ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    The Candle Garden, the Grave of Fireflies : Fic บารามอส

    ลำดับตอนที่ #8 : The Dawn, the Twilight [Fic Baramos] - บทที่ 7

    • อัปเดตล่าสุด 4 ก.ค. 50



    บทที่ 7: ยามอาทิตย์อัสดง ขอหัวใจจงหลับไหลไปนิรันดร์ [Saying Goodbye to My Princess with a Bloody Hand]


    ฟากฟ้าเหนือป่าแห่งสโนว์แลนด์เริ่มมีเค้าโครงกลุ่มก้อนเมฆสีดำทมึนเข้าปกคลุม บดบังแสงอาทิตย์ที่ควรจะแผดแรงกล้าและเป็นแสงสว่างนำทางคลองจักษุให้เหลือไว้เพียงแสงสลัวเรือนลาง

    บุคคลที่อยู่ด้านนอกเกวียนจึงขยับกายเข้ามาใกล้กันอย่างระวังภัย ทันใดนั้นเอง

    เปรี้ยง!!
    เสียงฟ้าฝ่าดังสนั่นหวั่นไหว แสงสีทองจากเบื้องบนพุ่งตรงลงมายังพื้นดินที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกลราวมีแรงดึงดูด

    “คิล...?” เสียงหวานพึมพำดังแทบไม่พ้นคอ ขณะที่นัยน์ตาสีมรกตก้มลงมอง พลันความเจ็บแปลบก็แล่นวูบขึ้น

    กริชเงินที่ควรจะยังปักอยู่ที่พื้นเกวียนบัดนี้กำลังฝังด้านคมลงในร่างบางจนมิด เพียงแค่ชั่ววินาทีที่แสงสีทองนั้นสว่างวาบแล้วทิ้งไว้เพียงความมืด มันก็ถูกกระชากออกอย่างรวดเร็ว

    นักฆ่าได้ลงมือปฏิบัติงานอย่างไร้ความปราณี!

    วิเวียนเบือนไปมองยังร่างของผู้ลงมือสังหารอย่างไม่เข้าใจ นัยน์ตาสีม่วงที่เคยพราวกระริกเวลานี้ดูกระด้างเย็นชา บรรยากาศอบอุ่นอ่อนโยนที่เคยมีบัดนี้ถูกกลบด้วยกลิ่นอายสังหาร

    “มันเป็นงาน” คำตอบราบเรียบราวกับเป็นเรื่องธรรมดาจากทายาทตระกูลฟีลมัส “ต้องขอบใจสถานการณ์ทุกอย่างที่เอื้ออำนวย ทำให้ฉันเข้าใกล้เธอได้ง่ายขนาดนี้”

    “แค่นั้น...” เจ้าหญิงแห่งเวนอลฝืนเอ่ยออกมาได้เพียงเท่านี้ เมื่อรู้สึกเหมือนมีก้อนสะอึกมาจุกตรงคอ นัยน์ตาสีมรกตที่ทอดมองคนตรงหน้าไหววูบ แล้วหยาดน้ำใสจึงได้รื้นขึ้นตรงขอบตา

    แค่นั้นใช่ไหม? เหตุผลทั้งหมดที่ใจดีกับหญิง
    ทั้งรอยยิ้มที่อ่อนโยน ทั้งคำพูด ความห่วงใยเหล่านั้น
    ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นเพียงสิ่งปลอมๆที่เขาสร้างขึ้นมา
    ...เพียงเพราะว่ามันคืองาน ใช่ไหม

    “ฮึก...” เสียงสะอื้นไม่ยอมให้หลุดออกจากปากเมื่อเธอเม้มริมฝีปากแน่น ตั้งใจว่าจะไม่ทำตัวให้น่าสมเพชมากไปกว่านี้

    โลหิตสีแดงฉานพร่างพรูออกมาจากรอยแผลลึก ไหลซึมไปตามเนื้อผ้าขาวราวหยดโลหิตลงบนหิมะ ความเจ็บปวดแล่นริ้ว ร่างบางเอามือกุมปากแผลไว้ขณะหลุบสายตาลงต่ำ

    เจ็บ...
    แต่ที่เจ็บยิ่งกว่ากลับเป็นหัวใจ...

    พลันภาพความทรงจำที่เคยมีร่วมกับคนตรงหน้าก็ย้อนกลับมาฉายซ้ำในหัวราวกลับจะตอกย้ำ ยิ่งทำให้หทัยของหญิงสาวผู้ทรงอำนาจหวั่นไหวรุนแรง แต่วิเวียนก็ข่มจิตใจไว้

    หยาดน้ำใสที่กำลังจะไหลลงตามแรงโน้มถ่วงถูกเจ้าของร่างพยายามอย่างเต็มกำลังที่จะฝืนพลังของธรรมชาติ แม้นัยน์ตาจะเป็นประกายไหวอย่างปวดร้าว

    และเป็นภาพที่ทำให้หัวใจของนักฆ่าเจ็บแปลบ รังสีการฆ่าฟันตอนนี้จึงได้ลดลง

    “วิเวียน” เสียงพึมพำแสนเบา เจ้าของชื่อตวัดสายตามองด้วยความเจ็บช้ำ ขณะที่พยายามรวบรวมกำลังกล่าวราวประชด

    “รออะไรอยู่คะ? ทำไมไม่รีบจัดการให้จบๆไป”

    เจ็บ...
    ปวดร้าว...
    ความรู้สึกที่ถูกส่งผ่านนัยน์ตาสองคู่ยามที่มันสบประสาน ก่อนที่คำถามซึ่งไม่ได้รับคำตอบจะดังขึ้นในใจ

    ทำไม...ทำไมถึงต้องเป็นแบบนี้
    หรือนี่คือชะตาลิขิต...ใช่ไหม?

