ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Blood Of Vampire เลือดรักแวมไพร์

    ลำดับตอนที่ #1 : การเจอกันของพ่อหนุ่มแวมไพร์กับเด็กหนุ่มธรรมดา

    • อัปเดตล่าสุด 25 พ.ย. 63


    Chapter 1

    การเจอกันของพ่อหนุ่มแวมไพร์กับเด็กหนุ่มธรรมดา

    -

    “ไอ้เบล !!”

    “ไอดิมมึงละลายแล้วนะไม่กินเหรอ”

    เสียงของผู้ชายคนหนึ่งตะโกนใส่หูเบลจนอีกฝ่ายสะดุ้งขึ้นมา

    “อะไรวะ ไอ้โอ๊ต ตะโกนใส่จนหูกูหนวกแล้วเนี่ย”

    เบลพูดำร้อมเอามือมาปิดหูข้างที่โดนโอ๊ต ตะโกนใส่ โอ๊ต ถามก่อนจะมาว่าตนดูไอศครีมแท่งบนมือของตัวเองด้วย เบลหันมามองไอศครีมแท่งที่ละลายเป็นน้ำเปื้อนมือของตัวเองไปหมด เขาจึงตัดสินใจเดินไปทิ้งขยะ

    “ช่วงนี้มึงดูเหม่อนะ เป็นอะไรหรือเปล่า”

    “เปล่ามึง กูคงเซ็งตอนสอบวิชาออกแบบโลโก้อ่ะดิ กูได้ 7 เต็ม 10 อาจารย์แม่งขี้งกวะ”

    เบลตอบกลับตอนที่สอบเก็บคะแนนเขาควรจะได้มากกว่านี้ เพราะเขาคิดออกแบบโลโก้เก่งมาก

    “อย่าว่าแต่มึงเลย กูได้น้อยกว่ามึงอีก”

    “ได้เท่าไหร่”

    “5 เต็ม 10 “

    “มะเหงกพ่อมึงสิ “

    “ไม่เป็นไรมึง ก็รู้อยู่ว่าอาจารย์คนนี้แม่งเรื่องมากจะตาย แต่คนอย่างมึงเก่งอยู่แล้ว”

    “เออๆ ไม่เป็นไร คราวหน้ากูออกแบบให้มันดีที่สุดไปเลย”

    “ต้องงี้ดิเพื่อน”

    “วันนี้กูว่าจะกลับบ้านเลย มึงกลับปะ”

    “ไปดิกูอยากกลับไปนอนต่อว่ะ ง่วง”

    เบลและโอ๊ต ลุกขึ้นแล้วเดินไปลานจอดรถตรงข้ามต่อ ณัฐสิทธืยังคงเหม่อคิดอะไรบางอย่าง แต่สิ่งที่คิดเขาไม่ได้คิดเรื่องอะไร แต่เขาคิดถึงเรื่องผู้ชายคนหนึ่งที่เขารู้จักกันตอนรับน้อง เขาดูเย็นชา โลกส่วนตัวสูง แต่ช่วงนั้นมันเป็นวินาทีที่เจอกันสั้นเหลือเกิน

    ไม่นานเบลและโอ๊ต มาถึงลานจอดรถตรงทางเข้าของมหาลัย ทั้งสองมาถึงที่รถของโอ๊ต ก็มีเสียงเรียกจากกลุ่มผู้หญิงกลุ่มหนึ่งเรียก โอ๊ต หันไปมองก็ยิ้มอย่างเต็มใจเพราะทั้งสองเป็นคนหล่อในมหาลัย

    “มึง เดี๋ยวกูไปคุยกับผู้หญิงก่อน”

    “เออ ตามสบายเลยเพื่อน”

    โอ๊ต เดินไปหากลุ่มผู้หญิงกลุ่มนั้นเพื่อไปถ่ายรูป ยกเว้นเบลที่ยืนมองอยู่ เพราะไม่ค่อยสนใจเรื่องนี้มาก แต่แล้วความรู้สึกสนใจมันได้มาแล้ว ผู้ชายคนนั้นที่เขานึกถึงก็ปรากฏตัวต่อหน้าเขา เขากำลังเดินมาที่ลานจอดรถ สายตาของเบลไม่หันไปไหนมองหน้าของชายคนนั้นอย่างไม่ละเลยสายตาแม้แต่นิดเดียว….

