ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    บุพผาโปรยใต้จันทร์กระจ่าง

    ลำดับตอนที่ #4 : การสนทนา

    • อัปเดตล่าสุด 11 มี.ค. 49


    การสนทนา

    ดวงตาของบุรุษหนุ่มชุดขาวพลันทอประกายพิสดารคล้ายเข้าใจเงื่อนงำบางประการ  ปากของมันคลี่ออกเป็นรอยยิ้มสนุกสนานหัวร่อพลางกล่าว

    " คาดไม่ถึงว่าท่านนักพรตจะมี อารมณ์ขบขันปานนี้ ถึงกับล่อข้าพเจ้าออกมา  ไม่กลัวกฎหมายบ้านเมืองเลยหรือ อ้อ ....... หากข้าน้อยคาดเดาไม่ผิด ท่านคงจะมีนามว่า หลี่เหยาจวิน  ที่มีฉายาว่า ผู้วิเศษสราญรมย์ กระมัง "

    "ฮา..ฮา..ๆ  เต้าส่วย (ขุนพล) จำข้าได้ก็นับว่าเกินไปแล้ว หากกาลก่อนมี เต้าส่วย ชอลิ่วเฮียง ขุนพลในหมู่โจร ในรอบสิบกว่าปีมานี้ก็ต้องนับว่า จอมโจรประกายแดง เทียบเทียมได้อย่างไม่มีด้อยกว่าโดยเด็ดขาด "

    ยุทธภพยุคนี้หากจะมีบุคคลจัดลำดับยอดฝีมือ คงยากยิ่งที่จะกล่าวนับจากนิกายเทิดสุริยันลบเลือนไปจากแผ่นดินเมื่อสิบกว่าปีก่อน ก็ไม่มีบุคคลซึ่งยืนอยู่ ณ จุดสูงสุดอีก

    บ้างก็ว่า ผู้วิเศษสราญรมย์ กับเก้าท่าสุญญตา ด้วยพลังวัตรและกำลังภายในกว่าร้อยปี รวมกับฝีมือซึ่งทะยานขึ้นสู่จุดสูงสุดของฝ่ายธรรมะตั้งแต่ สามสิบกว่าปีก่อน น่าจะไร้ผู้เทียมทาน 

    บ้างก็ว่า ที่ขบวนการฟ้าสังหารสามารถยืนหยัดขึ้นมาได้ และสังหารยอดยุทธทั่วแผ่นดินไปมากมาย ย่อมต้องมียอดฝีมือระดับสูงสุดให้การหนุนหลังอยู่

    บ้างก็ว่า ที่เผ่าต่าง ๆ ณ แดนทะเลทรายนอกด่านปัจจุบันนี้สามารถรวมกันเป็นหนึ่งเดียวได้  เพราะมี ราชันย์ทราย ฟ่างจินเยี่ยน ซึ่งถือเป็นยอดฝีมืออันดับหนึ่งแห่งดินแดนนอกด่านกับ เพลงดาบหมื่นมหรรณพ อันน่าหวาดกลัวจึงกล่าวได้ว่าเป็นอันดับหนึ่งอย่างไร้คำครหา

    และแน่นอนย่อมมีผู้กล่าว จอมโจรประกายชาด เฮี่ยงเทียนปวย  นับแต่ออกท่องเที่ยวมาไม่เคยมีประสบความพ่ายแพ้ เข้านอกออกในสถานที่ต้องห้ามของบู๊ลิ้มประดุจเคหสถานของตนเองจึงเป็นยอดฝีมืออันดับหนึ่งอย่างแท้จริง

    หากบุคคลอันเลือนลั่นในยุทธภพสองคนมาเจอกันย่อมต้องเกิดเหตุการณ์อันไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน

    ผู้วิเศษสราญรมย์เอ่ยอย่างยิ้มแย้ม  " ข้าทราบมาว่าท่านเฮี่ยง นิยมเมรัย วันนี้ได้มาพบกัน ใคร่จะขอคำชี้แนะสักเล็กน้อย " พลางเปิดน้ำเต้าขนาดใหญ่อยู่ด้านหลังขึ้นมาดื่มอย่างกระหาย


