คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : ผู้มาเยือนกิตติมศักดิ์
วันที่สี่ของการเป็นทหารค่ายที่สิบสอง
วันที่สี่ที่ยังไม่มีทหารกองไหนท้องร่วงเพราะฝีมือเขา
แต่เป็นวันแรก ที่พวกเขาทุกคนในกองถูกเรียกให้มาฝึกวินัย
“ทุกคนเคารพ”
พรึบ!
เท้าสองข้างชิดกัน ศีรษะก้มลง ลำตัวโค้ง และเหงื่อก็ไหลพลั่กๆ
“ไร้สาระชะมัด เขาให้เราทำแบบนี้ทำไม” ทอชบ่นอุบอิบตลอดเวลา หมอนี่เงียบไม่เป็นหรอก
“เห็นเขาว่าเจ้านายชั้นสูงจากคาโนวาลจะมาดูเรา” เฟนเดอร์ตอบเสียงเรียบ แววตาฉายชัดถึงความกังวล จนทอชสังเกตเห็น หัวคิ้วสีน้ำตาลเข้มขมวดมุ่น ปากขยับถาม แต่กลับเป็นอีกเรื่องหนึ่งที่เจ้าตัวสนใจน้อยกว่า
“มาดูฝ่ายพลาธิการเนี่ยนะ”
“อื้ม สงสัยมาดูเรื่องความสะอาดล่ะมั้ง นายไม่เห็นเหรอ ทอช ในยามศึกยามสงครามแท้ กองศึกที่นี่กลับห่วงเรื่องอนามัย เก็บฟืนเสร็จก็ต้องล้างมือ หุงข้าวก็ต้องล้างมือ หั่นผักก็ล้าง ล้างจนฉันเกือบเปื่อย” เฟนเดอร์ตอบ ก่อนจะไปสบกับดวงตาวาวของทอช
เฟนเดอร์น่ะแปลก ปกติก็ไม่เห็นบ่นหรอก ยกเว้นจะเป็นเรื่องอนามัยที่มากเกินเหตุของหน่วยนี้เนี่ยแหละ ที่เห็นมันบ่นไม่หยุด
“น่า อย่างน้อยก็ทำให้ไม่มีใครท้องร่วง”
“สะอาดเกินไปก็เป็นโรคได้” เฟนเดอร์เถียง
“แต่ถ้าพูดมาเกินไปก็เป็นโรคได้นะ เฟนเดอร์”
แต่คราวนี้ไม่ใช่เสียงทอช มันดุ และ ดังกว่ามาก เฟนเดอร์ยิ้มแหยๆ ก่อนหันหน้าไปสบตาคนที่ไม่บอกก็รู้ว่าใคร
ผู้กองเบอรัล หัวหน้าฝ่ายพลาธิการ ผู้ขันแข็งองอาจ ทำไมนะทำไม ถึงไม่ได้อยู่ตำแหน่งที่ดีกว่านี้ก็ไม่รู้
สงสัยเส้นไม่ดีล่ะมั้ง
เขาเบื่อชะมัด ระบบทหาร
“ก้าวออกมาสามก้าว” เสียงสั่งดังขึ้นอีกครั้ง
ฉับ ฉับ ฉับ
เฟนเดอร์ก้าว
“วิดพื้นร้อยครั้งปฏิบัติ”
“ปฏิบัติ!” เฟนเดอร์ทวนคำสั่งซ้ำ ก่อนจะลงไปนอนราบกับพื้นในท่าเตรียมพร้อม
“สี่วันมานี้ ยังไม่มีทหารคนไหนย้ายออกจากหน่วยใช่ไหม”
เสียงเข้มเอ่ยถาม
“ครับ”
เสียงอีกหนึ่งเสียงที่เข้มไม่แพ้กัน หากแต่ศักดิ์คงด้อยกว่า เอ่ยตอบ คนสูงศักดิ์กว่าพยักหน้าน้อยๆเพื่อแสดงอาการรับรู้
“เบอรัล วันมะรืนฉันจะไปตรวจหน่วยของนายนะ”