    “วิเวียน” เสียงทุ้มนั้นสั่นพร่า ความรู้สึกที่ส่งผ่านนัยน์ตาสีม่วงยิ่งทำให้อีกฝ่ายเจ็บปวด หญิงสาวจึงได้ข่มตาลงแล้วเอ่ยอย่างสุดจะกลั้น

    “ได้โปรดเถอะ คิล...ปลิดชีวิตของหญิงเสีย อย่าให้หญิงต้องทรมานมากไปกว่านี้เลย”

    ให้ตายไปเสียตั้งแต่ตอนนี้ ยังจะดีกว่าต้องมารับรู้ความจริง
    อย่างน้อย...ก็ด้วยมือของเขา

    เปรี้ยง!!
    เสียงฟ้าฝ่าดังขึ้นมาอีกระลอก พร้อมๆกับที่ใครคนหนึ่งวาดรอยสังหาร!

    “ขอโทษ” คำกล่าวเบาๆจากผู้ลงมือกระทำ บัดนี้ร่างบางในอ้อมแขนนั้นอ่อนยวบไร้เรี่ยวแรงเพราะผลจากการลงดาบครั้งสุดท้าย ที่กำลังจะทำให้ดวงไฟชีวิตของหญิงสาวดับลง

    ยังไงเสีย...นักฆ่ากับจักรพรรดินีก็คงไม่มีทางสมหวัง
    ลากันตั้งแต่ตอนที่ความรู้สึกยังไม่หยั่งรากลึกน่าจะดีกว่า

    “...ไม่ต้องขอโทษหรอกค่ะ คิล” วิเวียนกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ถึงยังไงหญิงก็ต้องตายอยู่ดี”

    นักฆ่าแห่งซาเรสประคองร่างบางไว้ในอ้อมแขน โลหิตสีแดงยังคงไหลรินและเริ่มซึมลงบนพื้นเกวียน สัมผัสจากร่างในอ้อมแขนค่อยๆเย็นลงอย่างชวนให้ใจหาย เป็นครั้งแรกที่คิลรู้สึกว่าอยากย้อนเวลากลับไป

    แต่...จะย้อนกลับไปที่ตรงไหนดี?

    “ขอบคุณค่ะ” เสียงหวานพยายามรวบรวมกำลังพูด ลมหายใจในตอนนี้แผ่วเบาลงเรื่อยๆ เป็นสัญญาณแห่งจากลาจากในไม่ช้า นัยน์ตาสีมรกตยังรื้นน้ำ ขณะที่นัยน์ตาสีม่วงกำลังสั่นไหวอย่างรุนแรง “หญิง...ง่วงแล้วล่ะค่ะ...คิล” เมื่อพยางค์สุดท้ายเงียบหาย ร่างบางก็ปิดเปลือกตาลงอย่างอ่อนล้าพร้อมๆกับน้ำตาที่ไหลรินลงอาบแก้มขาว

    คิลกอดร่างของวิเวียนเอาไว้แน่น ร่างทั้งร่างสั่นเทิ้ม มือหนึ่งเอื้อมไปเช็ดน้ำตาให้เพราะรู้ดีกว่าเจ้าหล่อนไม่ชอบร้องไห้ให้ใครเห็น แต่มือที่เปื้อนเลือดกลับทำให้ดวงหน้างามนั้นเปื้อนไปด้วย

    อย่างนี้น่ะดีแล้ว...
    ช่วยอะไรไม่ได้แล้ว
    ถึงเธอไม่ตายเพราะบาดแผล แต่เธอก็ต้องตายเพราะพิษที่อาบกริชนั่นไว้อยู่ดี
    ถ้าตายเพราะยาพิษก็จะยิ่งทรมาน
    ให้เขาเป็นคนลงมือสังหารน่าจะดีกว่า

    อย่างน้อย...ความเจ็บปวดและน้ำตาทั้งหมดของเธอ
    เขาจะเป็นคนแบกรับมันไว้เอง

    นักฆ่าหนุ่มค่อยๆก้มลงจุมพิตเบาๆที่หน้าผากของหญิงสาว หยาดน้ำใสๆที่ไหลลงตามแรงดึงดูดตกลงบนแก้มขาวของอีกฝ่าย จนดูเหมือนว่าคนทั้งคู่ต่างก็กำลังร้องไห้ด้วยความเศร้า

    ภายนอกเกวียนขณะนี้ได้มีหิมะโปรยปรายลงมา ทำให้บรรยากาศนั้นดูหดหู่ และอ้างว้าง

    คิลค่อยๆข่มตาลงยามที่ประคองร่างวิเวียนให้นอนลงบนพื้น ริมฝีปากก็ขยับออกแล้วพึมพำด้วยเสียงแสนเศร้า

    “หลับฝันดีนะ...เจ้าหญิงของฉัน”

    …..The end…..


    ..

    ….
    ..





    ….

    ….
    ...
    .....
    ...
    ..
    .
    ……ซะเมื่อไหร่......
    ...ข้างบนนี้เป็นแค่กับดักเอามาหลอกท่านผู้อ่าน เอิ๊ก...
    ขอเชิญพบกับบทที่ 7 ของจริงได้แล้วขอรับ...

