ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Repeat and Try นายคือความทรงจำของฉัน

    ลำดับตอนที่ #3 : ตอนที่ 2 โชคชะตา

    • อัปเดตล่าสุด 30 ก.ย. 60


              
                 
    “คนไข้ป่วยเป็น Coronary artery disease  ค่ะ โรคหัวใจขาด เลือด ซึ่งเกิดจาก โรคหัวใจที่เกิดจากการตีบ และแข็งตัวของหลอดเลือดแดงที่ไปเลี้ยงกล้ามเนื้อหัวใจ ทำให้เลือดไปเลี้ยงกล้ามเนื้อหัวใจลดลงหรือชะงักไป เมื่อผู้ป่วยมีภาวะที่กล้ามเนื้อหัวใจต้องการออกซิเจนมากขึ้น เช่น การออกแรงมาก ๆ การมีอารมณ์โกรธ หรือว่าเครียด  ก็จะทำให้มีอาการเจ็บหน้าอกได้ ค่ะ” ร่างเล็กในชุดฟอร์มพยาบาลสีขาว สวมหมวกพยาบาลไร้สายคาดสีดำที่บ่งบอกถึงการจบเป็นพยาบาลวิชาชีพ หญิงรูปร่างสูง ดูภูมิฐานมีอายุ ในชุดฟอร์มสีขาวกางเกงขายาว สวมหมวกพยาบาล ที่ปลายหมวกมีผ้ากำมะหยี่สีดำคาดผ่าน 2 เส้น เอ่ยเสียงเรียบต่อการรายงานรายละเอียดของผู้ป่วย

    “แล้วนักศึกษาวางแผนการพยาบาลอย่างไรบ้าง”

    “เอ่อ ดูแลสภาพแวดล้อมทั่วไปค่ะ ดูแลให้คนไข้พักผ่อน ลดการใช้ออกซิเจนค่ะ ตอนนี้คนไข้ on oxygen  3 ลิตรเปอร์มิลค่ะ”

    รายละเอียดถูกชี้แจงอีกมาก แต่ทว่าร่างเล็กกลับกังวลกับการต้องเตรียมตัวในงานเลี้ยงรุ่นในตอนค่ำมากกว่า แววตาที่ดูเหม่อลอย ทำให้เพื่อนในกลุ่มอดไม่ได้ที่จะถามไถ่

    “เอมเป็นอะไรน่ะ กังวลอะไรอยู่รึเปล่า เมื่อกี้ตอนอาจารย์ถามก็ดูเหม่อๆนะ” เน็ต เข้ามาถามไถ่ถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เน็ตเป็นเพื่อนที่มหาวิทยาลัย และนอนพักห้องเดียวกันกับเธอ รูปร่างอวบ หน้าตาจิ้มลิ้ม ผิวขาว เพราะเป็นลูกคนจีน เน็ตเป็นคนที่เธอสามารถพูดบอกเธอได้ทุกเรื่อง

    เธอเงยหน้ามองเพื่อนสนิทก่อนจะส่ายหัว ทำงานต่อจนเสร็จ แม้เน็ตจะเป็นเพื่อนที่เธอไว้วางใจ แต่เรื่องต่างๆสมัยเรียนเกี่ยวกับตฤณ เธอก็ไม่เคยปริบปากพูดถึงมัน เพราะเธอเห็นว่ามันไม่ใช่เรื่องที่เธอควรเก็บมาพูดถึงอีก แต่พอวันนี้จู่ๆเขาก็โผล่มาให้เธอเห็นอีกครั้ง การไปงานเลี้ยงคืนนี้มันก็ทำให้เธอหวั่นๆอยู่เหมือนกัน ว่าเขาจะมางานนี้ด้วย เธอเก็บความกังวลไว้ในใจ เลือกที่จะไม่เอ่ยเล่าอะไรให้เพื่อนๆฟัง

     

