Black Santa
"กริ๊งๆๆๆๆๆ! กริ๊ก"เสียงนาฬิกาปลุกที่ตั้งอยู่บนหัวเตียง ถูกดับลงฉับพลันหลังจากมีโอกาสทำงานได้แค่3วิ หญิงสาวผู้เป็นเจ้าของนาฬิกาลุกขึ้นจากเตียงนอนด้วยความงัวเงียผมเผ้ากระเซิง แล้วเดินไปเปิดวิทยุเพื่อหาเพลงฟัง ก่อนจะเข้าไปล้างหน้าล้างตาชำระล้างร่างกายในห้องน้ำ เสียงของผู้ประกาศข่าวในวิทยุ กล่าวบรรยายถึงบรรยากาศในการเตรียมงานเฉลิมฉลองอันยิ่งใหญ่ของวันนี้ วันที่ประชากรกว่า6000ล้านคนในโลกรู้จักกันดี
"วันคริสมาสต์อีกแล้วเหรอ"ฉันกล่าวพึมพำเบาๆกับตัวเอง ขณะแต่งตัวเพื่อไปทำงานแต่เช้าเหมือนเช่นทุกวัน อ๊ะ! จริงสิ ฉันยังไม่ได้แนะนำตัวกับทุกคนเลย ฉันชื่อ กรรณิกา เบลเซฟ เป็นสาวเสิร์ฟในร้านอาหารไทยเล็กๆแห่งนึง ข้างถนนกรูเบิ้ล ใจกลางเมืองลอนดอน ฟังจากชื่อของฉันทุกคนคงพอเดาออกกันแล้วใช่ไหมว่าฉันเป็นลูกครึ่ง เมื่อ18ปีก่อนคุณแม่ของฉันได้ข้ามน้ำข้ามทะเลมายังประเทศอังกฤษแห่งนี้ เพื่อทำร้านอาหารไทยให้เป็นที่รู้จักแพร่หลายในต่างประเทศ ตามความฝันที่คุณทวดของฉันเคยให้สัญญาไว้กับเพื่อนฝรั่งผู้นึงที่ชื่นชอบอาหารไทยมาก ว่าถ้ามีโอกาสจะนำความรู้เรื่องอาหารที่สืบทอดมาในตระกูลของเรา ซึ่งเคยเป็นถึงหัวหน้าพ่อครัววังหลวงสมัยอยุธยา ไปเผยแพร่ให้เป็นที่ประจักษ์ทั่วโลก ณ ที่นี้เองคุณแม่ของฉันได้มีโอกาสพบกับคุณพ่อ ผู้เป็นจิตรกรโนเนมไร้ชื่อระหว่างที่ท่านมาออกแบบและวาดป้ายร้านอาหารให้กับคุณแม่ ท่านทั้งสองตกหลุมรักกันในวินาทีแรกที่ได้พบอีกฝ่าย และแต่งงานอยู่กินกันอย่างมีความสุขเรื่อยมานับตั้งแต่นั้น จวบจนกระทั่ง7ปีก่อนอุบัติเหตุทางเครื่องบิน ก็พรากเอาพวกท่านไปจากฉัน คุณลุงของฉันจึงได้เดินทางมาจากเมืองไทย เพื่อมาดูแลกิจการของร้านต่อและส่งเสียเลี้ยงดูฉันนับแต่นั้นมาจนถึงปัจจุบัน ฉันเองก็ช่วยทำงานที่ร้านด้วยการเป็นเด็กเสิร์ฟ ถึงคุณลุงผู้แสนใจดีของฉันจะบอกว่ามันไม่จำเป็น และให้ฉันตั้งใจเรียนก็พอเถอะคะ แต่ฉันเองก็อยากจะแบ่งเบาภาระช่วยท่านแม้เพียงเล็กน้อยก็ยังดี
"ฟู่ หนาวจังเลย วันนี้หิมะตกเยอะดีนะ เจน(^o^)"ฉันกล่าวกับเพื่อนของฉันที่มาทำงานในร้านของคุณลุงเหมือนกัน เจนนิเฟอร์ กาเบรล เป็นเพื่อนหญิงที่สนิทที่สุดของฉัน เรารู้จักกันมาตั้งแต่สมัยยังเป็นเด็กตัวเล็กๆวิ่งเล่นซุกซนไปทั่วถนนสายนี้ "เดวิลกาน ซาตานเจน"เป็นฉายาที่ยายแก่คนนึงที่ชื่อมาธาร์ ซึ่งขายดอกไม้ใกล้ๆบ้านตั้งให้กับพวกเรา เนื่องมาจากความทะโมนโลดโผนยิ่งกว่าผู้ชายจนเป็นที่เลื่องลือไปทั่วตรอกแห่งนี้ ฉันไม่เข้าใจว่าเราเคยทำอะไรเลวร้ายกันนักกันหนา จนทำให้แกเกลียดชังพวกเรานัก เพียงแค่ฉันเคยแอบเอาดอกไม้ที่แกเลี้ยงไว้อย่างทะนุถนอม มาทำมงกุฏดอกไม้และใช้เป็นเชื้อเพลิงในการเล่นแคมป์ไฟแค่นั้นเอง ฉันจำได้ชัดเจนเลยว่า ตอนนั้นแกเต้นผางด้วยความโกรธระคนตกใจ ผิดกับอายุอานามที่เกินเลข7เมื่อเห็นสะเก็ดไฟจากการละเล่นของเราปลิวไปตกกองขยะหลังบ้าน จนเป็นเหตุให้แปลงเพาะชำดอกไม้ของแกต้องพลอยพินาศไปด้วย ฉันไม่แน่ใจเหมือนกันว่าเหตุการณ์คราวนั้น เจนหรือฉันถูกแม่ตีมากกว่ากัน แต่ที่จำได้ชัดอยู่อย่างนึงเลยคือเรื่องที่เจนพยายามโกหกผู้ใหญ่ว่าเรื่องทั้งหมดเป็นฝีมือของเธอคนเดียวไม่เกี่ยวกับฉัน ทั้งๆที่ฉันนี้แหละเป็นตัวตั้งตัวตีชักชวนเธอให้เล่นแผลงๆอย่างนั้น นับแต่นั้นเป็นต้นมาพวกเราสองคนก็เป็นเพื่อนรักที่รู้ใจกันมากที่สุด พอๆกับที่คุณยายรังเกียจเดียดฉันท์พวกเราเหมือนกับเชื้อโรค จนแกย้ายร้านออกไปเมื่อไม่กี่ปีมานี้เอง ถึงภายนอกคุณยายมาธาร์จะดูปากร้ายและเย็นชาก็เถอะ แต่คนที่กอดฉันซึ่งร้องไห้งอแงในงานศพของพ่อแม่ร่วมกับเจนก็คือเธอนี้แหละ มันทำให้ฉันได้เรียนรู้เป็นครั้งแรกว่า สิ่งที่เราเห็นแต่ภายนอก อาจไม่ได้เป็นตัวตนที่แท้จริงของมันก็ได้
"นี้ๆ ดูสิกาน พ่อหนุ่มคนนั้นเขามาอีกแล้วนะ(^o^)"เจนบอกพร้อมกับชี้นิ้วไปยังอีกฟากของถนนผ่านผนังกระจกร้าน เธอหมายถึง"คนประหลาด"ผู้นึงที่แต่งกายด้วยชุดดำทั้งตัว ไม่ว่าจะเป็นหมวก เสื้อคลุม กางเกงขายาว หรือรองเท้า ถ้าไม่นับที่สีของเสื้อผ้าเป็นสีดำแล้วละก็ ชุดของเขาก็เหมือนกับชุดกาวด์ของหมอดีๆนี้เอง ฉันไม่รู้หรอกว่าหนุ่มชุดดำคนนี้เป็นใครมาจากไหน และไม่สนใจด้วยว่าเจนจะปลาบปลื้มกับใบหน้าที่เธอเรียกว่า"Face of Prince"ของชายคนนี้สักแค่ไหนกัน ผมสีดำเหยียดยาวตรงคลอเคลียบ่าที่ซ่อนไว้ภายใต้หมวก กับผิวขาวนวลดุจหยวกกล้วยของเขา อาจมีสเน่ห์ดึงดูดเพศตรงข้ามอย่างเหลือล้นก็จริง แต่น่าแปลก ที่ฉันกลับรู้สึกไม่ชอบเขาอย่างไร้เหตุผล
