คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : purinsu เจ้าชาย0หาย -ตอนที่ 1 เด็กผู้หญิงปริศนา -- 100%
ตอนที่ 1 เด็กผู้หญิงปริศนา
"ขออนุญาตกลับก่อนครับ ขอบคุณที่ใช้บริการครับ" ผมพูดพร้อมก้มหัวให้คุณป้าเจ้าของบ้าน
"เรียวตะคุงจะไม่ให้ป้าไปส่งจะดีหรอ? "
"ไม่ดีกว่าครับ พอดีผมมีธุระต้องไปที่อื่นอีกครับ^^"
"แต่ป้าเกรงใจ เชิญมาชงชาให้คุณยายตั้งหลายครั้งไม่เคยได้ไปส่งเลย"
"ผมก็ไม่ได้มาชงชาให้ฟรีๆ ไม่เห็นต้องเกรงใจอะไรเลย อีกอย่างร้านน้ำชาก็อยู่ใกล้ๆห่างแค่สถานีเดียวเองครับ"
"งั้นกลับดีๆนะจ๊ะ"
ผมก้มหัวให้คุณป้าอีกครั้งก่อนจะเดินไปยังสถานีรถไฟฟ้าเพื่อเดินทางกลับร้านน้ำชา ถ้าจะให้ผมเท้าความว่าทำไมผมถึงได้มาชงชาที่บ้านเมื่อครู่ได้ ก็ต้องย้อนกลับไปที่ตระกูลของผมที่เป็นร้านน้ำชาที่สืบทอดกันมาหลายต่อหลายรุ่นตั้งแต่สมัยญี่ปุ่นยังไม่ย้ายเมืองหลวงมาเป็นกรุงโตเกียวนั่นแหละครับ ส่วนตัวผมเป็นหนึ่งในผู้สืบทอดรุ่นปัจจุบัน ทำไมถึงเป็นแบบนั้นนะเหรอ เพราะผมยังมีน้องชายอีกคนครับ ตัวผมมีชื่อว่าเรียวตะ ที่แปลว่า ผู้มอบความช่วยเหลือ ส่วนน้องผมชื่อ ซูตะ ที่แปลว่า ผู้ทะเยอทะยาน แต่เราสองคนกลับมีนิสัยที่ตรงข้ามกับความหมายของชื่อโดยสิ้นเชิง และมันก็เป็นสิ่งที่ดีต่อผมเพราะผมจะได้เป็นเจ้าของร้านน้ำชานี้คนเดียว ผมว่าผมเหมาะกับชื่อ ซูตะ มากกว่าเจ้าน้องชายนั่นซะอีก หึหึ
ตอนนี้ผมเรียนอยู่มัธยมปลายปี 3 ที่โรงเรียนมัธยมฮาคุเบะในเขตภูมิภาคคันโต อายุ 17 ปี ผมค่อนข้างจะมีปัญหากับการไปโรงเรียนอยู่เล็กน้อย เพราะผมมักจะถูกผู้หญิงกรี๊ดใส่อยู่เสมอๆ ทำให้ผมค่อนข้างขยาดพวกผู้หญิงอยู่ไม่น้อย
"กรี๊ด!!~นั่นรุ่นพี่เรียวตะนี่" นั่นไงครับ เสียงกรี๊ดดังขึ้นทันทีที่ผมเดินออกจากรถไฟฟ้า
"มีอะไรรึเปล่าครับ" ผมหันไปพูดเสียงเรียบ
"ปะ.. เปล่า ไม่มีอะไรค่ะ-////-" นอกจากจะกรี๊ดเก่งแล้วพวกผู้หญิงก็ชอบทำหน้าแดงใส่ผม ผู้หญิงนี่ประหลาดจริงๆ ผมได้แต่ส่ายหน้าแล้วเดินเลี่ยงออกมาเพื่อกลับไปจุดหมายปลายทาง
ตุ๊บ!!~ หมับ!!~
=[]= <<ผม
........................