                    “วันนี้เหนื่อยมากเลย คุณลุงคนนั้นนะ เมื่อวานไม่พูดไม่จากับเราเลยนะ แต่วันนี้คุณลุงยิ้มด้วยแหละ รู้สึกดีจัง” เปรม เพื่อนสนิทอีกคน เธอเป็นคนจริงใจ เรียบร้อยมีรอยยิ้มหวานเสมอ เธอเอ่ยเล่าอย่างอารมณ์ดี ทุกคนกลับถึงห้องพักด้วยความเหนื่อยล้า  เอมเปลี่ยนฟอร์มอย่างเร่งรีบ

    “เดี๋ยวเรากลับก่อนนะ วันนี้มีงานเลี้ยงรุ่น” เอมว่า กุลีกุจอเก็บเอกสารใส่กระเป๋า เอ่ยลาเพื่อนแล้วจึงเดินออกจากห้องพักไป

    “เอม เดินทางดีๆนะ!!” เปรมเอ่ยลาเธออย่างงงๆ กับท่าทางที่ดูเร่งรีบนั้น

    “ดูเอมแปลกๆไปนะ ตั้งแต่กลับจากบ้านอาทิตย์ที่แล้ว” เปรมว่า เน็ตพยักหน้าเออออกับคำพูดนั้น

    “นั่นสิ ดูเหม่อๆ ชอบกล บางทีก็ดูเศร้าๆ ไม่เฮฮาเหมือนแต่ก่อน ”

    “หรือว่าจะทะเลาะกับนนท์”เน็ตสันนิษฐาน

    “อืมเห็นนนท์โทรมาทีไร เอมไม่ค่อยอยากจะรับโทรศัพท์เท่าไหร่เลยนะ”

    “แต่ตั้งแต่เอมคบกับนนท์มาไม่เห็นว่านนท์จะเคยทำอะไรให้เอมไม่พอใจเลยนะ ตามใจเอมทุกอย่าง” เน็ตได้แต่เลิกคิ้ว ไม่เข้าใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น

    “งั้นถ้าเอมกลับมา เราก็ลองถามดูดีมั้ย เอมเป็นแบบนี้นานๆไม่ดีแน่เลย เราเป็นห่วง” เน็ตพยักหน้าเห็นด้วย

     

                    เสียงโทรศัพท์ยังคงดังตลอดการเดินทาง เธอมาถึงยังหน้าโรงเรียน เหลือบมองรั้วสีน้ำเงิน ไฟประดับประดารายรอบ แสงสีนวลทำให้บรรยากาศต่างจากโรงเรียนอย่างสิ้นเชิง ผู้คนในงานเดินขวักไขว่ แม้จะเป็นงานคืนสู่เหย้า แต่หลายคนที่เดินสวนไปมากลับไม่คุ้นหน้าคุ้นตาเท่าไหร่นัก เธอสาดส่ายสายตาหาเพื่อนสมัยเรียน “ เม” หญิงสาวรูปร่างสมส่วนผิวเหลือง สูง เมเป็นเพื่อนสนิทที่เข้าใจเธอทุกเรื่อง บอกเล่าเรื่องได้มากมาย ครั้งแรกที่เมรู้เรื่องเธอกับตฤณ มันก็ทำให้เธอถึงกับอึ้งไปเหมือนกัน ประโยคแรกที่เธอพูดก็คือ

     “โห!!! ถ้าตฤณกับเอมคบกัน ไม่รู้เหมือนกันว่าจะทะเลาะกันรึเปล่า”

    ประโยคนั้นทำให้เธอถึงกับยิ้ม เพราะเขาเป็นผู้ชายที่มีเหตุผลที่สุดในโลก จนบางครั้งเธอเองก็ไม่รู้เหมือนกัน ว่าจะหาเหตุผลอะไรที่จะโกรธเขา แต่พอถึงเวลาที่ความรักของเธอและเขาสิ้นสุดลง เม กลับทำให้เธอรู้ว่า เธอมีเพื่อนที่แสนดีมากแค่ไหน เมทำให้เธอสามารถผ่านพ้นช่วงเวลาที่เลวร้ายที่สุดในชีวิตมาได้

                   

