คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : กลางราตรี
ท่ามกลางราตรีคืนเดือนมืด ท่ามกลางดินแดนอันสวยงามของแผ่นดินจีน กลางมณฑล เสฉวน .........
หากท่านเงี่ยหูฟัง จะมีเสียงแหบห้าวแผ่วเบาแว่วมาตามสายลมว่า
“....ราวราตรี....ในโลกนี้มีหน่วยงานหนึ่งในโลกกล่าวได้ว่า ลึกลับที่สุด อันตรายที่สุด มีนามว่า ฟ้าสังหาร
ชื่อของมันก็กล่าวแทนตัวมันอยู่แล้ว พวกมันคือ มือสังหาร คนในยุทธจักรรู้จักพวกมัน แต่ไม่มีใครรู้เรื่องราวของมัน ไม่มีใครรู้ว่าตั้งอยู่ที่ใด ประดุจว่า ฟ้าสังหารนี้ อาศัยอยู่ท่ามกลางเงามืดยามราตรีมิปาน
แต่ทุกคนรู้ว่า ฟ้าสังหารลงมือแต่ละครั้ง ไม่เคยผิดพลาด และไม่เหลือทิ้งร่องรอย ดั่งกับมีการตกลงกับมัจจุราช ราวกับเป็นการให้สัจจะ ของบุคคลต่อบุคคล ซึ่งมีการตกลงกันอยู่ก่อน ฟ้าสังหารราวกับเป็นเพทภัยธรรมชาติ
........ ไม่มีทางหลบหลีกพ้น..........
ฟ้าสังหารจะส่งจดหมายลักษณะพิเศษไปที่บ้านของเหยื่อทุกรายก่อนจะลงมือ ที่น่าแปลกคือ ไม่เคยมีใครเห็นกระทั่งหน้าของผู้มาส่งจดหมายเลยด้วยซ้ำ “
ท่ามกลางค่ำคืนอันเงียบสงบ ยามนี้เป็นเวลาหลับนอนของสุจริตชน หลังประกอบสัมมาชีพมาทั้งวัน พวกมันล้วนเหน็ดเหนื่อย แต่ก็สามารถหาความสุขจากน้ำพักน้ำแรงของมันแม้เงินจะน้อยนิด หากมีความสุขแล้วจะเป็นไรเล่า มีก็แต่บุคคลที่ไม่ทำงานเท่านั้นจึงมีเวลาว่าง และไม่รู้สึก ไม่รู้จักความพอใจในชีวิตอันเรียบง่าย
พวกมันล้วนเคลื่อนไหวท่ามกลางความมืดบนหลังคา ว่องไวดุจเงาปักษาเคลื่อนผ่านลำน้ำ ชุดของพวกมันล้วนดำดุจความมืดในค่ำคืนนี้ เงียบกริบ และ รวดเร็ว
ท่ามกลางแดนกังหนำอันอบอุ่นนี้ หากนับอุทยานที่น่าท่องเที่ยวที่สุด ต้องนับว่า สวนตระกูลเง้ย เป็นอันดับหนึ่ง เก๋งศาลาซุกซ่อนตัวในสายหมอกอันละมุน หมู่มวลพฤกษาเบ่งบานชูช่อ ส่งกลิ่นหอมทั้งกลางวันกลางคืนน้ำลำธารที่ชักนำมาจากบึงไซโอ้วอันลือเลื่องของแผ่นดินจีนไหลผ่าน มีสุ้มเสียงดุจดุริยางค์ทิพย์ของธรรมชาติ
ยามค่ำคืนเช่นนี้กลับมิได้ลดทอนความงามของมันให้ลดลง กลับเพิ่มความสึกลับภายใต้แสงตะเกียงสาดส่องเพิ่มความนุ่มละมุนแก่บรรยากาศ ............ แต่บุคคลเล่า
ยามนี้บุคคลแห่งตระกูลเง้ยทุกคนรวมกันอยู่ในห้องโถงอันงดงาม แต่มิได้มีหน้าตาอันแจ่มใสเข้ากับบรรยากาศอันงดงามนี้ไม่ ยี่สิบกว่าชีวิต เรียงรายล้อมชายแก่ผู้หนึ่ง บุคคลอันเป็นเอกอุด้านกระบี่แห่งแดนเสฉวน จอมกระบี่ถนอมบุปผา เง้ยอันเลี่ยง มันปีนี้อายุ เจ็ดสิบกว่าปีแล้ว แม้มีผมขาวทั่วศีรษะ แต่ลำตัวยังตั้งตรง รอยย่นที่หางตาของมันบ่งบอกถึงริ้วรอยผ่านกาลเวลาที่ผันผ่านมันไป แต่มิได้ชำระล้างเสน่ห์อันน่าประทับใจของมัน ดวงตาอันสุกใสประดับอยู่บนใบหน้าปานสลักเสลา ยามนี้มีใบหน้าเคร่งเครียด จ้องมองอยู่กับใบหน้าผู้เป็นบุตรชายของมัน