ขณะที่ผมอยู่ในอาการช็อกจากเหตุการณ์เมื่อครู่ ที่จู่ๆก็มีเด็กผู้หญิงวิ่งร้องไห้มาชนผม แล้วสวมกอดทันที ทำให้เกิดเหตุญี่ปุ่นมุงในชั่วพริบตา
"เธอ" ผมพยามสะกิดพร้อมเรียกคนตรงหน้าหลังจากที่ดึงสติจากอาการเหวอกลับมาได้
"ฮืออ อ" ไม่มีคำพูดใดตอบรับนอกจากเสียงร้องไห้สะอื้นจากคนตรงหน้า
"นี่..เธอปล่อยผมสักที คนอื่นเขาเข้าใจผิดกันพอดี"ผมพยายามกระซิบบอกอีกคน เพราะไม่อยากออกจากตรงนี้เต็มที
"……" ไม่มีสัญญาณตอบรับเช่นเดิม
"เธอ" ผมพยายามเรียกอีกครั้งแต่สิ่งที่ได้มากลับเป็นเสียงลมหายใจที่สม่ำเสมอ พร้อมกับมือที่กำลังจะคลายกอด ทำเอาผมคว้าเอวเธอแทบไม่ทัน ไม่เช่นนั้นหวังคนตรงหน้าผมลงไปกองกับพื้นเป็นแน่แท้
เหอะ..หลับ!!~คนแบบนี้ก็มีด้วย มาหลับใส่คนอื่นในที่แบบนี้ หลับทั้งๆที่ยืน ทั้งๆที่กอดผม ทั้งๆที่ไม่รู้จักกัน เธอจะพิสดารเกินพิกัดไปแล้ว
"เฮ้อ อ อ" ผมถอนใจยาวๆก่อนจะอุ้มคนตรงหน้า จะปล่อยไว้นี้ก็คงจะโหดร้ายและเลือดเย็นเกินไปสักหน่อย คงต้องพากลับไปด้วยกันสินะ ไม่เช่นนั้นหวังโดนใครลากไปฆ่าหมกป่าเล่น รู้สึกจะเป็นสิ่งมีชีวิตที่ไม่ค่อยปกติสักเท่าไหร่
ณ ร้านน้ำชาฟูจิฮาระ
“กลับมาแล้วครับ”
"กลับแล้วหรือครับคุณเรียวตะ เอ่อ พาใครกันครับ??" คุณลุงเทงกิเป็นคนที่ทำหน้าที่ดูแลหน้าร้านและเป็นพ่อบ้านประจำตระกูลของผมพูดขึ้นเมื่อผมเดินเข้ามาในร้าน สายตาของคุณลุงมาผมด้วยความสนใจระคนแปลกใจในเวลาเดียวกัน
"พอดีเธอเป็นลมนะครับ เดี๋ยวช่วยไปตามคุณแม่ให้ไปหาผมที่ห้องรับรองของคุณแม่ด้านในด้วยนะครับ อ้อแล้วก็เตรียมผ้าเย็นเข้าไปให้ผมด้วยนะครับ" ผมกล่าวเสียงเรียบก่อนจะพาตัวเองกับร่างบางในอุ้มมือเข้าไปยังห้องรับรองด้านใน แล้วจัดแจงวางร่างบางลงบนเบาะภายในห้องรับรอง
“เรียวตะให้คนไปตามแม่มา มีอะไรรึเปล่าจ๊ะ อ๊ะ แล้วนั่นใครกันเอ่ย?” เสียงของคุณแม่เอ่ยนำก่อนที่เจ้าตัวจะเดินเข้ามาภายในห้อง แล้วนั่งลงข้างเบาะสำหรับนอนพักในห้องรับรองที่ผมวางร่างของแม่สาวนิรนามไว้
“พอดีมีเรื่องจะขอให้ช่วยนิดหน่อยนะครับคุณแม่ เธอคนนี้เป็นลมไป ฝากคุณแม่ช่วยดูหน่อยแล้วถ้าเธอฟื้นขึ้นแล้วก็ให้เชิญออกจากร้านด้วยนะครับ” ผมเล่าเหตุการณ์อย่างรวบรัดเพื่อไม่ให้มีการถามอันยืดเยื้อ
“แหม ลูกชายคนนี้ใจร้ายจังนะเรา”คุณแม่พร้อมกับยิ้มขำเบาๆ
“สำหรับคนที่ไม่รู้จักกันช่วยแค่นี้ก็ถือว่ามากไปด้วยซ้ำครับ”
“อ่าว ไม่ใช่แฟนเราหรอกหรือ?” คุณแม่ทำหน้าประหลาดใจปนเสียดายกับสิ่งที่ผมเพิ่งกล่าวออกไป
“มันจะเป็นแบบนั้นได้ยังไงล่ะครับ ชื่อยังไม่รู้จักเลยนะครับ”