    =======================

    บทที่ 7: เพียงชิดใกล้-หัวใจหลงทาง [Tell Me the Meaning of Being Lonely]

    ฟากฟ้าเหนือป่าแห่งสโนว์แลนด์เริ่มมีเค้าโครงกลุ่มก้อนเมฆสีดำทมึนเข้าปกคลุม บดบังแสงอาทิตย์ที่ควรจะแผดแรงกล้าและเป็นแสงสว่างนำทางคลองจักษุให้เหลือไว้เพียงแสงสลัวเรือนลาง

    บุคคลที่อยู่ด้านนอกเกวียนจึงขยับกายเข้ามาใกล้กันอย่างระวังภัย ทันใดนั้นเอง

    เปรี้ยง!!
    เสียงฟ้าฝ่าดังสนั่นหวั่นไหว แสงสีทองจากเบื้องบนพุ่งตรงลงมายังพื้นดินที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกลราวมีแรงดึงดูด

    กริชสีเงินยังคงสงบนิ่งอยู่บนพื้นไม้ที่มันฝังตัวลงไปอย่างนั้น เพราะคนที่สมควรจะต้องหยิบมันขึ้นมายังคงไม่อาจละทิ้งความสับสนให้หมดไป ชายหนุ่มเพียงเม้มริมฝีปากแน่น นัยน์ตาสีม่วงแม้เหมือนจะทอดมองไปยังอาวุธตรงหน้า แต่ทว่าความคิดกลับทอดไปไกลกว่านั้น

    “คิล?” เสียงหวานร้องเรียกเมื่อเห็นว่าคนโตกว่ายังนิ่ง ทั้งๆที่ตอนนี้อยู่ในสถานการณ์คับขันแท้ๆ “คิล!”

    “หือ” คราวนี้คนถูกเรียกถึงเพิ่งรู้สึกตัว มือหนึ่งก็เอื้อมไปหยิบกริชเงินนั้นมาเก็บเอาไว้ ก่อนจะหันไปถาม “ทำไมเหรอ?”

    “โถ่! เหม่ออะไรอยู่คะ คิล? หญิงกำลังจะบอกว่ารีบออกไปช่วยพวกพี่หญิงเร็วๆเข้า” เจ้าหญิงแห่งเวนอลแหวใส่อย่างหงุดหงิดเมื่อคนโตกว่ากลับใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวทั้งที่กำลังหน้าสิ่วหน้าขวานแท้ๆ

    “บอกแล้วว่าพวกมันดูแลตัวเองได้” นักฆ่าแห่งซาเรสยังตอบเหมือนเดิม

    “แต่ว่า...”

    “ระวัง!!” เสียงตะโกนของชายหนุ่มดังขึ้นในไม่กี่วินาทีหลังจากนั้น เมื่อจู่ๆแสงสีทองจากฟ้าก็ฟาดเปรี้ยงลงกลางตัวเกวียน ส่งผลให้พาหนะเดินทางของทั้งกลุ่มแตกออกเป็นสองส่วน

    “คิล! วิเวียน!!” เสียงร้องของเฟรินดังขึ้นขณะที่เจ้าตัวรีบวิ่งเข้ามาหาเพื่อนที่พาร่างของจักรพรรดินีแห่งเวนอลกระโดดออกมาจากเกวียนได้หวุดหวิด

    นัยน์ตาสีมรกตยังฉายแววตื่นตระหนก ก่อนจะลอบกลืนน้ำลายเอื๊อก ถ้าไม่ใช่เพราะสัญชาตญาณนักฆ่าไวเหลือเชื่อ ป่านนี้ทั้งเธอทั้งเขาคงได้ไปเดินเล่นอยู่อีกโลกหนึ่งแล้ว

    “เป็นอะไรมั้ย?” คิลก้มลงสำรวจบาดแผลของร่างบางแล้วก็ถอนหายใจอย่างโล่งอกเมื่อหาไม่พบ

    “นั่นมันอะไรวะ?!” เฟรินสบถขณะหันไปดูซากไหม้เกรียมของสิ่งที่เคยเป็นพาหนะของพวกตัวเอง ขณะที่นัยน์ตาสีม่วงหลุบมองไปทางอื่น

    สัญญาณเตือนครั้งที่สอง...

    “คิล? บาดเจ็บเหรอคะ?” เสียงหวานของเจ้าหญิงวิเวียนแฝงความห่วงใย คนถูกถามหันมามองแล้วก็ต้องดันร่างบางให้ออกห่างจากตัวเองเบาๆ พร้อมความคิดสับสนในใจ

    เขาควรจะทำอย่างไรดี?

    แล้วมือข้างที่ยังถือกริชเงินก็กำแน่น เป็นครั้งแรกที่รู้สึกไม่เข้าใจตัวเองได้ขนาดนี้ เป็นครั้งแรกที่รู้สึกลังเลที่จะต้องลงมือสังหารเหยื่อ

    แม้ว่าจะเป็นเหยื่อที่เขาเป็นคนขอจัดการเอง

    “คิล?” เจ้าหญิงคนสวยเซ้าเมื่อรู้สึกเหมือนถูกเมินเฉยเป็นครั้งที่สอง

    “เฟริน นายดูแลยายนี่” นักฆ่าหนุ่มส่งตัวหญิงสาวให้กับเพื่อนหัวขโมย ขณะที่ตัวเองเลือกกลับเข้าไปในสนามต่อสู้สมทบกับพวกคาโล

    นัยน์ตาสีน้ำตาลกระพริบปริบๆมองกิริยาของคนที่เพิ่งเดินไปอย่างงงๆ ก่อนพึมพำ

    “มันเป็นอะไรของมันวะ?”

    เสียงการต่อสู้ยังคงดำเนินต่อไป บุรุษสามคนในวงล้อมแสดงฝีมือกำจัดผู้บุกรุกให้ลดลงไปทีละน้อยๆ ขณะที่เจ้าหญิงแห่งเดมอสบัดนี้ทำได้เพียงแค่ส่งเสียงเชียร์อยู่ในเขตอาคมป้องกันขององครักษ์ตัวจิ๋วเพราะต้องคอยปกป้องน้องสาวคนสำคัญที่ยังไม่หายป่วยดี

    เสียงดาบปะทะเริ่มเบาลง ในเวลาเดียวกับที่เมฆดำปกปคลุมค่อยๆจางหาย และเมื่อแสงแห่งทิวากรสามารถลอดผ่านลงมาเบื้องล่างได้อีกครั้ง ผู้บุกรุกชุดดำคนสุดท้ายก็ล้มลงไปนอนแน่นิ่งที่พื้น

    เป็นสัญญาณแห่งชัยชนะ
    และอาจต่อเวลาของชีวิตไปได้อีกครั้ง...