    เฮี่ยงเทียนปวยรู้สึกขบขันจึงกล่าวตอบไปว่า
    " นึกไม่ถึงว่าบรรชิตทั้งหลายก็สามารถดื่มสุราได้ ไม่กลัวท่านเหลาจื่อโทษว่าท่านหรือ "

    " ฮา ฮา สุราราดรดผ่านลำไส้กลับสู่จิตใจอยู่คู่ธรรม ไม่ว่าสุรา หรือ น้ำธรรมดาอันใสบริสุทธุ์ สุดท้ายก็กลับสู่ดั้งเดิม ไม่ว่าดื่มอันใด ก็เหมือนกัน เหมือนกัน "

    เฮี่ยงเทียนปวยรับฟังพลางดื่มสุราอย่างยิ้มแย้ม เมื่อดื่มเข้าไปแล้วรู้สึกว่า หอมนุ่มละมุน คล้ายมีรส คล้ายไม่มีรส แต่ให้ความอบอุ่นแผ่ซ่านออกมาจากส่วนลึกทั่วร่างกาย จนต้องทอดถอนใจชมเชยว่า "สุราดี "

    "ฮา ฮา ดี หรือ ไม่ดี ก็อยู่ที่ผู้ดื่มหากดื่มกับบุคคลซึ่งไม่ถูกรสนิยมกัน ไม่ว่าจะเป็น สุราชั้นเลิศขนาดไหน ก็ไม่อาจให้รสชาติอันยอดเยี่ยมของมันออกมาได้หรอก ตรงกันข้าม หากดื่มกับบุคคลซึ่งรู้ใจ แม้จะเป็นเพียงสุราเลว ก็เปรียบดังน้ำอมฤต "

    " ถ้าเช่นนั้นผู้อาวุโส ก็สมควรทราบว่าข้าพเจ้าเป็นบุคคลซึ่งเปิดเผยจริงใจเสมอมา ดังนั้นขออภัยที่ต้องเรียนถามตามตรง ไม่ทราบว่า ท่านผู้อาวุโสมีธุระอันใดกับข้าพเจ้าหรือ " เฮี่ยงเทียนปวยถามอย่างยิ้มแย้มแต่ดวงตาอันสุกใสกลับทอประกายเจิดจ้า ภายใต้แสงจันทร์ที่สาดส่องลงสู่พื้นโลก

    ดวงตาอันเรืองรองเงียบสงบดุจบ่อโบราณของ ผู้วิเศษสราญรมย์ หลี่เหยาจวิน  กลับปรากฏประกายขึ้นเป็นระลอก เอ่ยปากถามเฮี่ยงเทียนปวยกลับ  " เฮี่ยงเทียนปวยท่านทราบหรือไม่ว่า หน่วยงานฟ้าสังหารนั้นป็นเช่นไร "

    ดวงตาของจอมโจรประกายชาดทอแววประหลาดใจปากตอบว่า " นี่เป็นอีกหนึ่งปริศนาที่ค้างคาใจของข้าตลอดมา ตามหลักหน่วยงานซึ่งสามารถกระทำการได้ถึงเพียงนั้น จำต้องมี กำลังทรัพย์ และบุคคลมหาศาล มิหนำซ้ำ เป้าหมายของมันแต่ละรายมิใช่บุคคลธรรมดาทั่วไปหากแต่ดูคล้ายเจาะจงเฉพาะยอดยุทธ  เพราะฉะนั้นจะต้องมีระดับสุดยอดฝีมือขั้นปรมาจารย์อยู่อย่างแน่นอน ซึ่งสิ่งต่าง ๆ หลายประการนี้ไม่สามารถเพาะสร้างได้ในเวลาอันรวดเร็วเป็นเด็ดขาด แต่ฟ้าสังหารนั้นประดุจว่าโผล่มาจากความว่างเปล่าก็มิปาน อีกประการแม้ทุกผู้คนจะทราบว่าฟ้าสังหารเป็นขบวนการซึ่งรับฆ่าคน แต่จริง ๆแล้วกลับไม่มีผู้ใดรู้วิธีในการติดต่อกับพวกมัน ไม่ทราบว่าผู้อาวุโสเห็นว่าประหลาดหรือไม่ "