“ อันปวย ถือว่าเราขอร้องเจ้า ไปจากบ้านนี้เสียเถิด “ มันกล่าวแก่บุรุษหนุ่มรูปงามที่ทางขวามือของมัน
บุรุษหนุ่มกล่าวว่า “ ท่านพ่อรองจากท่านบ้านของเราก็มีเพียงข้า ...ตระกูลของเรา ...สวนของเรา ...อุทยาน ชื่อเสียง... ฝีมือวรยุทธ หรือกระทั่งไม่อาจต่อสู้กับ ใครที่จะมาเข่นฆ่าเช่นนี้ก็ต้องยอมมันหรือ “
“ เนื่องด้วยมีเพียงเจ้า หรือเจ้าจะปล่อยให้หมดสิ้นกันเยี่ยงนี้ เจ้าต้องเอาชีวิตรอดต่อไป จะอย่างไรก็ได้ ขอเพียงเจ้ามีชีวิตรอด ขอเพียงเจ้ามีชีวิตรอด ............ “
กล่าวไม่ทันจบหน้าประตูก็มีบุคคลชุดดำกลืนกับความมืดมิดยืนจ้องมองอยู่ ราวกับยืนอยู่ที่นั่นมานานแล้ว กล่าวเอ่ยปากมาว่า “ เรารับค่าจ้างมา ยี่สิบห้าคน นับดูเห็นจะเกินอยู่หนึ่ง ข้าจะให้โอกาสท่านเลือกบุคคลออกมาประมือกับข้าหากมีผู้ใดรับข้าได้ สามกระบวนท่า ข้าอาจให้โอกาสมันเลือกก็ได้ “ เสียงอันเยียบเย็นแฝงด้วยน้ำเสียงสนุกกล่าวออกมา
“ได้” ชายแก่กล่าวออกมา แต่เมื่อเห็นบุตรชายทำท่าจะคัดค้าน มืออันคล่องแคล่วของมันก็เคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว สกัดจุดทั่วร่างบุตรมันหมดสิ้น ดวงตาอันสุกใสของผู้เป็นบิดาประดับไปด้วยน้ำตาอันสุกใสราวกับประกายเพชร จ้องมองมันอย่างล้ำลึก ถ่ายทอดความมุ่งหวังทั้งปวงแก่มัน เง้ยอันปวยมองบิดาตอบ แม้จะถูกสกัดจุดไว้แต่ร่างทั้งร่างสั่นระริกไม่หยุดยั้ง นัยน์แดงก่ำดุจสายเลือด
จอมกระบี่ลุกยืนหันหน้าไปประจันหน้ากับชายชุดดำ สายตาอันนุ่มนวลพลันเปลี่ยนเป็นคมกริบดุจกระบี่ที่อยู่ในฝักของมัน ก่อนสายตาจะเปลี่ยนเป็นนุ่มนวลเอ่ยปากว่า “อันปวย ลุงของเจ้าอยู่ที่ตำหนักสุคนธ์ จำไว้ว่า ต้องไปหาท่านให้ได้” พริบตานั้น ชายเสื้อของจอมกระบี่พลันกระพือแนบร่างด้านหน้าดุจมีลมกรรโชก ลมอันอำมหิตครอบคลุมตำหนักตระกูลเง้ยพัดพลิ้วเข้าสู่ร่างชายชุดดำไม่หยุดยั้ง ร่างอันสูงใหญ่ของชายชุดดำยืนหยัดดุจจะค้ำยันนภาดาวเอาไว้ พลันลดมือลง อุณหภูมิในห้องก็ยิ่งลดต่ำลง ดวงตาซีดเทาดุจปลาตายของมันกลับมีประกายขึ้นมาพร้อมย่างเท้าก้าวเข้าหาจอมกระบี่พิทักษ์บุปผาอย่างเชื่องช้า ยื่นมือออกไปราวกับจะตบบ่าล้อเล่นก็ไม่ปาน
ท่ามกลางสายตาของจอมกระบี่พิทักษ์บุปผา เท้าที่ก้าวเดินเข้ามา พริบตา สิบเชียะ ห้าเชียะ ราวกับถูกสะกด