    “แล้วจะทำยังไงดีล่ะทีนี้ เกวียนก็เละไปแล้วแบบนั้น” เฟรินกอดอกขณะบุ้ยหน้าไปยังซากเกวียนด้วยอารมณ์เซ็งสุดชีวิต นัยน์ตาของผู้ร่วมคณะเดินทางเบือนไปมองต้นตอของปัญหาอย่างหนักใจ

    “จากนี่ไปถึงยอดเขา ใช่ว่าจะไกลนัก พวกเราสามารถเดินเท้าไปจนถึงได้” เจ้าชายแห่งเจมิไนเอ่ยเรียบๆหลังจากครุ่นคิดอยู่สักพัก แต่กลับเป็นคำตอบที่เจ้าหญิงจอมยุ่งทำหน้าเหมือนกินยาขมก่อนจะร้องลั่น

    “ล้อเล่นหรือเปล่าพี่?! เดินเท้ากันในหิมะเนี่ยนะ?” ว่าแล้วเจ้าตัวก็ทำท่าสั่นบรื๋อ “เดี๋ยวก็ได้แข็งตายกันพอดี...พวกผมไม่เหมือนคาโลมันนะที่ชินกับหิมะเย็นๆอยู่เป็นทุน”

    “เรื่องนั้นใช้เวทมนตร์ได้” คนที่ถูกหาว่าชินกับอากาศหนาวเพียงเอ่ยอย่างสงบ ทำให้คนตั้งใจจะแหย่ต้องแอบร้องสบถในใจก่อนจะเปลี่ยนเรื่อง

    “มีเวทแบบนั้นด้วยเหรอวะ?”

    “มีจริงๆเฟริน เวทบทนี้พวกเธอจะได้เรียนตอนอยู่ชั้นปีห้า เป็นเวทมนตร์ที่จะสร้างเขตอาคมขึ้นรอบๆทำให้ร่างกายไม่รู้สึกถึงอุณหภูมิรอบๆ” เสนาธิการฝ่ายซ้ายอธิบาย คำอธิบายที่แม่ตัวดีร้องอ๋อ ก่อนจะหันไปเหล่บุรุษที่ยืนอยู่ข้างๆ

    เค้าเรียนกันตั้งปีห้า นี่มันยังอยู่แค่ปีสามยังจะเสือกไปสู่รู้กับเขาอีก

    “พวกเราไม่มีเวลาให้ลังเล ตอนนี้หากเห็นว่าทางไหนทำได้ก็ต้องเลือกทางนั้น...เอาเป็นว่าฉัน ท่านโกโดมแล้วก็คาโลจะร่ายเวทเพื่อสร้างเขตอาคมให้พวกเรา แต่ขอให้จำเอาไว้ว่าอาณาเขตของอาคมนั้นมีจำกัด หากออกห่างจากศูนย์กลางของอาคมไปนานๆ ผลของเวทจะลดถอยลงจนหายไปในที่สุด ดังนั้นพยายามเกาะกลุ่มกันเอาไว้ และอย่าพลัดหลงจากกลุ่มถ้าหากยังไม่อยากนอนหลับอยู่ที่นี่ตลอดไป”

    หลังจากที่ตกลงกันได้แล้ว เจ้าชายโรเวน โกโดมและคาโลก็เริ่มร่ายเวท ทุกคนในที่นั้นรู้สึกถึงความอบอุ่นที่แล่นผ่านขึ้นจากปลายนิ้วจนปกคลุมทั่วทั้งร่าง จากนั้นคณะพรรคทั้งเจ็ดชีวิตจึงได้เริ่มออกเดินทาง

    โดยไม่มีใครรู้เลยว่ายังมีสายตาคู่หนึ่งกำลังลอบมองเหตุการณ์ทั้งหมดจากที่ไกลๆ...

    ==================

    เสียงรองเท้าหกคู่ย่ำลงไปบนพื้นที่ปกคลุมด้วยหิมะขาวดังสวบสาบเป็นจังหวะต่อเนื่อง เมื่อคณะเดินทางจำต้องเดินเท้าไปตามเส้นทางซึ่งมุ่งหน้าไปยังยอดเขาอันเป็นสถานที่ของดอกแรกทิวา

    เวทมันร้ายจริงอย่างว่า
    ความคิดที่ไม่เคยหยุดนิ่งของหัวขโมยออกจะทึ่ง เมื่อในเวลานี้เธอไม่รู้สึกหนาวมากเหมือนตอนที่นั่งในเกวียนก่อนหน้า แต่ก็ยังคงหนาวกว่าอากาศที่เอดินเบิร์กข้างล่างเยอะ

    นัยน์ตาสีน้ำตาลเหลียวไปมองรอบๆแล้วก็ขยับยิ้มที่มุมปาก

    ทิวทัศน์ก็สวย ถึงแม้จะต้องมาเดินจนขาลากกว่าจะถึงที่หมายก็เหอะ

    แล้วเฟรินจึงได้เหลือบไปมองร่างบางที่เดินคู่กันมาข้างๆอย่างนึกเห็นใจ

    “ไหวไหมฮะ? วิเวียน”

    “...ไหวค่ะ...” แม้คำตอบจะว่าอย่างนั้นแต่ท่าทางของคนพูดกลับไปกันคนละเรื่อง พระพักตร์งดงามบัดนี้ซีดขาวจนแทบไม่เหลือสีเลือด ขณะที่เจ้าตัวหายใจถี่ๆหอบจนตัวโยน กระนั้นนัยน์เนตรสีมรกตก็ยังคงทอประกายมุ่งมั่นไม่ยอมแพ้อย่างถือรั้น อากัปกิริยาที่คนเป็นพี่ต้องลอบถอนหายใจแล้วเอ่ยขึ้นใหม่