    “ไอ้เบลระวัง !!”

    เอี้ยด !! ปึก !!

    ไม่รู่รถคันใหญ่มาจากไหนกำลังพุ่งเข้ามาหาเบลที่ยืนอยู่ โอ๊ต ตะโกนเรียกเพื่อนตัวเองอย่างสุดเสียง เบลรีบหลับตาลงเพราะความตกใจอย่างสุดขีด

    เมื่อทุกอย่างมันสงบลงเบลลืมตาขึ้นมารู้สึกเหมือนตัวเองไม่ได้ถูกรถชน แต่ภาพที่เห็นทำให้เบิกตาขึ้น ชายหนุ่มคนนั้นได้มาอยู่ตรงหน้าใช้มือข้างซ้ายจับตัวกันชนด้านหน้าของรถไว้

    “นายเป็นอะไรมั้ย”

    คำถามแรกของชายหนุ่มที่พูดน้ำเสียงเย็นชา เบลยังคงอึ้งอยู่กับภาพเหตุการณ์ มันประหลาดมาก แทนที่ชายคนนี้หรือไม่ก็ตัวเขาควรจะถูกรถคันใหญ่ชนเต็มๆแต่กลับเป็นชายคนนี้สามารถหยุดรถคันนี้ด้วยเพียงมือข้างเดียวของเขา คนแห่เข้ามาชลมุนบางคนซุบซิบว่าเป็นอะไรหรือไม่ บางคนถ่ายรูปไว้เพื่อเอาไปลงโซเชียล 

    สักพักชายคนนี้ลุกขึ้นเดินไปที่รถคันสีดำที่จอดใกล้ๆอยู่กับเขาโดยไม่สนใจผู้คน เขาขึ้นรถและขับออกไปทันที 

    “ไอ้เบล มึงเป็นอะไรมั้ย”

    โอ๊ต วิ่งเข้ามาหาเบลแล้วถามด้วยความเป็นห่วง 

    “กูไม่เป็นไร กลับบ้านเถอะ”

    เบลลุกขึ้นและขึ้นรถพร้อมโอ๊ต  และขับออกจากท่ามกลางผู้คน

    ……

    โอ๊ต กำลังขับรถอยู่นั้น เบลมองถนนผ่านกระจกรถเขายังคงลืมภาพผู้ชายคนนั้นไม่ได้ นี้เป็นครั้งที่สองใช่ไหมที่ได้เจอเขาเป็นเพียงแค่เวลาสั้นๆ มันเกิดขึ้นเร็วมาก แต่ทำไมเขาเข้ามาช่วยเบลทันได้ไง เพียงไม่กี่วินาทีตอนนั้นตัวเขาเองคงถูกชนไปนานแล้ว มันช่างแปลกซะเหลือเกิน

    ……

    เมื่อโอ๊ต ขับรถมาส่งถึงหน้าบ้านของเพื่อนเขา เบลลงจากรถแล้วหันมาลาเพื่อน

    “เจอพรุ่งนี้มึง”

    “เออๆ เจอกัน”

    อำลากันเสร็จเบลเดินเข้ามาข้างในบ้านหลังเล็กที่เขาอาศัยอยู่กับ”นัน”พ่อของเขาตั้งแต่เด็กจนโต

    “กลับมาแล้วเหรอ”

    คำพูดแรกของพ่อพูดขึ้น เบลวางกระเป๋ากับโซฟาแล้วล้มตัวนอนอย่างเหน็ดเหนื่อย

    “วันนี้เจอเรื่องประหลาดมาอะพ่อ”

    “เรื่องอะไรเหรอ”

    “เบล เกือบถูกรถชนมา…”

    “หะ อะไรนะ”

    ไม่ทันที่เบลอธิบายจะจบ นันตกใจอย่างมากจึงเข้ามาหาลูกถามเป็นอะไรหรือไม่ เจ็บตรงไหนหรือเปล่า พร้อมจับตัวดูมีแผลตรงไหนไหม

