คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #4 : Lesson:4
[[คำแนะนำ: ใครอ่านไหวก็อ่าน อ่านไม่ไหวก็ดูเฉพาะตรงประโยคที่เป็นสีก็พอจ้ะ]]
บทที่4
รู้จักคิวปิดกันมั้ยจ้ะ? วันนี้เราจะมาเรียนเรื่องตำนานของเทพกรีกองค์นี้กัน อย่างที่คนส่วนใหญ่รู้กัน คิวปิดคือเทวดาตัวน้อยที่คอยแผลงศรให้ชาย-หญิงตกหลุมรักซึ่งกันและกัน แต่ชื่อจริงๆของเทพคิวปิดก็คือ ‘อีรอส’ จ้ะ ใครไม่รู้จักนี่คือรายละเอียดคร่าวๆ ถ้าใครรู้แล้วก็ข้ามไปเลย
เทพอีรอส (Eros) ของกรีก หรือ เทพคิวปิด (Cupid) หรือ เทพอามอร์ (Amor) ของโรมัน ซึ่งเป็นกามเทพ หรือเทพแห่งความรัก ลักษณะที่เราคุ้นเคยก็คือ เทวดาเด็กมีปีกสีขาว ถือธนูคอยยิงศรให้คนเกิดความรักต่อกัน
ตำนานเล่าความเป็นมาของเทพเจ้าองค์นี้ต่างๆ กันไป คิเคโร (Cicero) ได้เล่าไว้ 3 ทางด้วยกัน ทางหนึ่งว่า เป็นโอรส ของเมอร์คิวรี (เฮอร์มีส) และเทพีไดอานา (อาร์ทีมิส) อีกทางหนึ่งว่า โอรสของเมอร์คิวรี และวีนัส (อโฟรไดท์) และอีกทางหนึ่งว่า เป็นโอรสของมาร์ส (เอรีส ตามปกรณัมของกรีก) และวีนัส ขณะที่ในเธโอโกนี ของเฮสิออด ซึ่งเป็น ตำราเทวภูมิศาสตร์ (theoography) ที่เก่าแก่ที่สุดของกรีกโบราณ ระบุว่า คิวปิด ถูกสร้างขึ้นมา พร้อมกับ เคออส และโลก ในตำราเกี่ยวกับเทพเจ้าโบราณโดยทั่วไป ระบุว่ามีคิวปิดสององค์ หรือสองฝ่าย ฝ่ายหนึ่งว่า เป็นโอรสของจูปิเตอร์ (เซอุส) และวีนัส อีกฝ่ายหนึ่งว่าเป็นโอรสของนีกซ์ และเอเรบุส
แต่ส่วนใหญ่ในตำนานการกำเนิดของคิวปิด บอกไว้ว่า เทพีวีนัสหรืออโฟรไดท์ ได้ลักลอบเป็นชู้กับ เทพสงคราม เอรีส (เนื่องจากฝ่ายหญิง ได้สมรสแล้วกับเฮเฟสทัส เทพแห่งการช่าง แต่เทพีวีนัสไม่พอใจ เพราะเทพสวามี เอาแต่ขลุกตัวอยู่กับงานของตน อีกอย่าง พระนางก็พอใจเทพเอรีสมาแต่แรก แต่ที่ได้แต่งงาน กับเทพเฮเฟสทัส เพราะเทพซุส ยกพระนางให้เป็นรางวัลแก่เทพเฮเฟสทัส) จนกระทั่งมีโอรส ให้นามว่า คิวปิด หรือ อีรอส ตามตำนานแล้ว เทพคิวปิดจะอยู่ใกล้ชิดกับเทพีวีนัส ผู้เป็นมารดา อยู่เสมอ ซึ่งอาจเทียบเคียง ในเชิง อุปมาอุปไมย ได้ว่า เมื่อมีความงาม ก็มักจะตามมาด้วยความใคร่และความรัก
อย่างไรก็ตาม ในตอนแรกนั้น เทพคิวปิดไม่ยอมเติบโตเป็นผู้ใหญ่ตามกาลเวลาที่ผ่านไป ยังคงเป็นเด็กอยู่เสมอ ทำให้เทพีวีนัสเกิดความกังวลใจ จึงไปปรึกษากับเทพีธีมิส เทพีแห่งความยุติธรรมว่า ควรทำอย่างไร คิวปิด จึงจะเติบโตขึ้น เป็นผู้ใหญ่ ก็ได้รับคำตอบว่า ที่คิวปิดไม่ยอมโตเป็นเพราะขาดเพื่อนเล่นแก้เหงา ต่อมาไม่ช้าไม่นาน เทพีวีนัสก็ได้กำเนิดโอรส อีกองค์หนึ่งชื่อ แอนตีรอส (Anteros) ซึ่งมีบิดาคือเทพมาร์ส หรือ เอรีส อีกแล้ว (ไม่ใช่เทพวัลแคน หรือ เทพเฮเฟสทัส สามีตัวจริง เช่นเคย) เมื่อมีน้องเป็นเพื่อนเล่น กามเทพคิวปิด จึงเติบโตขึ้น เป็นหนุ่มรูปงาม ส่วนเทพแอนตีรอสนั้นถือกันว่า เป็นเทพที่บันดาลให้เกิดความรักตอบด้วย ตรงนี้ตีความ ได้ว่า ความรักที่ก่อกำเนิดขึ้นนั้นจะบรรลุผล จะต้องได้รับความรักตอบ เมื่อครบทั้งสองทาง ความรักนั้นจึงจะสมบูรณ์