    ระลอกในดวงตาของผู้วิเศษสราญรมย์ หลี่เหยาจวิน คล้ายมีคนทุ่มหินลงไปในบ่อโบราณ มีแววตาหวนลำรึกถึงอดีตเกิดขึ้นไม่หยุดยั้งกล่าวด้วยน้ำเสียงกังวานไปทั่วบริเวณอย่างแช่มช้าว่า

    " เมื่อประมาณสามร้อยกว่าปีก่อน มีสำนักหนึ่งปรากฏขึ้น แม้อยู่ในยุทธภพเป็นช่วงสั้น ๆ หากแต่แจ่มจ้าจรัสแสงประดุจดาวตกผ่านขอบฟ้า "

    เฮี่ยงเทียนปวยคล้ายคิดอะไรได้อุทานออกมา " อา นั่นใช่วังสุดสำราญ หรือไม่ " เมื่อเห็นหลี่เหยาจวินไม่คัดค้านจึงกล่าวอย่างแคล่วคล่องต่อไปว่า " ฟังว่าผู้ซึ่งก่อตั้ง วังสุดสำราญ ซึ่งมีนามว่า ฟ่านเจี้ยน มิใช่ชาวตงง้วนหากแต่เป็นเชื้อพระวงศ์ซึ่งมาจาก  แชไซฮก ( เปอร์เซีย ) ซึ่งอยู่ทางตะวันตกของแผ่นดินเรา มีลักษณะนิสัยและวิชาซึ่งแปลกประหลาด และมีรสนิยมอย่างหนึ่ง คือ ชมชอบสะสมวิชาต่าง ๆ บู๊ลิ้มยุคนั้นตำรายุทธต่าง ๆ ส่วนใหญ่ล้วนตกแก่มือมัน มิหนำซ้ำมันเป็นอัจฉริยะในอัจฉริยะ หากได้อ่านตำราใดก็ใช้ได้ทันที หากแต่วังสุดสำราญนั้นปรากฏอยู่เพียงประมาณห้าสิบปีก็พลันสาบสูญไป จนบัดนี้แม้มีผู้คนมากมายตามหาวังนี้ แต่ก็ไม่มีผู้ใดเคยได้พบเจอ มีผู้ประมาณไว้ว่า ในวังสุดสำราญนอกจากจะมีคัมภีร์ยอดวิชายุทธ์อยู่มากมายแล้ว ทรัพย์สินและของวิเศษภายในน่าจะมีปริมาณและคุณค่ามหาศาลเทียบเท่าท้องพระคลังเลยทีเดียว "

    ผู้วิเศษสราญรมย์ หลี่เหยาจวิน  รับฟังอย่างยิ้มแย้มดวงตาทอประกายชื่นชม " ยากนักที่จะหาคนรู้ตำนานในยุทธภพบทนี้  แต่เหนือจากที่ท่านทราบยังมีความเร้นลับซ่อนอยู่ในเรื่องราวบทนี้ .................."

    และแล้วอดีตอันตราตรึงแห่งผู้ก่อตั้งวังสุดสำราญก็หลั่งไหลออกมาจากของสุดยอดฝีมือแห่งยุทธภพผู้นี้ ............