    “เบลสบายดีพ่อ คือมีคนมาช่วยเบลไว้”

    “ค่อยโล่งอกหน่อย แล้วรู้จักเขาเปล่า”

    “รู้จักแต่ไม่รุ้ชื่ออะ”

    “เอ้า แล้วทำไมรู้จักละ”

    จริงสิ รู้จักเพียงแค่หน้าแต่ไม่รู้จักแบบจริงๆ ขนาดเจอเขาแค่นิดเดียวเขาก็ไปแล้ว

    “แต่ก็ช่างเหอะ ปลอดภัยก็ดีแล้ว เดี๋ยวพ่อทำข้าวกะเพราไก่ของโปรดให้กินนะ”

    นันกลับเข้าครัวไปทำข้าวกะเพราไก่ให้ลูกชายกิน เบลล้มตัวลงนอนกับโซฟา

    ……

    เวลาผ่านไปจนถึงเวลาเที่ยงคืน เบลกำลังนั่งทำงานวิชาการออกแบบอุตสาหกรรม เขารู้สึกเริ่มขี้เกียจขึ้นมาจึงเปิดเฟสบุ๊คผ่านโน๊ตบุ๊คเล่นแก้เบื่อไปก่อน ไม่นานเขาเลื่อนมาเจอเพจ Cute Boy ของมหาลัย เป็นรูปตอนที่เขากับชายคนนั้นที่ช่วยเขาไว้เมื่อกี้ มีคอมเม้นจำนวนมากที่พูดถึง บางคอมเม้นบอกปลอดภัยก็ดีแล้ว บางคอมเม้นก็แอบชวนจิ้นทั้งสอง แต่คอมเม้นส่วนใหญ่เหมือนจะขอชื่ออินสตราแกรมของชายเยอะ 

    เบลนึกขึ้นได้จึงพิมพ์ข้อความส่งไปหาโอ๊ต 

    Bell NS:โอ๊ต มึงนอนยัง

    Oat JK:ยังเพื่อน

    Bell NS:กูมีเรื่องช่วยหน่อย

    Oat JK:เรื่องอะไร

    Bell NS ส่งรูปภาพไปยัง Oat JK

    Bell  NS:มึงรู้จักผู้ชายคนนี้มั้ย

    Oat JK:อ่อ กูรู้จัก มันชื่อเบน 

    Bell NS: เฮ้ย มึงรู้ได้ไงวะ

    Oat JK:เพื่อน กูเสือกเรื่องชาวบ้านเก่ง อย่าลืมสิครับ 555+

    Oat JK:เอ่อ แล้วมึงอยากรู้ทำไมวะ

    Bell NS:กูอยากรู้แค่นี้แหละ ขอบคุณมาก

    Oat JK:อ่อเคๆ

    จบการสนทนาการแชท เบลดูรูปเหมือนเดิม “ชื่อเบนเหรอ…”

    ……

    วันต่อมา ที่มหาลัย เบลและโอ๊ต ลงมาจากรถ ขึ้นตึกคณะเข้าห้องเรียนกัน เมื่อทั้งสองหาที่นั่งกัน ณัฐสิทธือยากเข้าห้องน้ำเพราะไม่ได้เข้าที่บ้านมา

    “ไอ้โอ๊ต กูเข้าห้องน้ำก่อนนะ”

    “เออๆ รีบมาละเดี๋ยวอาจารย์เข้าแล้ว”

    เบลลุกขึ้นเดินออกจากห้องไปเข้าห้องน้ำ พอเขาทำธุระส่วนตัวเสร็จ เขาออกมาล้างมือ….

    ขณะที่เขาจะเดินออกไปก็ชนกับใครเข้าโดยไม่ทันตั้งตัว

    “ขอโทษครับ…”

    เบลขอโทษตรงหน้าชายร่างสูงแต่กลับทำให้เขาเบิกตากว้าง เพราะคนที่อยู่ตรงหน้าเขาก็คือ…..

    เบน

    เบลนึกขึ้นได้ว่าต้องเข้าเรียนเพราะอาจารย์วิชานี้เช็คชื่อตรงเวลา ไม่มีเช็คชื่อสาย กำลังจะเดินออกไป

    “เดี๋ยว...”