แล้วนอกจากนี้...มีใครรู้จักตำนานความรักของตัวเทพอีรอสเองบ้างมั้ยจ้ะ? รู้มั้ยว่า สาวน้อยผู้โชคดีคว้าหัวใจของอีรอสไปครองก็คือ สาวงามนามว่า ไซคี งามแค่ไหน? ก็งามจนถึงขั้นเทพีแห่งความงามวีนัสริษยาและหาทางฆ่าทิ้งเลยทีเดียวล่ะจ้ะ เป็นแม่สามีที่โหดเนอะ - -*
เอ้า...อ่านตำนานต่อจากนี้ให้ดีๆล่ะ เพราะภารกิจคราวนี้ เกี่ยวพันโดยตรงกับเส้นทางความลำบากของสาวน้อยไซคีเลยล่ะจ้ะ ยาวหน่อยนะ ไม่ต้องรีบ ซีทิ้งงาน+การบ้านไว้ให้ทำ2อาทิตย์แน่ะ ^^
ในครั้งโบราณกาล ยังมีพระชากรีกองค์หนึ่งซึ่งมีพระธิดาผู้งดงามสามองค์ โดยเฉพาะ”ไซคี” พระธิดาองค์เล็กนั้นงดงามที่สุด จนกล่าวได้ว่าแม้แต่บรรดาเทพธิดาและนางพรายที่ว่างามนักหนายังมิอาจเทียบได้ ดวงจันทร์และดวงตะวันที่เปล่งแสงบนฟากฟ้าก็ยังงามสู้ใบหน้าของเจ้าหญิงน้อยผู้นี้ไม่ได้ ผู้คนต่างเทิดทูนบูชาความงามของเธอราวกับเธอเป็นเทพธิดา ซึ่งชื่อ”ไซคี”นี้หมายความว่าจิตวิญญาณ ดั่งที่นางเป็นจิตวิญญาณและหัวใจของทุกคนในอาณาจักร
ทว่าความงามกลับเป็นภัยแก่เธอ เมื่อเทพีอะโฟรไดทีนั้นริษยาความงามของเธอ เทพีแห่งความงามได้บัญชาอีรอสผู้เป็นบุตรชายคนโปรดให้ใช้ลูกศรทองคำทำให้เจ้าหญิงผู้เลอโฉมหลงรักสิ่งที่ชั่วร้ายน่าเกลียดน่ากลัวที่สุด อีรอสรับคำบัญชาจากมารดาก็รีบไปยังพระราชวังอันเป็นที่อยู่ของไซคีทันที เมื่อมาถึงพระราชวัง อีรอสก็บินเข้าไปในห้องของไซคีทางหน้าต่าง เทพเจ้าแห่งความรักก็มองเห็นไซคีนอนหลับอยู่บนเตียง จึงกระหยิ่มยิ้มย่องว่าจะเอาลูกศรแทงแล้วค่อยเนรมิตรสิ่งแสนทุเรศให้เธอลืมตาขึ้นมาเห็นทันทีนี่แหล่ะ ว่าแล้วอีรอสก็ค่อยย่องเข้าไปใกล้ร่างไซคีพร้อมกับหยิบลูกศรออกมาเตรียมพร้อม
เมื่ออีรอสเงื้อมือขึ้นหมายจะแทงไซคี เธอก็ขยับใบหน้าและพลิกตัว อีรอสถึงกับตะลึงในความงามของเจ้าหญิงมนุษย์ที่อยู่เบื้องหน้าจึงเผลอทำลูกศรหลุดมือแทง...ถูกตัวเอง
ผลก็เป็นดังที่มันเคยทำให้เป็นมานักต่อนัก หัวใจของอีรอสเต้นแรงขึ้นและหลงรักไซคีหมดหัวใจ เขาไม่มีทางที่จะทำร้ายไซคีตามที่มารดาบัญชาได้เลย อีรอสได้แต่มองดูไซคีอย่างหลงใหลและบินกลับโอลิมปัสก่อนที่เธอจะตื่น เทพีอะโฟรไดทีสังเกตเห็นว่าบุตรชายคนโปรดที่เคยซุกซนได้เปลี่ยนไปตั้งแต่กลับมาจากโลกมนุษย์ จากที่เคยซุกซนก็เอาแต่เหม่อลอย ดูรวมๆแล้วเป็นอาการที่นางแทบไม่อยากจะคิด !!อีรอสกำลังตกหลุมรัก!!