“คิคิ แม่อุตส่าห์ลุ้นให้ลูกชายของแม่โตเป็นหนุ่มมีแฟนแบบวัยรุ่นทั่วไปกับเขาสักที”
“มันคงจะเป็นแบบนั้นไปไม่ได้หรอกครับ แม่ก็รู้ผมสนใจแต่เรื่องกิจการของบ้านเรา”
“จ้าๆ พ่อลูกชายคนเก่งอย่าลืมใช้เจ้าน้องชายเรามาดูแลมั่งล่ะ ขานั้นเอาแต่เล่นเกมส์อยู่ในห้องแม่ล่ะเป็นห่วงจริงๆว่าจะไม่มีใครเอา” คุณแม่พูดพลางส่ายหัวเบาๆ
“ของที่สั่งได้แล้วครับคุณเรียวตะ”คุณลุงเทงกิเดินเข้ามาพร้อมกะละมังขนาดเล็กที่บรรจุน้ำกับน้ำแข็งไว้เพียงครึ่งหนึ่งของภาชนะ โดยมีผ้าขนหนูขนาดเล็กพาดไว้บริเวณริมขอบ
“เอาไปวางไว้ข้างคุณแม่เลยครับ”ผมพูดพร้อมก้าวจะเดินเพื่อที่จะออกนอกห้อง
“อ่าว นั่นจะไปไหนล่ะเรียวตะคุง” คุณแม่พูดพร้อมเช็ดหน้าให้เด็กผู้หญิงที่กำลังหลับสนิทอยู่ตรงหน้า
“ก็ไปดูลูกชายคนเล็กให้คุณแม่ไงล่ะครับ”
“ไม่อยู่รอสาวน้อยคนนี้ตื่นก่อนล่ะเรานะ”
“ผมคิดว่าไม่จำเป็นนะครับ”ผมพูดพร้อมกลับหันหลังเดินออกจากห้องแล้วเดินไปยังห้องของเจ้าชูตะน้องชายจอมคลั่งเกมส์ของผม
เมื่อผมเปิดประตูเดินเข้าห้องชูตะก็เห็นเจ้าตัวกำลังนั่งจ้องจอคอมพิวเตอร์เล่นเกมส์ด้วยท่าทางที่จริงจังอย่างเป็นเอาตาย หูก็ถูกตัดขาดจากโลกภายนอกด้วยหูฟังที่เปิดเสียงกระหึ่มที่ผมเพียงยืนข้างๆก็สามารถได้ยินว่าฟังเพลงอะไรอยู่ เรียกได้ว่าเข้าสู่โลกส่วนตัวอย่างสมบูรณ์แบบ
“โอ๊ย!!” ซูตะร้องขึ้นเพราะผมใช้มือเขกศีรษะ ในที่สุดก็รู้สึกตัวสักที เจ้าซูตะก็รับเอาหูฟังออกจากหู หันหน้ามามองที่ผม
“มัวแต่เล่นเกมส์ซูตะ”
“ถ้าไม่เล่นเกมส์แล้วจะให้ผมทำอะไรล่ะครับ?”
“ก็ไปช่วยงานในร้านไง แล้วก็การบ้านแกนะทำเสร็จรึยัง?”
“ไม่เอา...ไม่ทำ เรื่องอะไรผมต้องไปทำ คนงานมีเต็มบ้านก็ใช้ไปสิครับ ส่วนการก็การบ้านผมเสร็จนานแล้ว มีธุระแค่นี้หรอคุณพี่ชาย?ปกติไม่ใช่เวลาที่พี่จะเข้าห้องผม วันนี้นึกยังไงมาหาผมตั้งแต่เช้าเลยครับคุณพี่ชาย?” ซูตะพูดพร้อมกับทำหน้าตาที่ผมเห็นแล้ว รู้สึกว่ายียวนกวนประสาทอย่างมาก ดีครับ เยี่ยมครับ ใครสอนแกให้คิดแบบนี้ครับคุณน้อง ได้แกอยากทำหน้ากวนประสาทนักใช่ไหม เดี๋ยวท่านพี่ผู้นี้จะช่วยพาแกไปหาสิ่งที่แกไม่ชอบอันดับหนึ่งเอง หึหึ
“จริงสิ ซูตะ คุณแม่เรียกนายไปหาที่ห้องรับรองนะ”
“แล้วทำไมเพิ่งจะบอก หืม?คุณพี่ มานั่งตั้งนานเพิ่งคิดได้หรอครับ?” อยากจะตอบว่า 'ใช่' จริงๆ..เพิ่งคิดได้เมื่อกี้ว่าจะแกล้งนาย
“ก็บอกอยู่นี่ไง เพราะนายมัวแต่เล่นเกมส์ไง ถึงเพิ่งบอก”
“ขอโทษครับ ผมไปหาคุณแม่ก่อนครับ พี่ไปด้วยกันไหม?”
