ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    สัตยะธารา

    ลำดับตอนที่ #4 : ภาพฝัน...

    • อัปเดตล่าสุด 30 ต.ค. 53


    ปรัศวินทร์เดินเตร็ดเตร่ไปตามถนนในอยุธยา  ตลาดนัดตอนเย็นและตลาดโต้รุ่งเริ่มมาตั้งแผง  ไฟเริ่มถูกเปิดเพื่อสาดส่องไปยังโบราณสถานเก่าแก่ฝั่งตรงข้าม  ดุจจะขับเน้นความรุ่งเรืองแห่งอดีตกาล

                ลมหนาวพัดพาจนดอกมะลิซ้อนหลุดจากต้นโปรยปลิวอยู่รอบๆตัวเขา  เขาแบฝ่ามือรองรับมะลิซ้อนดอกน้อยที่ร่วงลงมา  ซึ่งค่อยหล่นลงฝ่ามือของปรัศวินทร์อย่างนุ่มนวล

                หากในทันทีที่กลีบดอกแตะลงบนฝ่ามือ  ทำให้นายแพทย์หนุ่มรู้สึกเหมือนมีไฟฟ้าอ่อนๆแล่นปราดไปทั่วทั้งตัว !

                แสงสีขาวบาดตาวาบขึ้นจนเขาตาพร่ามัว  และแสงนั้นก็ค่อยๆจางลง...จางลง...

                เขามายืนอยู่ตรงริมแม่น้ำ  ใต้เงาไม้ร่มครึ้ม  มีเจดีย์ทรายก่ออยู่ทั่วลานทรายตรงหน้า  ธงราวประดับสีสวย  เสียงหัวเราะเริงรื่นและเสียงสาดน้ำดังอยู่รอบกาย

                ผู้คนมากมายเดินไปมา  ถือขันบ้าง ถังบ้าง  บรรจุน้ำจนเต็ม  ภาพตรงหน้าทำให้ปรัศวินทร์รู้ว่าคือวันสงกรานต์...หากการแต่งกายของผู้คนดูจะผิดแผกไปจากเขา  ผู้หญิงมิได้ใส่กางเกงหรือเสื้อยืดอย่างที่สมัยนี้นิยมใส่  แต่เป็นนุ่งโจงกระเบนและผ้าลาย  ท่อนบนห่มตะแบงมาน สไบ   มากวัยหน่อยก็ผ้าแถบ  ปรัศวินทร์มองอย่างงุนงง  ตั้งท่าจะเดินออกจากร่มไม้ไปดู  ภาพตรงหน้าดุจภาพฝัน  หากเขาก็ตื่นจากภวังค์ในทันทีเพราะเหมือนมีคนมากระชากตัวเขาอย่างแรง

                “ คุณ คุณ  เบลอหรือเปล่าเนี่ย ???? ” เสียงร้องถามอย่างงตกใจดังขึ้น  ปรัศวินทร์กะพริบตาถี่ๆ ภาพตรงหน้าเลืนหาย กลายเป็นภาพของซากปรักหักพัง...ร่องรอยจากวันวาน...

                “ ทำไมทะเล่อทะล่าออกไปอย่างนั้นละคู๊ณณณณ  เกือบโดนรถชนแล้วมั้ยล่ะ ” เสียงนั้นยังถามต่อ  ปรัศวินทร์หันไปตอบอย่างเบลอๆ

                “ ไม่เป็นไรครับ ขอบคุณมาก...เฮ้ย !” คำหลังปรัศวินทร์อุทานพร้อมกับชายหนุ่มตรงหน้า

                “ ไอ้วินทร์ !” “ ไอ้สิงโต!

                ปรัศวินทร์ร้องขึ้นอย่างดีใจ  เพราะชายหนุ่มตรงหน้า หรือที่เขาเรียกว่า  ไอ้สิงโต คือเพื่อนซี้เก่าสมัยมัธยมที่ไม่ได้เจอกันหลายปีตั้งแต่เขาเลือกเรียนแพทย์ และสิงโตสอบชิงทุนไปเรียนต่อคณะสถาปัตยกรรมที่ต่างประเทศ

                เขากับสิงโตนั่งคุยกันจนเกือบเที่ยงคืน  ปรัศวินทร์จึงบอกลาเพื่อน  เพราะพรุ่งนี้ต้องไปทำงาน  เขาเดินมาเอาจักรยานที่จอดไว้ข้างทางและถีบกลับบ้าน

                ด้วยความเหน็ดเหนื่อย เมื่อหัวของนายแพทย์หนุ่มถึงหมอน  เขาก็ผล็อยหลับไป  ในใจยังสงสัยเรื่องภาพที่เห็น  ก่อนที่สติจะดับลง  เสียงหนึ่งแว่วในหัว

                “ หากเจ้าใคร่เห็น เราก็จักให้เจ้าได้เห็น ”

                ทันทีที่เขาปล่อยใจให้ล่องลอยไปตามสายลมหนาวภายนอก  ภาพที่เห็นเมื่อตอนยืนอยู่หน้าซากหังพังของวัดวังเหมือนกับย้อนมาฉายภาพต่ออีกครั้ง...ภาพที่เขาเห็นดำเนินต่อไป...