กล่าวถึงฝ่ายไซคี แม้ว่าเธอจะมีรูปโฉมงดงามเพียงใด ก็กลับไม่มีชายใดมาสู่ขอนางสักที จนพวกพี่ๆของเธอแต่งงานไปหมดแล้ว ทำให้พระราชาผู้เป็นบิดากลัดกลุ้มมาก จึงไปขอคำแนะนำจากวิหารของอะพอลโล ซึ่งก็ได้คำพยากรณ์มาว่า
“จงแต่งกายนางให้สง่า แล้วนำพาไปพงไพรสุดไกลห่าง อันสิ้นไร้ซึ่งผู้คนจะเดินทาง ณ.ใจกลางป่าไม้แห่งภูตพราย ปีกแห่งอสูรกายจักโบกบินมารับบุตรีเจ้า พาไปยังยอดสูงสุดของภูผาชัน เพื่อเป็นคู่ชีวันแห่งจอมนาคาผู้ยิ่งใหญ่ อำนาจนั้นไซร้เทียมโอลิมเปียนจอมเทวา”
พระราชาจำต้องส่งไซคีไปยังเชิงเขาอันเป็นที่อยู่ของผู้อมตะเพื่อปกป้องอาณาจักร เจ้าหญิงน้อยก็ร้องไห้ด้วยความหวาดกลัวในตัวอสุรกายที่ต้องไปเผชิญ แต่แล้วเซฟีรุสเทพเจ้าแห่งลมตะวันตกก็หอบเอาร่างของเธอขึ้นไปยังยอดเขา
ไซคีต้องประหลาดใจที่สถานที่แห่งนี้ไม่ได้น่ากลัวเลย มันสวยงามยิ่งกว่าพระราชวังแห่งกษัตริย์ใดๆเสียอีก ราวกับว่ามันเป็นดั่งที่อยู่แห่งเทพก็ไม่ปาน มีสวนอันร่มรื่นปลูกพันธุ์ไม้ที่แปลกตาสีสันระยิบระยับเหมือนเพชรพลอย น้ำพุบ่อใหญ่ก็พวยพุ่งสะท้อนแสงแดดอ่อนๆเป็นสีรุ้ง และมีทางเดินเป็นแผ่นหินอ่อนสีขาวทอดยาวไปสู่ตัวคฤหาสน์หลังใหญ่ และเธอก็ได้ยินเสียงอันทรงอำนาจดังขึ้น เขาบอกว่าเขาเป็นเจ้าของคฤหาสน์หลังนี้และเป็นสามีเธอ เขาบอกให้เธอไปไหนมาไหนในบ้านนี้ตามสบาย ซึ่งก็มีคนรับใช้ที่มองไม่เห็นคอยรับใช้ เสิร์ฟอาหารรสเลิศ และบรรเลงเพลงขับกล่อมยามที่เธอเข้านอน
ไซคีอยู่ที่คฤหาสน์แสนวิเศษอย่างมีความสุข ซึ่งเธอก็ไม่เคยเห็นเจ้าของคฤหาสน์ผู้เป็นสามีของเธอเลย เพราะเขาจะมาหาเธอในเฉพาะยามกลางคืนเท่านั้นและไม่ยอมให้เธอจุดตะเกียง แต่เขาก็ดีกับเธอมากจนเธอคลายความหวาดกลัวและคิดว่าเขาไม่ใช่อสูรกายที่โหดร้ายโดยแน่แท้
แต่เมื่อเวลาผ่านไป ไซคีก็คิดถึงครอบครัวจึงขออนุญาตอีรอสให้พาพี่สาวมาเยี่ยมเธอ ซึ่งพี่สาวของเธอต่างแปลกใจที่เธอยังมีชีวิตอยู่ พวกเธอคิดว่าไซคีคงจะถูกสัตว์ร้ายบนเขากินไปแล้ว เจ้าหญิงทั้งสองก็ตื่นตะลึงในความงามและความใหญ่โตอันเต็มไปด้วยสิ่งของล้ำค่าของสถานที่ที่น้องสาวอาศัยอยู่ก็เกิดความริษยาขึ้นมา พวกเธอก็ซักไซ้เกี่ยวกับเจ้าของคฤหาสน์โดยไม่มีความเกรงใจ และ...เมื่อทราบว่าไซคีไม่เคยเห็นหน้าเขา พวกเธอก็พูดไปต่างๆนาๆ โป้ปดมดเท็จว่าที่สามีไม่ยอมให้นางเห็นคงเป็นเพราะเขามีหน้าตาอปลักษณ์ ไม่ก็เป็นปีศาจแปลงมาเป็นแน่
เมื่อถูกพี่สาวทั้งสองพูดกรอกหูมากเช่นนี้ และเธอก็ยังไม่เคยเห็นหน้าอีรอสเลย ก็ทำให้ใจเธอก็ยิ่งหวั่นไหว และเมื่อพี่สาวทั้งสองกลับไป เจ้าหญิงน้อยก็รีบเอาตะเกียงและมีดไปซ่อนไว้ใต้เตียง