“ไม่ล่ะ ฉันว่าจะเดินไปดูใบชาอีกรอบ”
เมื่อตกลงกันเสร็จก็เดินแยกย้ายออกจากห้องพร้อมกันไปยังจุดหมายของตนเอง แต่ทว่า ขณะที่กำลังจะปิดประตูลงนั้นคุณลุงเทงกิก็เดินมาหาด้วยท่าทางเร่งรีบ
“คุณหนูครับ นายหญิงให้มาตามไปพบครับ ทั้งสองท่านด่วนเลยครับ” ผมขมวดคิ้วเข้าหากันทันทีเมื่อฟังจบ หวังว่าคงไม่เกินเรื่องอะไรร้ายแรงขึ้นหรอกนะ แต่ลางสังหรณ์ของผมมันบอกว่าจะเกิดเรื่องวุ่นวายขึ้น อย่างแน่นอน
“พี่เรียวตะคิดอะไรอยู่ครับ ไม่รีบไปจะดีหรอ?”
“ไปสิ”
ผมกับซูตะเร่งฝีเท้าเพื่อที่จะเดินไปให้ถึงห้องรับรองให้เร็วที่สุด ไม่บ่ายครั้งนักหรอกที่คุณแม่จะเรียกเราทั้งสองคนพร้อมกันอย่างเร่งด่วนแบบนี้ถ้าไม่ใช่เวลาอาหาร
พรึ่บ~
เสียงประตูบานเลื่อนแบบญี่ปุ่นโบราณของห้องรับรองถูกเลื่อนกระชากอย่างเต็มแรงโดยน้องชายผมเอง สามารถเรียกเสียตาของผู้คนภายในห้องให้หันมามองได้อย่างดีเลยทีเดียว
“อ่าว ทั้งสองเข้ามานั่งก่อนสิ” คุณแม่หันมาบอกพวกผมด้วยใบหน้ายิ้มแย้มอย่างเช่นเคย หืม? ไหนคุณลุงเทงกิบอกว่าคุณแม่มีธุระด่วน แต่ทำไมแลดูอารมณ์ดีขนาดนี้
“ครับ” พวกผมทั้งสองคนเดินเข้าไปนั่งด้านในตามที่คุณแม่บอก ในขณะที่เดินเข้าไปเด็กผู้หญิงคนที่เป็นลมก็หันมามองอย่างสนใจ แต่เมื่อเธอเดินเข้าไปใกล้ซูตะ ซูตะก็คอยเขยิบหนีออกเสียทุกที จนในที่สุดเจ้าซูตะหนีไปนั่งด้านหลังคุณแม่ ส่วนผมเลือกที่จะนั่งตรงข้ามคุณแม่ เด็กผู้หญิงนั่งด้านข้างระหว่างผมกับแม่
“คุณแม่เรียกซูตะมาทำไมรึครับ?”
“แม่จะให้หนูคนนี้มาพักที่บ้านเรา เลยให้ลุงเทงกิไปตามลูกทั้งสองคนมา” คุณแม่บอกอย่างอารมณ์ดีพลางลูบหัวเด็กผู้หญิงคนนั้นไปด้วย
“ห๊ะ คุณแม่อย่ามาอำผมเล่นนะ เรื่องอะไรทำไมจู่ๆเราต้องในผู้หญิงที่ไหนก็ไม่รู้มาอยู่ในบ้านเราด้วย” ซูตะแย้งขึ้นมาอย่างรวดเร็ว เนื่องจากซูตะไม่ค่อยถูกกับการอยู่กับผู้หญิง ปกติที่ร้านก็จะมีแต่พนักงานผู้ชาย อีกอย่างซูตะก็เรียนโรงเรียนชายล้วนมาตลอดด้วย
“นั่นสิครับ ทำไมจู่ๆถึงจะให้มาอยู่กลับเรา ในเมื่อฟื้นแล้วก็ควรที่จะให้กลับไปได้แล้วนะครับ?”
“หืม? ฟื้นอะไรกันพี่เรียวตะ รู้เรื่องอยู่แล้วหรอ? แล้วผู้หญิงคนนี้คนรู้จักที่ใช่ไหม?
