ลำดับตอนที่ #1
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : Part 1 : ซานตาฮารีนา
Part 1 : ซานตาฮารีนา
ท่ามกลางความวุ่นวายภายในโรงเรียนเวทย์ชื่อดังซานตาฮารีนา ธงสีแดงขนาดใหญ่ปลิวพลิ้วไสวด้วยแรงลม บนผืนธงปรากฏตราสัญลักษณ์ของโรงเรียนอันมีคทาวิเศษและดาบอัศวินในตำนานไขว้กันอยู่บนโล่สีทองอันใหญ่ ไทเปและเซอร์เวียร์พินิจดูธงนั้นอย่างหลงใหล ก่อนที่ฮารีผู้มาใหม่เปิดบทสนทนากับอีกสองคนที่มายืนรออยู่แล้ว
“สวยใช่ไหมล่ะ ตราสัญลักษณ์ของซานตาฮารีนา” ฮารีพูดขึ้นด้วยเสียงกระซิบเบาๆ ที่ทำเอาหลายคนต้องจั๊กจี้หูตามแบบฉบับ เด็กหนุ่มขยับแว่นหนาเตอะบนใบหน้า ดวงตาสีเทาที่มองผ่านหลังแว่นนั้นไม่ได้มีแววตื่นเต้นแม้แต่น้อย...ผิดกับน้ำเสียงลิบลับ
ไทเปกับเซอร์เวียร์พยักหน้าน้อยๆ แต่สายตาก็ยังไม่ละจากผืนธงสีแดงสดนั้น
“ได้ข่าวว่าเจ้าหญิงเฟอร์จามีได้เข้าเรียนที่นี่แล้ว ทั้งๆ ที่การประกาศผลจะมีในวันนี้แท้ๆ” ไทเปละความสนใจจากธงผืนใหญ่มาที่ฮารี
“อืม..ก็ได้ข่าวมาว่างั้นอะนะ” ฮารีเอ่ยขึ้นอย่างไม่ค่อยแน่ใจเท่าไหร่ เพราะว่าทุกคนในวันนี้ยังไม่มีใครรู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองสอบผ่านได้หรือไม่ ตัวเขาเองก็ไม่ได้อยากจะอคติกับเจ้าหญิงเรซาเนียร์เท่าใดนัก แต่มันก็คงอดคิดไม่ได้ว่า...
“เส้นมารึเปล่าน่ะ ก็เป็นเจ้าหญิงนี่นะ” อุตส่าห์คิดในใจ แต่เซอร์เวียร์ก็กลับพูดออกมาโต้งๆ ซะงั้น พลันนั้นแล้วดวงตาสีเทาใต้กรอบแว่นหนาก็เหลือบไปปะทะสายตากับเด็กสาวที่เดินผ่านมาพอดี เธอขนสัมภาระมาเรียบร้อยประหนึ่งว่ารู้ดีแล้วว่าจะติดอย่างแน่นอนทั้งๆ ที่ยังไม่ได้เริ่มประกาศผลด้วยซ้ำ ดวงตาสีเขียวอ่อนฉายแววไม่พอใจเล็กน้อย ก่อนจะสะบัดหน้ากลับไปจนผมสีชาปลิวไปตามแรง
“ยัยนั่นเป็นใครกันนะ ยังไม่ทันได้ประกาศผลขนของมาเตรียมอยู่เรียบร้อยเสียแล้ว ท่าทางจะมั่นใจมากนะนั่น” เซอร์เวียร์ออกปากวิจารณ์ทันทีที่เด็กสาวเจ้าของผมสีแดงเดินห่างออกไปไกลแล้ว “หน้าตาก็น่ารักดีอยู่หรอก แต่โคตรจะหยิ่งเลย”
“แล้วนายอยากรู้มั้ยล่ะว่าเป็นใคร...” ไทเปยักคิ้วถาม เซอร์เวียร์พยักหน้ารัวๆ ส่วนฮารีก็ยืนยิ่งอยู่เฉยๆ เพราะตัวเองรู้คำตอบดีอยู่แล้ว
‘ฮึๆ ถ้าหมอนี่รู้คงช็อกหงายหลังแหงๆ’
ไทเปกระแอมเล็กน้อยด้วยท่าทางวางมาด ก่อนจะเฉลยคำตอบให้กับเพื่อนตัวแสบที่ไม่เคยรู้เรื่องรู้ราวอะไรเลย
“คนสวยๆ คนนั้นน่ะ ก็คือ...เจ้าหญิงเฟอร์จามีไงล่ะ!”