อีรอสก็มาหาเธอในตอนกลางคืนเช่นเคย
เมื่ออีรอสหลับ ไซคีก็หยิบตะเกียงขึ้นมาจุด แสงไฟที่ส่องไปยังร่างที่หลับใหลนั้นทำให้ไซคีตกตะลึง เพราะเธอกำลังเห็นชายที่รูปงามที่สุดที่เธอเคยเห็น เขาดูเป็นคนอ่อนโยนเฉกเช่นน้ำเสียงของเขาเวลาที่พูดคุยกับเธอ ใบหน้าของเขางามราวภาพวาดจากหัตถ์แห่งเทพ กลางหลังมีปีกสีขาวมุกส่องประกายเรื่อเรือง และผิวกายของเขาเปล่งประกายคล้ายเป็นรัศมีอ่อนๆแห่งราชรถอพอลโล
ไซคีมองอีรอสและหลงรักเขาเต็มหัวใจทันที ความหวาดระแวงทั้งปวงได้หายไป แล้วเธอก็ค่อยๆขยับตัวจะเก็บตะเกียง แต่น้ำมันร้อนหยดหนึ่งก็หยดลงบนแขนของอีรอส เขาก็ลืมตาสีไพลินขึ้นทันที ใบหน้างดงามดูเจ็บปวดใจ
“เจ้าฝ่าฝืนคำข้า” อีรอสพูดและกางปีกสีมุกบินออกไปทางหน้าต่างทันที เสียงกังวาลดังมาตามสายลม “เราไม่อาจอยู่ร่วมชายคาต่อไปได้ หากสิ้นไร้ความเชื่อใจและไว้ใจ ข้าก็ขอจากไปไม่รอรี”
ไซคีวิ่งตามและกระโดดออกจากหน้าต่าง แต่เซฟีรุสก็รับตัวเธอเอาไว้ได้ก่อนที่ร่างของเธอจะหล่นลงกระแทกกับพื้นจนร่างแหลกเหลว แล้วไซคีก็หมดสติไป
เจ้าหญิงน้อยตื่นขึ้นพร้อมกับความเจ็บปวดหัวใจในยามเช้า เธอรักอีรอสจนถอนตัวไม่ขึ้น เธอจึงตัดสินใจที่จะเดินทางตามหาอีรอสเพื่อขอโทษเขา และหวังว่าเขาจะให้อภัย และยอมกลับมาหาเธออีกครั้ง ไซคีเดินทางไปอย่างไร้ซึ่งจุดหมายปลายทาง โดยหวังว่าซักวันหนึ่งจะต้องได้พบสามีของเธอ
ตกเย็น เธอก็มาถึงวิหารของเทพีเดมีเตอร์ ซึ่งเธอก็อ่อนล้าจากการเดินทางตากแดดตากลมมาทั้งวันเหลือเกิน จึงจะขอเข้าไปอาศัยร่มเงาของวิหานอนพักให้คลายเหนื่อย แต่เมื่อเข้าไปในวิหารก็พบว่ามีกองพืชพันธุ์ธัญญาหารวางระเกะระกะไปหมด ไซคีจึงจึงจัดการเก็บกวาดและเรียงผลผลิตเหล่านั้นให้สะอาดเรียบร้อย เทพีเดมีเตอร์นั้นพอใจมากที่ไซคีช่วยเก็บกวาดวิหารให้ตน และทราบเรื่องราวของเธอและอีรอสดี จึงปรากฏกายให้เธอเห็นและแนะนำ
“ไซคีเอ๋ย
เจ้าช่างเป็นสาวน้อยที่มีจิตใจดีมากคนหนึ่ง
ข้ารู้ซึ่งสิ่งเจ้าต้องการ
.เจ้าเดินทางยาวนานตามหาใคร”
“
.ฟังเถิดเจ้าหญิงผู้เป็นมิ่งแห่งวิญญา
จงมุ่งหน้าไปยังวิหารแห่งอะโฟรไดที และเอ่ยวจีสวดอ้อนวอน เจ้าอาจได้พรแห่งรักสมอุรา”
ได้ยินเช่นนั้น ไซคีก็ได้ออกเดินทางตั้งแต่รุ่งสางด้วยหัวใจเบ่งบาน (หารู้ไม่ว่า...งานเข้าแล้วหนู - -*) เมื่อมาถึงวิหารแห่งอะโฟรไดที เธอก็ได้คุกเข่าลงและอ้อนวอนภาวนาให้อะโฟรไดทีช่วยให้เธอได้พบกับสามีอีกครั้ง อะโฟรไดทีไม่เพียงจะไม่ปฏิเสธคำขอร้องของเธอ แต่ยังรับปากอีกด้วยว่าจะช่วย
...ซะที่ไหนล่ะ!