    “งั้นเราไปต่อกันจนถึงตรงโน้นแล้วพักกันนะฮะ”

    “หญิงยังไหวค่ะ...ไม่เป็นไร” เจ้าหญิงแห่งเวนอลยังคงดื้อ “พวกเราต้องรีบนี่นา”

    “แต่ท่านยังไม่หายป่วยดี ไม่ควรหักโหม” เฟรินพูดอย่างเป็นห่วง

    “...หญิงทำให้พวกพี่หญิงต้องจากเอดินเบิร์กมาทั้งที่อยู่ในช่วงงานหมากกระดานเกียรติยศถึงนี่ก็นับว่าเห็นแก่ตัวมากพอแล้วล่ะค่ะ ...แล้วหากกลับไปไม่ทัน...หญิงคงไม่ยกโทษให้ตัวเอง” น้ำเสียงของเจ้าหญิงกล่าวด้วยความรู้สึกผิดที่ตนเป็นสาเหตุให้ทุกคนต้องมาลำบาก

    “อย่าคิดอย่างนั้นสิฮะ ลำบากอะไรกัน” อีกฝ่ายรีบเอ่ยเมื่อเห็นสีหน้าของเจ้าหญิงแห่งเวนอล “ท่านเป็นเหมือนน้องสาวผม อะไรที่ผมทำได้เพื่อช่วยท่านผมก็ยินดีที่จะทำ” ประโยคดังกล่าวทำให้คนฟังแย้มรอยยิ้มบางออกมา

    “ขอบคุณค่ะ” วิเวียนรับคำอย่างอ่อนล้า

    “เฮ้ย คาโล อีกนานมั้ยวะกว่าจะไปถึงเนี่ย?” เจ้าหญิงแห่งเดมอสตะโกนถามคนที่เดินนำอยู่ข้างหน้ากับเพื่อนรักนักฆ่า โดยมีเจ้าชายแห่งเจมิไนเดินนำอยู่กับเจ้าโคมุส ขณะที่นายขอทานเดินปิดท้ายขบวน

    “ไปอีกหน่อยจะถึงพื้นลาดที่นักเดินทางใช้พักกัน แล้วจากนั้นเดินขึ้นไปตามทางอีกครึ่งวันน่าจะถึงยอดเขา” คำตอบดังลอยมาจากคนรู้มากที่เดินตามมาอยู่ด้านหลัง

    “งั้นถ้าไปถึงเราพักกันสักหน่อยดีไหมฮะ พี่โรเวน” เฟรินตะโกนถามเจ้าชายที่อยู่หน้าสุด

    “นั่นสินะ นี่ก็ใกล้มืดแล้วด้วย ตกลงตามนั้นก็แล้วกัน”

    ================

    “เหนื่อยมากไหมฮะ? วิเวียน” เฟรินถามขณะย่อตัวลงคุยกับเจ้าหญิงคนสวยที่บัดนี้ลงไปนั่งพักบนเก้าอี้ยาวตัวหนึ่งที่อยู่บนเฉลียงหน้ากระท่อมเล็กๆสำหรับนักเดินทาง

    “นิดหน่อยค่ะ แต่หญิงไม่เป็นไร” วิเวียนตอบ

    “วันพรุ่งนี้เราก็จะไปถึงยอดเขาแล้วนะ อดทนอีกนิด” เฟรินลงไปนั่งข้างๆ “คราวนี้คาโลมันจะได้ใช้ดอกไม้นั่นมาปรุงยาถอนอาคมที่ติดตัวท่าน”

    “พวกพี่หญิงไม่น่าต้องลำบากเลยค่ะ” อีกฝ่ายเอ่ยด้วยน้ำเสียงหดหู่

    “ฮื้อ อย่าพูดอย่างนั้นสิฮะ...นี่มันสำคัญมาก” นัยน์ตาสีน้ำตาลสบมองคนข้างตัวนิ่งแล้วเอ่ยถาม “...ท่านรู้ใช่ไหมเรื่องอาคมที่ติดตัวท่านอยู่?”

    กับคำถามนั้นร่างบางอีกฝ่ายหลุบสายตาลงแทนคำตอบ คราวนี้คนเป็นพี่จึงกล่าวต่อด้วยน้ำเสียงปวดร้าว

    “เรื่องสำคัญขนาดนี้ทำไมท่านถึงไม่ยอมบอกผม...หรือท่านไม่เห็นว่าผมเป็นพี่ของท่านอีกต่อไปแล้ว” เฟรินตัดพ้อ ทำให้วิเวียนต้องรีบปฏิเสธลั่น

    “ไม่ใช่อย่างนั้นนะคะ” คิ้วเรียวมุ่นเข้าหากันน้อยๆ “หญิงเพียงแต่...”

    “...ไม่อยากทำให้ผมต้องลำบากใจ?” เฟรินต่อประโยคให้จนจบ ก่อนพูดขึ้นใหม่ด้วยน้ำเสียงที่แฝงความอาทร “ผมเคยบอกท่านหลายครั้งแล้ว ไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่ลำบากแค่ไหนผมก็ยินดีทำให้ท่าน ดังนั้นมีเพียงเรื่องเดียวเท่านั้นที่ผมอยากขอ คือผมอยากให้ท่านบอกผม เหมือนเมื่อก่อนที่เราเคยคุยกัน...ได้ไหมฮะ วิเวียน”

    “ค่ะ” เจ้าหญิงแห่งเวนอลรับคำ คำตอบรับที่ทำให้หัวใจของเฟรินรู้สึกโล่งขึ้นมาอีกหน่อย

    “แล้วมีเรื่องอะไรอีกไหมที่ท่านยังไม่ได้บอกผม?” นัยน์ตาสองคู่สอบมองกันนิ่ง นัยน์ตาสีมรกตทอดมองคนตรงหน้า รู้สึกได้ถึงความห่วงใยความอาทรที่มีให้กับเธอ วิเวียนจึงส่ายศีรษะน้อยๆแล้วว่า

    “ไม่มีแล้วค่ะ”

    “แน่ใจนะฮะ?”