                    ชีวิตในมหาวิทยาลัยทำให้ทั้งคู่ห่างหายกันไป เม ติดคณะบัญชี ส่วนเธอเองก็เรียนหนัก ไม่มีเวลาได้ติดต่อกัน งานเลี้ยงครั้งนี้ จึงสำคัญกับเธอมากเพราะทั้งคู่มีเวลาตรงกันพอดี

    ไม่นานร่างเล็กก็เดินขึ้นมาถึงยังงานเลี้ยง

    “ว้าว ไม่ได้เจอกันตั้งนาน ดูสวยขึ้นเยอะเลยนะ” เม เอ่ยทักเพื่อนที่ไม่ได้เจอกันมานานอย่างตื่นเต้น ทั้งคู่โอบกอดกันด้วยความคิดถึง

    “แหม เหมือนกันแหละ” เอมว่า มองชุดเดรสสั้นสีฟ้า และสร้อยไข่มุกเส้นเล็กสะดุดตา

    “เอม มาด้วยเหรอเนี่ย…!!!” ผู้มาเยือนเอ่ยทักเธอด้วยความประหลาดใจ ธิชา หญิงสาวหน้าหวาน ผมลอด์นสีน้ำตาลสว่าง  เดรสสีโอรสขับผิวขาวของเธอได้เป็นอย่างดี เธอเหมือนลูกครึ่งยังไงอย่างงั้น  เธอเป็นอีกคนที่ไม่ได้เจอะเจอมานาน เพราะเรียนคณะเดียวกันกับตฤณ ธิชาเป็นเพื่อนที่เธอไม่ค่อยสนิทนัก แม้ธิชาจะเป็นเพื่อนสนิทของตฤณก็ตาม ครั้งแรกที่รู้ว่าเธอสอบติดคณะเดียวกับตฤณ มันทำให้เธอรู้สึกแย่ เพราะคำพูดที่หลุดจากปากเธอ ที่เธอบังเอิญได้ยินสมัยเรียนก็คือ เธอเองก็แอบชอบตฤณเช่นกัน ตอนนั้นมันทำให้เธอแอบหวั่นๆ เพราะธิชาเองเป็นคนสวยและดูจะเพียบพร้อมทุกอย่าง และการที่เธอได้เข้าเรียนคณะเดียวกันกับเขา มันทำให้เธอกลัวว่า เธอกับเขาจะคบกัน ถึงตอนนี้เธอเองก็ไม่รู้อะไรเกี่ยวกับคนทั้งคู่ การได้พบกันครั้งนี้ มันทำให้เธอเองทำตัวไม่ถูก เธอได้แต่ยิ้มเจื่อนๆตอบกลับไป

    “ดีจังเลยนะ ที่เอมมา ปีนี้เพื่อนรุ่นเรามากันเยอะเลย” ผู้มาเยือนเอ่ย เอมสบตากับเพื่อนสนิทอย่างรู้ใจกัน เธอหวังเพียงว่า

    เขาคงไม่มางานนี้ เธอได้แต่คิดในใจ

    “เพื่อนนั่งกันอยู่ทางโน้นน่ะ เมกับเอมไปนั่งด้วยกันสิ” เธอว่า เมสบตาเอมสักครู่ก่อนจะเอ่ยออกไป

    “เอ่อ มีใครมาบ้างน่ะธิชา” เมถามเพื่อให้ความกระจ่างแก่เพื่อน

    ธิชาร่ายชื่อมาก่อนจบด้วยประโยคสั้นๆที่ทำให้ผู้ฟังโล่งอก

    น่าเสียดายที่ตฤณไม่ได้มางานนี้ด้วย เห็นว่าจะเคลียร์งานให้เสร็จ” เอมถอนหายใจเบาๆ

    “งั้น จองที่ให้ด้วยนะเดี๋ยวพวกเราไปนั่งด้วย” เม เอ่ยบอกกับเธอ ก่อนเลิกคิ้วให้เพื่อนสนิท