อะโฟรไดทีรับปากก็จริง แต่มีเงื่อนไขมหาหินมหาโหด 3 ข้อด้วยกัน (บางกรณีบอกว่า 4 ข้อ) ถ้าทำไม่ได้แม้แต่ข้อเดียว ต้องเลิกพูดกันทันที
ประการแรก หลังจากที่ไซคีได้พักผ่อนแล้วหนึ่งคืน อะโฟรไดทีก็พาเธอมาที่ห้องแห่งหนึ่ง ซึ่งในห้องนั้นมีเมล็ดพันธุ์พืชหลายชนิดปะปนกับเต็มพื้นไปหมด
“ดูเถิด
บนพื้นมีเมล็ดมากมายหลายชนิด จงคัดแยกออกจากกันอย่าให้ผิด ก่อนอพอลโลผู้ศักดิ์สิทธิ์จะจากจร” อะโฟรไดทีกล่าว “แล้วข้าจะกลับมาในยามนั้น หากไม่ทันก็ไร้คำใดๆ เจ้าต้องไปให้ไกลก่อนราตรี”
ไซคีเห็นกองภูเขาย่อมๆของเมล็ดพืชหลากหลายนี้ ก็แทบอยากจะร้องไห้ แต่เธอก็ปลอบใจตัวเองว่าต้องเข้มแข็ง ถ้าเธอทำได้ทั้งหมด เธอก็จะได้พบอีรอส
ทางฝ่ายอีรอส ซึ่งยังคงรักเธอไม่เสื่อมคลายและแอบเฝ้าดูแลคุ้มครองเธอเสมอ ก็ได้ส่งกองทัพมดไปช่วยเธอ ซึ่งไซคีทั้งประหลาดใจและดีใจ ที่อยู่ๆก็มีมดมากมายเดินเข้ามาและช่วยคัดแยกเมล็ดพันธุ์ แรงงานแสนขยันนี้ก็คัดแยกเมล็ดพันธุ์ทุกเมล็ดอย่างเรียบร้อยก่อนที่พระอาทิตย์จะตกดิน
ไซคีกล่าวขอบคุณพวกมด ซึ่งมันก็รีบแยกย้ายกันกลับรังเพราะมันได้ทำหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายเสร็จแล้ว
เมื่อตะวันตกดิน เทพธิดาอะโฟรไดทีก็เยื้องย่างมายังมหาวิหารด้วยอารมณ์แสนสดใส ด้วยคิดว่าเจ้าหญิงน้อยนั้นทำงานที่ตนสั่งไม่ได้แน่ ยิ่งเห็นไซคีก้มหน้างุดเมื่อเห็นตนก็ยิ่งนึกว่าตนเป็นฝ่ายชนะ แต่พอเข้าไปในห้องเก็บเมล็ดพืชแล้ว เจ้าแม่แห่งความรักและความงามก็ต้องเก็บอารมณ์โมโหแทบไม่ทัน เมื่อเห็นว่าทั้งห้องนั้นสะอาดเรียบร้อย เมล็ดพันธุ์ทุกเมล็ดถูกแยกตามชนิดใส่ในแต่ละกระสอบที่วางเรียงรายอยู่ข้างฝา อะโฟรไดทีเชิดใบหน้าขึ้นและมองไซคีที่ยิ้มอย่างอ่อนหวานจริงใจให้นาง แต่สายตาของอะโฟรไดทีนั้นเย็นชาและเกลียดชัง นางกล่าวกับเจ้าหญิง
“จงยิ้มไปก่อนเถิดไซคี แต่อย่านึกจะมีทางชนะอีกต่อไป”เทพีแห่งความงามโยนขนมปังอันหยาบกระด้างให้ไซคี และนางก็จากไป
เช้าวันใหม่ อะโฟรไดทีก็มาหาไซคีอีกครั้ง นางสั่งภารกิจที่สองให้เจ้าหญิงน้อยข้ามแม่น้ำไปเก็บขนแกะจากฝูงแกะที่มีขนเป็นทองคำมาทุกตัวซึ่งแกะพวกนี้มีนิสัยดุร้ายมาก เมื่อได้รับคำสั่ง ไซคีก็มุ่งหน้าออกจากวิหารไปยังสายธาร เธอก็เห็นฝูงแกะขนทองคำกำลังเล็มกินยอดหญ้าสีเขียวขจีอยู่ฝั่งตรงข้าม เจ้าหญิงน้อยจึงถลกชายกระโปรงขึ้นเหนือเข่าเพื่อเตรียมจะลุยน้ำ แต่แล้วนางก็ได้ยินเสียงที่ฟังเป็นมิตรดังขึ้นมา
“เจ้าหญิง
เจ้าหญิง
หยุดก่อนเจ้าหญิง หากไปในยามนี้ ก็เห็นทีวายชีวา เนื่องด้วยตอนนี้เชษฐาดวงจันทรา สถิตย์ฟ้าแสงส่องแสนเจิดจ้า แกะเลอค่ายิ่งแสนร้ายเหนือคณา จงรอก่อน..รอจนตะวันผ่อนอ่อนแสงล้า เมื่อนั้นมันจะหยุดนิ่งทอดกายา เข้าสู่ห้วงนิทราทุกตัวตน แล้วเจ้าจึงค่อยข้ามพ้นสายธารา เก็บเส้นทองคำที่ติดตามหนามพฤกษา นำไปถวายเทพธิดาผู้ต้องการ”
