม่เคยเป็นมาก่อนรู้รึเปล่า...

                    ดารินนิ่งเงียบ...ไม่ตอบ

                    ...ถึงเธอจะใช้วิธีนิ่งเงียบก็อย่าคิดนะว่าฉันจะปล่อย...ถ้าเธอไม่พูดฉันพูดเอง

                    ดารินยังคงเงียบ...

                .....

                    .....

                นี่...พูดอะไรสักอย่างสิ….” เมื่อทนไม่ไหวร่างสูงก็แกล้งเขย่าคนในอ้อมแขนเล่น  ใจคอจะเงียบไปถึงเมื่อไรกันเนี่ย  ซุยได้ยินเสียงร่างบางหัวเราะเบาๆ

                ก็บอกว่าจะพูดเองไม่ใช่เหรอ...รอฟังอยู่ไง...

                    นี่แกล้งกันเหรอ โดยไม่ทันรู้ตัวร่างบางก็ถูกคนเจ้าเล่ห์ขโมยหอมแก้ม ขี้แกล้งแบบนี้ต้องโดนทำโทษ

                    คุณ!” ดารินหน้าแดงตั้งแต่คอจนถึงใบหู  ซุยมองภาพนั้นอย่างเอ็นดู

                    ก็บอกชื่อไปแล้วนี่นา ฉันชื่อซุยนะ... กระซิบที่ข้างหูของดาริน เรียกชื่อฉันก่อน ฉันถึงจะปล่อย

                    ดารินยังตัดสินใจไม่ถูก จู่ๆก็ได้ยินเสียงคนเจ้าเล่ห์ไอ เริ่มจากเบาก่อนแล้วค่อยหนักขึ้นเรื่อยๆ

                    เป็นอะไรไปคะ? ร่างบางถามอย่างเป็นห่วง ซุยหัวเราะเขินๆแล้วปล่อยร่างบอบบางออกจากอ้อมแขนอย่างแสนเสียดาย

                    ขอโทษ...รู้สึกจะเป็นหวัดน่ะ  มึนหัวนิดหน่อยฉันปล่อยแล้ว  จะกลับเข้าไปข้างในใช่ไหม? พูดจบซุยก็ไอต่อ  ดารินรู้สึกเป็นห่วงอย่างบอกไม่ถูก...ก็แค่หวัดทำไมต้องห่วงขนาดนี้...แต่ที่เขาเป็นแบบนี้ก็เพราะเราไม่ใช่เหรอ...

                    ดรินตัดสินใจนั่งลงข้างๆ ทำให้ซุยหันมามองอย่างแปลกใจ

                    คุณไม่สบายแล้วทำไมยังมางานนี้อีกคะ  แล้วนี่..มากับใครคะ? ถามออกไปแล้วดารินก็รู้สึกเหมือนต้องกลั้นใจรอฟังคำตอบ  ทั้งๆที่รู้อยู่แล้ว

                    ศศิกานดา...ลูกพี่ลูกน้องของเธอน่ะ...เราเป็นเพื่อนกัน

                    ร่างบางรู้สึกใจชื้นกับว่าเพื่อนอย่างบอกไม่ถูก  นี่เธอรู้สึกหึงเขา? แล้วภาพในงานเลี้ยงก็ค่อยๆปรากฏขึ้นมาในหัว  ภาพของสาวสวยที่ส่งสายตายั่วยวนให้ซุย...ภาพของซุยที่ซบไหล่ศศิกานดา  ภาพที่สองคนนั้นสนิทกันเกินเพื่อน...ใช่  เธอหึงซุยจริงๆ...

