ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    บุพผาโปรยใต้จันทร์กระจ่าง

    ลำดับตอนที่ #6 : ลำนำสับประยุทธ์

    • อัปเดตล่าสุด 18 มี.ค. 49


    ท่ามกลางสายตาหลายร้อยคู่ บุคคลที่ยืนล้อมรอบหุบเขาอันเปลี่ยวร้างแห่งนี้ล้วนเป็นบุคคลอันกระเดื่องนาม แต่ละนามบ่งบอกถึงตำนานอันสุกสกาวเรื่องหนึ่ง บุคคลแต่ละคนล้วนมีความสามรถมีอำนาจบารมีคลอบคลุมแว่นแคว้นหนึ่ง  แต่ตอนนี้พวกมันกำลังรอ ...............

     

    ยอดฝีมือแห่งสองดินแดนขณะนี้ยืนประจันหน้ากันท่ามกลางฝุ่นสีดำคละคลุ้งจากลมกระหน่ำในหุบเขา พื้นของทรายซึ่งดำสนิทดุจราตรีกาล กลืนกับตัวของราชันย์ทราย ฟ่านจินเยี่ยน ก็จริง แต่ที่น่าแปลกประหลาดใจ คือเมื่อมันนั่งขัดสมาธิอยู่ที่พื้นก็ดุจว่ามันไม่เคลื่อนไหวอันใด ยามใดก็ไม่ทราบกลับในคลองสายตาของทุกผู้คนมิได้เห็นมันเคลื่อนไหวแต่ทุกคนก็ได้รู้สึกว่ามันได้ยืนขึ้นแล้วและมิได้เห็นมันขยับตัวโดยซักน้อยนิด ดาวประกายพรึกอีกผู้หนึ่ง ผู้วิเศษสราญรมย์ หลี่เหยาจวิน  ในชุดนักพรตเครายาวปลิวไสวท่ามกลางสายลมชุดอันขาวสะอาดของมัน ตัดกลับสถานที่สีดำดุจราตรีก็ไม่ปานนี้ เฉกเช่นดาวส่องสกาวบนฟากฟ้ายามราตรี ดวงตาอันสุกใสราวส่องทะลุทุกสิ่งคล้ายจับจ้องไปทั่วบริเวณคล้ายจับจ้องเอาทุกผู้คนคลอบคลุมไม่มีสิ่งใดหลุดพ้นออกจากสายตาของมันได้ .........................

     

    ตรงกันข้าม ดวงตาที่ค่อย ๆ ลืมเปล่งประกายขึ้นมาอย่างช้าของ ราชันย์ทราย ฟ่างจินเยี่ยน ตอนแรกดวงตาสีน้ำตาลของมันว่างเปล่า จากนั้นจุดสู่จุด เส้นประกอบเส้น รวมตัวกันอย่างรวดเร็ว ส่องประกายขึ้นทีละน้อย แต่เจิดจ้าอย่างรวดเร็วและรวมศูนย์อยู่ ณ จุดเดียว มวลสมาธิของมันทั้งหมดไม่สนใจ สิ่งอื่นใดแม้แต่น้อยราวกับสายตาซึ่งเปล่งประกายมาจากรอบนอกไม่มีตัวตน มีเพียงมันกลับคู่มือที่อยู่ต่อหน้าของมันนอกนั้นไม่มีอื่นใดมาเบี่ยงเบนมันได้ ....................................

     

    ปากของจอมราชันย์แห่งทะเลทรายเปล่งคำพูดคำแรกออกมา  นับแต่กาลมาบัดนี้ได้ถึงเวลาซึ่งพวกเราชนเผ่านอกด่าน จะก้าวเข้าสู่ศักราชใหม่ สู่ดินแดนใหม่ไม่ว่าท่าน หรือผู้ใดก็ไม่อาจหยุดยั้งก้าวย่างของพวกเราได้

    คำพูดของฟ่างจินเยี่ยนดังสะท้อนไปทั่วท้องบริเวณเหล่าชาวยุทธนอกด่านฝ่ายมันเมื่อได้ฟังคำของบุคคลซึ่งเปรียบเหมือนเทพเจ้าของพวกมันแล้วดวงตาของมันเปล่งประกายอันแหลมคมรุนแรงแหลมคมเจิดจ้าขึ้นทันที  ..................

     

    แต่โบราณกาลมาเราอยู่ส่วนเราท่านอยู่ส่วนท่านไม่เคยรุกรานกันมาก่อน อีกประการแม้ว่าพวกท่านเข้าไปตั้งถิ่นฐานยังแดนตงง้วนพวกเราก็ไม่เคยได้ติติงทักท้วงไม่ให้ท่านทำแต่อย่างใด คำพูดเอ่ยมาจากน้ำเสียงเมตตาดึงดูดใจผู้คนของ ผู้วิเศษสราญรมย์ หลี่เหยาจวิน  ดังขึ้น

     

    เฮอะ พวกท่านอยู่ยังดินแดนอันอุดมสมบูรณ์ คล้ายเศรษฐีไหนเลยจะได้เคยมองมายังพวกเรา สายตาอันสูงส่งของพวกท่านมองเราว่าอย่างไร ต่ำต้อย ไร้การศึกษา อานารยชน คนเถื่อน คนร่ำรวยดุจพวกท่านไม่เคยได้เห็นบุคคลเช่นพวกเราเป็นมนุษย์ พวกเราถูกดูถูกเหยียดหยามเยี่ยงนี้มานานเพียงพอแล้ว   ดวงตาอันคมกริบประดุจดาบวิเศษซึ่งอยู่ในมือ เพ่งไปยังคนอันอยู่ด้านบนจนผู้คนหนาวสันหลังยะเยือก

     