"คนพิลึก? งานการก็ไม่ทำ เอาแต่นั่งๆนอนๆอยู่บนม้านั่งตั้งหลายวันแล้ว เป็นคนบ้าหรือเปล่าก็ไม่รู้"ฉันพูดกับเจนขณะที่กำลังเช็ดถูโต๊ะในร้าน วันนี้แขกมากันน้อยกว่าปกติ อาจเป็นเพราะคนส่วนใหญ่มีแผนการฉลองวันคริสมาสต์ร่วมกับครอบครัวไม่ก็คนรัก คุณลุงจึงสั่งปิดร้านก่อนเวลาเพื่อให้พนักงานในร้านได้ไปเที่ยวฉลองเป็นของขวัญในวันนี้ เจนมีแผนการจะใช้เวลาที่เหลือร่วมครึ่งวันไปอยู่กับแฟนของเธอ เธอจึงขอโทษขอโพยใหญ่เลยที่จำเป็นจะต้องทิ้งฉันไว้ไม่ได้ไปซื้อของด้วยกันตามที่เคยสัญญา แต่ฉันไม่ถือสาอะไรหรอก เพราะรู้ว่าเจนทั้งรักทั้งหลงแฟนของเธอคนนี้จริงๆ แม้ฉันจะเคยได้ยินข่าวในแง่ที่ไม่ดีของเขามาบ้างก็ตาม
หลังจากไปหาซื้อข้าวของเครื่องใช้ที่ฉันต้องการมาครบแล้ว ขากลับจากห้าง ระหว่างที่เดินผ่านมาหน้าร้านเช่นเดิมเพื่อเลี้ยวเข้าซอย ฉันเผอิญเหลียวไปมองดู"คนประหลาด" ที่นอนอยู่บนม้านั่งยาวสำหรับรอรถบัส เขานอนในลักษณะเอามือทั้งสองมารองซ้อนศีรษะไว้ และมีหนังสือพิมพ์กางแผ่ปิดหน้า หิมะที่ตกโปรยปรายลงมามากมายทับถมกันบนตัวเขาจนดูเหมือนตุ๊กตาหิมะเลยทีเดียว ฉันขำแทบตายเมื่อเห็นภาพนั้น จนกระทั่งฉุกคิดได้ว่า
"(เอ๊ะ? เดี๋ยวสิ ต่อให้นอนขี้เซาแค่ไหน ถูกหิมะกองทับตัวอยู่ตั้งนานแบบนี้ ก็น่าจะหนาวจนต้องลุกขึ้นมาปัดทิ้งแล้วนี่? หรือว่า....(O_o"))"ฉันเริ่มคิดไปในทางแง่ร้ายมากขึ้นเรื่อยๆจนทนไม่ไหว ตัดสินใจลองปลุกเขาดู แม้ว่า"คนประหลาด"ผู้นี้อาจไม่ตื่นขึ้นมาอีกเลยก็ตาม
"นี้นายนะ! เป็นอะไรหรือเปล่า? มานอนแถวนี้ไม่ได้นะ เฮ้"ฉันจับแขนเขาสั่นแรงๆ เขย่าปลุกตัวด้วยความกลัว สมองเริ่มจินตนาการถึงหัวข้อข่าวหน้าหนึ่งในหนังสือพิมพ์เช้าวันพรุ่งนี้ว่า"พบศพคนเร่ร่อนนอนตายหน้าร้านอาหารไทยชื่อดัง เจ้าของร้านหวั่นคนไม่เข้าร้านเพราะกลัวผี" แต่ความคิดเลอะเทอะบ้าๆนี้ก็ต้องสลายไปทันที เมื่อ"คนประหลาด"ลุกขึ้นพรวดพราดเหมือนศพคืนชีพ จนฉันตกใจถอยหลังล้ม ทำให้ข้าวของที่ถือมาหกกระจายจนหมด ชายชุดดำปัดหิมะออกจากตัวจนหมด แล้วหันมายิ้มพูดกับฉันที่นั่งกองอยู่บนพื้นว่า
"ในที่สุดก็มาทักผมซะทีนะครับ คุณหนูกาน(^_^) ยินดีที่ได้เจอกันอีกครับ"เขาบอกพร้อมกับยื่นมือมาให้ฉันทำนองจะช่วยฉุดให้ลุกขึ้น แต่เมินซะเถอะ เรื่องอะไรฉันจะให้นายช่วยกัน ที่ฉันต้องล้มก้นจ้ำเบ้าแบบนี้ ก็เป็นเพราะนายไม่ใช่เหรอ? ยิ่งคิดก็ยิ่งหงุดหงิดเมื่อเห็นหมอนั้นยิ้มแย้มท่าทางมีความสุขเสียเต็มประดา ฉันจึงตัดสินใจปัดมือเขาออกแล้วยืนขึ้นด้วยตัวเองปัดฝุ่นตามเสื้อผ้า ก้มเก็บของที่หล่นโดยไม่ยอมพูดอะไรกับหมอนั้นเลย จนเอะใจถึงบางอย่าง?
"เดี๋ยวก่อน? เมื่อกี้นายเรียกฉันว่ากานเหรอ ฉันจำไม่ได้นะว่าไปรู้จักมักจี่กับ คนที่รสนิยมเห่ยๆด้านการแต่งตัวแบบนายตั้งแต่เมื่อไรกัน"ฉันพูดกับเขา ด้วยความหยาบคายผิดกับนิสัยปกติของฉัน อาจเป็นเพราะอารมณ์หงุดหงิดที่เกิดจากการล้มกระมั้งถึงได้เป็นเช่นนี้ ทั้งที่จริงๆแล้วมันเป็นความซุ่มซ่ามของฉันเองแท้ๆ แต่ชายชุดดำก็ยังยิ้ม แล้วตอบฉันมากลับมาอย่างสุภาพว่า
"คุณหนูกานอาจจะลืมผมไปละมั้งครับ(^_^) อย่างว่าละครับ มันนานหลายปีแล้ว ช่างเถอะครับ เอาเป็นว่าผมรู้จักคุณหนูกานละกัน แล้ว..อ้าว"ชายชุดดำยังไม่ทันพูดจบ ฉันก็หิ้วของเดินจ้ำอ้าวรีบกลับบ้านโดยเร็ว
"(รู้จักฉันมานานเมื่อหลายปีมาแล้วรึ? ตลกฝืดไปหน่อยมั้ง ดูยังไงหน้าตาของนาย ก็คงมีอายุมากกว่าฉันไม่กี่ปี เผลอๆหน้าอ่อนๆแบบนี้อาจเป็นน้องฉันก็ได้ มาอ้างว่าเคยรู้จักกันมาก่อนรึ? นั่นมันมุขจีบสาวรุ่นปู่ย่าตายายแล้วย่ะ นี้คงจะไปได้ยินชื่อของฉันมาจากที่ไหนสักแห่งหรืออาจได้ยิน ตอนเจนเรียกฉันก็ได้ ที่แท้ไอ้การมานั่งๆนอนๆอยู่หน้าร้านตั้งหลายวันเนี่ย ก็มีจุดประสงค์เพื่อจีบฉันหรอกรึ โรคจิตชัดๆ)" ฉันคิด ขณะที่เดินจากมา จนกระทั่งไขกุญแจเข้าไปในบ้าน ค้นดูข้าวของที่ซื้อมาสักพัก เสียงกดออดก็ดังขึ้นมา
"รอเดี๋ยวค่า"ฉันบอก ขณะที่กำลังเก็บอาหารที่ซื้อมาเข้าไปไว้ในตู้เย็น แล้วจึงเดินไปส่องดูทางรูประตูว่าใครมากดออด พอเห็นสีหน้ายิ้มแย้มของไอ้"คนประหลาด"ที่ตามมา ฉันก็ว้ากใส่เขาผ่านประตูทันที
"เลิกบ้าได้แล้วไอ้โรคจิต! ถ้านายไม่ไปเดี๋ยวนี้ฉันจะโทรแจ้งตำรวจจริงๆนะ"ฉันตวาดขู่เขาไป พร้อมกับทุบประตูดังปั้ง! ชายชุดดำเงียบไปแวบนึงก็กล่าวด้วยน้ำเสียงไม่ทุกข์ร้อนอะไรเช่นเดิม มาว่า
"ขอโทษด้วยนะครับคุณหนูกานที่ทำให้หงุดหงิด ผมไม่ได้ตั้งใจมารบกวนอะไรคุณหนูหรอกครับ เพียงแต่คุณหนูทำซุปกระป๋องหล่นไว้นะครับ ผมก็เลยตามเอามาคืน"เขากล่าว แล้วหยิบเอาซุปที่ฉันเพิ่งไปซื้อมาจากห้างเมื่อกี้ ในกระเป๋าเสื้อคลุม โชว์ให้ฉันดูผ่านรูประตู มันคงจะหล่นไป ตอนที่ฉับล้ม แล้วรีบร้อนเก็บๆขึ้นมาเพื่อไปให้พ้นจากเขา ฉันลังเลใจอยู่แป๊ปนึงว่าจะเปิดให้เขาดีมั้ย แต่เมื่อแน่ใจในมวยไทยที่ตนเองเคยหัดมาบ้าง ประกอบกับท่าทีสุภาพของเขา ทำให้ฉันตัดสินใจเปิดประตูออกมารับซุปกระป๋องนั้น แล้วกล่าวขอบคุณห้วนๆก่อนจะไล่เขาไปโดยเร็วที่สุด ชายชุดดำยิ้มออกมา(^_^)แล้วก้มหัวลงให้ฉันเล็กน้อยก่อนเดินจากไป...