                    แล้วพี่ศศิปล่อยให้คุณออกมาคนเดียวได้ยังไงคะ  แล้วยังคุณคนสวยที่นั่งโต๊ะเดียวกับคุณนั่นอีก ดารินไม่รู้ตัวเลยว่าเธอพูดอะไรออกไป  แล้วน้ำใสๆก็เริ่มรื้นขึ้นที่ขอบตาอย่างช่วยไม่ได้

                    อย่าร้องไห้สิ... ซุยรู้สึกตกใจ  ร่างบางทำท่าราวกับหึงตน...ซุยไม่กล้าคิดเข้าข้างตัวเอง  แต่ร่างที่สั่นเทาเพราะแรงสะอื้นของหญิงสาวตอนนี้ทำให้เธอควบคุมตัวองไม่ได้อีกแล้ว  ซุยคว้าร่างที่สั่นเทานั้นมากอดไว้แนบอก อย่าให้ความหวังกันอย่างนี้สิ...

                    ความหวัง? ร่างบางถามเสียงแหบพร่า

                    เธอทำอย่างกับว่าหึง...

                    ...ก็ฉันหึงนี่...

                    พูดตรงๆเลยนะ...ฉันดีใจมากที่ได้พบเธออีกครั้งที่นี่...

                    ฉันด้วย...

                    ฉันคิดถึงเธอตลอดทั้งวัน  ในหัวมันมีแต่ภาพเธอ

                    ฉันด้วย...

                    ฉันเอาแต่คิดฟุ้งซ่าน...แล้วยิ่งคิดฉันก็ยิ่งกลัว  ฉันเหมือนคนบ้า  ทั้งที่เราเจอกันแค่คืนเดียว..แต่ฉันก็ลืมเธอไม่ได้      ฉันก็เหมือนกัน...

                    คิดว่าคงมีแค่ฉันที่เป็นบ้าแบบนี้อยู่คนเดียว...คิดว่ามีแค่ฉันฝ่ายเดียวที่คิดถึงเธอแบบนี้

                    ไม่ใช่...ฉันก็เป็นเหมือนกับคุณ...

                    แล้วเธอก็มาทำแบบนี้  อย่าทำให้ฉันดีใจแบบลมๆแล้งๆเลย...มันทรมานนะ...

                    คราวนี้ซุยยังพูดไม่จบประโยคมือเรียวของร่างบางก็ยกขึ้นมาปิดปากเธอไว้  ดารินเงยหน้าที่เปียกชุ่มด้วยน้ำตาขึ้นมา  ตอนนี้เธอรู้หัวใจตัวเองดีแล้ว

                    คุณไม่ได้คิดไปคนเดียวหรอก...ฉันเองก็... ดารินเขินอายเกินกว่าจะพูดคำที่เหลืออกมาให้จบประโยคได้ ร่างบางหน้าแดงอีกครั้ง  ก้มหน้าหลบสายตาของร่างสูงที่ตอนนี้...มันแทบทำให้ใจของเธอละลายหายไปกับอากาศได้

                    ซุยไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าหัวในคนเราจะพองโตได้ขนาดนี้  บรรยากาศรอบข้างนั้นเงียบจนทำให้ได้ยินเสียงหัวใจเต้น  ซุยเชยคางร่างบางขึ้นมาแล้วโน้มตัวลงไปประทับริมฝีปากกับปากบางสวยนั้น  ความอบอุ่นและความรู้สึกที่อัดแน่นอยู่ภายในถูกถ่ายทอดออกมาให้อีกฝ่ายได้รับรู้ 

                    เมื่อซุยถอนริมฝีปากออกมา ร่างสูงก็นึกอยากจะหยุดเวลาเอาไว้  เพื่อเค้าจะได้อยู่กับร่างเล็กในอ้อมแขนได้นานกว่านี้

                    ดารินสะดุ้งและตื่นจากภวังค์เพราะมือถือของเธอกำลังส่งเสียงเรียกเข้า  ดารินหยิบมือถือขึ้นมาดูหน้าจอ  เอมิกานั่นเองที่โทรมา  เธอหายตัวออกมาจากงานนานเกินไปแล้ว

                    ฉันต้องไปแล้ว เธอหันมาบอกซุยและผละออกมาจากอ้อมกอด แต่ซุยยังคว้าข้อมือเธอไว้

                    จะกลับเมื่อไร?