“โอ๊ย ตายแน่งานนี้” เด็กสาวร่างเล็กผมสีทองบ่นกับตัวเองขณะที่เดินชนคนโน้นคนนี้ไปตลอดทาง ตาสีฟ้าหลุบต่ำมองนาฬิกาที่ข้อมือ แต่แล้วก็ต้องเบิกโพลงเมื่อตระหนักได้ว่าตัวเองเลยเวลานัดไปครึ่งชั่วโมงแล้วจึงรีบเร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้นกว่าเดิมอีกเท่าตัว แต่เหมือนว่ายิ่งรีบก็ยิ่งลนลานจนไปชนกับเด็กสาวร่างอวบนิดๆ ในชุดยูนิฟอร์มของโรงเรียนเข้าอย่างจัง
“ขอโทษทีค่ะ” เด็กสาวผงกหัวขอโทษขอโพยเป็นการใหญ่ สาวร่างผอมบางมองเธอด้วยดวงตาสีม่วงด้วยความไม่พอใจเล็กน้อยหากแต่ก็ไม่ได้ว่ากล่าวอะไร
“ทีหลังเดินระวังหน่อยแล้วกัน คนที่นี่ไม่ได้ใจดีกันทุกคนหรอกนะ” เธอเอ่ยเสียงเรียบทำเอาเด็กสาวเจ้าของตาสีฟ้าขนลุกวาบ จากนั้นก็เดินออกไปเหมือนนางแบบที่เดินบนแคทวอล์คส่งผลให้เรือนผมสีเงินสวยขยับเป็นคลื่นขึ้นลงตามจังหวะการลงเท้าก่อนที่จะหยุดยืนคุยกับเด็กสาวร่างอวบนิดๆ อีกคนที่สิ่งส่งยิ้มมาให้เธออย่างปลอบใจเหมือนจะรู้เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นอย่างดี เด็กสาวคลี่ยิ้มให้บางๆ และรู้สึกถูกชะตากับเด็กสาวผมทองไฮไลท์ชมพูคนนี้อย่างประหลาด...แต่แล้วสายตาก็ดันไปเจอยัยรุ่นพี่จอมโหดคนนั้นอีกครั้ง
‘อย่างงี้อะนะที่ว่าใจดี แค่นี้ก็แทบจะกินเลือดกันอยู่แล้ว ถ้าเป็นพวกโหดๆ แค่เดินผ่านจะไม่จับหักคอเลยรึไง โอ๊ย! แค่คิดก็เสียวสยองแล้ว ถ้าเป็นอย่างนี้กันทั้งโรงเรียนล่ะ สอบติดขึ้นมาล่ะก็นะ...ซามิราคนนี้ขอลาตายซะจะดีกว่า’
“บ้าชะมัด!” เก้าอี้ตัวยาวถูกเท้าของเด็กสาวผู้มาใหม่พร้อมทั้งสัมภาระมากมายกระทบเข้าให้อย่างแรงจนเกิดแรงสะเทือน ทำเอาเด็กสาวอีกคนที่นั่งอยู่ก่อนแล้วต้องเงยหน้าขึ้นมาจากลูกแก้ววิเศษอย่างขัดใจ ดวงตาสีนิลฉายแววหงุดหงิดที่ถูกขัดจังหวะการทำนายอนาคตของเธอ
“เป็นอะไรล่ะฟิวเจอร์” เด็กสาวบรรจงวางลูกแก้วลูกเล็กลงในกล่องกำมะหยี่สีแดง แล้วจึงเอ่ยถามเพื่อนรักที่โตด้วยกันมาตั้งแต่เด็กๆ
“ก็ไอ้พวกปากพล่อยน่ะสิ หึ่ย!” ฟิวเจอร์เอ่ยอย่างหัวเสียก่อนตั้งท่าจะลงหมัดกับกำแพง แต่ก็ถูกเวทย์แช่แข็งของเพื่อนรักเสียก่อน