    ธิชาตอบรับก่อนเดินกลับไปยังโต๊ะอาหาร

    “เมตักอาหารไปก่อนเลยนะ เราไปเข้าห้องน้ำก่อน” เธอพยักเพยิดหน้าให้เพื่อน

     

                    เธอเดินออกจากห้องประชุมใหญ่ที่เมื่อครั้งอดีตเป็นที่เธอไม่อยากเข้าที่สุด เพราะต้องเข้ามานั่งฟังอาจารย์กล่าวโอวาทที่แสนยืดยาวเสมอๆ ตัวตึก มีสามชั้น ออกแบบเป็นสีเหลี่ยมล้อมรอบ ส่วนกลางเปิดโล่ง ชั้นล่างเป็นโรงอาหารใหญ่ ชั้นสองเป็นห้องเรียนของนักเรียนมัธยมปีที่ 1 จำนวน 15 ห้อง ส่วนชั้นที่สามเป็นห้องเรียนของนักเรียนมัธยมศึกษาปีที่ 6 และส่วนตรงกลางสร้างเป็นห้องประชุมใหญ่

    ท้าวเล็กก้าวออกมาตามทางเดิน เหลียวมองห้องเรียนสมัย ม.ปลาย ก่อนหยุดที่หน้าห้องเรียนห้องหนึ่ง ด้านหน้ามีป้ายไม้ เขียนด้วยตัวอักษรสีขาวว่า “มัธยมศึกษาปีที่ 6/3 ห้องมุมสุดทางเดินก่อนถึงห้องน้ำ ร่างเล็กยืนมองป้ายเก่าสักครู่ ภาพหนึ่งปรากฏขึ้นในความทรงจำ

     

                    “เอม มานั่งทำอะไรตรงนี้” เมเอ่ยเรียกเพื่อน เมื่อเห็นเธอนั่งอยู่ระเบียงหน้าห้องเรียนห้องหนึ่ง ที่แขวนป้ายหน้าห้อง “มัธยมศึกษาปีที่ 6/3” เอมนิ่งเงียบจ้องมองประตูห้องอย่างเศร้าซึม

    “เอมเย็นมากแล้ว กลับบ้านกันเถอะ” เมเอ่ยกับเพื่อนอย่างห่วง ๆ

    ตั้งแต่ที่เธอเลิกกับตฤณ รอยยิ้มที่เธอพบเจอเสมอบนใบหน้านี้ มันกลับจางหายไป เธอกลายเป็นคนละคน ที่เธอเองไม่รู้จัก เธอเอาแต่เศร้าซึม ไม่หัวเราะเฮฮาเหมือนแต่ก่อน

    “เอมเอมบอกกับเมเองนะว่าตฤณเขามีเหตุผลที่ให้เรื่องทุกอย่างมันเป็นแบบนี้นี่นา เอมอย่าเป็นแบบนี้เลยนะ เราอยากได้เอมคนเดิมกลับมา” เธอเอ่ยอย่างเจ็บปวด เอมนิ่งเงียบเฝ้าร้อยเรียงประโยคเมื่อครู่ นั่นสิ แต่ก่อนจะมีแฟน เธอมีรอยยิ้ม หัวเราะ เฮฮา กับเพื่อนได้เสมอ เหตุใดพียงเพราะคนๆเดียวจึงทำให้เธอหลงลืมตัวตนของตัวเองได้มากขนาดนี้

    เอม หันมองหน้าเธอที่เศร้าสร้อย ก่อนโอบกอดร่างนั้นแน่น น้ำใสๆไหลเอ่อออกมา

    “เอมขอโทษ เอมจะลืมเขา จะลืมเขาให้ได้ เอมจะกลับมาเป็นคนเดิม เมคอยดูนะ เราจะทำให้ได้”เธอสะอึกสะอื้น เมใช้มือลูบหลังเธอเบาๆ พร้อมกับพยักหน้ารับรู้

                   