    เบนพูดขึ้นเบลหันมาตามเสียงของอีกฝ่าย เบนเดินเข้ามาหาเบลใกล้ชิด เบลแอบกลัวว่าอีกฝ่ายทำอะไร เขาค่อยๆเดินถอยออกมาจนตัวชิดกำแพง เบนเข้ามาใกล้เบลอย่างช้าจนหน้าอกของทั้งสองแนบชิด

    “นายต้องการอะไร”

    คำถามแรกเบลถามกับเบน หน้าตาของเขาถึงจะดูหล่อเหมือนฝรั่งทั่วไป แต่ท่าทางและหน้าของเขาเหมือนจะดูไม่ค่อยมิตร 

    เบลมองดวงตาของเบนสีตาของเขาเป็นสีแดง เขาไม่เคยเห็นมาก่อนว่าตาบางคนมีสีแดงด้วย 

    “นายยุ่งเรื่องของฉันทำไม”

    คำตอบเบนพูดขึ้น เบลมองแล้วสงสัย

    “เรายุ่งเรื่องอะไร”

    “ฟังนะ ฉันไม่ชอบให้ใครมายุ่งเรื่องของคนอื่นมันไม่ดี ถ้านายยังจะยุ่งเรื่องของฉันอีก อย่าหาว่าฉันไม่เตือนละกัน”

    เบนพูดจบกำลังจะเดินออกไป….

    “แล้วเมื่อวันนายช่วยเราทำไม”

    เบลถามขึ้นเพราะเขาจำได้ว่าเบนเข้ามาช่วยชีวิตเขาไว้ เบนหันมาตอบ

    “ที่ช่วยนายไว้ เพราะฉันไม่อยากให้คนอย่างนายตายง่ายๆหรอก ฉันรู้ว่าคนอย่างนายต้องทำอะไรอีกเยอะ”

    เขารู้ได้ยังไง ว่าเบลต้องเรียนพร้อมทำงานพาร์ทไทม์ไปด้วย

    “นายรู้ได้ไง นายก็ตามเรื่องเราด้วยเหรอ”

    “ถ้าฉันตอบว่าใช่ละ”

    เบนตอบกลับเพราะเขาเองก็แอบตามดูเบลไม่ห่าง เขาแอบมองตั้งแต่ทำงานพาร์ทไทม์ ตอนเข้าบ้าน ร่วมถึงเมื่อวันที่แอบมองก่อนจะเข้าไปช่วยไว้กำลังจะถูกรถชน ……

    “นายนี่มันคนชอบยุ่งเรื่องชาวบ้านมากกว่าคนอื่นอีกนะ”

    “ฉันก็ไม่ได้อยากยุ่งหรอกนะ ถ้าไม่มีคนมายุ่งก่อน”

    เบลมองสายเบนด้วยความโกรธ เขากำหมัดท่าจะต่อย แต่ทันใดนั้นเสียงไลน์ข้อความของตัวเองดังขึ้น เขาหยิบขึ้นมาดูโอ๊ต ส่งข้อความมาว่าเสร็จยังอาจารย์เข้าแล้วนะ เบลถอนหายใจแต่ก็โชคดีที่ตั้งสติได้ทัน แล้วเดินไปเข้าห้องเรียนโดยไม่สนใจเบน พอมาถึงห้องเรียนเบลนั่งลงด้วยสีหน้าที่ดูไม่พอใจนัก โอ๊ต หันมามองเพื่อนก็สงสัย

    “เป็นอะไรหรือเปล่ามึง”

    “เปล่า เรียนต่อเถอะ”

    เบลปฏิเสธแล้วฟังอาจารย์สอนต่อ ในขณะนั้นเขามองไปที่กระจกประตู เห็นเบนกำลังมองเขาอยู่ เขาหลบสายตาของชายคนนั้นเพราะไม่อยากทำให้เขาหงุดหงิด….