“ไม่ใช่? แล้วก็ไม่คิดจะรู้จักด้วย”
“พอได้แล้ว หยุดเดี๋ยวนี้ทั้งสองคน เงียบแล้วฟังที่แม่จะพูดต่อไปนี้ให้ดี” สิ้นสุดคำประกาสิทธิ์ของผู้เป็นใหญ่ของบ้านฟูจิฮาระ ลูกชายที่เป็นเพียงลูกบ้านอย่างพวกผมก็ทำได้เพียงแค่นั่งฟังอย่างเงียบๆ
ตระกูลฟูจิฮาระ ถึงจะเลี้ยงลูกมาอย่างตามใจ แต่ก็มีกฎระเบียบของบ้านอยู่มากมายหลายข้อเช่นกัน กฎของบ้านเป็นสิ่งที่ทุกคนห้ามฝ่าฝืนอย่าเด็ดขาด เรื่องราวของการแหกกฎก็ยังไม่เคยมีปรากฏขึ้นมาก่อนในหน้าประวัติศาสตร์ของตระกูล ผมคิดว่าคงไม่มีใครอยากทำ เพราะบทลงโทษนั้นมันจะทำให้พวกสามารถเจ็บเจียนตายจนกระอักเลือด หรือไม่ก็ทำให้คุณตายทั้งเป็นตายเลยทีเดียว
“ครับ” ผมกับซูตะตอบพร้อมกัน
“ฟังให้จบแล้วค่อยถาม ตกลงไหม?”
“ครับ” มีคำอื่นให้ตอบบ้างไหมครับ ช่วยแนะนำผมที
“ทำไมแม่ถึงจะให้สาวน้อยคนนี้มาพักที่บ้านเราก็คือ เธอจำอะไรไม่ได้ พูดง่ายๆก็คือความจำเสื่อม ดังนั้นจึงไม่เหตุผลอะไรที่จะปล่อยสาวน้อยตัวคนเดียวกลับไปโดยจำอะไรไม่ได้หรอกนะ”
“คุณแม่มั่นใจหรอครับว่าเธอความจำเสื่อมจริงๆไม่ได้โกหก” ผมไม่ได้อคติ แต่อย่างน้อยเราก็ไม่ควรจะไว้ใจคนแปลกหน้าง่ายๆ
“แม่แก่แล้วนะเรียวตะ ทำไมเรื่องแค่นี้จะดูไม่ออกว่าใครพูดจริง พูดโกหก จริงไหมซูตะ” คุณแม่หันไปมองซูตะที่นั่งอยู่ด้านหลัง
“ครับ พี่เชื่อคุณแม่เถอะ ขนาดผมยังไม่เคยโกหกอะไรแม่ได้เลย” เจ้าซูตะ แสดงว่าพยายามจะโกหกหลายทีแล้วสินะ
“นั่นเพราะคุณแม่เลี้ยงนายมาตั้งแต่เกิด กับคนอื่นมันไม่เหมือนกัน”
“จะเหมือนไม่เหมือนไม่รู้ แต่มันเป็นสิ่งที่แม่ตัดสินใจไปแล้ว แม่เรียกเราสองคนมาเพื่อรับฟังไม่ได้ให้แสดงความคิดเห็น” หมดคำพูดใดๆจะโต้แย้ง
“ถ้าอย่างนั้นมีข้อแม้คือเธอต้องห้ามเข้าใกล้ผมโดดเด็ดขาด นี่เป็นคำขอเพียงอย่างเดียวของผม” ซูตะไม่ว่ายังไงก็ยังคงเป็นซูตะ ที่ไม่มีวันเข้าใกล้มนุษย์เพศหญิงคนอื่นนอกจากแม่
“ถ้าอย่างนั้นเรียวตะดูแลหนูคนนี้ให้แม่ด้วยแล้วกัน”
“อ่าว ทำไมถึงมาลงที่ผมได้ล่ะครับ”
“เพราะเธออยู่โรงเรียนกับลูกไง ดูจากชุดก็น่าจะรู้แล้ว พรุ่งนี้พาเธอไปโรงเรียนจะได้รู้ว่าเธอเป็นใคร ถ้ายังหาไม่เจอะก็ให้พากลับมาด้วย วันนี้ก็พาไปซื้อข้าวของเครื่องใช้ที่จำเป็นก่อน เสื้อผ้าด้วย ส่วนหนูคงไม่มีปัญหาอะไรใช่ไหมจ๊ะ”
“หนูพูดได้แล้วหรอค่ะ?” เข้าใจทันทีเลยครับว่าทำไมถึงนั่งเงียบอยู่ได้ตั้งนาน
“พูดได้สิจ๊ะ ว่าไงอยากอยู่กับเราหรือเปล่า”
“ยังไงหนูก็ไม่มีที่ไปอยู่แล้ว ไม่มีอะไรจะให้เสียด้วย” ทำไมทุกสิ่งอย่างช่างบังเอิญและเหมาะเจาะขนาดนี้ครับ
“ดังนั้น...” สายตาของแม่มองเลื่อนมองต่ำลงไปยังป้ายชื่อแขวนอยู่ที่คอของเด็กผู้หญิง “มิฟูยุจังไปซื้อของกับเรียวตะนะ เดี๋ยวทางนี้แม่จะเตรียมห้องนอนให้เองซูตะก็มาช่วยแม่ด้วย” แม่ครับ ถามความสมัครใจของผมหน่อยว่าผมต้องการไปไหม?