                    ดารินชะงักงันกับคำถามนั้น  ก่อนตอบออกมาเสียงแผ่ว ...พรุ่งนี้

                    ฉันก็เหมือนกัน... ร่างสูงลุกขึ้นแล้วเดินมาหาเธอ  มือแกร่งจับไหล่ทั้งสองของเธอไว้ แล้วกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงหนักแน่นจริงจัง

                    สิ่งที่ฉันทำลงไปเมื่อกี้  ไม่ใช่เพราะอารมณ์ชั่ววูบ ดารินพยักหน้ารับรู้ ร่างสูงเชยคางของเธอขึ้นให้มองตาเขาแล้วพูดต่อ

                    แต่เป็นเพราะคำๆนึงที่อยู่ในใจของฉัน...ฉันรู้ดีว่าความรู้สึกนี้ของฉันมันเป็นสิ่งที่แน่นอน  แต่ฉันก็เชื่อด้วยเช่นกันว่าวันเวลาสามารถทำให้คนเราเปลี่ยนไปได้

                    ร่างบางยังคงนิ่งเงียบ ตั้งใจฟังร่างสูงพูดต่อไป  โดยมีแต่แววตาเท่านั้นที่ตอบสนองต่อคำพูดของคนที่ตัวสูงกว่า

                    พรุ่งนี้เราจะต้องจากกันแล้ว ฉันเองก็ไม่รู้ว่าจะได้เจอกับเธออีกหรือเปล่า  เหมือนกับที่เธอเองก็ไม่แน่ใจ  ดังนั้น...ฉันจะให้คำสัญญา...ว่าถ้าหากเราได้กลับมาเจอกันอีกครั้ง  เมื่อถึงวันนั้น  ถ้าความรู้สึกถายในใจของเรายังไม่เปลี่ยนแปลง วันนั้นฉันจะบอกคำๆนึงกับเธอ...เธอจะช่วยรับฟังได้ไหม?

                    ร่างบางพยักหน้าแทนคำตอบ  แล้วกลับเข้าไปในงาน ซุยยืนมองร่างบางจากไปจนลับตา

                    แล้วเสียงๆหนึ่งก็ดังขึ้น

                    ซุย!...

                    ซุยหันขวับไปทางต้นเสียง  แล้วก็ต้องยืนนิ่ง  คอแข็ง...ศศิกานดา!

                    “…พวกเธอสองคนทำอะไรกันน่ะ!”

                ศศิกานดาพูดออกมาอย่างยากลำบาก...ในหัวของเธอตอนนี้  ทั้งงง  ทั้งสับสนไปหมด  เธอเพียงแค่จะออกมาตามซุย หลังจากที่เห็นว่าหายออกมานานเกินไปเท่านั้น  แล้วสิ่งที่เธอเห็นก็คือ...ภาพของทั้งสองที่กำลังกอดกัน!

                    ศศิ...มาตั้งแต่เมื่อไรน่ะ? ซุยเองก็ตกใจเช่นเดียวกัน ...เอ่อ...ฉัน..

                    ตั้งแต่เมื่อไร? ศศิกานดาไม่สนใจสิ่งที่ซุยกำลังพยายามอธิบาย เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อไร!?”