    ผู้วิเศษสราญรมย์ หลี่เหยาจวิน เงยหน้าขึ้นเพ่งพินิจดวงดาวกลางเวหนอย่างเคลิบเคลิ้ม

    " เมื่อมากกว่าสามร้อยปีกาลผ่านมา ยุคอาณาจักรแชไซฮก นั้นมีได้เกิดรัชทายาทขึ้นสององค์ ทั้งสองเป็นพี่น้องฝาแฝด กาลเวลาผันผ่านไปเมื่อทั้งสองเจริญวัยฉกรรจ์ เกิดซึ่งการแข่งขันคัดเลือกรัชทายาท ฝ่ายผู้น้องซึ่งไม่ต้องการจะชิงดีชิงเด่นกับพี่ชายได้หายตัวไปกลางคืนก่อนวันคัดเลือกนั้นเอง " ผู้วิเศษสราญรมย์เอ่ยเกริ่นขึ้น

     " นี่กลับคลับคล้ายตำนาน " เฮี่ยงเทียนปวยเอ่ยอย่างยิ้มแย้ม

    ดวงตาสุกใสของหลี่เหยาจวินเป็นส่องประกายคล้ายเอ่ยเอื้อนแทนวาจา"  รัชทายาทซึ่งหายตัวไป ต่อมาได้มีนามว่า ฟ่านเจี้ยน สิ่งที่มันต้องการความจริงแล้วมิใช่ว่ามันชมชอบสะสมวิชาอันใด หากแต่มีเหตุด้วยว่าแผ่นดินเปอร์เซียยุคนั้นมีความไม่มั่นคงในราชสำนัก ฟ่านเจี้ยนต้องการให้มีฐานพำนักแก่ พี่ชายของตนเองยามเกิดการเพลี่ยงพล้ำ และฝึกบุคคลซึ่งจะเป็นมือเท้าแก่พี่ชายของมัน ทำให้มันต้องการวิชาฝีมือหลายแขนง เป็นที่มาของคำรำลือที่ว่า มันชมชอบสะสมคัมภีร์ ต่าง ๆ "

    " แต่ที่ผู้อาวุโสกล่าวถ้อยคำเหล่านี้ออกมาแก่ข้าพเจ้าเพื่อเหตุใด "

    ฮา ฮา หลี่เหยาจวินหัวร่ออย่างสมใจก่อนจะกล่าวต่อไปว่า "เพื่อเปิดเผยซึ่งความจริงทุกสิ่งทุกอย่างแก่ท่านอย่างไรเล่า สิ่งที่เป็นปัญหาในกาลต่อมาซึ่งอัจฉริยะจากแชไซฮก ผู้นี้ทิ้งไว้แก่พวกเราชาวตงง้วนมีหลายประการ ประการแรก ทรัพย์สมบัติซึ่งฟ่านเจี้ยนขนย้ายมาจากเปอร์เซียเพื่อเป็นขุมทรัพย์สำรองในการตั้งตัวและเกิดการฉุกเฉินสำหรับพี่ชายมัน ประการที่สอง ตำราวิชาอันล้ำค่าของบู๊ลิ้มมากมายซึ่งมันชิงไปจากสำนักต่าง ๆ และประการสุดท้ายที่เป็นปัญหาสำหรับพวกเราคือ หลังจากมันกลับสู่แดนมาตุภูมิดินแดนแชไซฮก ของมันไปแล้ว สมบัติของมีค่าต่างรวมถึงคัมภีร์ยอดวิชาทั้งหลายได้อยู่ยังวังสุดสำราญของมันเช่นเดิม หากแต่มันได้มอบแก่ทายาทซึ่งไว้ใจได้และแยกย้ายซ่อนไว้เป็นปริศนา จนถึงบัดนี้ ......."