เมื่อเบอรัลโค้งคำนับแสดงมารยาทตามแบบฉบับในทหารแล้ว คนสั่งการก็โบกมือน้อยๆ เป็นเชิงไล่เขาออกจากกระโจมหัวหน้า เขาขยับทำงาน และอ่านรายงานกองรบต่อ แต่ได้เพียงพักเดียว ก็มีผู้บุกรุกเข้ามาอีกเสียแล้ว
“เฟม ลมอะไรหอบพี่มาถึงนี่” เสียงสตรีหนึ่งเอ่ย ซึ่งนับเป็นเรื่องยากที่จะได้เจอสาวงามในยามสงครามเช่นนี้ เธอมา พร้อมกับผู้ชายวัยเดียวกันอีกหนึ่งคน
“ฉันก็แค่มาดูหน่วยพลาธิการ…” เจ้าของชื่อ ‘เฟม’ เงยหน้าออกจากกองเอกสาร “ไม่ได้หรือ”
หญิงสาวเบ้ปากเล็กน้อย
“พลาธิการเนี่ยนะ ประสาท”
หากคนอื่นมาได้ยินก็คงไม่เหมาะสมที่จะมีใครมาว่าหัวหน้ากองร้อยอย่างนี้ แต่ในห้องนี้มีกันแค่สามคน ที่มักคุ้นกันเป็นอย่างดี
“จะเป็นคนเหนือคน มันก็ต้องดูให้ได้ทุกมุม” เฟมตอบ เขาไม่ใส่ใจใบหน้าเหยเกของหญิงสาวสักนิด
“ผมได้ยินมาว่าพี่มาที่นี่ทันทีหลังได้รับรายงานถึงบุคคลในหน่วย?” ชายหนุ่มผมบรอนซ์เอ่ยปากถามบ้าง หลังจากที่เขาเงียบมานาน ทว่าน้ำเสียงเหมือนว่ามั่นใจเหลือเกิน
เฟมยิ้ม
“ฝ่ายข่าวกรองเขาไม่ได้ทำงานภายในนะ เอนซ์” เอนซ์ยักไหล่
“ทีมผมมีประสิทธิภาพน่าพี่” เอนซ์ตอบ “เหมือนเราจะเจอคนที่หายไปนานแล้วสินะครับ พี่ชาย?” เขาพูดต่อเรียบๆ
หญิงสาวหันหน้ามามองชายหนุ่ม
และเมื่อสบตากัน เธอจึงพบคำตอบ
“จริงหรือ?”เธอถาม
“ครับ” เขารับอ่อนโยน ปกติเขาก็อ่อนโยนตลอด แต่กับผู้หญิงที่เป็นที่รักคนนี้ เขายิ่งอ่อนโยน
เธอทำหน้าประหลาดใจ สักพักก็เปลี่ยนเป็นความครุ่นคิด ไม่นานก็เปลี่ยนเป็นกังวล
“ถ้าพี่เจอเขา พี่จะทำยังไง”
เฟมหันมายิ้มให้สาวน้อยคนนี้ เขาเก็บงานทั้งหมดใส่ลิ้นชัก เดินไปจัดเสื้อ แล้วทำท่าเหมือนว่าจะออกจากห้องไป
เขาไม่มีคำตอบให้เธอ
“พี่จะทำยังไง” เธอจึงย้ำถาม
“เรื่องในครอบครัวน่า เซ” เขาตอบ ‘เซ’ ก่อนจะออกจากกระโจมไป
“ฮ่าๆๆ ซวยจริงๆ เฟนด์ คุยอยู่ด้วยกันแท้ๆ นายกับโดนคนเดียว” เสียงหัวเราะตอกย้ำมาตลอดสิบนาทีหลังประกาศเลิกฝึกทำความเคารพ
ทอชกับเฟนเดอร์เดินหอบผ้าเช็ดตัวและอุปกรณ์ทำความสะอาดลัดไปตามทางเดินในป่า พวกเขากำลังจะไปอาบน้ำหลังจากการซ้อมวินัยที่หนักหน่วง