"(ฉันใจร้ายไปไหมนะที่ทำแบบนั้นกับเขา ถึงจะดูเพี้ยนๆแต่เขาก็ไม่ได้ทำอะไรไม่ดีนี้นา)"ฉันเริ่มรู้สึกผิดที่แสดงกิริยาไม่ดีแก่ชายชุดดำ ขณะที่กำลังนั่งกินข้าวอยู่ แม้จะทำใจหลอกตัวเองว่าเรื่องแบบนี้ใครๆก็ต้องระวังตัวไว้ก่อนละ แต่ในที่สุดฉันก็ทนต่อจิตสำนึกส่วนดีไปไม่ไหว ตัดสินใจจะออกไปขอโทษเขาที่ม้านั่ง ทว่า ทันทีที่ฉันเปิดประตูออก ก็พบกับชายชุดคลุมดำนั่งรออยู่หน้าบ้านโดยมีหิมะเกาะท่วมเต็มตัว
"เอ่อ ขอโทษทีครับ(^_^") คือม้านั่งมีคนไปนอนแทนแล้วนะครับ ผมก็เลยมานั่งเล่นแถวนี้ ถ้าไงเดี๋ยวจะย้ายไปที่อื่นเดี๋ยวนี้ละครับ"เขาพูดออกมาเป็นควันไอเพราะความหนาวเย็นจากอากาศ แล้วขยับลุกตัวจะไป แต่ฉันก็รั้งเขาไว้ก่อน
"เดี๋ยว! นายไม่ต้องไปที่อื่นหรอก จะอยู่ที่ไหนก็ตามใจนายเถอะ ถ้าไง.........."ฉันเว้นวรรคไปสักครู่ ก่อนจะพูดต่อว่า
"เข้ามานั่งคุยกับฉันในนี้หน่อยไหม"ฉันชวนเขามานั่งในบ้าน บอกไม่ถูกเหมือนกันว่าทำไมฉันถึงทำอย่างนั้น คงเพราะสงสารและสมเพชในท่าทางและความเป็นอยู่ที่ลำบากของเขาละมั้ง? ชายชุดดำยิ้มออกมาอีกครั้งแล้วกล่าวขอบคุณฉันก่อนจะตามเข้ามาในบ้าน
"นายไม่มีบ้านอยู่หรือไงกัน ถึงไปนอนที่ม้านั่งแบบนั้นทุกวันนะ?"ฉันถามเขา แล้วส่งถ้วยซุปร้อนๆไปให้ ชายชุดดำรับมาดื่มแล้วตอบว่า
"ครับ ผมเป็นคนพเนจรร่อนเร่ไปทั่ว ไม่มีที่อยู่เป็นหลักแหล่งหรอกครับ(^_^)"เขาตอบซื่อๆ ฉันพิจารณารูปร่างหน้าตาของเขาและการแต่งกายแล้ว ก็รู้สึกถึงความขัดแย้งที่ตรงข้ามกับคำพูดของเขา คนพเนจรเหรอ? ถึงชุดจะเป็นสีดำจนสังเกตความสกปรกไม่ได้ก็เถอะ แต่ผิวพรรณหน้าตาของเขา ใครก็ตามที่ได้เห็นน่าจะคิดตรงกันเลยว่า คนๆนี้สมควรจะไปยืนอยู่บนแคทวอร์คเป็นนายแบบ หรือไม่ก็เป็นนักแสดงเสียมากกว่า แต่ก็อย่างว่าละนะ ไม่แน่หมอนี้อาจจะเป็นผู้ดีตกยากก็ได้ ใครจะรู้
"ว่าแต่ที่นายบอกว่าเคยรู้จักฉันมาก่อนนะ มันเมื่อไหร่กัน? ทำไมฉันถึงนึกหน้านายไม่ออกเลยละ"ฉันเริ่มสนใจในความเป็นมาของเขา และที่สำคัญที่สุดก็คือ เขารู้จักฉันจริงหรือเปล่า?
"มันคงนานไปสำหรับคุณหนูกาน อื้ม...ครั้งแรกที่พบกันคงเป็นวันคริสมาสต์เมื่อ14ปีก่อน ตอนนั้นคุณหนูกานยังแค่4ขวบเอง ตัวเล็กๆน่ารักจริงๆครับ(>_<) มัดผมเปียด้วยโบว์สีขาวด้วย ผมไปกินอาหารที่ร้านก็เลยได้พบกับคุณหนูกานที่วิ่งเล่นอยู่ในนั้นโดยบังเอิญครับ คุณแม่ของคุณเป็นคนใจดีจริงๆครับ ท่านกรุณาเลี้ยงอาหารผมทั้งๆที่ผมไม่มีเงินติดตัวเลยแม้แต่เหรียญเดียว รสชาติของผัดกระเพราที่กินในครั้งนั้น ผมยังจำได้มาจนทุกวันนี้"เขาบอก ฉันตกใจจนเกือบทำถ้วยกาแฟในมือหก เมื่อได้ยินเขาบรรยายถึงลักษณะหน้าตาของฉันในสมัยนั้นถูกต้องทุกอย่าง? ฉันพึ่งนึกออกเดี๋ยวนี้เองว่า"คุณหนูกาน"เป็นชื่อเล่นอีกแบบหนึ่งที่คุณแม่กับคุณพ่อของฉันใช้เรียกฉันสมัยยังเป็นเด็กอยู่ ฉันจึงถามเขาไปทันทีด้วยความสงสัย ว่านายอายุเท่าไหร่กันแน่?