ไซคีก็ทำตามคำแนะนำ เธอเฝ้าคอยจนบ่ายคล้อย ซึ่งดวงอาทิตย์ลดแสงอันร้อนแรงลง พวกแกะขนทองคำก็พากันล้มตัวลงนอนตามเงาไม้ เจ้าหญิงน้อยก็ข้ามลำธารและไปเก็บขนแกะที่ติดอยู่ตามไม้หนามจนได้เต็มกระสอบ แล้วจึงกลับไปหาอะโฟรไดที
เทพธิดาก็ยิ่งฉุนไปใหญ่ ที่ไซคีไม่ถูกฝูงแกะที่ดุร้ายรุมทำร้ายจนตายที่ไปเอาขนของมันมาอย่างนี้ นางก็ยื่นเปลือกขนมปังแข็งๆหนึ่งชิ้นให้ไซคีให้รับประทานเป็นอาหาร แล้วนางก็จากไปเช่นเดิม
เช้าถัดมา อะโฟรไดทีก็มาบอกไซคีถึงภารกิจอย่างสุดท้าย
ที่โหดบรรลัยยิ่งกว่าสองภารกิจแรก
(เอาล่ะคั่นตรงนี้...บางตำราที่มี 4 ภารกิจ ภารกิจพิเศษที่แทรกอยู่ระหว่างนี้คือภารกิจ ‘รองน้ำ’ เทพีจะมอบถ้วยแก้วเจียระไนให้ไซคีเอาไปใส่ตาน้ำจากตาน้ำดำซึ่งพุ่งออกมาจากใต้ดินใกล้กับยอดภูเขาที่ตั้งของที่ประทับของเทพธิดาแอโฟรไดที
ไซคีรีบไปทำตามความต้องการของเทพี เธอปีนไปตามโขดหินลื่นจนถึงยอดเขาที่ตาน้ำดำพุ่งขึ้นมาจากข้างใต้ จากนั้นจึงกัดฟันพยายามไต่ไปตามขอบเหวลึก หากเมื่อเธอเดินไปใกล้ตาน้ำจนได้ยินเสียงน้ำไหลลงสู่เหวลึกดังกึกก้อง เธอก็หยุดชะงักไม่กล้าเดินต่อด้วยความกลัว มังกรหลายตัวโผล่จากพื้นดิน เชิดหัวอ้าปากอย่างดุร้ายพลางจ้องมองเธอด้วยตาที่พ่นเลือดออกมา ขณะเดียวกันก็ได้ยินเสียงดังขึ้นมาจากน้ำว่า
“ไปให้พ้น! ระวังให้ดี ไม่งั้นเจ้าจะต้องตาย! วิ่งสิ!”
ไซคีร้องไห้อย่างขมขื่น เธอมาถึงจุดหมายปลายทางแล้ว แต่ตอนนี้เธอไม่อาจเอาน้ำใส่ถ้วยได้ ความทุกข์ทรมานของเธอทำให้เหยี่ยวตัวหนึ่งตื้นตันใจ จึงบินลงมาจากท้องฟ้าพูดกับเธอว่า
“เจ้านึกว่าเจ้าจะทำงานแสนยากนี้สำเร็จได้อย่างไรนะ น้ำจากตาน้ำดำนี้ไหลสู่โลกใต้พิภพอาณาจักรของคนตายโดยตรง ไม่เคยมีมนุษย์คนใดเคยตักน้ำได้แม้แต่หยดเดียว เอาถ้วยมา ข้าจะช่วยเจ้า!”
เจ้าหญิงยื่นถ้วยแก้วให้เหยี่ยวซึ่งคาบไว้แน่นแล้วบินผ่านหมู่มังกรอย่างกล้าหาญ พอได้น้ำเล็กน้อยก็บินเอากลับมาให้ไซคี เธอขอบคุณเหยี่ยวแล้วรีบนำน้ำกลับมาให้เทพีอะโฟรไดต์ โดยระหว่างทางไม่ได้ทำหน้าหกแม้แต่หยดเดียว
พอเทพีเห็นไซคีทำภารกิจสำเร็จก็ได้แต่ยิ้มเจื่อนๆ ก่อนจะสั่งภารกิจสุดท้าย)
“สิ่งที่สามซึ่งข้าให้ทำนั้นแสนสบาย เพียงบ่ายหน้าไปยังเฮดีสที่มืดมิด มอบหีบทองปิดสนิทให้เปอร์เซฟโฟนี บอกว่าตัวข้านี้เทพธิดาอะโฟรไดที ขอแบ่งปันความโสภีจากจอมนาง”
เจ้าหญิงน้อยฟังก็ถึงกับอึ้ง ก็จะมีใครไปหาภรรยาของเทพแห่งความตายฮาเดสได้ทั้งที่ยังเป็นๆกันเล่า! เธอเดินไปก็ร้องไห้ไปจนถึงหอคอยสูง ไซคีที่เศร้าเสียใจไปตลอดทางค่อยๆปีนบันไดขึ้นไปเรื่อยๆหมายจะทิ้งตัวกระโดดลงมา และหวังว่าดวงวิญญาณของเธอจะไปยังยมโลกได้ ความเศร้าโศกของไซคีทำให้แม้แต่หมู่ก้อนหินไร้ชีวิตก็ยังรู้สึกตื้นตันใจ...เหล่าก้อนหินที่ประกอบเป็นหอคอยสูงจึงตื่นขึ้น และชี้นำหนทางแก่เธอ