“ได้เลยค่า เอ๋?หนูชื่อมิฟูยุหรือค่ะ?” ก็ชื่อมันแขวนอยู่ที่คอเธอไม่ใช่รึไง นี่ก็ตั้งนานแล้วไม่มีใครสังเกตเลย ว่าป้ายชื่อแขวนอยู่ที่คอตั้งแต่แรกแล้ว ขนาดแม่ยังเพิ่งจะสังเกตชื่อเมื่อกี้ ผมนะเห็นตั้งนานแล้ว แต่ไม่อยากจะอ่านชื่อบนป้ายชื่อนั้นเลยครับ
“ใช่สิจ๊ะก็ป้ายชื่อของหนูเขียนไว้แบบนั้น เรียกฉันว่าคุณแม่ก็ได้นะ ไม่ต้องเกรงใจ”
“ค่ะ คุณแม่” ตอบรับอย่างรวดเร็วด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม นี่มันใช่คนความจำเสื่อจริงๆหรือครับ ยังไงผมก็ไม่มีทางเชื่อง่ายๆแน่
“เรียวตะนั่งนิ่งอยู่ทำไมล่ะ พาน้องไปซื้อของได้แล้ว เดี๋ยวกลับมาไม่ทันมื้อเย็นนะครับ” ชีวิตผมมันคงได้เปลี่ยนไปแล้วสินะ แน่ๆเลย ตั้งแต่วินาทีนั้นที่สถานีรถไฟ หวังว่ามันจะจบลงในเร็วๆนี้
“ครับคุณแม่ ผมไปก่อนนะครับ ส่วนเธอเดินตามผมมา” ผมลุกขึ้นเดินนำไปที่ประตู เพิ่งจะกลับเข้าบ้านได้ไม่ถึงชั่วโมง ต้องออกข้างนอกอีกแล้ว ยังไม่ทันได้ไปตรวจดูใบชาที่เพิ่งเด็ดมาเลย
“ขอตัวก่อนนะค่ะ” มิฟุยุก้มหัวให้คุณแหนึ่งครั้งก่อนจะเดินตามหลังผมมา ดูเรียบร้อยผิดกับคนความจำเสื่อมปกติ ไม่มีอาการตกใจหรือตื่นตูมให้ อาการระแวงคนรอบข้างก็ไม่มี แบบนี้จะให้ผมเชื่อว่าเป็นคนความจำเสื่อมตรงไหนหรือครับ?
“เธออยากซื้ออะไรก่อน” ผมหันไปถามเธอที่เดินอยู่ข้างหลัง บอกให้เดินตามหลังก็เดินตามหลังจริงๆครับ ถ้าจะเชื่อฟังเกินไปขนาดนี้
“อะไรก็ได้ของพวกนั้นไม่จำเป็นสำหรับเราหรอกเจ้าชาย”
“เมื่อครู่เธอพูดอะไรผมไม่ค่อยได้ยินเลย”
“ไม่มีอะไรหรอกค่ะ ไปซื้อเสื้อผ้ากันเถอะ” เธอเปลี่ยนสีหน้าที่ดูจริงจังเป็นรอยยิ้มหวานตอบผม ก่อนจะเดินนำไปข้างหน้า ถ้าหูผมไม่ฟาดจนเกินไป เหมือนจะได้ยินคำว่าเจ้าชายด้วยครับแต่มันเบามาก จนไม่แน่ใจ
------------------------ในที่สุดก็จบไป1ตอนจนนาน ดองนานไปไม่หน่อย
น้ำตาจะปริ่ม T__T
ความคิดเห็น