ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Repeat and Try นายคือความทรงจำของฉัน

    ลำดับตอนที่ #4 : ตอนที่ 3 ให้มันได้อย่างนี้สิน่า

    • อัปเดตล่าสุด 30 ก.ย. 60


    ตอนที่ 3

    “ไม่ใช่ใครที่ไหนเลยครับ คุณหมอประจำรุ่นที่แล้วนี่เองครับ เชิญบนเวทีเลยครับ” ทุกคนต่างปรบมือเสียงดัง เขาได้แต่เกาหัวปอยๆ ไม่ยอมลุกจากที่นั่ง

    “ไปเถอะน่าตฤณ น่าสนุกดีออก” ธิชาว่า พลางดันให้เขาลุกขึ้น เพื่อนๆในกลุ่มต่างเห็นดีด้วย เขาลุกจากเก้าอี้อย่างช่วยไม่ได้ เดินขึ้นเวทีไป

    “มาเลยครับคุณหมอสุดหล่อของเรา ครับ แล้วอีกท่านหนึ่งละครับ อยู่ไหนเอ่ย” พิธีกรว่า ทุกคนต่างกวาดตามองหาคนปริศนาผู้นั้น

    เมมองเพื่อนสนิทก่อนเอ่ยอย่างสงสัย “คงไม่ใช่….” เอมส่ายหัว เธอไม่อยากจะคาดเดาเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น

    “เอมแกก้มดูใต้เก้าอี้รึยัง” เธอเอ่ยถามเพื่อนแววตาตื่น

    “ยัง”เอมว่า พลางจ้องหน้าเพื่อนอย่างพอจะคาดเดาเหตุการณ์ออก เมพรวดพราดลงไปก้มดูใต้เก้าอี้ทันที

     “สติ๊กเกอร์อยู่ใต้เก้าอี้แกจริงๆด้วย” เมว่า เอมเบิกตากว้างด้วยความตกใจ

    “ทำยังไงดีล่ะ” เอมร้องโอดโอย ทำไมจะต้องเป็นเธอด้วยนะ คล้ายๆว่าโชคชะตากำลังเล่นตลกกับเธออย่างไรอย่างนั้น

    “อยู่นี่ครับ สติ๊กเกอร์อีกตัวอยู่นี่ครับ!!!” เสียงทามเอ่ยเสียงดัง ไม่ทันให้เธอได้ตั้งตัว ทุกสายตาต่างจับจ้องมาที่เธอ ร่างเล็กถอนหายใจ ฝืนยิ้มเจื่อนๆออกมากับดวงตาที่กำลังจับจ้องอยู่

    “อยู่นั่นเองครับ โห ช่างเป็นคู่ที่เหมาะสมกันจริงๆนะครับ คุณพยาบาลของเรานี่เอง เชิญบนเวทีเลยครับ”

    ชายหนุ่มบนเวทีจ้องมองหญิงสาวด้านล่าง ที่เดินมายังเวทีอย่างลำบากใจ ร่างเล็กเดินเข้ามายืนข้างๆเขา ทั้งคู่ยิ้มให้กันอย่างเกร็งๆ

    “เอาล่ะครับ ทุกคนคงสงสัยว่าเกมส์ของเรามีกติกาเป็นยังไงนะครับ เอาล่ะครับ กติกาก็คือ หากทั้งคู่เป็นเพศเดียวกันก็จะให้ทั้งคู่ร้องเพลงคู่กัน แต่หากต่างเพศกันเช่นนี้นะครับ เราจะให้ทั้งคู่เต้นรำคู่กันครับ!!!!” พิธีกรยังไม่ทันพูดจบผู้คนในงานต่างส่งเสียงเฮดังลั่น

    “บ้าจริงเลย ไม่รู้หรือไงนะว่าสองคนนั้นเลิกกันแล้ว” ทามเอ่ยอย่างหัวเสีย

    “โชคชะตานี่ก็ช่างเล่นตลกเสียจริง” เมว่า

    “เพราะแกเลยนะไอ้ทาม” เมหันขวับมาวีนเขาที่ทำให้เพื่อนของเธอต้องเผชิญช่วงเวลาอันน่าลำบากใจเช่นนี้