“ทำอะไรเนี่ยฮะ ริปปิง!” ถึงตัวจะแข็งแต่ปากยังคงขยับได้เช่นเดิม ดวงตาสีเขียวอ่อนส่อแววโมโหออกมาอย่างเด่นชัด ส่วนผู้ที่เป็นเพื่อนรักเมื่อได้เห็นดังนั้นก็ได้แค่ส่ายหน้าให้กับความใจร้อนไม่เปลี่ยนของเพื่อนตัวเอง
“ก็แค่เวทย์แช่แข็ง ไว้รอสงบกว่านี้ก่อนแล้วค่อยให้ซัมเมอร์คลายเวทย์ให้” ริปปิงยิ้มเยอะเพื่อนใจร้อนตัวดีอย่างหมั่นไส้เล็กๆ ส่วนนี่ก็ถือเป็นการแก้แค้นที่ทำให้พลังในการทำนายของเธอหายไปในพริบตาด้วย
“ทำไมต้องรอให้ซัมเมอร์มาคลายเวทย์ให้ กว่ายัยนั่นจะมาต้องอีกเป็นชาติแน่ๆ เธอก็ทำได้ไม่ใช่รึไงริปปิง คลายเวทย์ให้ฉันเดี๋ยวนี้นะ” ฟิวเจอร์ร้องโวยวาย แต่มีหรือที่ตัวการจะใส่ใจ ปล่อยให้เป็นแบบนี้น่ะแหละดีแล้ว ไม่อย่างนั้นอารมณ์หงุดหงิดแบบนี้คงได้พังโรงเรียนกันพอดี
“อยู่อย่างนี้ไปนั่นแหละ แค่นี้ไม่ตายหรอกเจ้าหญิงเฟอร์จามี” เจ้าของตาสีนิลยิ้มยั่วคนที่ถูกร่ายเวทย์ใส่อย่างไม่เกรงกลัว ทั้งๆ ที่รู้ว่าคำพูดเมื่อกี้มันไปกระตุกต่อมโมโหของเพื่อน...และผู้เป็นญาติตัวเองอย่างไร
“อย่าได้เรียกฉันแบบนั้นอีกนะ เธอก็รู้ว่าฉันไม่ชอบ... หรือเธออยากจะให้ฉันเรียกเธอว่าเจ้าหญิงเรซาเนียร์ด้วยล่ะฮะ” พอได้ยินประโยคนี้คนฟังก็ถึงกับหน้าตึงไม่แพ้กัน แต่ก็ตอกกลับไปอย่างไม่ลดละเช่นกัน
“ฉันไม่ใช่เจ้าหญิง เธอต่างหากที่เป็น ฉันก็แค่พระญาติ แถมไม่ได้รับยศด้วย” คนเป็นพระญาติค้อนขวับทันที ส่วนเจ้าหญิงตัวจริงก็เตรียมตั้งท่าจะตะโกนเถียงอีกรอบ นี่โชคดีที่ได้ซัมเมอร์ผู้มีดวงตาสีฟ้าสดใสเข้ามาแก้สถานการณ์ซะก่อน
“หวัดดีเจ้าหญิง” ซัมเมอร์เอ่ยทักด้วยน้ำเสียงสดใสแต่สิ่งที่เธอพูดออกมากลับมีพลังอำนาจให้บุคคลสองคนหันขวับมามองด้วยสายตาอาฆาตแค้น เด็กสาวผู้สดใสหน้าหดลงในทันใด
“โอเคๆ ไม่เรียกแบบนี้แล้วก็ได้ ก็มันเรียกง่ายดีนี่นา เรียกทีเดียวพ่วงสองคน...” ซัมเมอร์ร่ายยาวไปเรื่อย และถ้าหากไม่ได้หันไปสบสายตาสีเขียวอ่อนคู่นั้นอีกทีคงจะต้องพูดไปอีกยาวแน่ๆ
“นี่...ซัมเมอร์ รู้มั้ยว่าเธอสายม๊าก มากแค่ไหนอ่ะ” เด็กสาวนัยน์ตาสีนิลเอ่ยขึ้นอย่างตำหนิ แต่ใบหน้าก็ไม่ได้แสดงความจริงจังอะไรออกมามากนัก...เหมือนกับแค่ต้องการถ่วงเวลาสำหรับเรื่องบางอย่างมากกว่า
“ขอโทษๆๆ ริปปิงฉันไม่ได้ตั้งใจมาสายซะหน่อย ก็มัน...”