ชายแดนโคมาน-เดมอส เป็นพื้นที่ป่ารกชัฏ เรียกได้ว่าเป็นป่าดิบชื้นเลยก็ว่าได้ อุณหภูมิเฉลี่ยสูงเกือบทั้งปี แถมฝนก็ยังตกบ่อยและตกหนัก แต่ถึงอย่างไรที่นี้ก็เป็นสมรภูมิที่สำคัญที่สุด ระหว่างเอเดนและเดมอส เพราะโคมานเป็นประเทศที่ใกล้กับฟรอนเทียร์ เมืองหน้าด่านของเดมอสมากที่สุด ถูกขั้นก็แต่แม่น้ำเลทิส ที่จ้าวปีศาจเอวิเดสใช้ผ่าปฐพีกั้นดินแดนเอาไว้ แต่แม่น้ำที่พวกเขาจะไปอาบน่ะ ไม่ใช่เลทิสหรอกนะ แม่น้ำของปีศาจน่ะ อันตรายอยู่วันยังค่ำ ที่ที่เขาจะไปอาบก็แค่กิ่งก้านสาขาๆ เล็กน้อยๆกลางป่าใหญ่นี่เอง มันดูปลอดภัยกว่ากันเยอะ
“หุบปาก” เฟนเดอร์ตอบ ฟังดูการคำรามเบาๆอยู่ในลำคอมากกว่า
“ไม่เอาน่าเพื่อน ของอย่างงี้ต้องล้อเยอะๆสิ” ทอชยังยวนไม่เลิก
“หุบปาก” เขาพูดเสียงดังขึ้น
“ครับๆ ดุจังเลยน้า ระวังได้ไปนอนจูบพื้นอีกสักร้อยสองร้อยหรอก”
ฟุบ!
ตูม!
ไม่รอช้า เฟนเดอร์ก็จัดการถีบเจ้าคนกวนโอ๊ยลงไปในแม่น้ำ เจ้าตัวคนโดนถีบตะกุยตะกรายแม่น้ำวุ่นไปหมด
ก็ทอชน่ะ มัวแต่ล้อเลียนเฟนเดอร์จนไม่ได้มองว่าตนเดินมาถึงแม่น้ำ และ เฟนเดอร์ก็ตั้งท่าจะเตะแล้วน่ะสิ
พับผ่าล่ะสิ! คราวหน้าเขาต้องระวังมากกว่านี้
หลังจากตั้งหลักได้แล้ว ทอชก็หันไปมองหน้าเฟนเดอร์ ที่อมยิ้มอยู่อย่างผู้ชนะ เฟนเดอร์ค่อยๆกระโดดลงน้ำมา เพื่ออาบน้ำ พร้อมกับเขา คืนนี้เป็นคืนพระจันทร์เต็มดวง พระจันทร์จากตำแหน่งที่พวกเขาเล่นน้ำอยู่ ก็ใหญ่โตแจ่มจรัสซะจริงๆ
ทอชหันไปมองหน้าเฟนเดอร์
หน้าสงบ แต่เขาเห็น
ดวงตาเพื่อนกำลังยิ้ม และที่สร้อยคอเขา คริสตัลสีส้มก็กำลังล้อแสงจันทร์อยู่ด้วย
“เฟนด์ นายว่าคนจากคาโนวาลเขาสนใจฝ่ายพลาของเราทำไม” เขาถามเรื่องที่ยังสงสัยจากตอนกลางวัน
“ฉันไม่รู้” เฟนด์หันมาตอบ ก่อนหันไปมองพระจันทร์
พระจันทร์คืนนี้สวยมาก
ทอชมองเพื่อนสนิทนิ่ง ก่อนที่เขาจะชี้ไปยังคริสตัลที่คาใจ “เฟนด์แล้วอันนี้อะไร”
เฟนเดอร์ก้มหน้าลงมองตามนิ้วทอช “ของพ่อน่ะ คล้ายๆอะไรล่ะ ของประจำตระกูลมั้ง พวกพี่ชายฉันก็มีแต่คนละสีกัน ของฉันสีส้ม เพราะเกิดวันพฤหัส” เฟนเดอร์เงียบไป ก่อนพูดอีกครั้ง “จะว่ายังไงดี พ่อบอกว่า รักใครก็ให้คนนั้น”
เฟนเดอร์กล่าวเรียบๆ แต่ทอชนิ่ง เขาเงียบ แล้วใช้ความคิด
เขาเกิดในตระกูลพ่อมด ของแบบนี้เขายังไม่มี แต่ผู้ชายตรงหน้า เป็นชาวสวนมิใช่หรือ?