    “สองคนนี้นี่ หนีกันไม่พ้นจริงๆ” เพื่อนในกลุ่มของธิชาเอ่ยขี้น ธิชามีสีหน้าไม่ชอบใจนัก

    “เดี๋ยวมาดูกันนะครับว่า วิชาลีลาศสมัยเรียนทั้งคู่จะยังจำได้รึเปล่า เดี๋ยวเชิญทั้งคู่กลาง floor เลยครับ”

    ชายหนุ่มหันมองร่างเล็ก จ้องมองเธอที่เอาแต่หลบตาเขา ก่อนจะเดินนำลงมายังกลาง floor ด้านล่าง เขาหันมาเอ่ยกับเธอแผ่วเบา “ไม่ต้องห่วงนะ เดี๋ยวเรานำเอง” เขายิ้มเล็กๆให้เธอ เธอเดินลงบันไดตามเขาลงมา  กลาง floor โล่ง ไฟสปอร์ตไลท์ สาดส่องมาที่ทั้งคู่ ชายหนุ่มตรงหน้าโค้งศีรษะให้เธอเล็กน้อย ร่างเล็กย่อตัว เขาเผยมือออกมาด้านหน้า แววตาเล็กจ้องมองมือคู่นั้น สบตาเขาเล็กน้อย ก่อนเอื้อมสัมผัสมือนั้นแผ่วเบา เขากระชับมือนั้นแน่น โอบร่างเล็กอย่างอ่อนโยน ก่อนวาดลวดลายตามจังหวะเพลง

    “มือเอมเย็นเฉียบเลยรู้เปล่า” เขากระซิบข้างหูของเธอ เธอละล่ำละลัก เอ่ยออกมาอย่างยากลำบาก

    “ก็ก็เอมตื่นเต้นนี่นา” เขายิ้มมุมปาก จ้องมองร่างเล็กที่เอาแต่หลบตาเขา

    “เอมเวลาเต้นรำต้องมองคนตรงหน้าสิ อย่าก้มมองเท้า” เขาว่า ร่างเล็กเงยหน้าสบตาเขา แววตาอุ่นที่แสนคุ้นเคย

    ทำหัวใจเธอเต้นระรัว ชายหนุ่มยิ้มมุมปาก จ้องมองใบหน้าของเธออย่างมีเลศนัย

    “ทำไมถึงได้มองเอมแบบนั้นล่ะ” เธอตำหนิเขา

    “เอมเขินเหรอ” ร่างเล็กรีบหลบตาเขาแทบจะทันที “จะบ้าเหรอ เขินอะไรกัน”

    “แล้วทำไมต้องหลบตาด้วยล่ะ” เขาว่าและยังคงจ้องเธอไม่ล่ะสายตา

    “ไม่ได้หลบตาสักหน่อย คิดเองเออเองทั้งนั้น คนบ้า ทำไมต้องแกล้งกันด้วยเล่า” เธอตีเขา เขายิ้มกับท่าทางเขินอายของเธอ

    เพลงจบลง ไฟในงานสว่างขึ้น ทุกคนต่างปรบมือให้คนทั้งคู่

    “เห็นแล้วล่ะครับว่า ทั้งคู่สอบผ่านวิชาลีลาศอย่างแน่นอน ขอบคุณทั้งคู่มากๆครับที่ร่วมสนุกกับเรา เรามีของขวัญเล็กๆน้อยๆมอบให้ทั้งคู่ด้วยครับ” พิธีกร ยื่นกล่องของขวัญกล่องเล็กให้คนทั้งคู่ ก่อนจะแยกย้ายกันไป

     

                    “เดี๋ยวกลับด้วยกันนะ” เมเอ่ยบอกกับเพื่อนสนิท ทั้งคู่เดินลงบันไดมาจนถึงด้านล่าง จู่ๆเสียงโทรศัพท์ของเมก็ดังขึ้น เมคุยโทรศัพท์สักครู่ ก่อนหันมาเอ่ยกับเพื่อนสนิทด้วยท่าทีเร่งรีบ

    “พอดีว่า เราต้องไปธุระให้แม่ คงต้องขับรถไปไกลเลย ”

    “ไม่เป็นไร ไปทำธุระเถอะ บ้านเราอยู่ใกล้ๆแค่นี้เอง เดี๋ยวนั่งแทกซี่กลับก็ได้ ไม่ต้องเป็นห่วงหรอก แกไปเถอะ” เอมว่า เมได้แต่กล่าวขอโทษเธอ ก่อนรีบแยกตัวไปทำธุระ