    เบนที่มองอยู่ผ่านข้างนอกก็แอบยิ้มเล็กก่อนจะเดินออกตรงนั้นไป

    ……

    เวลาผ่านไปหลังจากเลิกเรียนเสร็จ เบลกับโอ๊ต มากินข้าวที่โรงอาหารกัน เบลกินข้าวไปด้วยนั่งคิดไปด้วยอยู่พักหนึ่ง เขานึกถึงดวงตาสีแดงของเบน 

    “ไอ้โอ๊ต มึงเคยเห็นดวงตาสีแดงปะ”

    “ไม่เคยนะ กูเห็นแค่มึงซื้อน้ำแดงมาแดกอย่างเดียว”

    “ไอ้สัส มันใช่เวลาเล่นมุข”

    โอ๊ต ขำลั่นเพราะเล่นมุขของตัวเอง

    “กูขอโทษ เห็นมึงหน้าเครียด กูไม่อยากให้มึงเครียดนะเว้ย”

    “กูพูดจริงจังไง”

    “กูไม่เคยเห็นนะ ตาสีแดงนี้เป็นพวกแวมไพร์”

    “แวมไพร์”

    “แต่กูว่าจริงมันไม่มีหรอกมั้ง มีแต่พวกหนัง พวกละครงั้นแหละ มึงจะซีเรียสทำไม”

    “เอาเถอะมึง กูคงคิดไปเองแหละ”

    “ไม่เป็นไร ถ้าโลกนี้มีแวมไพร์อยู่จริงๆ เป็นกูแล้วรู้สึกเสี้ยวคอ”

    สิ่งที่โอ๊ต พูดก็เริ่มทำให้เบลสงสัยตัวเบน ดวงตาสีแดงที่เขาเห็น หรือว่า เบนจะเป็นแวมไพร์ก็เป็นได้

    ……

    เวลาต่อมาช่วงบ่าย โอ๊ต ขับรถมาส่งเบลทำงานพาร์ทไทม์ที่ร้านเบเกอรี่เล็ก เขารีบเข้ามาในร้านอย่างรวดเร็วเพื่รายงานตัวเจ้าของร้าน

    “มาแล้วครับพี่อร”

    “เอ้า เบล มาแล้วเหรอ”

    อรเจ้าของร้านพูดขึ้นพร้อมเดินมาหา

    “ขอโทษด้วยครับ พอดีรถติดมากครับ ก็เลยมาสาย”

    “ไม่เป็นไร พี่เห็นตรงนู้นติดนานมากกว่าจะถึง ไปรีบเปลี่ยนชุดเถอะ”

    “ครับ”

    เบลรีบเข้าไปเปลี่ยนชุดหลังร้าน แล้วเดินออกมาในชุดพนักงานเด็กเสิร์ฟ เขาต้องเรียนและทำงานหาเงินช่วยพ่อ เขามาทำงานกับ”พี่อร”ญาติที่สนิทมาเปิดรร้านเบเกอรี่เล็กๆและใจดี ค่อยปรึกษาให้ตลอดทุกครั้งที่เขารู้สึกไม่สบายใจ 

    เวลาผ่านไปจนถึงค่ำ เบลถูพื้นและเช็ดโต๊ะทำความสะอาดในร้านจนเสร็จ เบลเข้าหลังร้านแล้วเปลี่ยนเป็นชุดนักศึกษาแล้วออกมาหาพี่อร

    “ขอบใจมากนะเบล วันนี้ลูกจ้างพี่มันไม่มา ขอโทษนะที่พี่ให้เบลทำคนเดียว”

    “ไม่เป็นไรครับ

    เอ่อ พี่อร พี่คิดว่าโลกนี้มีแวมไพร์จริงหรือเปล่าครับ”

    “เบล ดูหนังเยอะไปเปล่าเนี่ย โลกนี้ไม่มีอยู่จริงหรอกแวมไพร์ 

    ถ้ามีจริงพี่คงได้แฟนเป็นแวมไพร์แล้วละ”

    พี่อรพูดพร้อมติดตลก เบลยิ้มแห้งกับมุขของพี่อรก่อนจะลาพี่อรและออกมาจากร้าน

    เขาคิดว่าสิ่งที่พี่อรพูดอาจจะถูก แวมไพร์ไม่มีอยู่จริง มีแค่ในหนังหรือไม่ก็นิยาย ส่วนที่เขาคิดว่าเบนเป็นแวมไพร์ก็คงไม่จริง แต่ถ้าแวมไพร์มีจริงก็ต้องพิสูจน์ด้วยตาตัวเอง เพราะบางครั้งคำพูดขอคนอื่นอาจจะไม่เชื่อสิ่งที่เราถามก็เป็นไปได้