“เฟนด์ ตระกูลชาวสวนมีไอ้แบบนี้ทุกครอบครัวเลยเหรอ” ทอชซัก เขาเห็นเฟนด์ชะงักแล้วยิ้ม
เพื่อนเขาไม่ยอมตอบ และเขาไม่ควรเซ้าซี้เรื่องส่วนตัวของเพื่อน
แม้ว่าเพื่อนของเขาคนนี้จะมีความลับเยอะ เท่าๆที่สังเกตมาหลายวัน เขาพอรู้ว่าเพื่อนเขาคนนี้ เกลียดความอนามัยอันถูกต้องตามสุขลักษณะทุกประการ เกลียดการรบราฆ่าฟัน เกลียดระบบการปกครองที่วุ่นวาย และเขาคงเห็นรายกายสิ่งที่เพื่อนไม่ชอบเพิ่มขึ้นในเร็ววันแน่นอน เกลียดของพันธุ์นี้มาเป็นทหารทำไมกัน สู้เป็นชาวไร่ชาวสวน อยู่กับผักที่มันรักไม่ดีกว่าเหรอ
“เฟนเดอร์” ทอชเอ่ยเสียงนิ่ง
เฟนเดอร์ขยับเล็กน้อย ไม่บ่อยนักที่หนุ่มร่างโปร่งนี่จะเรียกเขาด้วยชื่อเต็ม เขาพาร่างที่ห่อผ้าเช็ดตัวขึ้นไปบนฝั่ง โดนน้ำเย็นๆในเวลาค่ำๆนานไม่ดี เดี๋ยวพวกเขาจะป่วยเอา แค่น้ำค้าง และไอเย็นๆตอนกลางคืนก็แย่พอแล้ว
ทอชเคลื่อนไหวตามมา ต่างคนก็ต่างหยิบเสื้อผ้าของตัวเองขึ้นมาใส่ ทอชทำสีหน้าลังเล ชั่งใจ แล้วความอยากรู้อยากเห็นก็ทำให้พูดออกไป แม้ว่าจะเบาจนเป็นเสียงกระซิบ เบาจนคนที่เดินนำไปก่อนไม่ได้ยิน
“นายเป็นใครกันแน่”
เฟนเดอร์เพิ่งจะใส่เสื้อให้เข้าที่ กระดุมเม็ดสุดท้ายถูกติดโดยชายหนุ่ม เขาเดินห่างจากทอชมาได้สักพักแล้ว เขากะจะแอบชมจันทร์ตรงมุมนู้นสักหน่อย ไม่ค่อยมีเงาไม้มาบังพระจันทร์ของเขามากเท่ากับมุมเดิม
เฟนเดอร์ขยับขาเดินเข้าไปริมน้ำที่เขาใช้สายตาจับจอง แต่สักพักขาก็พลันกระตุน ร่างของชายหนุ่มชะงักค้าง เขามองเห็นผู้หญิงคนหนึ่งอาบน้ำอยู่ โผล่พ้นมาแค่เหนือบ่า
เขาพิจารณา
มันช่างคุ้นเคย ผมสีน้ำเงินเข้มกับผิวสีอ่อนที่ดูหมองเพราะแดดลม เธอหันหลัง เขาไม่รู้ว่าเธอเป็นใคร แต่ถ้าเป็นคนที่เขารู้จัก เขาก็ไม่แปลกใจ สมัยก่อนเขาก็รู้จักคนเยอะไม่ใช่น้อยเลยนะ
ฟึ่บ!