                    ร่างเล็กสะบัดภาพในวันวาน ความโหดร้ายจากเธอไปแล้ว วันนี้เธอสามารถมีชีวิตอยู่โดยไม่มีเขาได้ เธอสามารถยิ้มได้อีกครั้ง เธอเดินเข้าห้องน้ำ ปัดความฟุ้งซ่านออกไป  สักครู่เธอก็กลับออกมายังเส้นทางเดิม ใครคนหนึ่งเดินออกมาจากมุมหนึ่งของตึก ชนร่างเล็กเข้า เธอเซถลา แต่ร่างนั้นกลับประคองเธอไว้ได้ แสงไฟดวงเล็กที่สาดส่องกลางทางเดิน สาดส่องที่ใบหน้าของเขา เผยใบหน้าที่แสนคุ้นเคยนั้น ดวงตาเล็กจับจ้องใบหน้านั้นอย่างประหลาดใจ ก่อนเอ่ยอย่างละล่ำละลัก

    “น่ะไหน..ธิชาบอกว่าตฤณไม่มาไง” เธอเอ่ยออกมาอย่างยากเย็น ก่อนผละตัวออกจากเขา ร่างนั้น ยิ้มมุมปากก่อนลูบหัวปอยๆ

    “คือว่างานเสร็จเร็วกว่าที่คิด ก็เลยแวะมา” เขาว่าจ้องมองเธออย่างแปลกตา ชุดเดรสคลุมเข่าสีขาวนวล มีสร้อยเส้นเล็กประดับ และทรงผมที่ม้วนดัดลอด์นมีสไตล์ ทำให้เธอดูสวยสะดุดตา

    “ธิชาคงไม่รู้สินะ” เธอเปรยออกมาเบาๆ ก้มหน้า

    เขาพยักหน้า ก่อนพูดออกมาอย่างอารมณ์ดี “กะจะมาเซอร์ไพร์สเพื่อนๆสักหน่อย ไม่ได้เจอกันตั้งนาน เอมก็มางานนี้ด้วยเหรอ”

    “ความจริงก็ยุ่งๆอยู่เหมือนกัน แต่อยากเจอเพื่อนๆน่ะ ยุ่งยังไงก็คงต้องมาให้ได้”

    ทำไมโชคชะตาถึงได้เล่นตลกกับเธอเช่นนี้นะ การได้พบเจอเขาวันนั้นมันก็ทำให้เธอเจ็บปวดใจมากพอแล้ว แล้วนี่เธอยังต้องมาพบเจอเขาพร้อมกับเพื่อนคนสนิทของเขาอีกอย่างนั้นเหรอ ทั้งคู่ต่างวางตัวไม่ถูกเมื่อต้องมาเจอหน้ากันเช่นนี้ แต่เสียงโทรศัพท์ที่ดังขึ้นก็ทำให้สถานการณ์ตึงเครียดลดลง ร่างเล็กหยิบมือถือเครื่องเล็กก่อนมองยังปลายสายที่โทรเข้ามา

    “ธิชาอยู่โต๊ะใกล้ๆกับเวทีนะ ด้านซ้ายมือ เดี๋ยวเอมขอตัวก่อน” เธอว่าพลางถือโทรศัพท์เดินออกไปยังมุมตึกที่เปิดโล่งเป็นระเบียง มองออกไปยังเบื้องล่างได้ เธอถอนหายใจเล็กน้อยก่อนกดรับโทรศัพท์