    “ค่ะ...แน่ใจ”

    “งั้นก็ดีแล้ว” ท่าทางเหมือนโล่งอกของคนโตกว่าทำให้หัวใจของเจ้าหญิงเวนอลรู้สึกเต็มตื้น ก่อนจะโผเข้ากอดเฟรินแน่น ซึ่งอีกฝ่ายก็กอดตอบ

    “ท่านจะต้องไม่เป็นไรแน่นอนฮะ ผมสัญญา” คำพูดประโยคนั้นเต็มไปด้วยความมุ่งมั่นที่ทำให้คนฟังรู้สึกเชื่อมั่นในถ้อยคำดังกล่าวตามไปด้วย วิเวียนยิ้มบางๆก่อนจะข่มนัยน์ตาสีมรกตที่รื้นน้ำลงช้าๆ

    ดีใจจริงๆที่ได้มาที่นี่...
    ...และหวังเพียงแต่ว่าจะสามารถยืดเวลาออกไปได้อีกสักนิด
    อีกแค่นิดเดียว...เท่านั้น

    =================

    “อ่ะ…” เสียงเรียกที่ทำให้ต้องหันไปมองแล้วก็พบกับแก้วน้ำใบหนึ่งที่ถูกยื่นมาไว้ตรงหน้า นัยน์ตาสีมรกตจึงเงยขึ้นมองเจ้าของการกระทำพร้อมคำถาม

    “นี่อะไรคะ?”

    “ก็...แก้วน้ำไง” คิ้วเข้มของคนพูดมุ่นขึ้น “เธอไม่รู้จักเหรอ?”

    กับคำตอบอันชวนให้โมโหนั้นเจ้าหญิงแห่งเวนอลก็หรี่ตาลงนิดแล้วค้อนเข้าให้

    “ไอ้รู้น่ะรู้อยู่หรอกค่ะ แต่ไม่มั่นใจว่าคนที่จู่ๆก็ยื่นแก้วน้ำมาให้นี่กำลังคิดอะไรอยู่กันแน่”

    ฮ่าๆ เป็นไงล่ะไอ้คิล
    สะใจวุ้ย!
    บุคคลที่สามซึ่งเห็นเหตุการณ์ทั้งหมดกำลังกลั้นหัวเราะอย่างสุดความสามารถเมื่อสายตาอาฆาตส่งมาจากคนถูกย้อน

    “น้ำอุ่น ดื่มซะจะได้ไม่หนาว” นักฆ่าแห่งซาเรสส่งแก้วน้ำตัวต้นเรื่องให้อีกฝ่ายที่รับมาขณะกระพริบตามองปริบๆ ส่วนเจ้าหญิงอีกคนกลับยื่นมือออกไปแล้วกระดิกนิ้วดิ๊กๆ

    “อะไรของนายเฟริน”

    “ของฉันล่ะ ไม่มีเหรอ?” แม่ตัวยุ่งแกล้งทำเสียงออดอ้อนชนิดที่คนได้ยินถึงกับสะดุ้ง ขนทั้งหมดพากันลุกเกรียว

    “ไม่มีโว้ย! อยากกินก็ไปหาเอาเอง อย่าทำเสียงแบบนี้อีกนะเฟริน สยองว่ะ!” คิลลูบต้นแขนไปมาอย่างยังขนลุกไม่หาย ขณะที่คนลองอ้อนตอนนี้หน้าบูดเป็นตูดลิง

    “เชอะ...ใช่สิ ใช่ซี่ ฉันมันไม่ได้สลักสำคัญอะไร” เจ้าหล่อนยังแกล้งประชดประชันด้วยกิริยาแบบผู้หญิ๊ง ผู้หญิงที่คิลต้องงงว่ามันเริ่มทำตัวแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่

    “พี่หญิงคะ เอานี่ไปก็ได้ค่ะ” เจ้าหญิงคนสวยยื่นแก้วมาให้

    “ไม่เป็นไรฮะ เดี๋ยวผมไปเอาของไอ้คาโลมันก็ได้” เฟรินโบกมือไปมาก่อนจะผุดลุกขึ้นยืนแล้วรีบเดินไปหาพวกคาโลที่นั่งคุยกันอยู่ตรงโต๊ะอีกฟาก

    ครั้นเมื่อเจ้าหญิงแห่งเดมอสจากไปแล้ว นักฆ่าหนุ่มจึงได้ทิ้งตัวลงนั่งบนที่ว่างซึ่งเคยเป็นของเฟรินก่อนจะถอนหายใจด้วยความอ่อนล้า

    “เป็นอะไรไปคะ?” วิเวียนเอ่ยถามเมื่อเห็นอาการของคนตรงหน้า “ดูแปลกๆมาตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว”

    “ไม่มีอะไร” คำปฏิเสธที่เจ้าหญิงแห่งเวนอลรู้ในทันทีว่าเจ้าตัวไม่ต้องการจะบอก ดังนั้นเธอจึงไม่คิดจะถามเซ้าซี้อะไรต่ออีก

    คนทั้งคู่นั่งอยู่เงียบๆ ต่างฝ่ายต่างมีเรื่องให้ต้องคิด ร่างบางยกแก้วน้ำขึ้นจิบเป็นระยะขณะที่นัยน์ตาสีมรกตทอดมองไปยังร่างของใครบางคนที่อยู่ห่างออกไปอย่างเคยชิน

    สายตาที่คอยมองหาคนคนนั้นไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน
    ก็เหมือนกับหัวใจที่คอยตามหาเพียงแค่คนคนนั้นอยู่ตลอดเวลา
    แม้รู้ทั้งรู้ว่ามีแต่เจ็บ
    แต่ก็ยังไม่ยอมตัดใจ