    ผู้วิเศษสราญรมย์ หลี่เหยาจวิน กล่าวต่อไปอย่างยิ้มแย้ม " ท่ามกลางกาลผ่านไป ฟ่านเจี้ยนได้ส่งทายาทของตนเองมายังดินแดนภาคกลางเพื่อปกป้องขุมทรัพย์ของตนเอง เมื่อเป็นดังนั้นอีกประมาณห้าสิบปีต่อมาจึงเกิดนิกายเล็ก ๆ ขึ้นเติบโตท่ามกลางการสนับสนุนของอัจฉริยะผู้นี้ เราท่านได้รู้จัก ในนามว่า นิกายเทิดสุริยัน นิกายซึ่งถูกเหล่าสำนักใหญ่ล้มล้างโดยความริษยาไปเมื่อสิบกว่าปีก่อน เนื่องด้วยเหตุนี้ปริศนาที่ตั้งแห่งขุมทรัพย์ จึงเกิดการขจรขจายขึ้นมา จากหยกของฟ่านเจี้ยนซึ่งห้อยอยู่บนตัวของหัวหน้านิกายเทิดสุริยัน  บนหยกนั้นสลักถึงสองสิ่ง กระบี่สะท้อนจันทร์ และ วิหคโลหิต "

    " วิหคโลหิต " เฮี่ยงเทียนปวยทวนคำอย่างประหลาดใจ

    "เป็นกำลังภายในของชาวดินแดนแชไซฮก คาดว่าคงสาบสูญไปแล้ว ตราบจนเมื่อไม่นานนี้ ข้าได้พบเจอชาวนิกายเทิดสุริยันซึ่งเหลืออยู่ ทำให้มีโอกาสที่ขุมทรัพย์ของฟ่านเจี้ยนจะปรากฏขึ้นมาเพื่อสร้างความความวุ่นวายแก่พวกเรา"

    ดวงตาของผู้วิเศษสราญรมย์ทอประกายเศร้าหมอง พลางกล่าว " เราใคร่ขอร้องท่านให้ใช้ขโมยกระบี่สะท้อนจันทร์ไปทำลายเสีย เหตุว่าทางฟ้าสังหารได้ทราบเรื่องขุมทรัพย์ของฟ่านเจี้ยนแล้ว กอปรด้วยขณะนี้เราไม่สามารถใช้กำลังภายในได้อีกต่อไปแล้ว .........."


    ผู้วิเศษสราญรมย์ หลี่เหยาจวิน เงยหน้าขึ้นเพ่งพินิจดวงดาวกลางเวหนอย่างเคลิบเคลิ้ม

    " เมื่อมากกว่าสามร้อยปีกาลผ่านมา ยุคอาณาจักรแชไซฮก นั้นมีได้เกิดรัชทายาทขึ้นสององค์ ทั้งสองเป็นพี่น้องฝาแฝด กาลเวลาผันผ่านไปเมื่อทั้งสองเจริญวัยฉกรรจ์ เกิดซึ่งการแข่งขันคัดเลือกรัชทายาท ฝ่ายผู้น้องซึ่งไม่ต้องการจะชิงดีชิงเด่นกับพี่ชายได้หายตัวไปกลางคืนก่อนวันคัดเลือกนั้นเอง " ผู้วิเศษสราญรมย์เอ่ยเกริ่นขึ้น

     " นี่กลับคลับคล้ายตำนาน " เฮี่ยงเทียนปวยเอ่ยอย่างยิ้มแย้ม

    ดวงตาสุกใสของหลี่เหยาจวินเป็นส่องประกายคล้ายเอ่ยเอื้อนแทนวาจา"  รัชทายาทซึ่งหายตัวไป ต่อมาได้มีนามว่า ฟ่านเจี้ยน สิ่งที่มันต้องการความจริงแล้วมิใช่ว่ามันชมชอบสะสมวิชาอันใด หากแต่มีเหตุด้วยว่าแผ่นดินเปอร์เซียยุคนั้นมีความไม่มั่นคงในราชสำนัก ฟ่านเจี้ยนต้องการให้มีฐานพำนักแก่ พี่ชายของตนเองยามเกิดการเพลี่ยงพล้ำ และฝึกบุคคลซึ่งจะเป็นมือเท้าแก่พี่ชายของมัน ทำให้มันต้องการวิชาฝีมือหลายแขนง เป็นที่มาของคำรำลือที่ว่า มันชมชอบสะสมคัมภีร์ ต่าง ๆ "

    " แต่ที่ผู้อาวุโสกล่าวถ้อยคำเหล่านี้ออกมาแก่ข้าพเจ้าเพื่อเหตุใด "