"อื้ม...นั่นสินะครับ ผมอายุเท่าไหร่กันน้า ไม่เคยนับซะด้วย"เขาหลับตาเอามือลูบคางทำท่าคิด ก่อนจะเฉไฉไปเรื่องอื่นต่อ
"ว่าแต่รูปที่วาดเรียงรายกันอยู่ในห้องนี้ เป็นฝีมือของคุณหนูหรือครับ" เขากล่าวแล้วชี้ไปยัง ภาพวิวทิวทัศน์ที่ติดไว้ทั่วบ้าน ใช่แล้วนี้เป็นผลงานของฉันเอง ฉันชอบวาดรูปมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว และเรียนมาในสายการศิลปะโดยเฉพาะ เพราะมีความฝันที่จะสร้างแกลลอรี่ภาพเป็นของตัวเอง ทว่า ผลงานฉันกลับไม่เป็นที่ยอมรับในวงการศิลปะซักเท่าไหร่นัก แม้จะมีคนมากมายชมว่ามันสวยดีก็ตาม
"ใช่ แต่ก็เป็นแค่ภาพห่วยๆ ฉันไม่สามารถสร้างภาพที่ดึงดูดสายตาของคนได้เหมือนกับ รูปโมนาลิซ่าของดาวินชี หรือดอกทานตะวันของแวนโก๊ะหรอก ต่อให้พยายามมากแค่ไหนก็ตาม" ประโยคสุดท้าย ฉันคิดว่าพูดกับตัวเองซะมากกว่า แต่ชายชุดดำกลับไม่คิดเช่นนั้น เขาเดินไปดูรูปต่างๆที่ติดไว้อย่างใกล้ชิด ทุกภาพแล้วหันมาบอกฉันว่า
"ไม่หรอกครับ เทคนิคการวาดภาพของคุณหนูไม่ได้ด้อยกว่า2คนนั้นเลยแม้แต่น้อย หนำซ้ำกลับจะเหนือกว่าอีก"เขาบอก ฉันหัวเราะออกมาเบาๆ นึกขำในความพยายามปลอบใจฉันที่เขาทำ แล้วถามไปว่า ถ้างั้นทำไมมันถึงไม่เป็นที่ยอมรับกันในหมู่นักวิจารณ์ศิลป์ละ ถ้าฉันวาดได้เก่งกว่าดาวินชีหรือแวนโก๊ะจริง
"เพราะคุณหนูกานขาดแรงบันดาลใจน่ะสิครับ การวาดรูปคือการถ่ายทอดจิตใจของผู้วาดให้ปรากฏออกมาเป็นรูปธรรม ถ้าผู้วาดไม่มีแรงบันดาลใจที่แรงกล้าในการวาด หรือถ่ายทอดมันออกมาไม่ได้แล้วละก็ ต่อให้มีเทคนิคการวาดรูปดีแค่ไหน ก็ไม่อาจสะกดสายตาของผู้คนที่พบเห็นได้หรอกครับ"เขากล่าว ฉันอึ้งไปทันทีเมื่อได้ยินวาจาที่คมคายของเขา แรงบันดาลใจเหรอ? จริงสิ ฉันไม่เคยรู้สึกอยากถ่ายทอดอะไรออกมาให้คนที่ดูภาพของฉันรับรู้เลย นอกจากความต้องการที่จะให้ภาพเป็นที่ชื่นชอบเท่านั้น
"ฉันพึ่งรู้นะเนี่ย ว่านายมีความรู้เรื่องศิลปะด้วย ว่าแต่ฟังคำพูดคำจาของนายแล้ว ดูไม่เหมือนคนไร้การศึกษาเลยนะ นายเป็นใครกันแน่?"ฉันถามเขาตรงๆ แต่ชายชุดดำก็เปลี่ยนเรื่องพูดไปอีกแล้ว ด้วยการมองออกไปนอกหน้าต่างแล้วถามฉันว่า
"คุณหนูกานเชื่อในเรื่อง"กรรม"มั้ยครับ"เขาพูดโดยไม่ยอมหันมามองหน้าฉัน
"ถ้ากรรมที่นายว่าหมายถึง ความเชื่อในทางพระพุทธศาสนาที่ว่า ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่วแล้วละก็ เคยเชื่อ แต่ตอนนี้คิดว่ามันคงไม่แน่แล้วละ"ฉันตอบ เขาถามฉันต่อ ว่าทำไมฉันถึงคิดเช่นนั้น ฉันจึงได้เล่าเรื่องของพ่อแม่ฉันที่เสียไปให้เขาฟัง แล้วค้านว่า ถ้าคนทำดีจะได้รับแต่สิ่งดีๆตอบแทนมาละก็ ทำไมพ่อแม่ฉันถึงต้องตายละ เขาจึงยกตัวอย่างให้ฟังโดยการชี้ออกไปนอกหน้าต่าง ให้ฉันดูกลุ่มคนที่มาเข้าคิวถอนเงินจากตู้ATMหน้าธนาคาร
"สมมุติว่ากรรมดีหรือกุศลเป็นคนแต่งชุดสีขาว แล้วกรรมชั่วหรือบาปเป็นคนแต่งชุดสีแดง ถ้าคนชุดขาวมาถอนเงิน แต่พบคนชุดแดงยืนรอเข้าคิวอยู่ก่อนแล้ว ถามว่า ใครจะได้เงินก่อน? มันก็ต้องเป็นคนชุดแดงอยู่แล้วครับต่อให้คนชุดขาวจะมาถอนเงินมากกว่าก็ตาม กรรมก็เป็นเช่นเดียวกันนี้ละครับ อะไรที่เราเคยทำมาก่อนมันก็ย่อมจะได้รับการตอบแทนก่อนเสมอ แม้ว่าเราจะเพียรพยายามทำความดีมากแค่ไหนก็ตาม แต่หากเรายังมีบาปติดตัวอยู่ก่อนแล้วแม้เพียงเล็กน้อย เราก็ต้องชดใช้มันให้หมดเสียก่อนครับ"เขาอธิบายให้ฉันฟัง แล้วไล่ต่อไปว่าบางทีในชาติก่อนพ่อแม่ของฉัน อาจจะทำอะไรที่ไม่ดีเอาไว้ แม้ในชาตินี้จะประกอบแต่บุญกุศลมากแค่ไหน ก็ต้องชดใช้บาปกรรมที่เคยสร้างเอาไว้เสียก่อน มาถึงตรงนี้ฉันฉุนกึกขึ้นมาทันที ที่เขาพูดในทำนองว่าพ่อแม่ฉันเคยทำบาปมาก่อนจึงต้องตาย ฉันจึงลุแก่โทสะตบหน้าเขา แล้วไล่ออกไปทันที
"เพี๊ยะ! ออกไปเดี๋ยวนี้นะ นายไม่มีสิทธิ์อะไรมาว่าพ่อแม่ของฉัน"ฉันตวาดเขาน้ำเสียงสั่นเครือ เขากล่าวขอโทษด้วยสีหน้าสลด แล้วขอบคุณที่ฉันเลี้ยงซุปเขา ก่อนจะเดินออกไปจากบ้าน...
เวลาผ่านไปกี่ชั่วโมงฉันไม่อาจแน่ใจได้ หลังจากที่ฉันหวนนึกถึงพ่อแม่ของฉัน เพราะคำพูดของชายชุดดำ แล้วนั่งวาดรูปเรื่อยเปื่อยเพื่อระบายความหงุดหงิดฟุ้งซ่าน เมื่อจิตใจสงบลงไปมากแล้ว ความรู้สึกผิดชอบชั่วดีก็กลับมาอีกครั้ง
"(ฉันทำถูกหรือเปล่าที่ตบหน้าเขา? ไม่สิ! สมควรแล้วละก็เขามาว่าพ่อแม่ฉันเป็นคนไม่ดีนี้ ถึงจะอ้างว่าเป็นชาติก่อนก็เถอะ แต่เขาอาจไม่ตั้งใจก็ได้นะ? โอ๊ย นี้ฉันจะมาคิดเรื่องของเขาทำไมกัน หมอนั้นเป็นใครมาจากไหนก็ไม่รู้ จะอยู่หรือตายก็ไม่เกี่ยวกับฉันนี้ แต่ว่า.....)"ในที่สุดฉันก็ตัดสินใจวางพู่กันลง แล้วใส่เสื้อโค้ทกันหนาวเดินออกมาดูข้างนอก ตอนนี้ท้องฟ้ามืดสนิทแล้ว คงจะเป็นเวลา1-2ทุ่มได้ ชายชุดดำไม่ได้รออยู่หน้าบ้านเหมือนครั้งแรก ฉันจึงเดินไปดูม้านั่งที่เห็นเขานอนอยู่เป็นประจำ ก็ยังไม่พบอีก ความรู้สึกกระวนกระวายใจที่ไร้เหตุผลเกิดขึ้นกับฉันทันที ฉันจึงเดินเตร็ดเตร่ตามถนนไปเรื่อยๆจนกระทั่ง...