    ราวกับจะรู้ว่าถูกมอง เมื่อจู่ๆเจ้าชายคนเก่งแห่งเจมิไนก็หันหน้ามาทางที่เธอนั่งอยู่ ชั่วขณะที่นัยน์ตาสองคู่บังเอิญสบประสาน เหตุการณ์ที่ผ่านมาไม่นานก็กลับมาย้ำเตือนให้ระลึกถึง นัยน์ตาสีมรกตจึงเบือนหนีก่อนด้วยความสะเทือนใจ

    เจ็บ...
    ทั้งที่เจ็บขนาดนี้
    แต่ทำไมถึงยังรักอยู่

    “หญิงออกไปเดินเล่นข้างนอกแปปนะคะ เดี๋ยวมา” วิเวียนตัดสินใจลุกหนีจากสถานการณ์ตรงหน้า แล้วก้าวพรวดๆไปที่ประตู คำค้านซึ่งควรจะมีเหมือนทุกทีไม่ได้ออกจากปากองครักษ์หนุ่ม เมื่อเจ้าตัวเองก็กำลังกลัดกลุ้มอยู่กับความคิดตน

    ดังนั้นผู้ที่เห็นเรื่องทั้งหมดจึงมีเพียงเจ้าของนัยน์ตาสีน้ำเงินเข้มคู่นั้น

    ภาพที่ปรากฎในคลองจักษุมีอยู่เพียงสีเดียว คือสีขาวบริสุทธิ์ของหิมะที่ทอดตัวลงจับจองทุกพื้นที่บริเวณนั้น แม้แต่กระท่อมเล็กๆของนักเดินทางก็ยังเป็นสีขาว ซากต้นไม้แปลกประหลาดที่เหมือนปฏิมากรรมน้ำแข็งเรียงรายอยู่สองข้างทาง

    สโนวแลนด์ยังคงเป็นดินแดนอันลึกลับและมีมนต์ขลังอยู่เสมอ

    และบนยอดเขานี่...อีกไม่นานก็จะได้เห็น
    ...แรกทิวา ราตรีสุดท้าย...

    ดอกไม้...แห่งคำมั่นสัญญา

    พลันเสียงของใครบางคนก็แว่วขึ้นมาในห้วงคิด

    “หญิงรู้จักดอกไม้ที่ว่ากันว่างดงามที่สุดในโลกไหม” น้ำเสียงอันอ่อนเยาว์ยังคงอบอุ่นอ่อนโยน ก่อนที่ประโยคซึ่งเป็นเครื่องหมายของคำมั่นจะดังตามมา

    “งั้นถ้าหญิงทำตามสัญญาว่าจะเป็นผู้หญิงที่ดีกว่าใครๆได้ล่ะก็ พี่จะพาหญิงไปดูตกลงไหม?”

    นัยน์ตาสีมรกตหรี่ลงเมื่อความทรงจำในวัยเยาว์ที่เคยเป็นดั่งความหวังกลับกลายเป็นเครื่องทรมานจิตใจตน วิเวียนกระชับเสื้อให้แน่นขึ้นเมื่อรู้สึกว่าอากาศในยามที่ใกล้เวลาโพล้เพล้เริ่มจะหนาวกว่าเดิม ทันใดนั้นเธอก็ต้องสะดุ้งเมื่อเสียงหนึ่งดังขึ้นด้านหลังอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย

    “อากาศตอนใกล้ค่ำที่นี่หนาวกว่าที่อื่น อาการของท่านจะทรุดลงได้” เจ้าของประโยคนั้นยื่นเสื้อคลุมหนาส่งมาให้ ร่างบางเหลือบมองเสื้อคลุมนั้นทางหางตาแต่ยังไม่ยอมรับมาถือไว้

    “เราไม่เป็นไร เวนอลในหน้าหนาวอากาศก็คล้ายๆกับตอนนี้” องค์จักรพรรดินีปฏิเสธความหวังดีนั้น “ท่านเก็บเอาไว้สำหรับตัวเองดีกว่า เจ้าชายโรเวน”

    “ขอบพระทัยที่เป็นห่วง แต่ร่างกายของฉันยังแข็งแรงดีอยู่” โรเวนค้อมศีรษะรับก่อนจะดึงมือกลับมาเมื่อเห็นว่าคนตรงหน้ายังรั้น

    นัยน์ตาสีน้ำเงินเข้มดูร่างบางที่แสร้งมองไปทางอื่น ดวงหน้ายังคงดูซีดเซียว หากกระนั้นก็งามนัก จะเรียกว่าเป็นความงามปนเศร้าก็ว่าได้

    “เรื่องที่ท่านอยู่ใต้ฤทธิ์ของอาคมแห่งเดมอส ทำไมถึงไม่บอกให้ฉันรู้” เสียงของเจ้าชายแห่งเจมิไนกล่าวอย่างตำหนิ “ท่านรู้ไหมว่าจะเกิดอะไรขึ้น หากเจ้าชายคาโลไม่ค้นพบเรื่องนี้เสียก่อน”

    “ความตายของเรา ใช่จะมีผลกระทบอะไรกับท่าน” วิเวียนประชด “ใช่ว่าเราสิ้นแล้วเจมิไนจะไร้ผู้ปกครอง”

    “ผู้เปรียบดั่งหลักค้ำจุนประเทศสิ้น จะเรียกว่าไม่มีผลกระทบคงไม่ได้” คำตอบนั้นราบเรียบ “หากเวนอลไร้ผู้ครองบัลลังก์ ไม่คิดหรือว่าประเทศข้างเคียงจะถือโอกาสนี้ประกาศสงคราม”

    เมื่อถูกชี้ให้เห็นข้อเท็จจริง องค์จักรพรรดินีแห่งเวนอลก็รู้สึกเหมือนถูกสั่งสอน กระนั้นก็ยังคงเชิดพักตร์อย่างมีทิฐิแล้วเอ่ยต่อว่า