    “ว่าไงนนท์” แฟนหนุ่มที่เธอหลงลืมดูแลใส่ใจเขา ปลายทางเอ่ยถามเธอมากมายด้วยความเป็นห่วง ตั้งแต่ที่เธอพบตฤณวันนั้น มันทำให้เธอดูเพิกเฉยละเลยที่จะสนใจความรู้สึกของเขา เขามักจะเป็นห่วงเธอเสมอ เวลาที่เธอไม่รับโทรศัพท์ ครั้งแรกที่เธอเจอเขา มันช่างไม่แตกต่างอะไรกับการพบเจอใครต่อใครมากมายที่เดินสวนไปมาตามท้องถนน เขามักจะนั่งอ่านหนังสือที่ร้านหนังสือแห่งหนึ่ง ที่เธอชอบไป เขาช่างดูเป็นผู้ชายที่อบอุ่น วันนั้นเธอกับเขาหยิบหนังสือเล่มเดียวกัน ทำให้ทั้งคู่พูดคุยกันเกี่ยวกับหนังสือเล่มนั้น นั่นคือจุดเริ่มต้นที่ทั้งคู่รู้จักกัน และทุกครั้งที่เธอก้าวเข้าร้านหนังสือก็จะพบเขาทุกครั้งไป การได้พบเจอกันทุกอาทิตย์ทำให้ทั้งคู่สนิทกันมากขึ้น เขาเป็นผู้ชายอบอุ่นที่เทคแคร์เธอเป็นอย่างดี เขาอาสามาส่งเธอที่หอ จนเพื่อนๆเอ่ยแซว เขาเข้ามาใกล้ชิดเธอมากขึ้น ในวันวาเลนไทน์ เขาซื้อดอกกุหลาบช่อโตมาให้ เพื่อนๆต่างอิจฉาตาร้อน เขาขอเธอเป็นแฟน เธอปฏิเสธเขาแทบจะทันที แม้ครั้งนั้นเขาจะผิดหวังและหายหน้าไปนานหลายวัน แต่เขาก็กลับมาพร้อมกับบอกเธออย่างมั่นใจว่า เขาพร้อมจะรอ ไม่ว่าเธอจะขอเวลาเพื่อลืมรักครั้งเก่านานแค่ไหน เขาไม่รู้ว่าผู้ชายคนนั้นทำให้เธอเจ็บช้ำมากแค่ไหน หรือ ทำให้เธอรักเขายังไง แต่หากเธอเลือกที่จะไม่ลืมเขา เขาก็พร้อมจะรอเธอเสมอ แววตาและถ้อยคำที่แสนจริงใจของเขา มันทำให้เธอใจอ่อน มองเขาด้วยความเจ็บปวด เธอยินดีจะให้เขามาคอยดูแล แต่ขอเวลาเธอดูเขาอีกสักพัก วันเวลาผ่านมาเป็นปีแล้ว เขายังคงดีกับเธอเสมอ ความรักในวันวานเริ่มจางหายไป เพราะเขาคอยเติมความสุขและความทรงจำใหม่ๆให้เธอ เธอมีความสุขดีที่มีเขาอยู่ข้างๆ แต่พอตฤณปรากฏตัวขึ้น รอยบาดแผลที่ใจของเธอก็ถูกสะกิดให้เจ็บปวดอีกครั้ง เธอไม่รู้ว่า ตอนนี้ความรู้สึกของเธอเป็นยังไง แต่ไม่รู้เพราะอะไร เธอจึงไม่อยากพูดคุยอะไรกับเขาตอนนี้ ถ้อยคำที่แสนห่วงใยของเขาถ่ายทอดผ่านโทรศัพท์ เธอได้แต่กล่าวขอโทษเขาเบาๆ เธอเองก็ไม่รู้จะแก้ตัวอย่างไร

    “ให้นนท์ไปรับไหม งานเลิกดึกรึเปล่า” ปลายสายเอ่ยด้วยความเป็นห่วง

    “อย่าเลยนนท์ เอมมากับเพื่อนสนิทสมัยเรียน ไม่ต้องเป็นห่วงนะ เดี๋ยวเพื่อนเอมจะไปส่งถึงบ้าน ไว้ใจได้” เธอว่า

    “ดูแลตัวเองดีๆนะเอม รู้รึเปล่าว่านนท์เป็นห่วง มีอะไรก็บอกนนท์นะ” คำพูดของเขา มันยิ่งทำให้เธอรู้สึกผิด เหมือนเธอเอาแต่ห่วงความรู้สึกของตัวเอง จนลืมว่ายังมีเขาอีกคนที่คอยเป็นห่วงเป็นใยเธอเสมอ ทำไมเธอจึงไม่กล้าบอกเขาว่าคนที่ทำให้เธอฝังเขาไว้ในความทรงจำกลับมาแล้ว และทำไมเธอจึงไม่กล้าบอกเขาว่าคนๆนั้นเป็นใคร แม้รู้ดีว่าเขาไม่เคยเอ่ยถามอะไร แต่แค่เพียงมองแววตาเขาเท่านั้น มันก็ทำให้เธอเองรู้สึกผิด