                    ร่างเล็กเดินออกมาเรื่อยๆ หน้าโรงเรียนผู้คนพากันทยอยกันกลับ เธอเหลือบมองยังประตูรั้วโรงเรียนที่แสนคุ้นเคย ก่อนถอนหายใจเบาๆ หันมองยังถนนใหญ่ตรงหน้า รถรายังคงขวักไขว่ เธอตัดสินใจ เดินออกมาเลียบถนนเรื่อยๆ บนทางเท้าที่เธอคุ้นชิน สมัยเรียนเธอใช้เส้นทางนี้เป็นประจำในการเดินทางกลับบ้าน เพราะระยะทางที่ไม่ไกลมากนัก เส้นทางตอนกลางดึกช่างเปลี่ยวและมืด แม้จะอยู่ติดถนนใหญ่ก็ตาม ข้างทางเป็นที่ดินรกร้าง มีแนวสังกะสีปิดเป็นแนวรั้วยาว เธอเดินเอื่อยเฉื่อยตามทางเดินมาเรื่อยๆ เหม่อลอยถึงเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้น แววตาอุ่นๆของเขา ยังคงติดตา

    จู่ๆเธอก็ได้ยินเสียงฝีเท้าหนึ่งมาจากด้านหลัง เงานั้นวิ่งมาดักด้านหน้าของเธอก่อนกระชากกระเป๋าสะพายใบเล็กของเธออย่างรวดเร็ว สัญชาตญาณของเธอเหนี่ยวรั้งกระเป๋าใบนั้นสุดชีวิต ชายชุดดำ ใบหน้าเต็มไปด้วยหนวดเครามอมแมม ผลักเธอเต็มแรง ร่างเล็กล้มลงกระแทกกับพื้น ใครคนหนึ่งเข้ามาเผชิญหน้ากับชายชุดดำผู้นั้น แม้แสงไฟจะไม่สว่างมากนักแต่รูปร่างและท่าทางของเขามันทำให้เธอเดาได้ทันทีว่าเขาคือใคร เขาต่อสู้จนคนร้ายหนีไป หนุ่มในชุดสูท เดินกลับมาหาเธอพร้อมประคองร่างเล็กให้ลุกขึ้น ใบหน้าของเขามีรอยเขียวช้ำ

    น้ำเสียงของเขาปนตำหนิเธอเล็กน้อย “ทำไมถึงได้เลือกเดินทางเปลี่ยวแบบนี้เอม!

    “ก็ตอนเรียนเอมเดินกลับบ้านทางนี้ทุกวันนี่นา” เธอว่า

    “นั่นมันตอนกลางวัน แต่นี่มันดึกแล้ว แล้วเอมก็แต่งตัวแบบนี้ ทำไมถึงไม่ระวังตัวเลยนะ” เขาว่า แต่แววตาของเขาเต็มไปด้วยความห่วงใย

    เธอกระแทกเสียงด้วยความขุ่นเคือง “เอมไม่เป็นไรแล้ว!!! ขอบคุณตฤณมากนะที่ช่วย” ก่อนจะคว้ากระเป๋าใบเล็กจากเขาคืน เดินนำออกไป แต่ทว่า ร่างที่ถูกกระแทกลงกับพื้นก็ทำให้ร่างนั้นต้องหยุดชะงักด้วยความเจ็บ เขาเข้ามาประคองเธอด้วยความตกใจ

    “เป็นอะไรรึเปล่าเอม”แววตาเล็กที่แข็งกร้าวเมื่อครู่ลดลง เมื่อมองเห็นใบหน้าของเขาชัดๆที่เต็มไปด้วยรอยฟกช้ำ

     

                    ปั๊มน้ำมันที่อยู่ไม่ไกล เป็นที่ๆเธอเคยแวะมานั่งเล่นเสมอก่อนกลับบ้าน สวนเล็กๆที่ถูกจัดไว้ โต๊ะนั่งสไตล์ยุโรปยังคงตั้งอยู่ที่เดิมไม่มีผิดเพี้ยน ร่างเล็กใช้สำลีชุบน้ำยาล้างแผลซับที่แผลของชายหนุ่มตรงหน้าเบาๆ เขาหลุดร้องออกมาด้วยความเจ็บ “เจ็บมากมั้ยตฤณ” เธอเอ่ยออกมาด้วยความรู้สึกผิด