ฉันไปเจอเจน กำลังนั่งเอามือกุมหน้าร้องไห้อยู่ในซอยมืดๆแห่งนึงไม่ไกลนักจากร้าน ใบหน้าของเธอมีร่องรอยแตกฟกช้ำเต็มไปหมด ฉันตกใจมากรีบวิ่งไปประคองเธอทันที ถามว่าเกิดอะไรขึ้น(O_o")
"ฮือ ฮือ ฮือ ขอโทษกาน(ToT) ฉันขอโทษ" เธอพร่ำบอกแต่ขอโทษฉันและร้องไห้ไม่หยุด ฉันปลอบเธออยู่นาน จนเจนสงบสติอารมณ์ลงได้ แล้วบอกข่าวร้ายแก่ฉันว่า
"แฟนของฉัน ไอ้ชาติชั่วโรเบิร์ตมันหลอกฉันว่า มันกำลังทำบริษัทส่งออกสินค้า และต้องการให้มีคนมาร่วมลงทุนด้วย จึงใช้ฉันไปชวนลุงของเธอมาร่วมหุ้นกัน ซึ่งคุณลุงท่านก็ใจดีช่วยเหลือมันเพราะเห็นว่าเป็นแฟนฉัน แต่เมื่อวานมันกลับมาบอกว่าผลกำไรของบริษัทมันมีปัญหาและใกล้ล่ม จึงขอให้คุณลุงช่วยเซ็นเป็นผู้ค้ำประกันเพื่อยืมเงินมาลงทุนก่อน แต่...แต่ว่า"เธอสะอึกสะอื้นก่อนจะเล่าต่อ
"มันโกหกกาน ทุกเรื่องเลย ทั้งเรื่องบริษัทที่มันจดทะเบียนหลอกๆและบริษัทที่มันไปกู้เงินด้วย เมื่อเที่ยงวันนี้ฉันไปหามันที่บ้านแต่ไม่พบ ก็เลยไปหาที่ผับ ที่นั้นเองฉันเจอโรเบิร์ตกำลังยืนคุยกับใครบางคนอยู่ แต่ก่อนที่ฉันจะเข้าไปทัก มันก็หลบไปคุยกับชายใส่สูทคนนึงที่มากับลูกน้องสองคนหลังร้าน ซึ่งฉันรู้จักพวกมันดีเพราะเคยเห็นข่าวในทีวี เขาคือเบอร์นาต ฮอบกิน มาเฟียใหญ่ที่คุมเมืองนี้อยู่ลับๆ ฉันแอบได้ยินพวกมันคุยกันจึงรู้ความจริงว่า โรเบิร์ตก็เป็นลูกน้องของมันด้วย พวกมันวางแผนให้คุณลุงเป็นหนี้กับบริษัทของมันเพื่อที่จะได้ฮุบเอากรรมสิทธิ์ร้านอาหารมาเป็นของตัวเอง เธอก็จำได้ใช่มั้ยกาน ว่าเมื่อเดือนก่อนเคยคนมาติดต่อขอซื้อร้านเราเพื่อเอาไปสร้างห้างสรรพสินค้านะ ร้านค้าอื่นๆรอบร้านของเราถูกมันกว้านซื้อไว้หมดแล้ว ขาดก็แต่ร้านเราเพียงร้านเดียวเท่านั้น มันจึงวางแผนให้โรเบิร์ตมาตีสนิทฉันเพื่อหลอกใช้เป็นเหยื่อติดต่อคุณลุงของเธอ ความจริงมันก็เคยจีบเธอก่อนเพราะเธอเป็นหลานแท้ๆของคุณลุงแต่เธอไม่เล่นด้วย มันจึงเบนเข็มมาที่ฉันแทน โอ้ พระเจ้า ฉันทำอะไรลงไป ฮือ ฮือ(T_T) "เจนร้องไห้ต่อ ฉันจึงคาดคั้นถามว่าบาดแผลตามตัวเธอเป็นฝีมือมันใช่มั้ย
"ใช่กาน ฉันโกรธมากทันทีที่รู้ว่ามันหลอกฉันและเข้าไปด่ามันทันที มันเลยซ้อมฉันแล้วกักตัวไว้ โทรไปหาคุณลุงใช้ตัวฉันบังคับให้ท่านมาหาพวกมัน ก่อนจะปล่อยตัวฉันไป ฉันไม่รู้ว่ามันจะทำอะไรกับท่านบ้างเพราะสลบไปก่อน แต่จำได้ลางๆว่าเห็นพวกมันพาท่านขึ้นรถเบนซ์สีเทาไป ฉันขอโทษกาน ฉันไม่คิดว่าเรื่องทุกอย่างจะเป็นแบบนี้ ฮือ ฮือ ฮือ(T_T)"พูดจบเจนก็ร่ำไห้ต่อ ฉันไม่โทษอะไรเจนเลยเพราะมันไม่ใช่ความผิดของเธอ แต่โกรธแค้นพวกมันถึงที่สุดที่หลอกใช้เธอแบบนี้ ฉันพอจะเดาออกว่าพวกมันต้องการอะไรถึงเรียกตัวท่านไป ใช่ มันต้องการโฉนดที่ดินของร้าน แต่ความปราถนาของพวกมันคงจะไม่สำเร็จหรอก เพราะว่าคนที่ได้รับกรรมสิทธิ์ที่ดินและมีชื่ออยู่ในโฉนดคือตัวฉันเองต่างหาก ถึงจะไม่รู้ที่อยู่ของพวกมันแต่อีกไม่นานมันก็ต้องติดต่อมาแน่ๆ เมื่อแน่ใจเช่นนี้แล้ว สิ่งแรกที่ควรทำก็คือการพาเจนไปรักษาที่โรงพยาบาลไว้ก่อน ส่วนเรื่องแจ้งความคงทำไม่ได้แน่ ตราบใดที่คุณลุงยังอยู่ในมือพวกมัน...
เป็นไปตามที่ฉันคาดการณ์ไว้ ไม่ถึงชั่วโมงเบอร์นาตก็ใช้ให้ลูกน้องโทรมาหาฉันที่ร้านและสั่งให้ฉันเอาโฉนดที่ดินไปมอบให้แก่มันที่สำนักงาน ซึ่งเป็นตึกแห่งนึงนอกตัวเมือง ฉันโทรไปปรึกษาคุณอีริค แชปฟอร์ด นายตำรวจยศสารวัตรผู้นึงที่รู้จักกับคุณลุงดี ซึ่งเขาก็บอกกับฉันว่าจะเตรียมกำลังคนไปล้อมตึกหลังนั้นไว้อย่างลับๆ และให้ฉันเข้าถือโฉนดแสร้งเข้าไปดูลาดเลาก่อน ทว่า เมื่อฉันไปถึงทุกอย่างกลับตาลปัตรไปหมด
"โอ้ ขอบใจมากอีริคที่พาโฉนดมาส่งให้ถึงที่"นี้คือพูดแรกที่ เบอร์นาตกล่าวแก่อีริค ซึ่งก้าวเข้ามาในห้องนี้ ขณะที่ฉันกำลังต่อรองให้พวกมันปล่อยตัวคุณลุงไป แท้จริงคนทั้งสองเป็นพวกเดียวกันอยู่แล้วตั้งแต่ต้น! อีริคคาดการไว้แล้วว่าฉันต้องโทรไปขอความช่วยเหลือจากมันแน่ มันจึงโกหกว่าจะเตรียมคนไว้ช่วย ทั้งที่มันเก็บเรื่องนี้เป็นความลับ
"อย่าว่าฉันเลยนะหนูกาน เงินเดือนของตำรวจปีนึงมันจะได้สีกกี่ปอนด์กัน ถ้าฉันไม่ทำแบบนี้ จะเอาอะไรไว้กินหลังเกษียนละ:D"อีริคยิ้มหยัน หัวเราะออกมาเมื่อเห็นฉันจนมุม ฉันวิ่งเข้าไปกะจะชกหน้ามันซักเปรี้ยง แต่ลูกน้องของเบอร์นาตก็รุมเข้ามาล็อกตัวฉันเอาไว้ แล้วชิงเอาโฉนดฉันไปดื้อๆก่อนจะบอกว่า
"อย่าว่ากันเลยนะสาวน้อย ถ้ายอมขายที่ดินให้ซะตั้งแต่แรกๆมันก็ไม่เป็นแบบนี้แล้วละ ...อ้อ! ไม่ต้องกังวลเรื่องลุงของเธอหรอกนะ เพราะอีกเดี๋ยวฉันก็จะเอาเธอไปเผารวมกับท่านด้วย แต่ฉันไม่ใช่คนใจร้ายหรอกนะ ได้ยินมาว่าสาวไทยรักนวลสงวนตัวกันทุกคน ขืนปล่อยให้เธอตายทั้งๆที่ยังไม่รู้จักความสุขแบบผู้ใหญ่ก็น่าสงสารแย่ มามะฉันจะช่วยเธอเอง ฮะ ฮะ ฮะ"เบอร์นาตย่างสามขุมเข้ามาหาฉันที่ถูกลูกน้องของมันจับขึงพืดเอาไว้ ฉันดิ้นรนสู้สุดชีวิตแต่ก็ถูกมันชกจนไม่มีแรงขัดขืน ฉันร้องไห้ออกมา ไม่ใช่เพราะความกลัวแต่เป็นความเสียใจที่คุณลุงต้องตาย และความเสียใจที่ไม่อาจปกป้องร้านเอาไว้ได้ น่าแปลกนะที่ตอนนี้จู่ๆฉันก็คิดถึงชายชุดดำคนนั้นขึ้นมา
"(บ้าที่สุด ไหนบอกว่าเวรกรรมมีจริงไง พวกมันทำชั่วมามากขนาดนี้ยังไม่ถึงคิวของมันอีกเหรอ หรือจะให้คนดีๆต้องตายไปอีกซักเท่าไหร่กันพวกมันถึงจะได้รับกรรมกันT_T)"ฉันคิด ท่ามกลางน้ำตาที่นองหน้าก่อนที่เบอร์นาตจะกระชากเสื้อของฉันออก ฉันคิดไปเองมั้ยนะที่จู่ๆก็ได้ยินเสียงของหมอนั้นในห้องนี้