    ในขณะที่เบลกำลังเดินไปที่ป้ายรถเมล์อยู่นั้น ก็กลุ่มเด็กช่างกลุ่มหนึ่งกำลังคุยกัน เขามองก็แอบกลัวอยู่แต่เขาก็เดินต่อไปเพราะคิดว่าคงไม่ทำอะไรเขาหรอก แต่ทันใดนั้น…

    “เดี๋ยวก่อนน้องจะไปไหนเหรอ”

    พวกกลุ่มเด็กช่างเดินเข้ามาหาเบล รีบเร่งก้าวขาออกไปแต่ถูกผู้ชายคนหนึ่งเข้ามาจับแขนของเขาไว้ 

    “ปล่อยผมนะ”

    “เดี๋ยวก่อนสิ น้องเดินอยู่คนเดียว ให้พวกพี่ไปส่งมั้ย พี่เข้าใจนะว่าน้องเหงา 

    เดี๋ยวพี่จะทำให้น้องสบายเองนะ”

    ผู้ชายคนนี้พูดพร้อมหันหน้าไปหัวเราะ เบลตั้งสติและเก็บอาการความโกรธจึงกระชากแขนออกจากมือ

    “ฟังนะผมไม่รู้ว่าพวกพี่เป็นใคร ผมกลับเองได้”

    “เอ้า พูดงี้ เป็นตุ๊ดเหรอวะ กลัวจนจะร้องไห้อะดิ”

    ผู้ชายคนเดิมเริ่มพูดเยาะเย้ยใส่และหัวเราะกับเพื่อนด้วยความสนุก เบลกำหมัดทนไม่ไหว

    “ผลัวะ” เสียงหมัดที่ต่อยเข้ากับหน้าของชายคนนี้อย่างแรงจนมีเลือดไหลออกจากปาก

    “มึงกล้าต่อยกูเหรอวะ ไอ้เหี้ยนี่”

    ผู้ชายคนนี้ทนไม่ไหวและโมโหมากที่เบลต่อยหน้าเขา เขาจึงหยิบมีดออกมาจากกระเป๋ากางเกง และกำลังจะแทงไปที่เบล 

    เบลรีบหลับตาด้วยความกลัว แต่แล้วก็มีคนพุ่งเข้ามาจับมือของผู้ชายคนนี้ไว้เบลลืมตาขึ้น

    เป็นเบนที่มาช่วยเขาไว้ 

    “แกเป็นใคร มายุ่งอะไรด้วยวะ”

    ผู้ชายคนนี้พูดและจะเอามือของตัวเองออกจากมือของเบน แต่กลับดึงไม่ปล่อย เขามองตาของเบน ดวงตาค่อยๆเปลงประกายแสงเป็นสีแดงคล้ายเลือด 

    ทำให้กลุ่มเด็กช่างเริ่มหวาดกลัวจึงวิ่งหนีไปอย่างวุ่นวาย เบนปล่อยมือชายคนนี้แล้ววิ่งหนีตามไปหากลุ่มของตัวเอง

    ส่วนเบลโล่งใจเกือบจะโดนซะแล้ว เขามองเบนที่กำลังยืนอยู่ เขาคิดว่าเขาไม่ควรจะอีกฝ่ายเขาจึงเดินไป

    เบนเห็นเบลเดินหนีหน้าเขาเขาจึงเดินตามเบล

    “นายจะไปไหน นายจะไม่ขอบคุณหน่อยเหรอ”

    “…”

    “จะไม่พูดหน่อยเหรอ”

    เบนถามพร้อมจับแขน แต่เบลสะบัดออกแล้วหันมาตะโกนว่า

    “เลิกตามกูสักทีเถอะ กูก็เลิกตามชีวิตมึงแล้ว แต่ทำไมมึงตามชีวิตกูต่อวะ

    มึงต้องการอะไรจากกูอีก”