โลหะสีเงินตวัดเฉียดลำคอเขาไปแบบเส้นยาแดงผ่าแปด หากเฟนเดอร์เบี่ยงตัวหลบไม่ทัน ไม่แน่ เขาจะตายหมกป่าอยู่แถวนี้ก็ได้ แต่ข้อมือเขาก็ถูกยึดด้วยมือข้างหนึ่งของชายผู้มาเยือนอยู่ดี
“มองสาวที่ไหนอยู่ครับ”
ชายผู้มาเยือนเอ่ยทัก พร้อมรอยยิ้ม “ไม่เป็นสุภาพบุรุษเลย”
“...” เฟนเดอร์ยังคงเงียบ เขารู้จักผู้ชายตรงหน้า เพื่อนเก่าของเขา เอนซ์ ออแกน
“ไงครับ” เมื่อเฟนเดอร์เอาแต่เงียบ เอนซ์ก็ถามซ้ำ
“นายอยู่ที่นี่?” เขาพูดเมื่อสมองที่ประมวลผลเสร็จสั่งการให้ตอบโต้เพื่อนเก่าบ้าง เอนซ์พยักหน้า รอให้เขาพูดต่อ
“แล้วผู้หญิงคนนั้น?” เขาถาม คาดหวังคำตอบ
แต่เอนซ์กับทำเพียงยิ้มๆ “ผู้หญิงในกองของฉัน ฉันก็เป็นแนวรบที่นี่” เฟนเดอร์ไหวไหล่ เมื่อไม่ได้คำตอบอย่างที่เขาหวัง “ซี้นายทั้งนั้นเลย กองรบที่นี่น่ะ” เอนซ์ยังคงว่าไปเรื่อยๆ
ซี้ เอนซ์คงหมายถึงเพื่อนเก่ามากกว่า เพราะเพื่อนสนิทน่ะ เขาไม่มีหรอก อยู่กับใครก็ได้ คุยได้หมด เล่นด้วยได้หมด อยู่ด้วยบ่อยๆ ก็คงเป็นพี่ชายมากกว่า ส่วนหมอนี่ รองลงมา แต่ก็ไม่เยอะอยู่ดี แม้ที่อยู่จะใกล้ๆกัน
“สนเหรอ?” เอนซ์ถามต่อเมื่อเพื่อนเขาเอาแต่เงียบไม่พูดไม่จา เฟนเดอร์หันไปมองสตรีที่ถูกกล่าวถึง เธอหายไปแล้ว สงสัยอาบน้ำแต่งตัวเสร็จแล้วมั้ง เฟนเดอร์กลับมามองเอนซ์ เขาส่ายหัว
“ไม่ล่ะ หน้าฉันยังไม่เห็นเลย” เฟนเดอร์ตอบ เขาทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ ไม่ใส่ใจ ความจริงที่เขาคิด ก็ไม่ได้สนใจจริงๆนั่นแหละ แค่แปลกใจมากกว่าว่าทำไมมีผู้หญิงมาอาบน้ำอยู่ที่ค่ายทหารแถวนี้ และเห็นแค่ข้างหลัง เขาก็บอกไม่ได้อยู่ดีว่าสวยมั้ย
เอนซ์ยิ้มอ่อนๆ ผู้ชายคนนี้มีรอยยิ้มอยู่เสมอ จริงใจบ้าง หลอกลวงบ้าง แต่ก็ทำให้เขาดูดี คนมากมายหลงรักเขา เพราะรอยยิ้ม
“งั้นวันมะรืนเจอกันนะ อย่างเป็นทางการครับผม” เอนซ์บอกลาพลางยกมือขึ้นตบไหล่เฟนเดอร์เบาๆ มีดสั้นอันนั้นเขาเสียบเก็บที่เข็มขัดไปเรียบร้อยแล้ว เฟนเดอร์มองไหล่ตัวเองที่เอนซ์จับอยู่ เขายิ้ม...ยิ้ม...ที่บางทีคนที่จะมาตรวจกองพลาธิการที่ว่ามาจากคาโนวาลอาจเป็นเอนซ์ก็ได้ นั่นจะทำให้เขาโล่งใจ
“เซ” เสียงทุ้มเอ่ย เรียกหญิงสาวที่รักให้หันมามอง “คิดถึงจัง” ร่างสูงเอียงคอพลอดรัก เมื่อร่างบางหอมกรุ่นที่อยู่ในชุดนอนพอดีตัวหันมา
“หืม” เซตอบ น้ำเสียงเรียบ ปกติ แต่ใบหน้างามติดสีระเรื่อ
วันนี้มาแปลก
ปกติชายหนุ่มมักจะพูดจาหวานหูอยู่แล้ว ไม่แปลกอะไร แต่ที่แปลก คือเขามาหาเธอที่กระโจมพักแรมของค่ายทหารตอนดึก เขาไม่เคยมาในตอนกลางคืน มันไม่งาม พวกเขาคบกัน แต่อยู่ในขอบเขตประเพณีเสมอ ‘ความรักน่ะ มันอยู่ที่ใจ’ เธอยังจำคำพูดของเขาได้ ในวันที่เขาบรรจงสวมแหวนสีเงินที่เธอใส่ติดนิ้วนางข้างซ้ายไว้ตลอด “มีไรไม่สบายใจนี่ ถึงมาหาเซ”เธอถามเขา เธอเป็นห่วง และเหมือนเขารู้
“ห่วงเหรอ?” เขาถาม แล้วยิ้ม “เซห่วงเอนซ์เหรอครับ” เขาถามย้ำ เหมือนจะแกล้งให้เธออายเล่น
บ้า
เธอเหน็บแนมเขาเพียงในใจ
ชายหนุ่มไม่รอคำตอบ เขาเดินมานั่งบนโต๊ะทำงานของเธอ “ผมว่า วันมะรืน ผมกะจะไปกับพี่เฟมน่ะครับ ไปด้วยกันไหม?”