“...ชิน” ริปปิงต่อคำให้เพื่อนรัก ซัมเมอร์ยิ้มน้อยๆ เพื่อกลบเกลื่อนความผิดของตัวเอง
“เอ้อ นี่...พวกเธอรู้มั้ย ฉันล่ะนะจะบ้าตายกับโรงเรียนนี้เลยแหละ” ซัมเมอร์ตั้งท่าบ่น ทั้งน้ำเสียง คำพูดและสีหน้าแสดงออกมาให้เห็นว่าเธอคิดอย่างนั้นจริงๆ “พวกรุ่นพี่ที่นี่โหดเป็นบ้าเลย ใครอย่าได้แหยมเชียว”
ริปปิงเลิกคิ้วขึ้นอย่างสงสัย “ทำไม...”
“ก็คิดดูนะ ขนาดแค่เดินชนอะ หูย...” ซัมเมอร์เอามือกอดอกตัวเองทำท่าขนลุกจนเพื่อนรักต้องกลั้นขำ ก่อนพูดต่อด้วยน้ำเสียงสดใสของเจ้าตัวว่า “ทำยังกะจะกินฉันอย่างนั้นแหละ”
“อย่างนั้นเลยหรอ... น่ากลัวเนอะ” น้ำเสียงเย็นๆ ของคนที่ถูกลืมดังขึ้น คนจงใจทำให้เพื่อนถูกลืมหันหน้าไปหาแล้วยิ้มแป้นสบายใจ ส่วนอีกคนผู้ไม่รู้อีโหน่อีเหน่อะไรก็ตอบไปตามประสาคนช่างเจรจา
“อ้าว ฟิวเจอร์ ลืมไปเลยว่าเธอก็อยู่ตรงนี้ด้วย” ซัมเมอร์โบกมือทักทายเพื่อนรักอีกคนที่ยืนแข็งทำหน้ามู่ทู่อยู่ในท่าปล่อยหมัดท่าเดิมไม่ยอมขยับจนเป็นที่สงสัย “แล้วทำไมต้องยืนค้างท่านั้นด้วยล่ะ”
“ถามเพื่อนเธอดูสิ หึ!” ฟิวเจอร์กระแทกเสียงอย่างไม่พอใจ ซัมเมอร์หันไปหาริปปิงที่บัดนี้เริ่มตั้งสมาธิใหม่แบบไม่สนใจใครอย่างขอความคิดเห็น
“โดนเวทย์แช่แข็งน่ะ” เจ้าของดวงตาสีนิลเงยหน้าขึ้นมาตอบเพื่อนรักสั้นๆ แล้วจึงหันไปให้ความสนใจกับลูกแก้วจิ๋วในมือต่อเหมือนเดิม
“แล้วทำไมไม่คลายเวทย์เองล่ะ” ซัมเมอร์จ้องลึกเข้าไปในดวงตาสีเขียวอ่อนนั้นอย่างจับผิด ก็ในเมื่อเธอเป็นคนสอนวิธีคลายเวทย์ด้วยตนเองของเธอกับมือแล้วสั่งนักสั่งหนาให้ไปฝึกมาให้สำเร็จ แล้วไหงยังทำไม่เป็นอยู่แบบนี้ล่ะ
“ทำได้ก็ทำไปนานแล้ว...” คราวนี้คนใจร้อนเริ่มเอ่ยด้วยเสียงแผ่วเบาเล็กน้อย เพราะรู้ดีว่าถ้าหากเพื่อนรักของตนรู้แล้วล่ะก็ว่าเวลาว่างทั้งหมดเธอเอาไปใช้กับการเข้าป่าล่าสัตว์กับองครักษ์คู่ใจจนลืมเรื่องที่สัญญาเอาไว้ว่าจะฝึกคลายเวทย์ด้วยตัวเองให้ได้ไปเสียสนิทล่ะก็...