    “ฉันไม่ได้อยากต้องการอะไรจากนาย นายควรจะขอบคุณฉันนะ

    ถ้าฉันไม่ช่วยนายไว้ นายโดนแทงไปนานแล้ว”

    “กูไม่ได้ต้องให้มึงช่วย มึงจะไปไหนก็ไป”

    “ไล่แบบนี้แปลว่าอยากไปตายอีกใช่มั้ย”

    เบลมองหน้าเบนด้วยความโมโหที่พูดไล่ไปตายอีก เขาจะต่อยหน้าอีกฝ่ายแต่ถูกอีกฝ่ายจับแขนไว้ทัน เบลพยายามดึงออกแล้วมองหน้าเบนดวงตาของค่อยๆเปลงประกายแดงเป็นสีแดงอีกครั้ง

    เบลรู้สึกเหมือนถูกบางอย่างพยายามจะสะกดจิตเขา แต่ด้วยจิตแข็งของเขา เขาสามารถชนะมันได้ 

    เบนปล่อยแขนของเขาออก เขาสัมผัสได้ผู้ชายร่างเล็กคนนี้สามารถหยุดการสะกดจิตเขาได้

    เพราะจิตของเขาแข็งเหลือเกิน ไม่เคยเห็นแบบนี้มาก่อน

    เบลมองหน้าเบนด้วยสีหน้าแอบอึ้งอยู่นั้น เขามองตัวเองเหมือนรู้สึกผิดที่พยายามต่อยเขา

    “กูขอโทษ กูไม่ได้ตั้งใจจะต่อยมึง กูโมโหไปหน่อย”

    “ไม่เป็นไร ทีหลังระวังต่อยผิดคนละ

    ขึ้นรถฉันมั้ย”

    “จะไปส่งเหรอ”

    เบนหันมาแล้วจับแขนเบลไว้ลากไปที่รถของเขาโดยไม่ตอบอะไร เบลที่กำลังงงก็พยายามถามยังไม่ตอบคำถามของเขาเลยในจณะที่ถูกอีกฝ่ายลากไปที่รถ จนมาถึงรถหรูคันสีดำของเบน

    “ขึ้นรถไม่ต้องถามมาก”

    เบลจำใจยอมขึ้นรถของเบนไป เบนขึ้นรถแล้วสตาร์ทขับรถออกมาในระหว่างทางนั้น เบนถามขึ้น

    “บ้านนายอยู่แถวไหนเหรอ”

    “หมู่บ้าน”

    “นายอยู่ใคร”

    “กูอยู่กับพ่อสองคน”

    “แล้วแม่นายละ”

    “แม่กูเสียตั้งแต่กูยังเด็ก”

    “เสียใจด้วยนะเรื่องแม่นาย”

    “ไม่เป็นไรหรอก แต่เบน 

    ขอบคุณมากนะที่ช่วยกูไว้เมื่อกี้”

    “ด้วยความยินดี ฉันชอบช่วยเหลือคนอ่อนแอ่นิ”

    “คนอย่างมึงก็ช่วยคนเก่ง แต่ทำไมมึงชอบหลบซ่อนจากคนอื่นวะ”

    “ฉันไม่ค่อยชอบคบหาใครเป็นเพื่อน อยู่แล้วเหมือนตัวเองเป็นตัวถ่วง”

    “มึงอย่าพูดแบบนี้ดิวะ การมีเพื่อนมันก็ดีนะเว้ย อยู่ด้วยกันเวลาเหงาๆ หรือ ตอนไปเที่ยวดูหนังด้วยกัน ไม่ก็ไปกินข้าวด้วยกัน”

    “นายกับเพื่อนนายดูสนิทมากนะ”

    “กูกับโอ๊ตสนิทตั้งแต่ ม.1 ก็เลยเรียนที่นี้ด้วยกัน”

    “แล้วนายเคยทะเลาะกับเพื่อนนายกันมั้ย”

    “ก็…เคยนะ ตอนนั้นโอ๊ตมันไม่คุยกับกูเลย”

    “เรื่องอะไรเหรอที่ทำให้นายทะเลาะกัน”