                    ร่างเล็กเดินกลับมายังงานเลี้ยง บนเวที มีนักดนตรีกำลังบรรเลงเพลงอย่างสนุกสนาน ผู้คนภายในงานต่างสังสรรค์เฮฮา คุยกันอย่างสนุกสนานตามประสาหมู่เพื่อนที่ไม่ได้เจอะเจอกันมานาน เธอมองยังโต๊ะอาหาร ชายหนุ่มที่เธอเพิ่งเจอเมื่อครู่ กำลังสนุกเฮฮากับกลุ่มเพื่อนของเขา เมที่นั่งอยู่ เหลือบมองมาก่อนลุกจากที่นั่งเดินมาหาเธอ

     

                    “ไม่คิดว่าตฤณจะมาด้วย”เมว่า เธอมองเพื่อนที่มีแววตาเศร้าสร้อย “อื้อ รู้แล้วล่ะ เราเพิ่งเจอกันตรงทางเดิน”

    “แล้วนี่เป็นอะไรรึเปล่า สีหน้าไม่ค่อยดีเลยนะ เพราะตฤณเหรอ”เมเอ่ยถามเพื่อนอย่างเป็นห่วง

    “ไม่มีอะไรหรอกเม ” เธอหลบตาเพื่อน

    “แล้วอย่างนี้เอมจะยังอยากไปนั่งโต๊ะนั้นอยู่รึเปล่า”เธอว่าพลางมองไปยังชายหนุ่มที่มาใหม่ เอมยังไม่ทันได้เอ่ยอะไร เสียงเพื่อนเก่าที่ไม่ได้เจอกันนาน เอ่ยทักเธอเสียงดัง

    “ว้าว ไม่ยักรู้ว่าคุณพยาบาลมางานนี้ด้วย ไปเร็วๆไปทักทายเพื่อนเก่ากันหน่อยเร็ว” เขาว่า

    “ไอ้ทาม แกนี่มายังไงเนี่ย ” เมว่าเพื่อนชายหัวโจกของห้องสมัยเรียนที่เข้ามาอย่างไม่ทันตั้งตัว

    “แล้วนี่ ทามเรียนอะไรเหรอ” เอมเอ่ยถามเขา มองชุดสูทสีเทาที่ดูแปลกตา และทรงผมทรงใหม่ของเขา สมัยเรียนเขาเป็นเหมือนเด็กนักเรียนทั่วๆไปที่ไม่สนใจเรียน เอาแต่นั่งหลับในห้อง จนอาจารย์ต่างเอือมระอา

    “แหม ก็เรียนบริหารแหละ มหาลัยเอกชนแหละ” เขาว่า

    “โห นึกยังไงถึงได้เรียนด้านนั้นล่ะ ทามไม่ชอบไม่ใช่เหรอ” ร่างเล็กถามด้วยความสงสัย สมัยเรียนเขามักจะชอบการเล่นเกมส์คอมพิวเตอร์เป็นชีวิตจิตใจ และประกาศปาวๆว่าจะเรียนวิศวะคอมให้ได้

    “ที่บ้านน่ะ” เขาพูดอย่างเหนื่อยใจ เอมพอจะเดาสถานการณ์ออก แม้เขาจะไม่เอาดีทางการเรียนเลย แต่ธุรกิจที่บ้านของเขาก็ร่ำรวยคงไม่ยอมให้เขาไปเรียนด้านนั้นเด็ดขาด

    ทั้งคู่พยักหน้าอย่างเข้าใจเขา “เอมไปเถอะ เพื่อนๆรออยู่” เขาคว้ามือเล็กให้เดินตามเขาไป