พลันสะดุ้งสุดตัวดุจตื่นจากฝัน มือของชายชุดดำก็เข้ามาประชิดแล้ว ต้องขบกรามกรอด กระบี่ในมือดีดขึ้นมาเหมือนกับมีชีวิต แล้วแตกออกราวกับประกายดอกไม้ไฟสาดแสงกระจายออกจากมือ จี้ออกใส่มือชายชุดดำอย่างสุดกำลัง มือที่ยื่นมานั้นก็เริ่มเคลื่อนไหว ทั้งปาด สกัด จี้ กระทำราวกับเชื่องช้า แต่ทุกการเคลื่อนไหวกลับพอดี โจมตีใส่จุดกึ่งกลางของประกายกระบี่ ราวกับดาวร่วงลงจากฟากฟ้ากลายดาวตก มืออันคล่องแคล่วของจอมกระบี่กลับเปลี่ยนกระบวนที่สอง ทั้งคนทั้งกระบี่ทะยานขึ้นจากพื้นพุ่งทะลวงสภาวะดั่งสายรุ้งที่โผล่จากขอบฟ้า ใส่หน้าอกชายชุดดำอย่างรวดเร็ว ด้วยความเร็วดุจกัน มือของชายชุดดำประกบเป็นดรรชนีจี้ออกใส่รุ้งกระบี่ที่พุ่งเข้าใส่ พริบตานั้นจอมกระบี่รู้สึกตัวมีลมปราณประหลาดสองสาย ซึ่งแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงชำแรกเข้ามาตามตัวกระบี่ราวกับฉีกร่างมันออกเป็นเป็นสองส่วนจู่โจมเข้าใส่ชีพจรทุกจุดของมันอย่างรุนแรง ฉับพลันหน้าของมันกลับมืดมิด รวบลมปราณและเรี่ยวแรงเฮือกสุดท้ายจับมือนั้นไว้พร้อมกับเอ่ยว่า “ กระบวนท่าที่สาม “
“ได้” เสียงสุดท้ายที่จอมกระบี่ได้ยินดังขึ้น พร้อมเสียงฝ่ามือฟาดเข้าใส่ศีรษะอย่างรุนแรง เลือดกระเด็นออกจากร่างของจอมกระบี่เฒ่าบัดนี้ศีรษะของมันราวกับสูญหายไปจากโลกระเบิดออกแล้วหายไปไม่เหลือซากอีก
ดวงตาอันกลมโตของเง้ยอันปวยเบิ่งออกแทบฉีกขาด กล้ามเนื้อทั่วร่างเบ่งพองแทบระเบิดออกสั่นระริกจ้องมองร่างอันไร้ศีรษะของบิดาตัวเอง แน่วนิ่ง .
ท่ามกลางตำหนักนี้กลิ่นหอมดอกท้อพลันโชยมาจากที่ไกลแสนไกล ดุจล่ำลาต่อจอมกระบี่ ......................
ชายชุดดำสูดกลิ่นดอกท้ออย่างเคลิบเคลิ้ม เอ่ยออกมาว่า “ตลอดสิบปีนี้เราไม่เคยสมใจปานนี้มาก่อน ท่านยอดเยี่ยมนัก จอมกระบี่ถนอมบุปผา เง้ยอันเลี่ยง” ก่อนจะเอ่ยเปลี่ยนคำมาเป็นประกาศิตว่า “ ตามสัญญาชีวิตของบุตรชายเจ้า” พร้อมเอ่ยปากเรียกกลุ่มคนของมันภายนอกเข้ามา เสียงเปลี่ยนเป็นเยียบเย็น
“เรายกทุกคนแก่พวกเจ้า จำไว้นอกจากชายผู้นั้นซึ่งห้ามแตะต้องแล้ว หลังเสร็จธุระห้ามเจ้าไว้ชีวิตผู้ใด “ .
ก่อนจะเหลือบมองไปยังร่างจอมกระบี่แล้วพลิ้วกายจากไป
....................... กลิ่นหอมดอกท้อในห้องยิ่งเข้มข้น ..........................
ปล. อัพเร็วไหมครับเรื่องนี้รับรองอัพบ่อย ขอร้องได้โปรดนะครับช่วยแนะนำกันหน่อย นี่เป็นเรื่องแรกของผม ติอะไรก็ได้ครับ ชมยิ่งขอบคุณ
ความคิดเห็น