                    ซุยเข้าใจว่าที่ศศิกานดาโกรธ  เพราะอีกฝ่ายเป็นลูกพี่ลูกน้องของตัวเอง  เลยไม่อยากให้ตนเข้าไปยุ่งเกี่ยวด้วย  ซุยไม่รู้หรอกว่าเหตุผลจริงๆที่ศศิกานดากำลังเกรี้ยวกราดอยู่นั้นคืออะไร

                    ศศิ...ฉันขอโทษ  แต่ฉันห้ามไม่ทัน...ฉันห้ามใจตัวเองไม่ทันแล้ว...ฉันรักคนๆนั้น  ฉันรักลูกพี่ลูกน้องของเธอ...ดาริน

                    ศศิกานดารู้สึกเหมือนพื้นดินใต้เท้าค่อยๆถล่มทลาย  แล้วน้ำตาก็ไหลออกมาอย่างช่วยไม่ได้...ทำไมล่ะซุย  เพราะฉันไม่เคยบอกความรู้สึกให้เธอรู้...เป็นเพราะฉันไม่กล้าพอใช่มั้ย? เธอถึงได้ไปรักคนอื่น...

                    ซุยเข้ามาเช็ดน้ำตาให้เธออย่างอ่อนโยน  แต่นั่นยิ่งทำให้ศศิกานดาร้องไห้หนักขึ้น

                    เธอทำอย่างนี้มันไม่ถูกนะซุย  เธอกำลังทำร้ายยัยริน  และที่สำคัญ คือทำร้ายตัวเธอเอง!” ศศิกานดาไม่รู้ตัวว่าพูดคำเหล่านั้นออกไปได้อย่างไร  เธอรู้สึกเพียงแต่ว่าความรู้สึกภายในใจมันกำลังระเบิดออกไป  เธอคิดว่าสังคมจะยอมรับความรักแบบนี้ของพวกเธอได้เหรอ  คิดเหรอว่าพ่อของยัยยรินจะยอม  กับความรักที่ผิดๆแบบนี้น่ะ!”

                    ซุยนิ่งอึ้ง  แต่ละถ้อยคำของศศิกานดาประดังเข้าสู่หัวสมองและจิตใจ  ใช่...สังคมจะยอมรับหรือ  ทุกๆคนรอบตัวดารินจะยอมรับหรือ  เธอกำลังทำร้ายตัวเองยังไม่พอ  ยังจะทำร้ายดาริน...ความรู้สึกต่างๆกำลังวุ่นวายสับสนภายในใจของซุย

                    ฉัน...ฉันไม่รู้ศศิ...ฉันยังไม่ได้คิดไปไกลถึงขนาดนั้น แต่...ใช่...สิ่งที่เธอพูดมามันถูกทุกอย่าง  มันจะเป็นความรักที่ไม่มีใครยอมรับ  มันอาจจะไม่สมหวัง...แต่...ฉันก็แค่รัก...เพราะรัก เท่านั้นเอง... เสียงของซุยสั่นเครือ  ร่างสูงกำลังเก็บกดความรู้สึกบางอย่างไว้  ...กลับกันเถอะ

                    ซุยกล่าวออกมาได้อีกเพียงแค่นั้น ร่างสูงก้มลงคว้าแจ็กเก็ตที่ร่างบางนำมาคืนให้ หันหลังกลับและออกเดินช้าๆอย่างไร้เรี่ยวแรง

                    ศศิกานดามองจ้องไปยังแผ่นหลังนั้น ในใจของเธอเองก็กำลังแตกร้าวเช่นเดียวกัน  สิ่งที่เธอพูดกับซุย  คือสิ่งที่ใจเธอกลัวมากที่สุดหากเธอบอกรักกับซุย...เธอไม่คิดว่าสิ่งที่เธอทำลงไปนั้นมันผิด   ที่เธอทำไปก็เพราะว่าเธอรักซุย...

                    ใช่....ทุกสิ่งทุกอย่างมันก็เพราะคำว่ารักทั้งนั้น!

     

    ++++++++++++++++++++++++++++++

    ++++++++++++++++++++++++

     อิอิ 2 ตอนแล้ว ใครมีคำแนะนำยังไงบอกกันมาได้เลยนะ
    ชอบไม่ชอบก็บอกกันด้วยน้า~~
    รักคนอ่าน คนเม้น จุ๊บๆๆๆ(^3^)

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×