"พอเถอะครับ(^_^) อย่าสร้างบาปกรรมไว้มากกว่านี้เลยนะครับ เดี๋ยวชาติหน้าเกิดมาจะไปตีโพยตีพายว่าทำไมชีวิตลำบากแบบนี้ไม่ได้นะครับ"สำเนียงเสียงพูดที่คุ้นหูดี กล่าวออกมาจากบุรุษผู้นึงที่ยืนอยู่หน้าประตูห้อง ด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้มอยู่เป็นนิจ ชายชุดดำคนนั้นน่ะเอง! บ้าจริงนายจะมาเทศน์พวกมันทำไม ไม่สิ นายมาที่นี้ได้ไงกัน? ฉันคิด เบอร์นาตกับลูกน้องที่อยู่ในห้องหลายสิบคน พุ่งความสนใจไปที่เขาทันที
"ไอ้บ้านี้ขึ้นมาได้ไงกัน พวกข้างล่างมันทำอะไรกันอยู่ ห๊า(OwO)"เบอร์นาตตวาดออกมาด้วยความไม่สบอารมณ์อย่างยิ่ง ที่มีคนมาขัดขวางความสำราญของมัน ก่อนจะหันไปส่งสัญญาณให้ลูกน้องของมัน "โรเบิร์ต" ไอ้เลวที่หลอกลวงเจน ไปจัดการกับเขาซะ ร่างกายบึกบึนอย่างกับนักมวยปล้ำของมัน ถือไม้เบสบอลเดาะไว้ในมือเดินตรงเข้าไปหาหมอนั้น ชายชุดดำยังคงยิ้มได้อยู่พูดว่า
"อ๊ะ..! อย่านะครับ(^_^") ขืนใช้แขนใหญ่ๆแบบนั้นฟาดไม้เบสบอลเหล็กใส่ผมละก็ ถึงตายเชียวนะครับ"เขาร้องเตือน แน่ละสิตาบ้านายตายแน่ๆ ฉันคิด โรเบิร์ตแสยะยิ้มอย่างลำพอง ยกไม้ขึ้นแล้วหวดฟาดเต็มเหนี่ยวไปศีรษะของเขา ฉันรวบรวมกำลังทั้งหมดสลัดหลุดจากการล็อกได้ เพราะพวกมันกำลังเผลออยู่ วิ่งเข้าไปจะช่วยชายชุดดำคนนั้นพร้อมกับตะโกนให้เขารีบหนีไป แต่ดูเหมือนมันจะสายไปเสียแล้ว...
เสียงไม้เหล็กกระทบเข้าที่ขมับของเขาจังๆ เสียงดังตั๊บอย่างน่ากลัว เลือดสดๆไหลทะลักออกมาจากกะโหลกที่แตกร้าว ก่อนจะลงไปดิ้นพราดๆอยู่ที่พื้น เหมือนปลาถูกทุบหัว ฉันจ้องมองภาพนั้นด้วยความตกตะลึงไม่ใช่เพราะเห็นความตายที่น่ากลัวนี้กับตาของตัวเองหรอก หากแต่เป็นเพราะ ชายที่กำลังจะสิ้นใจอยู่นี้ ไม่ใช่พ่อหนุ่มชุดดำคนนั้นแต่เป็นโรเบิร์ตต่างหาก ทั้งๆที่คนโดนฟาดคือเขาแท้ๆ(O_o")?
"เฮ้ยนี้มันอะไรกัน!"คราวนี้อย่าว่าแต่เบอร์นาตเลย แม้แต่ไอ้ตำรวจนอกรีตอย่างอีริคยังอดตกใจต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่ได้ ชายชุดดำยังคงยืนยิ้มมองลูกน้องของเบอร์นาตที่ค่อยๆหยุดการเคลื่อนไหวลงอย่างช้าๆ ก่อนจะแน่นิ่งไปตลอดกาล แล้วถอนหายใจส่ายหน้า พูดว่า
"เฮ้อ...ก็ผมบอกแล้วไง ว่าฟาดด้วยไม้เหล็กแบบนั้นนะถึงตายนะครับ จริงมั้ยครับคุณหนูกาน(^o^) "เขาพูดกับฉันที่กำลังยืนตะลึงอยู่ ก่อนจะเดินเข้ามาจับมือฉันแล้วบอกว่า ไม่ต้องเป็นห่วงคุณลุงหรอก เพราะเขาพาท่านออกไปข้างนอกแล้วเมื่อกี้ อีกสักครู่ท่านก็คงจะหวนกลับมาพร้อมกับตำรวจที่ช่วยฉันได้จริงๆ แล้วถือวิสาสะจูงมือฉันจะพาออกไป ทว่า พวกเบอร์นาตกลับไม่ยอมให้ทุกอย่างจบลงแบบนี้
"ฉะ..ฉะ.ฉันไม่สนหรอกว่าแกจะเป็นพ่อมดหรือว่าปีศาจอะไร ยะ..อย่าคิดว่าเล่นกลแปลกๆให้ฉันดู แล้วจะทำให้กลัวได้นะโว้ย"มันพูดออกมาไม่เต็มเสียงนัก ชักปืนออกมาเล็งใส่ฉันและชายชุดดำ เขาส่ายหัวเบาๆก่อนจะพูดอีกว่า
"พวกคุณยังไม่รู้ตัวอีกหรือไงกันว่า"กรรมดี"ที่เคยสั่งสมมาแต่ปางก่อน มันจวนเจียนจะหมดแล้ว เหลือเพียงกรรมชั่วที่สะสมมาเยอะรอการสนองตอบอยู่ หากแม้นเพียงพวกคุณเหนี่ยวไกใส่ผม ผู้ไม่นำพาต่อกระแสกรรมใดๆทั้งสิ้นที่เกิดแก่ตัวแล้วละก็ ผลของมันจะ"ลัดคิว"ย้อนกลับไปโดยฉับไวทันใจไม่ต้องรอนานเหมือนบุพกรรมอื่นๆหรอกนะครับ(^_^) "ชายชุดดำพูดแปลกๆ อย่างที่ฉันไม่อาจเข้าใจความหมายได้แน่ชัด แต่ดูเหมือนเสียงของเขาจะส่งไปไม่ถึงหูของพวกเบอร์นาตที่กำลังคลั่งไปเสียแล้ว ทันทีที่ทุกคนในห้องนั้นเหนี่ยวไกยิงออกมา ปืนของพวกมันทุกคนก็ระเบิดขึ้นพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมายจนกระสุนที่อยู่ในแมกกาซีนแตกกระจายพุ่งเข้าไปฝังตามใบหน้า และหัวใจของคนที่ถือปืนทุกคน จนไม่มีแม้แต่โอกาสร้องโอดโอยก่อนสิ้นชีวิต ฉันช็อคมากเมื่อเห็นเหตุการณ์สะเทือนขวัญแบบนี้เกิดขึ้นต่อหน้าติดๆกันโดยไม่รู้ต้นสายปลายเหตุอะไรเลย ประกอบกับถูกเบอร์นาตทุบตีมาก่อน จึงทำให้ฉันหมดสติไป โดยจำได้ลางๆแค่ความรู้สึกอันอบอุ่นของอุ้งมือหมอนั้นที่ประคองตัวฉันเอาไว้
"ระ...เรื่องแบบนี้! เรื่องแบบนี้เป็นไปไม่ได้"อีริคหันไปมองซากศพที่กองอยู่ในห้อง ก่อนจะจ้องมองชายชุดดำประดุจเห็นมัจจุราช ความหวาดกลัวทำให้เขาไม่คิดสู้อะไรอีกแล้ว นอกจากวิ่งหนีออกไปนอกห้องโดยเร็วที่สุด แต่ในชั่วพริบตาที่อีริคเฉียดผ่านชายชุดดำและกานที่สลบไป เขาสาบานได้ว่า ได้ยินเสียงของชายชุดดำผู้นั้นดังขึ้นในหัวของตัวเองว่า
"ไหนๆก็ไหนๆแล้วนะคุณอีริค กรรมดีของคุณก็เหลือแค่นิดเดียวเอง ผมจะช่วย"สลับตำแหน่ง"ถอยมันไปหลังๆก่อนละกัน กรรมชั่วที่รอมานานจะได้สนองตอบเสียที"แล้วอีริคก็รีบหนีออกมาจากตัวตึกได้ ก่อนที่กลุ่มตำรวจที่คุณลุงของกานไปตามมาจะบุกขึ้นไป ทว่า ในขณะที่อีริคคิดว่าตัวเองหนีพ้นแล้ว ยืนหอบแฮ่กๆ ด้วยความเหนื่อยอยู่ข้างถนน ก็มีรถสปอร์ตคันนึง เกิดยางแตกพุ่งแหกโค้งเสียการควบคุมตรงมาที่เขา
"เฮ้ย! ตูมมมม"เสียงรถชนกำแพงตึกดังสนั่น อีริคที่กระโจนหลบมาได้อย่างเฉียดฉิวถอนหายใจ โดยที่ไม่รู้ว่า แรงสะเทือนจากการชนจะทำให้ป้ายโฆษณาอันนึงซึ่งทำจากโลหะทั้งแผ่นติดไว้บนยอดตึก ตกลงมาผ่าร่างของเขาออกเป็นสองซีกอย่างน่าสยดสยอง...