    หากเป็นเช่นนั้นจะผิดประการใดกับโจรเล่า หลี่เหยาจวินทอดถอนใจ

     

    นี่เป็นสิ่งอ้างของพวกท่าน ที่วัน ๆ ชมชอบอ้างแต่ความชอบธรรมกับคุณธรรม สำหรับพวกเราผู้เข้มแข็งเท่านั้นจึงครอบครองทุกสิ่ง ไม่ต้องมาอ้างถึงความชอบธรรมซึ่งแบ่งชนชั้นอย่างพวกท่าน เหตุใดบุคคลซึ่งไม่มีความสามารถอันใดจึงได้อยู่อย่างสุขสบาย แล้วปล่อยให้คนขยันขันแข็งอดอยาก นี่หรือคือความยุติธรรมของพวกท่าน เราจะบอกท่าน ผืนแผ่นดินมิได้เป็นของผู้ใด แม้ท่านจะอยู่มาก่อนแต่พวกเราก็มีสิทธิโดยเช่นกันและไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าชาวตงง้วนแน่นอน บุคคลใดมีซึ่งพลังอำนาจความแข็งแกร่งเพียงพอที่จะครอบครองสิ่งนั้นจึงได้เป็นเจ้าของ หากท่านไม่มีความสามารถที่แท้จริงแม้พูดอย่างไรก็เปล่าประโยชน์ เป็นเหตุให้เราต้องเสียเวลาอันมีค่าของเราผู้ซึ่งครองดินแดนนอกด่านนี้ มาเผชิญกับท่านอย่างไรเล่า  ผู้วิเศษสราญรมย์ อันเป็นเอกอุแห่งแดนตงง้วน   ดวงตาคมของผู้ครองแดนนอกด่านเพ่งที่คู่มือของมัน

     

    ดวงตาของผู้วิเศษสราญรมย์ หลี่เหยาจวิน ทอประกายเศร้าสร้อยจับใจ เต็มไปด้วยอารมณ์ ปากกล่าวว่า ในที่สุดแล้ว เราทั้งสองคนก็ไม่อาจหลีกเลี่ยงความแตกแยกได้จริงหรือ  ....  ในที่สุดกระทั่งความสงบของทั้งหมดเราก็จะทำลายลงหรือ

     

    ราชันย์ทราย ฟ่างจินเยี่ยน กลับไม่หวั่นไหวไปกับน้ำเสียงชายชราผู้อยู่เบื้องหน้า นัยน์ตาสงบนิ่ง ตอบกลับไปช้า ๆ

    ที่สุดแห่งการตัดสิน หากมิสามารถตกลงกันแล้ว ย่อมต้องใช้กำลัง ท่านมีเจตนารมณ์ของท่าน ข้ามีความตั้งใจของข้า  และไม่ว่าอย่างไรย่อมไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้ด้วยคำพูดเพียงเล็กน้อย ดังนั้นพูดอย่างไรไปก็ไร้ซึ่งประโยชน์ ยังคงใช้กำลังเข้าตัดสิน เพื่อหาจุดยุติเถอะ

     

    ขาดคำมือคล้ำเรียวยาวเปล่งประกายกลางแดดค่อย ๆ ยกขึ้นจับด้ามดาบช้า ๆ แต่เพียงจับด้ามฝักสีดำก็ค่อย ๆ สลายออก เป็นผุยผงเป็นฝุ่นสีดำไปตามสายลม ดาบสีเหลืองสะท้อนประกายเจิดจ้าค่อย ๆ ทอประกายแสงอำไพคล้ายอาทิตย์อรุโณทัยทำลายความมืดของรัตติกาล .............

     

    สายตาของบุคคลรอบนอกชาวตงง้วนทั้งหลายเริ่มมีแววตาเป็นกังวลขึ้นมา สายตาระดับพวกมันรู้ดีว่าพลังที่สะท้อนออกจากการกระทำนี้รุนแรงขนาดไหน ราชันย์ทรายมิได้เกร็งกำลังแม้แต่น้อยนิดระหว่างสนทนา แต่เมื่อเริ่มโคจรด้ามดาบของมันพลันทนพลังอันรุนแรงไม่ไหวสลายออกไปเป็นฝุ่นธุลีทันที ......

     

    ดวงตาไร้เดียงสาผิดวัยของผู้วิเศษสราญรมย์ หลี่เหยาจวิน เปล่งประกายสุกใสส่องกระจ่างคล้ายกระจกเงาสะท้อนทุกสิ่งสิ้น ทุกความเคลื่อนไหวของคู่มือที่อยู่ตรงหน้า สะท้อนออกมาโดยความเป็นจริงไม่ขาดไม่เกินจากความเป็นจริง  พลางล้วงเลาขลุ่ยไม้ไผ่ออกจากอกเสื้อ นำมาจี้ใส่ราชันย์ทรายดุจกระบี่ ปากกล่าวพร้อมรอยยิ้มน้อย ๆ     พี่ฟ่านโปรดออมมือ

     

    การต่อสู้ของเรา หากมิใช่ชัยชนะก็ย่อมเป็นพ่ายแพ้  ไม่ใช่ท่านตายก็คือเราสิ้น ไม่มีการละเว้นทางถอยแก่ผู้ใด มีแต่ใช้ฝีมือจนถึงที่สุดจึงเป็นการเคารพต่อคู่ต่อสู้อย่างแท้จริง กล่าวจบคำดาบประดุจสายวิชุแล่นปราดออกจากมือข้ามผ่านระยะสามวาเข้าใส่ผู้วิเศษราญรมย์อย่างรวดเร็วเกินสายตามนุษย์จะมองเห็น ผู้คนเพียงเห็นประกายดาบซึ่งกลบร่างของมันไปโดยหมดสิ้น

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×