    “ถ้าเอมไม่คิดอะไรง่ายๆ ก็คงไม่เกิดเรื่อง ถ้าไม่ได้ตฤณช่วย เอมคงแย่” เธอตำหนิตัวเองเบาๆ  เขาจ้องมองแววตาเล็กคู่นั้น

    “เอมเป็นอะไรมากรึเปล่า ไปหาหมอมั้ย” เขาเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง เอมหลุดหัวเราะออกมา

    “หัวเราะอะไรเอม”

    “แล้วตฤณไม่ใช่หมอหรือไง” เธอยิ้ม ขณะใส่ยาให้เขา เขาสะดุ้งเล็กน้อยก่อนจะพูดต่อ

    “ตฤณเรียนปี 2 นะ วินิจฉัยโรคให้เอมไม่ได้หรอก” เขาว่า

    “เอมไม่ได้เป็นอะไรมากหรอกน่า ล้มแค่นี้เอง เอมดูแลตัวเองได้ ดูแลคนไข้มาก็เยอะแล้ว” เธอว่าพลางติดพลาสเตอร์ให้เขา

    “แน่ใจนะ” เขาถามย้ำ

    “แน่ใจสิ” เธอยิ้ม “เสร็จแล้วล่ะ”

    “ว่าแต่ว่า ทำไมตฤณถึงมาทางนั้นล่ะ นั่นมันไม่ใช่ทางกลับบ้านของตฤณนี่นา” เธอว่า เขาละล่ำละลัก หลบตาเธอ

    “คะ..คือว่า”  “เราอยากมากินกาแฟที่ปั๊มนี้น่ะ จำได้ว่าที่นี่มีกาแฟอร่อยๆขาย เอมจำไม่ได้เหรอ” เขาแก้ตัว

    ร่างเล็กมองตามยังร้านมินิมาร์คที่อยู่ใกล้ๆ ภายในมีกาแฟปั่นขาย ทุกครั้งที่เข้าไปภายในร้าน กลิ่นหอมๆของกาแฟมักจะลอยเตะจมูกผู้มาเยือนเสมอ

    เธอว่า ดวงตาเศร้าสร้อย“จำได้สิ นั่นมันของโปรดของตฤณนี่นา

    “ใครบอกล่ะ คนที่ซื้อกินคนแรกคือเอมต่างหาก เอมชอบบ่นอยู่เรื่อยว่ากลิ่นมันหอมมากแต่ก็ไม่เคยกล้าซื้อกินซักที จนขึ้น ม.5 ได้มั้ง ถึงกล้าซื้อ”  

    “ก็เอมกลัวนอนไม่หลับนี่นา ” เธอแย้ง ก่อนจ้องมองหน้าเขาด้วยความแปลกใจ “ตฤณจำมันได้ด้วยเหรอ

    ชายหนุ่มหลบตาเธออีกครั้ง เธอน่าจะรู้ดีว่าเขาเองก็คงไม่ได้คิดอะไรมากมายอย่างที่เธอกำลังคิดอยู่ เธอจึงเอ่ยเพื่อทำลายความเงียบ

    “เอางี้มั้ย ในฐานะที่ตฤณช่วยเอมไว้ เดี๋ยวเอมเลี้ยงกาแฟเอง ตกลงนะ ”เธอว่า ก่อนลุกออกไป เดินเข้าไปยังร้านเคาร์เตอร์ขายกาแฟ ไม่นานเธอก็กลับออกมาพร้อมกาแฟปั่นกลิ่นหอมหวน ทั้งคู่ดื่มด่ำกลิ่นหอมของกาแฟหอมกรุ่น บรรยากาศที่เหมือนเดิมไม่มีผิดเพี้ยน แตกต่างตรงที่วันนี้ ข้างๆของทั้งคู่ ต่างเป็นเหมือนคนแปลกหน้าซึ่งกันและกัน

     

    “เธอกำลังกลับเข้ามาในชีวิตของฉัน เธอจะรู้มั้ยว่าบาดแผลในหัวใจของฉันมันกำลังร้องออกมาอย่างเจ็บปวด

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×