เมื่อฉันฟื้นขึ้นมาก็พบว่าตัวเองกำลังขี่หลังของชายชุดดำอยู่ เขาร้องเพลงจิงเกอร์เบลออกมาอย่างอารมณ์ดี ท่ามกลางหิมะที่โปรยปรายและประกายแสงที่สดใสจากต้นคริสมาสต์ ใช่แล้ว ตอนนี้ฉันและเขากำลังอยู่ใจกลางเมือง ซึ่งห้อมล้อมไปด้วยผู้คนที่พากันมาเฉลิมฉลองวันศักดิ์สิทธิ์วันนี้
"นายเป็นใครกันแน่? เป็นปีศาจหรือว่าเทวดากัน"ฉันถามเขา ชายชุดดำหัวเราะออกมาแล้วตอบฉันว่า
"นั่นสินะครับ ผมก็อยากรู้เหมือนกัน แต่ที่แน่ๆคงไม่ใช่ทั้งสองอย่างที่คุณพูดมาหรอกครับ เพราะพวกเขาเองก็บอกไม่ได้เหมือนกันว่าผมเป็น"อะไร"เขาตอบกึ่งเล่นกึ่งจริง จนฉันไม่รู้จะเชื่อดีมั้ย แต่นั้นไม่สำคัญแล้วละ ความอบอุ่นจากแผ่นหลังเขาทำให้ฉันนึกถึงวันเก่าๆยังไงไม่รู้
"แปลกนะ ที่ฉันรู้สึกเหมือนเคยขี่หลังนายมาก่อนแล้ว"ฉันพูดกับเขาที่ยังแบกฉันไว้ไม่ยอมปล่อยลง เดินเตร็ดเตร่ไปเรื่อยๆตามท้องถนน เขาหันกลับมาบอกว่า
"ก็เคยแล้วนะครับ เมื่อ14ปีก่อนไง ตอนนั้นคุณหนูกานวิ่งเล่นซะจนหกล้มขาแพลง ผมก็เลยให้คุณหนูขี่หลังพามาส่งบ้านไงครับ"คำตอบของเขาทำให้ฉันยิ่งสงสัยเรื่องอายุหนักเข้าไปอีกแต่ก็เปลี่ยนใจไม่ซักต่อเพราะรู้ดีว่าเขาจะตอบ...
"ถ้าฉันถามนายถึงเรื่องอายุอีก ก็คงจะได้ยินคำตอบเดิมๆว่า"นั่นสินะผมก็อยากรู้เหมือนกัน" ดังนั้นฉันจะไม่ถามดีกว่า แต่อยากรู้จริงๆอย่างเดียว แค่ชื่อของนายนะ พอจะบอกฉันได้มั้ย"ฉันอ้อนวอนเขา เขาเงียบไปพักนึงแล้ว แล้วจึงพูดต่อ
"ผมมีชื่อมากมายที่ผู้คนเขาพากันตั้งให้ แต่อย่าถามเลยครับว่าชื่ออะไรเป็นชื่อแรกที่มีคนเรียกขานผม เพราะมันนานมากแล้วจนลืมครับ แต่ชื่อที่ผมชอบที่สุดและอยากให้คนเรียก ก็คงเป็นชื่อที่คุณหนูกาน ตั้งให้ผมเมื่อ14ปีก่อน ในวันคริสต์มาสต์เช่นนี้ ว่า
BlackSantaครับ"ชายชุดดำที่เรียกตัวเองว่า"แบล็คซานต้า"ตอบ เขาอธิบายว่าสาเหตุที่ตัวฉันตอนเป็นเด็กเรียกเขาว่าอย่างนี้ เป็นเพราะคุณพ่อคุณแม่ของฉันได้ฝากถุงของขวัญให้เขาเอามาให้ฉันที่โรงเรียนแทน เพราะท่านติดงานอยู่ มันทำให้ฉันดีใจมากและเรียกเขาว่าซานต้าครอสชุดดำหรือBlackSanta
"ทำไมถึงมาช่วยฉันไว้ละ ...หมายถึง ที่นายทำกับพวกเขาอย่างนั้น"ฉันซักเขาต่อ เขาบอกว่าตัวเองไม่ได้ทำอะไรเลย นอกจากมาพาคุณลุงกับฉันออกจากตึกนั้นเฉยๆ เขากล่าวว่า กรรมชั่วที่พวกนั้นเคยกระทำมันสะสมเสียจน หนักหนาสาหัสมาก กระทั่งกรรมดีที่กำลังใช้อยู่เหลือร่อยหรอจะหมดแล้ว ที่เขาทำก็เพียงแต่ สลับตำแหน่งเวลาบุญบาปที่จะได้รับใหม่เหมือนจัดคิวคนเข้าแถว แค่นั้นเอง!?
"แต่สาเหตุที่ทำให้ผมมาพบคุณหนูกานอีกครั้ง คงเป็นเพราะสัญญาสองครั้งที่เคยรับปากไว้กระมั้งครับ ได้ชักนำผมมาที่นี้(^_^) "แบล็คซานต้าบอก แต่ดูเหมือนหูของฉันจะไม่ค่อยได้ยินแล้ว เพราะความเพลียจากเรื่องร้ายๆที่เกิดขึ้น มันทำให้ฉันเผลอผล็อยหลับบนหลังของเขาไปอีกตอนไหนก็ไม่รู้...
เสียงนกน้อยที่ร่ำร้องในตอนเช้า ปลุกฉันให้รู้สึกตัว ฉันพบตัวเองนอนอยู่ในห้องโดยมีผ้าห่มคลุมตัวอย่างเรียบ แถมยังไม่มีบาดแผลฟกช้ำที่เกิดจากน้ำมือของเบอร์นาตแม้แต่น้อย!? เมื่อฉันลุกขึ้นเดินไปที่ห้องรับแขกก็พบเพียงแค่ถ้วยซุปอุ่นๆที่ยังควันกรุ่นอยู่ กับโน็ตใบนึงเขียนว่า
"ต้องขอโทษด้วยนะครับที่ไม่ได้ลาคุณหนูกาน เพราะผมมันเป็นคนอยู่ไม่ติดที่ ชอบเดินทางไปเรื่อยๆ แต่สักวันนึงถ้ามีโอกาสผมจะกลับมาแวะเยี่ยมเยียนคุณหนูอีกแน่ครับ by แบล็คซานต้าของคุณหนู(^_^) "...