    ฮา ฮา หลี่เหยาจวินหัวร่ออย่างสมใจก่อนจะกล่าวต่อไปว่า "เพื่อเปิดเผยซึ่งความจริงทุกสิ่งทุกอย่างแก่ท่านอย่างไรเล่า สิ่งที่เป็นปัญหาในกาลต่อมาซึ่งอัจฉริยะจากแชไซฮก ผู้นี้ทิ้งไว้แก่พวกเราชาวตงง้วนมีหลายประการ ประการแรก ทรัพย์สมบัติซึ่งฟ่านเจี้ยนขนย้ายมาจากเปอร์เซียเพื่อเป็นขุมทรัพย์สำรองในการตั้งตัวและเกิดการฉุกเฉินสำหรับพี่ชายมัน ประการที่สอง ตำราวิชาอันล้ำค่าของบู๊ลิ้มมากมายซึ่งมันชิงไปจากสำนักต่าง ๆ และประการสุดท้ายที่เป็นปัญหาสำหรับพวกเราคือ หลังจากมันกลับสู่แดนมาตุภูมิดินแดนแชไซฮก ของมันไปแล้ว สมบัติของมีค่าต่างรวมถึงคัมภีร์ยอดวิชาทั้งหลายได้อยู่ยังวังสุดสำราญของมันเช่นเดิม หากแต่มันได้มอบแก่ทายาทซึ่งไว้ใจได้และแยกย้ายซ่อนไว้เป็นปริศนา จนถึงบัดนี้ ......."

    ผู้วิเศษสราญรมย์ หลี่เหยาจวิน กล่าวต่อไปอย่างยิ้มแย้ม " ท่ามกลางกาลผ่านไป ฟ่านเจี้ยนได้ส่งทายาทของตนเองมายังดินแดนภาคกลางเพื่อปกป้องขุมทรัพย์ของตนเอง เมื่อเป็นดังนั้นอีกประมาณห้าสิบปีต่อมาจึงเกิดนิกายเล็ก ๆ ขึ้นเติบโตท่ามกลางการสนับสนุนของอัจฉริยะผู้นี้ เราท่านได้รู้จัก ในนามว่า นิกายเทิดสุริยัน นิกายซึ่งถูกเหล่าสำนักใหญ่ล้มล้างโดยความริษยาไปเมื่อสิบกว่าปีก่อน เนื่องด้วยเหตุนี้ปริศนาที่ตั้งแห่งขุมทรัพย์ จึงเกิดการขจรขจายขึ้นมา จากหยกของฟ่านเจี้ยนซึ่งห้อยอยู่บนตัวของหัวหน้านิกายเทิดสุริยัน  บนหยกนั้นสลักถึงสองสิ่ง กระบี่สะท้อนจันทร์ และ วิหคโลหิต "

    " วิหคโลหิต " เฮี่ยงเทียนปวยทวนคำอย่างประหลาดใจ

    "เป็นกำลังภายในของชาวดินแดนแชไซฮก คาดว่าคงสาบสูญไปแล้ว ตราบจนเมื่อไม่นานนี้ ข้าได้พบเจอชาวนิกายเทิดสุริยันซึ่งเหลืออยู่ ทำให้มีโอกาสที่ขุมทรัพย์ของฟ่านเจี้ยนจะปรากฏขึ้นมาเพื่อสร้างความความวุ่นวายแก่พวกเรา"

    ดวงตาของผู้วิเศษสราญรมย์ทอประกายเศร้าหมอง พลางกล่าว " เราใคร่ขอร้องท่านให้ใช้ขโมยกระบี่สะท้อนจันทร์ไปทำลายเสีย เหตุว่าทางฟ้าสังหารได้ทราบเรื่องขุมทรัพย์ของฟ่านเจี้ยนแล้ว กอปรด้วยขณะนี้เราไม่สามารถใช้กำลังภายในได้อีกต่อไปแล้ว .........."





    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×