‘เหอะๆ ...นรกชัดๆ ล่ะ’
“นี่ไม่ได้ฝึกเลยใช่มั้ยฮะ ฉันนึกแล้วเชียว...นึกไว้แล้วเชียว!” ซัมเมอร์เริ่มทำหน้างอนเมื่อจับไต๋เพื่อนรักได้สำเร็จ ความจริงแล้วเธอก็ไม่ได้ตั้งความหวังเอาไว้มากมายหรอกว่าเพื่อนคนนี้จะต้องฝึกซ้อมตามคำขอของเธอ แต่พอคิดๆ แล้วมันอดน้อยใจไม่ได้นี่นา
‘นี่คงเล่นสนุกกับไอ้องครักษ์หน้าตาดีแต่นิสัยแย่นั่นจนลืมฉันไปเลยล่ะสิ ชิ!’
“โธ่ ซัมเมอร์ อย่าเพิ่งงอนได้มั้ย มาช่วยคลายเวทย์ให้ฉันก่อนสิ” น้ำเสียงหงุดหงิดไม่พอใจเปลี่ยนไปทันทีเมื่อเห็นสีหน้าน้อยใจของเพื่อนตัวเอง “ฉันสัญญานะ ว่าต่อจากนี้จะตั้งใจฝึกซ้อมให้มากๆ เลย”
“เฮ้อ ฉันล่ะเบื่อกับคำพูดของเธอแล้วล่ะฟิวเจอร์ ถึงเวลาก็มาบอกว่าจะทำๆ แต่ก็ไม่เห็นเธอจะทำให้ฉันซักที” ซัมเมอร์หันมาบ่นกับเพื่อนรักที่ยังคงยืนค้างในท่าปล่อยหมัดเหมือนเดิม ส่วนริปปิงน่ะหรอ...ตอนนี้หลุดไปอยู่ในโลกอนาคตเรียบร้อยแล้วล่ะ
“คิดดูสิฟิวเจอร์ เธอเก่งทุกอย่างจนคณะกรรมการโรงเรียนตัดสินให้ผ่านตั้งแต่วันแรกที่มาสอบปฏิบัติ แต่เธอกลับคลายเวทย์ให้ตัวเองไม่เป็น ให้ตายสิ...ให้ตาย” ซัมเมอร์ยังคงบ่นไม่เลิกเหมือนมีเรื่องเก็บกดมานานนับปี ส่วนฟิวเจอร์ที่ทำอะไรไม่ได้ก็ได้แค่กรอกตาไปมาเท่านั้น
“ใช่...ฉันรู้ว่าคนที่จะคลายเวทย์เองได้ก็มีแค่ฉันกับริปปิง หรืออาจจะมีนักเวทย์เก่งๆ คนอื่นๆ ที่สามารถทำได้ แต่ฉันก็อยากให้เธอฝึกเอาไว้ เพราะถ้าวันไหนที่เธอไปไหนโดยไม่มีพวกฉันหรือคนอื่นๆ คอยอารักขา วันนั้นเธอจะต้องแย่แน่ๆ” ซัมเมอร์บ่นใส่อย่างเป็นห่วง ซึ่งฟิวเจอร์เองก็รู้ดีแก่ใจ...แต่มันก็น่ารำคาญนี่นาเวลามีใครมาบ่นใส่แบบนี้
“นี่เธอจะคลายเวทย์ให้ฉันได้ยัง?” เจ้าของดวงตาสีเขียวอ่อนเอ่ยถามเรียบๆ ทำเอาคนที่กำลังตั้งท่าจะบ่นต่อต้องกลืนคำพูดไว้ก่อน แล้วจึงร่ายมนต์คลายเวทย์ให้เพื่อนรัก