    “ตอน ม.3 กูแอบชอบรุ่นน้องคนหนึ่งเป็นผู้หญิง แต่โอ๊ตมันก็แอบชอบเหมือนกัน ครั้งนั้นกูเอาดอกไม้ไปให้น้องเขา แต่โอ๊ตมันเจอก่อนพอดี แต่มันเกิดขึ้นเร็วนะ กูกับโอ๊ตต่อยต่อหน้ารุ่นน้องจนเข้าห้องปกครองด้วยกัน

    กูกับโอ๊ตไม่ค่อยได้คุยกันเลยตั้งหลายวัน แต่อยู่มาวันหนึ่งโอ๊ตมันไปคบกับรุ่นพี่ผู้ชาย

    มันถูกจับไปข่มขืน แต่โชคดีนะที่กูได้ยินเข้า กูไปช่วยมันที่คอนโดเลย เพื่อนรุ่นพี่ตั้งสามคน 

    แต่บุญคุณอะไรไม่รู้กูโชคดีมีเพื่อนกล่มกูไว้ กูพาไอ้โอ๊ตมันออกมาได้ 

    ตอนที่มันอยู่โรงพยาบาล โอ๊ตมันขอโทษกูเรื่องที่ต่อยหน้ากู แต่กูก็ไม่ได้อะไรหรอก 

    แค่เห็นเพื่อนตัวเองโดนทรมานก็เจ็บปวดอยู่แล้ว”

    “แสดงนายเป็นรักเพื่อนมากเลยสินะ นายถึงไม่อยากเสียเพื่อนไป”

    “ใช่ คนอย่างกูไม่ยอมเสียใครไปง่ายหรอก”

    ……

    เวลาผ่านไป รถของเบนขับจอดตรงหน้าบ้านของณัฐสิทธื เบลลงจากรถแล้วกำลังจะเข้าไป

    “เดี๋ยวก่อน ฉันขอโทรศัพท์นายหน่อยสิ”

    “จะเอาทำไม พึ่งเจอกันครั้งแรก”

    “เอามาหน่า”

    เบลยอมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาให้เบน เบนรับเครื่องแล้วกดเบอร์โทรของเขาเซฟไว้กับเครื่องแล้วส่งคืน

    “มีอะไรก็โทรมาละกัน”

    “เออๆ แล้วขอบใจมากนะที่มาส่งกู”

    “เจอกันพรุ่งนี้นะ”

    เบนพูดจบแล้วขับรถออกไป เบลยืนมองรถคันนั้นขับไป เขาเอามือจับหน้าอกของเขา หัวใจของเขาเต้นแรงมากจากที่เขาความรู้สึกกลัวแต่เปลี่ยนความรู้สึกอย่างอื่น ที่เวลามองหน้าเขา

    “ทำไมใจกูเต้นแรงจังวะ”

    เบลบ่นกับตัวเองอยู่พักใหญ่ ก่อนจะเข้าบ้านมาหานันกำลังดูทีวีอยู่ นันถามว่าไปไหนมา เขาตอบกลับว่าไปทำงานเลิกดึกก่อนจะขึ้นไปเข้าห้องนอนของตัวเอง เขาวางกระเป่ากับเตียงแล้วล้มตัวนอนอย่างเพลีย เขาค่อยๆหลับตาลงแล้วหลับไปทันทีเพราะความง่วง

    ……

    ตัดมาที่ห้องนอนของเบน เขามองรูปภาพของเบลในโทรศัพท์ ยิ่งมองเขาเริ่มยิ่งสงสัยในตัวเขา 

    เบนลุกขึ้นไปเปิดลิ้นชักหยิบรูปบางอย่างขึ้นมา เป็นรูปลุงของเขาภรรยาและลูกที่ตายไปเมื่อหลายปีที่แล้ว

    “ทำไมหน้านายนึกถึงน้องชายฉันละ”

    เบนบ่นแล้วคิดอยู่สักพักเขาก็เลิกคิดแล้วลุกขึ้นไปเข้าห้องน้ำต่อเพื่ออาบน้ำ

    .

    .

    .

    “แม่…”

    “แม่ครับ…”

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    นิยายแฟร์ 2024

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×