                ปรัศวินทร์ยืนอยู่ใต้ร่มไม้ดังเดิม ตั้งท่าจะก้าวเดินไปดูรอบๆ  แต่เขาก็ชะงักเมื่อได้ยินเสียงใสหัวเราะเจื้อยแจ้ว เริงร่า เสียงนั้นคุ้นหูดุจเคยได้ยินมา...แสนนาน

                ปรัศวินทร์หมุนตัวขวับไปมองข้างกาย  มองหาเจ้าของเสียงนั้น

                สาวน้อยร่างโปร่ง บาง ที่เขาเห็นในฝันครั้งก่อนยืนหัวเราะร่าอยู่ตรงหน้า  นุ่งผ้าลายห่มสไบดังเช่นสาวกรุงเก่าในสมัยโบราณ  ดวงหน้าผุดผ่องนวลลออนั้นบ่งบอกว่าเยาว์วัย   ใสสะอาดปราศจากเครื่องประทินผิวใดๆ  ดวงตาสุกใสนั้นไร้แววทุกข์ทนที่เคยปรากฏเหมือนตอนที่เขาเห็นเธอครั้งแรก  เธอเบี่ยงตัวหลบสายน้ำที่พุ่งออกจากขัน  เมื่อเพื่อนของเธอผู้นั้นสาดเข้าใส่

                “ โธ่  จันทร์  นี่เจ้าจะมิยอมให้ตัวเจ้าเปียกเลยรึ ”  สาวน้อยอีกคนตรงหน้าที่พยายามสาดน้ำใส่ถามค้อนควัก “ ขึ้นปีใหม่ทั้งที  นานปีกว่าจะได้เล่นสนุกเช่นนี้หนา ”

                สาวน้อยร่างแบบบางดุจกลีบดอกไม้ที่ถูกเรียกว่า จันทร์ ยังคงหัวเราะร่าเริง  ตอบยั่วเย้า

                “ โธ่ แม่แสง เจ้าก็ลองสาดน้ำข้าให้ได้สิ ” แม่จันทร์พูดเสร็จก็ออกวิ่งด้วยความเร็วเท่าที่ผ้านุ่งที่นุ่งอยู่จะอำนวยให้ได้  เพื่อนๆของนางหัวเราะและออกวิ่งตาม

                ปรัศวินทร์เองก็ลองวิ่งเหยาะๆตามไปดู  อย่างน้อยเขาก็รู้แล้วว่านางที่เห็นในฝันมีชื่อ จันทร์

                สาวน้อยที่มีรูปโฉมงามดุจเดียวกับนามของนางหันไปดูเพื่อน ทำให้ไม่ทันมองทางตรงหน้า  นางจึงชนเข้าชายหนุ่มตรงหน้าอย่างจังจนเซ

                ชายหนุ่มพยายามรั้งร่างนางไม่ให้ล้มลงไป ทำให้นางเข้าไปอยู่ในอ้อมกอดของเขาโดยไม่รู้ตัว

                แม่จันทร์หน้าแดงด้วยความเขินอาย  สะบัดร่างออกจากอ้อมกอดของชายหนุ่มอย่างรวดเร็วเพื่อมิให้ใครเห็นแล้วเอาไปนินทาให้เป็นที่อับอาย หากนางก็เอื้อนเอ่ยคำ “ ขอบคุณ...”

                เขายิ้ม  ก้มมองแม่จันทร์ที่ถึงจะเงยหน้าน้อยๆหากหลุบตาลงต่ำ ทำให้เห็นแต่ขนตาหนา ยาวงอนเป็นแพ  หญิงสาวรีบหันกลับไปทันที  หากสายตาของชายหนุ่มยังมองอย่างอาวรณ์

    ...นางอื่นนั้น  จักงาม  สักเหลือแสน

    มิอาจเปรียบ  มาตรแม้น  นางตรงหน้า

    ตรึงจิต  ตรึงใจ  ตรึงนัยนา

    ดวงจันทรา  งามเท่าใด  ไม่เท่านาง...

               

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×