“ขอบใจ” เอ่ยตอบเรียบๆ พลางยืดเส้นยืดสายหลังจากที่ต้องยืนค้างในท่าปล่อยหมัดอยู่นานหลายนาที
ริปปิงผู้ก่อเหตุกำลังนั่งส่องลูกแก้วจิ๋วในมืออย่างตั้งอกตั้งใจ ภาพนี้ทำให้ฟิวเจอร์ถึงกับเกิดอาการหมั่นไส้อย่างรุนแรง แล้วก่อนที่ใครจะทันได้คิดอะไร หรือก่อนที่ซัมเมอร์จะได้พูดคำว่าไม่เป็นไร สองขาเรียวก็เดินเข้าไปตบหัวผู้เป็นทั้งเพื่อนรักและญาติสนิทอย่างแรงจนลูกแก้ววิเศษแทบหลุดออกมามือ
“มาตบหัวฉันทำไมฮะ” ริปปิงโวยวายขึ้นมาเมื่อถูกเพื่อนรักทำให้สมาธิกระเจิงอีกครั้ง “ฉันเกือบจะบรรลุแล้วเชียว”
“บรรลุบ้าอะไรของแก แกนั่นแหละแทบทำฉันบรรลุท่าหมัดลอยฟ้าอยู่แล้วเนี่ย” ดูท่าเจ้าหญิงเฟอร์จามีเลือดร้อนคนนี้คงจะโมโหหนักเลยทีเดียว สังเกตได้จากสรรพนามที่ใช้เรียกเพื่อนรักแบบนี้แล้วคงเป็นอย่างอื่นไปไม่ได้อย่างแน่นอน
“แกนั่นแหละบ้า โธ่เอ๊ย กว่าจะรวบรวมสมาธิได้” ริปปิงก็หงุดหงิดไม่แพ้กันเมื่อโดยกวนคลื่นพลังจิตเป็นครั้งที่สอง ส่วนซัมเมอร์ก็ได้แค่ยืนอ้าปากค้างทำอะไรไม่ถูกเมื่อเห็นเพื่อนทั้งสองคนทะเลาะกันด้วยเรื่องเล็กๆ แบบนี้
และก่อนที่อะไรจะเลยเถิดเป็นเรื่องใหญ่โตไปมากกว่านี้ ความโกลาหลภายในซานตาฮารีนาก็ช่วยนำความสันติสุขมาให้แก่สองเพื่อนรักร่วมสายเลือดที่กำลังจ้องตากันอย่างไม่ยอมลดละ
“ริปปิง ฟิวเจอร์ เค้ามาทำอะไรกันเยอะแยะน่ะ” ซัมเมอร์หันมาถามอย่างสงสัยที่อยู่ๆ ผู้คนมากมายก็มารวมตัวกันอยู่ในห้องโถงใหญ่ แล้วก่อนที่จะมีใครได้พูดอะไรออกมาคำตอบก็ลอยมาตามสายลมทันที
“การประกาศรายชื่อนักเรียนที่สามารถสอบเข้าโรงเรียนซานตาฮารีนาได้เริ่มขึ้นแล้ว”
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น