“จะร้องไปก็ไร้ประโยชน์เปล่า มาเถิด
ข้าจะเล่าบอกเส้นทางข้างล่างให้ เช็ดน้ำตาแล้วนิ่งเถิดแม่ยาใจ ไม่มีสิ่งใดไซร้ไกลเกินจริง เจ้าจงเดินทางไปยังทิศตะวันตกจนถึงถ้ำแห่งหนึ่งซึ่งซ่อนหยู่หลังโขดหินสีดำ จงเข้าไปและเดินผ่านทางทึมๆไปยังยมโลก แต่อย่าไปมือเปล่า จงเอาขนมใส่น้ำผึ้งไปสองก้อน และใส่เหรียญเงินเล็กๆสองเหรียญไว้ในปาก ระหว่างทางอย่าพูดกับใคร เอาขนมก้อนหนึ่งให้เซอร์บิรัส หมาสามหัว (ซี:ในบางตำราเค้าจะบอกว่าให้ร้องเพลงหรือเล่นดนตรีให้เซอร์บิรัสฟังจ้ะ) มันจะปล่อยให้เจ้าผ่านไป เมื่อเจ้าไปถึงริมฝั่งแม่น้ำสติกซ์ ให้ชายแก่พายเรือชื่อ แครอนเป็นคนมาเอาเหรียญออกจากปากของเจ้าเองหนึ่งเหรียญ ศพชายชราคนหนึ่งลอยอยู่ในน้ำ และยื่นมือขอให้เจ้าพาขึ้นเรือไปด้วย เจ้าอย่าได้สนใจเขา อย่าช่วยผู้ใดระหว่างทาง เจ้าอาจจะสูญขนมปังอีกก้อนและจะไม่มีโอกาสเห็นแสงสว่างอีก ตอนขากลับ เอาเหรียญอีกเหรียญให้คนแจวเรือและโยนขนมปังอีกก้อนให้หมาสามหัว และที่สำคัญที่สุด...เธอจะต้องไม่เปิดหีบเป็นอันขาด ไม่ว่าจะอยากรู้เพียงไรก็ตามว่ามีสิ่งใดอยู่ข้างใน
ถ้าเจ้าทำตามคำแนะนำของข้าอย่างเคร่งครัดทุกประการ เจ้าจะทำงานนี้สำเร็จ”
ไซคีรับปากเสียงผู้ปรารถนาดีอย่างเป็นมั่นเป็นเหมาะ แล้วเธอก็ลงไปตามทางที่เขาบอก ทำตามคำแนะนำอย่างเคร่งครัด และเธอก็ได้เข้าเฝ้าราชินีแห่งโลกบาดาล และบอกจุดประสงค์ที่มา เปอร์เซฟโฟนีรับหีบแล้วก็ให้เธอนั่งรอ นางก็เข้าไปข้างใน ชั่วครู่เทวีแห่งเฮดีสก็ออกมาแล้วมอบหีบคืนให้ไซคี
เมื่อไซคีออกมาจากเฮดีสแล้ว เธอก็ใคร่รู้ว่าความงามที่อะโฟรไดทีให้มาขอจากเปอร์เซฟโฟนีมันมีหน้าตาอย่างไร เจ้าหญิงน้อยจึงเปิดหีบออก ซึ่งก็มีควันขาวดั่งหมอกพวยพุ่งออกมา แล้วสติเธอก็เลือนลงเข้าสู่ห้วงนิทรา
ฝ่ายอีรอส เทพหนุ่มไม่เห็นไซคีกลับมาเสียทีก็เป็นห่วง จึงกางปีกสีมุกแล้วบินไปดู ก็พบร่างอันไร้สติของไซคีทอดกายอยู่บนผืนหญ้า ข้างๆนั้นมีหีบทองคำซึ่งเปิดแง้มอยู่ อีรอสจึงรีบปิดหีบและช่วยให้ไซคีตื่นจากนิทรา
ไซคีค่อยๆลืมตาขึ้นมาด้วยความง่วงงันมิทันจาง แต่เมื่อเห็นใบหน้างามสง่าที่เธอไม่เคยลืม มนต์สะกดแห่งนิทรารมย์ก็หายไปสิ้น เธอยิ้มด้วยความดีใจเป็นสุดแสน อีรอสชี้ให้ไซคีเห็นถึงความยุ่งยากที่เกิดจากความอยากรู้อยากเห็นของเธอ
“ตระหนักมั่นไว้ในใจเถิด
แม่ยอดรัก ที่เราสองต้องพรากไกลจักเหตุใด ถ้ามิใช่ความอยากรู้แห่งนงคราญ”
ไซคีก็สวมกอดอีรอสด้วยความคิดถึงและกล่าวให้เขายกโทษให้เธอ “ข้าขออภัยในเรื่องเก่าก่อน ที่ผ่านมามันได้สอน ยามดวงใจจากจรเป็นเช่นไร ในยามนี้และต่อไปจะมีไม่ สิ่งที่ข้ายึดมั่นคือเชื่อใจ มิสงสัยให้ท่านหลีกไกลดั่งแล้วมา”