นั่นทำให้หญิงสาวแปลกใจ เขามาหาเธอเพราะเรื่องนี้เหรอ? “นายเจอเฟนด์?” เธอสรุป เอนซ์ถอนหายใจ ก่อนจะขยับมือไปเกี่ยวผมที่มาปรกหน้าสวยๆ ของคู่หมั้นขึ้นมาทัดหูของเธอ “ผมเจอเขา เซล่ะ จะไปเจอเฟนด์มั้ย?” อย่างไร เฟนด์กับเซ ก็เป็นเพื่อนกัน เหมือนที่ เขากับเฟนด์ ก็เป็นเพื่อนกัน
เซชั่งใจ “หมอนั่นน่ะนะ”
“เฮ้อ! ไอ้เฟนเดอร์งี่เง่านั่นอ้ะนะ” เธอถอนหายใจก่อนพยักหน้า
“เลิกว่าเขาก็ดีนะครับ เพื่อนกันไม่ใช่เหรอ?” เอนซ์เอ่ยขึ้น เพื่อทำลายภวังค์เธอ นานแล้วที่เธอไม่ได้นึกถึงเพื่อนคนนี้ ก็แอบโกรธที่มันงี่เง่างุ่นง่านอย่างกับผู้หญิง แต่ไอ้หายไปเลยนี่ก็เหลือทนยิ่งกว่า “ไม่ได้เจอกันนาน เดี๋ยวก็ทะเลาะกันอีกหรอก” เอนซ์ย้ำ เมื่อหวานใจเอาแต่เงียบ
“ฉันกับเขา เกิดมาก็เพื่อด่ากันแหละ” เซพูด เหมือนจะเป็นประโยคประชดแดกดัน แต่มันเป็นอย่างนั้น เราสนิทกัน แต่ด่าล้อ เยาะเย้ย กวนกันตลอดเวลา เฟนด์หาเรื่องมาแกล้งเธอ ในขณะที่เธอก็เอาคืนได้เจ็บแสบ เธอก็เคยพูดกับเขา ครั้งนึงที่หมอนี่มันงี่เง่าใส่เธอ
‘ว่าแต่ฉัน ฉันเสียใจนะ เธอไม่คิดบ้างเหรอว่าฉันจะเสียใจ’ เฟนเดอร์กล่าว เธอที่กำลังงุ่นง่านกับงานอยู่หันมามองเขา ‘ฉันรู้ว่าฉันก็ทำกับเธอไว้เยอะ’ เฟนเดอร์ยังกล่าวต่อ
‘รู้นี่ ว่าตัวเองก็ทำไว้เยอะ’ เฟนเดอร์ยิ้มแหยๆ ยกมือขึ้นเกาหัวแดงยุ่งๆของตน ‘รู้สิ...แต่เธอไม่เห็นจะว่าคนอื่นหนักเท่าฉันนี่’ เขายังคงงอแง
เซยิ้ม เฟนเดอร์เป็นเพื่อนที่เธอเชื่อว่าเขาดีที่สุดในชีวิตเธอ ถึงจะร้าย เอาแต่ด่า เอาแต่ว่า แต่ลึกๆ เขามักจะทำดีกับคนรอบตัวอยู่เสมอ
‘ฉันรู้สึกว่า...นายกับฉัน...เราเกิดมาเพื่อด่ากัน’
แล้วเซก็ยิ้ม เฟนเดอร์แปลกใจ แต่เขาเองก็...ยิ้ม
ความคิดเห็น