    “นี่ ไอ้ทามให้มันน้อยๆหน่อยนะ” เมว่าพลางมองมือที่เขาจับอยู่

    สมัยเรียนทามตามจีบเอมอยู่ตั้งนาน แม้นิสัยเกเรของเขาจะทำให้เขาดูไม่ดีในสายตาของใครหลายๆคน แต่สำหรับเธอแล้ว เขาเป็นดังเช่นแมวขี้เซาที่ตามใจเธอทุกอย่าง เขาพยายามอย่างมากที่จะชนะใจเธอ แต่เธอก็เลือกที่จะคบกับตฤณ ตอนนั้น เขาแทบจะเป็นบ้า เขาหายหน้าไม่มาเรียนอยู่หลายวัน ตอนนั้นมันทำให้เธอรู้สึกเป็นห่วงเขา แต่ไม่นานเขาก็กลับมาเรียนอีกครั้ง ในบุคลิกที่ต่างออกไป เขากลับมาตั้งใจเรียน พิสูจน์ให้เธอเห็นว่าเขาก็สามารถเอาดีได้ เขาเลิกยุ่งวุ่นวายกับเธอ แต่ก็คอยห่วงใยเธอห่างๆ ตอนที่เขารู้ว่าเธอเลิกกับตฤณ แม้ตอนนั้นเขารู้สึกมีความหวังขึ้นมาอีกครั้งแต่ พอได้เห็นหน้าที่มีแต่ความเศร้าของเธอ มันก็ทำให้เขายิ้มไม่ออก เขากลับมาดูแลเธออีกครั้งในฐานะเพื่อน เขาเพียงต้องการให้เธอหายจากความเศร้าซึมเท่านั้น ในวันนี้เขาดีใจมากที่ได้พบเจอเธออีกครั้ง ความรู้สึกเป็นห่วงเป็นใยนั้นก็ยังคงอยู่

                    ทามมองตามสายตาของเมก่อนยิ้มกว้าง

    “แหม คิดอะไร คนเขาเป็นเพื่อนกันจับมือกันไม่เห็นจะแปลกตรงไหน” เขาว่า ก่อนจะพาให้เอมไปนั่งร่วมโต๊ะกับเพื่อนๆห้องเดียวกัน เมส่ายหัวเป็นเชิงไม่ถือสา ก่อนเดินกลับไปยังโต๊ะอาหารเดิม เพื่อบอกจะเปลี่ยนที่นั่ง

     

                    ไม่นานนัก ดนตรีที่ถูกบรรเลงในงานก็หยุดลง พิธีกรในงานเดินขึ้นเวทีก่อนกล่าวเปิดงานและอธิบายเกมส์ให้ผู้ร่วมงานได้ร่วมสนุกกัน

    “เอาละครับ วันนี้เราก็มีเกมส์เล็กๆน้อยๆมาให้ร่วมสนุกกันครับ ที่ใต้เก้าอี้ที่ทุกคนนั่งอยู่จะมีสติ๊กเกอร์สัญลักษณ์งานเลี้ยงวันนี้ติดอยู่นะครับ มีเพียง 2 ที่เท่านั้นนะครับ สำรวจดูที่เก้าอี้ของตนเองเลยครับ ใครกันคือผู้โชคดีคนนั้น” พิธีกรพูดยังไม่ทันจบทุกคนต่างก็ก้มลงมองยังใต้เก้าอี้ของตนอย่างตื่นเต้น

    “ใครเป็นคนคิดเกมส์นี้นะ” เมเปรย

    “เอาเถอะน่า ขำๆ” ทามว่า พลางก้มดูเก้าอี้ของตน

    “ว่ายังไงครับ เก้าอี้ของใครมีสติ๊กเกอร์ติดอยู่”

    “ตัวนี้ค่ะ ตัวนี้!!!” เสียงของผู้หญิงคนหนึ่งเอ่ยขึ้น พลางชี้ที่เก้าอี้ของชายหนุ่มเพื่อนสนิท ทุกคนภายในงานต่างจับจ้องไปที่เขา

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×