อีรอสจึงพาไซคีไปยังโอลิมปัสและขอซีอุสให้มอบความเป็นอมตะให้กับเธอ ซึ่งซี- อุสก็มอบแอมโบรเซียในถ้วยทองคำมาให้ เมื่อไซคีดื่มเข้าไปก็รู้สึกถึงพลังแห่งความเป็นอมตะไหลเวียนไปทั่วร่าง ผิวขาวนวลของเธอเปล่งประกายเช่นชาวเทพ และความงามของเธอก็มากขึ้นกว่าเดิม
เทพทั้งปวงก็ปรากฏกายให้เธอเห็นและกล่าวต้อนรับเธอเข้าสู่ครอบครัว พร้อมทั้งช่วยเกลี้ยกล่อมอะโฟรไดทีจนนางสิ้นซึ่งความเกลียดชังต่อไซคี
และแล้ว...อีรอสและเจ้าหญิงไซคีก็ครองคู่กันอย่างมีความสุขตราบจนชั่วนิจนิรันดร์
ดัดแปลง และคัดลอกมาจาก
http://www.jj-book.com/jjstory1/view.php?qs_qno=630
http://www.phuketvariety.com/greek/eros/index.htm
หนังสือเทพนิยายและตำนานกรีกโบราณ โดย ดารณี เมืองมา
อาวละ จบแล้ว...เหนื่อยกันรึยังเอ่ย (ฮา) สังเกตมั๊ยว่าระหว่างที่อ่านจะมีบางจุดที่ซีทำตัวแดงๆเอาไว้ ตรงนั้นสำคัญมาก...จำไว้ให้ดีล่ะ เพราะไม่งั้นทำภารกิจไม่สำเร็จ กลับขึ้นมาไม่ได้ไม่รับรู้ด้วยนะจ๊ะ ^^”
เนื้อหาบทนี้ยาว...และภารกิจคราวนี้ก็ยาว และยุ่งยากไม่แพ้กันจ้ะ ดังนั้นซีเลยแบ่งงานตรงนี้เป็น 2 ช่วง ช่วงแรกคือนักเรียนต้องไปตามหาของต่างๆที่จำเป็น รวมทั้งไปเอาตลับจากเทพีมาก่อน จากนั้นพาร์ทสองจะเป็นพาร์ทตะลุยแดนนรกเพื่อนำตลับไปส่งจ้ะ
...แหม...ตลับความงาม เป็นซี ซีก็สนนี่นา แต่จะให้ลงไปเอาเองก็เกรงว่าจะไม่มีใครดูแลกลาเซียร์ ดังนั้นคงต้องไหว้วานพวกนักเรียนกันหน่อยนะจ๊ะ คิดซะว่าไปท่องเที่ยวแดนนรกก่อนได้ลงไปจริงๆแล้วกัน ฮุฮุ
เนื่องจากภารกิจนี้...มันมีหลายตำรา...ไหนๆซีก็ไหนๆแล้ว...ก็เอามันให้ครบแล้วกัน (โดนนักเรียนโห่ไล่) เอ่อ ล้อเล่นจ้ะ ล้อเล่น...เอาเป็นว่าซีให้เลือกเอาแล้วกันว่าจะเอาอะไรมาบ้าง ซีจัดให้ 2 แพ๊คเกจ เลือกเอาว่าพวกเธอจะไปเอาของกลุ่มไหน เอ้า! เข้าสู่เนื้อหาภารกิจเถอะ
{{การบ้าน: Mission3 ไปเอาความงามอัดกระป๋องมาให้ซีซะดีๆ}}
ไปตามหาของดังนี้
เซตที่หนึ่ง
1. น้ำจากตาน้ำสีดำ
2. เหรียญเงิน สองเหรียญ
3. ขนมปังใส่น้ำผึ้งสองก้อน
หรือ
เซตที่สอง
1. ขนแกะสีทอง
2. เหรียญเงิน สองเหรียญ
3. พิณมนตราของเหล่าแฟรี่
เสร็จแล้วให้นำของจาก ข้อหนึ่ง...ย้ำนะ เฉพาะข้อหนึ่ง ไปบูชาที่ 'โบสถ์สักการะเทพธิดาทั้งสี่' ในเอสเตอร์กอม
ที่นั่นจะมีคนรอบอกเงื่อนไขของภารกิจพาร์ทสองให้จ้ะ
รายละเอียดของสถานที่หาของต่างๆ ไปอ่านได้ที่กระดานข่าวประจำดินแดนที่กลาเซียร์นะจ๊ะ งานนี้เตรียมแพ๊คกระเป๋า เดินทางกันให้สนุก!~
{เลือกสิ่งของ}
รหัส:
วันที่:
ของที่เลือกเป็นเป้าหมาย: เซตที่...
โชคดีในการทำภารกิจล่ะ
ลงชื่อ
Sea[S]hore
ความคิดเห็น