ไม่นานเรื่องทุกอย่างก็คลี่คลายลงไปในทางที่ดี ตำรวจตามจับพวกแก๊งมาเฟียที่เกี่ยวข้องกับเบอร์นาตได้จนหมด และยังขยายผลไปถึงนายตำรวจคนอื่นๆที่มีส่วนพัวพันกลับการรับสินบนของแก๊งนี้ด้วย ข่าวการตายหมู่ที่แปลกประหลาดของแก๊งเบอร์นาตและอีริคป็นที่ฮือฮาอยู่ไม่น้อยในอังกฤษ บ้างก็ว่าเป็นการลงทัณฑ์ของพระเจ้า บ้างก็ว่าเป็นการล้างแค้นของปีศาจ คงมีแต่ฉันและลุงเท่านั้น ที่รู้ว่าความจริงเป็นเช่นไร เจนเองก็หายหายดีแล้วแต่ยังไม่กล้ามาพบคุณลุงอยู่พักนึงเพราะละอายใจในตัวเองที่นำพาความเดือดร้อนมาให้ท่าน แต่เมื่อฉันไปบอกกับเธอว่า
"ทั้งฉันและคุณลุงไม่ได้คิดอย่างนั้นเลยนะเจน ตรงกันข้ามเรากลับนึกขอบคุณสิ่งศักดิ์เสียด้วยซ้ำที่ช่วยให้เธอปลอดภัย กลับมาอยู่กับเราเถอะนะ(^_^) " มันทำให้เธอร้องไห้เหมือนเด็กๆ กอดฉันซะแน่นจนเกือบหายใจไม่ออก แล้วพวกเราก็กลับมาใช้ชีวิตที่สงบสุขดั่งเดิมได้อีกครั้ง...
เวลาผ่านไป2เดือน ภาพวาดของฉันเริ่มเป็นที่ยอมรับในวงการศิลปะมากขึ้นเรื่อยๆ หลังจากฉันค้นพบแรงบันดาลใจในสิ่งที่ฉันต้องการถ่ายทอดออกมาให้คนอื่นรับรู้ ภาพที่ฉันส่งเข้าประกวดและได้รับรางวัลชนะเลิศ ถูกกล่าวขวัญกันไปทั่วยุโรป จนแม้แต่หอศิลป์ชื่อดังในฝรั่งเศส ยังมาขออ้อนวอนซื้อภาพๆนี้ไปด้วยราคาสูงนับสิบหลัก แต่ฉันไม่ขายหรอกเพราะว่านี้เป็นภาพที่ฉันวาดด้วยความรู้สึกที่ซ่อนอยู่ในหัวใจมานานแล้ว ภาพของถุงขนมใบใหญ่ที่ถูกแขวนไว้บนต้นคริสมาสต์ ตัดกับสีขาวโพลนของหิมะที่ร่วงโรยอย่างงดงาม...
ป.ล.ในท้ายนี้ทุกคนที่อ่านเรื่องของฉันคงคาใจใช่มั้ยว่า สัญญาสองเรื่องที่แบล็คซานต้าของฉันเคยบอกไว้คืออะไร? เรื่องนึงที่ฉันนึกออกหลังจากนั้นไม่นาน ก็คือสัญญาที่ฉันเคยขอเขาไว้ในวันที่เขานำถุงขนมมาให้ฉัน และยอมให้ฉันขี่หลังกลับบ้านว่า"ถ้าวันนึงหนูโตเป็นสาวแล้ว คุณซานต้าต้องมารับหนูอีกนะคะ" น่าแปลกที่ฉันลืมมันไปเสียสนิทเลยในวันรุ่งขึ้นที่ไปโรงเรียน และพึ่งจะมานึกออกก็เมื่อคุณซานต้าชุดดำได้จากไปแล้ว ทว่า สัญญาอีกอย่างนึงที่ฉันไม่รู้ กลับได้รับคำเฉลยจากคนและสถานที่ๆคาดไม่ถึง?
วันหนึ่งคุณลุงได้บอกฉันว่า คุณยายของฉันต้องการจะย้ายบ้านมาอยู่ที่กับพวกเราที่นี้ ฉันจึงได้บึ่งขึ้นเครื่องบินไปหาท่านถึงอยุธยา ซึ่งเป็นบ้านเก่าของแม่ฉัน ที่นั้นฉันได้พบกับคำตอบที่คาใจมานานจากการย้ายข้าวของเครื่องใช้เก่าๆภายในบ้าน
"นี้มัน!(O_o") คุณยายคะนี้รูปของใครหรือคะ"ฉันถามคุณยายเสียงสั่นเครือด้วยความตกใจ จะไม่ให้ฉันตกใจได้อย่างไรกันละ เมื่อเห็นใบหน้าและเครื่องแต่งกายของชายผู้นึงที่ยืนอยู่ข้างๆคุณของทวดฉันในวัยหนุ่ม บนภาพถ่ายขาวดำซีดๆอายุหลายสิบปีแล้วใบนี้ มันเหมือนกับคุณซานต้าของฉันไม่มีผิดเพี้ยนเลยแม้แต่น้อย!? เหมือนกระทั่งรอยยิ้มที่สดใสดุจตะวันฉายแสงท่ามกลางท้องฟ้าที่ปลอดโปร่งของเขา คุณยายท่านบอกกับฉันว่า
"อ๋อ นั้นเป็นเพื่อนชาวต่างชาติของคุณทวดท่านนะ เพราะคนๆนี้แหละคุณทวดถึงได้อยากไปทำร้านอาหารไทยในต่างประเทศนะ ย่าจำได้ลางๆว่า เคยเห็นคุณทวดท่านสัญญากับหนุ่มฝรั่งคนนี้ทำนองว่า
"ถ้าฉันหรือลูกหลานทำร้านอาหารอร่อยๆในต่างประเทศได้แล้วละก็ นายต้องรับปากนะว่าจะมาเยี่ยมเยียนกันบ้าง และคอยช่วยเหลือพวกเขาหน่อยละ เผื่อมีปัญหาอะไรเกี่ยวกับพวกฝรั่งที่ฉันไม่รู้"ทั้งยายและแม่ของหนูก็เลยมุ่งมั่นที่จะทำร้านอาหารไทยในต่างแดนเพราะคำสัญญาอันนี้ละจ๊ะ...
ทุกวันนี้เวลาที่ฉันมองออกไปนอกร้านหรือเดินตามท้องถนน ฉันยังคงเฝ้ามองหาเขาอยู่เสมอ แม้จะไม่พบเขาอีกเลยนับจากนั้น แต่ฉันก็ยังคงเชื่อมั่นว่า คุณซานต้าชุดดำของฉัน จะยังคงเตร็ดเตร่ไปในที่ต่างๆและพบพานผู้คนมากมาย และคำพูดที่เขาจะพูดเมื่อพบใครสักคนที่กำลังสิ้นหวังในชีวิตก็คือ...
--------------------------------ณ กรุงปักกิ่ง ประเทศจีน-----------------------------------
ในซอยมืดทึบแห่งนึงในย่านสลัมที่แออัด เด็กชายผู้มีนามกรว่า หยางเทียนเฉิน กำลังนอนสะบักสะบอมอยู่ ซึ่งเป็นผลมาจากการไม่ยอมจ่ายค่าคุ้มครองแก่เหล่าเจ้าถิ่น ที่คอยมาก่อกวนห้างขายผักของเขา แม่ของหยางเทียนเฉินสอนอยู่เสมอว่า"สวรรค์ไม่ทอดทิ้งผู้มีความเพียรมานะเป็นแน่" แต่ดูเหมือนไม่ว่าเขาจะดิ้นรนหลีกหนีชีวิตที่ลำเข็ญแบบนี้อย่างไร มันก็ยังไร้ค่าอยู่ดี
"บัดซบ \(ToT)/ฉันทำทุกอย่างๆที่แม่สอนแล้วทำไมชีวิตฉันถึงไม่มีความสุขเลย หรือจะต้องไปปล้นจี้เขา ฉันถึงจะมีกินหรือไงเล่าโว้ย! "เทียนเฉินตะโกนด่าตัดพ้อฟ้าดิน ทันใดนั้นเอง เขาก็พบว่ามีชายชาวต่างชาติผู้นึงในชุดคลุมสีดำกำลังเดินเข้ามาในซอย ในมือถือลูกท้อแทะกินไปพลาง หยุดยืนดูเขาที่กำลังนอนกองอยู่กับพื้น แล้วเอ่ยวาจาว่า
"นี้เทียนน้อย เจ้าเชื่อในเรื่องกรรมมั้ย"...(^_^)
The End
ข้อความที่โพสจะต้องไม่น้อยกว่า {{min_t_comment}} ตัวอักษรและไม่เกิน {{max_t_comment}} ตัวอักษร
กรอกชื่อด้วยนะ
_________
กรอกข้อมูลในช่องต่อไปนี้ไม่ครบ
หรือข้อมูลผิดพลาดครับ :
_____________________________
ช่วยกรอกอีกครั้งนะครับ
กรุณากรอกรหัสความปลอดภัย
ความคิดเห็น