    “สงครามของเวนอล ไม่ใช่เรื่องที่เจมิไนต้องมายุ่ง”

    เจ้าชายแห่งเจมิไนคนถูกบอกว่าไม่ให้ยุ่งลอบถอนหายใจอย่างไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไรกับทิฐิของหญิงสาว

    “สงครามของเวนอลอาจจุดชนวนไปสู่สงครามใหญ่ ท่านคงไม่ต้องการให้มีคนผู้มากมายต้องตายไปเพราะการกระทำโดยไร้เหตุผล”

    วิเวียนเม้มริมฝีปากแน่น ขณะพยายามสะกดกลั้นอารมณ์ คำต่อว่าจากอีกฝ่ายทำให้รู้สึกเหมือนใบหน้าชา แล้วน้ำตาก็พาลจะไหล

    แม้ว่าจะเป็นความจริงที่มิอาจปฏิเสธ
    แต่ที่เธออยากให้เขาคิดถึงก่อนไม่ใช่เรื่องบ้านเมือง
    ...อยากจะถามว่าไม่คิดเป็นห่วงเธอบ้างเลยหรือ?

    หรือว่าในใจท่านมีเพียงเจมิไนเท่านั้น
    ท่านเห็นเจมิไนสำคัญ
    จนยอมแม้กระทั่งทอดทิ้งคำสัญญาของเราอย่างนั้นหรือ

    ตลอดเวลาที่ยืนอยู่ต่อหน้าบุรุษคนดังกล่าว หญิงสาวจำต้องนับหนึ่งถึงร้อยอยู่ในใจนับไม่ถ้วน ทั้งยังต้องพยายามไม่ให้หวนคิดไปถึงเหตุการณ์ในค่ำคืนนั้น แต่ไม่ว่าจะพยายามอย่างไรคำพูดของเจ้าชายแห่งเจมิไนก็ยังคงเล่นซ้ำไปซ้ำมาอยู่ในหัว จิตใจของวิเวียนจึงเจ็บปวดเหมือนถูกคมมีดกรีดเฉือนไม่มีสิ้น

    แม้จะไม่ได้หันไปมอง แต่ก็รู้สึกชัดเจนถึงตัวตนของบุคคลดังกล่าว และที่ไม่กล้าหันไปก็เพราะรู้ดีว่าตัวเองจะทนไม่ไหว กระนั้นไออุ่นจากใครคนนั้นที่สัมผัสได้ก็ช่างชวนให้รู้สึกโหยหา แต่ก็จำต้องข่มตาลงอย่างทำใจยอมรับความเป็นจริง

    ท่าทางของเจ้าพี่ก็บอกชัดทุกอย่างแล้ว
    เธอเองต่างหากที่ยังมีเยื่อไย

    เจ้าหญิงวิเวียนนานีย่าจำต้องต่อสู้กับความคิดสองอย่างที่ปะทุอยู่ภายในร่างอย่างเงียบๆ

    ใจหนึ่งรู้ว่าต้องตัดใจ
    แต่อีกใจหนึ่งที่ไม่รักดี ก็ยังคงอยากที่จะถาม

    “หากไม่อยากใส่เสื้อคลุมนี่ ท่านก็ควรจะกลับเข้าไปข้างใน” เสียงทุ้มทอดตัวห่างเหิน นัยน์ตาสีมรกตจึงหลุบลงอย่างปวดร้าว

    เห็นไหม?...
    เจ้าพี่ไม่เคยเปลี่ยน

    “ท่านควรจะรู้ว่าหากอาการของท่านทรุดลงไปอีก ใครบางคนคงจะทนไม่ได้” ประโยคที่แฝงกระแสห่วงใยนั้นทำให้หญิงสาวหันกลับมามองแทบจะในทันทีอย่างไม่เชื่อหู ครั้นภาพของเจ้าชายคนสำคัญปรากฎให้เห็นเต็มๆตา ความสับสนก็ยิ่งทบทวี

    “...เจ้าพี่...” วิเวียนพึมพำด้วยน้ำเสียงอ่อนล้า นัยน์ตาสีน้ำเงินเข้มจึงไหววูบชั่วครู่ขณะที่ร่างบางต้องพยายามทรงตัวยืนต้านความสับสนที่ราวกับมีพลังสองขั้วโรมรันอยู่ในร่าง

    ใจดวงหนึ่งของผู้เป็นจักรพรรดินี...ที่ไม่อาจแสดงความอ่อนแอให้ใครได้เห็น ความทรนงในเลือดสีน้ำเงินที่จะต้องไม่ทำตัวให้น่าสมเพช อย่าให้เวนอลต้องขายหน้า

    และใจอีกดวงของเด็กสาวนามวิเวียนนานีย่า...ที่เพียงแค่อยากจะรักใครสักคน และอยากให้ใครสักคนมารัก อยากจะวิงวอนขอร้องทวงถามคำสัญญาว่าสิ่งนั้นที่แท้เป็นแค่คำลวงหรือไร

    เจ้าพี่
    ท่านไม่ได้รักหญิงอีกแล้วหรือ?
    หรือไม่อย่างนั้น
    ท่านเคยรักหญิงบ้างไหม?

    แต่ด้วยฐานะที่เป็นอยู่จึงไม่อาจทำสิ่งที่ซื่อตรงกับหัวใจได้... วิเวียนจึงเจ็บปวดยิ่งนักกับความคิดที่มี

    น้ำหนักของมงกุฎหนักถึงเพียงนี้...หนักขนาดที่ทำให้ผู้หญิงคนหนึ่งไม่อาจจะหวังในสิ่งที่ผู้หญิงหวัง

    เพราะเป็นเจ้าแผ่นดิน...ที่ควรคิดถึงก่อนคือแผ่นดิน ที่จะรักได้จึงมีเพียงแผ่นดินบ้านเมืองเท่านั้น

    ความหวังของหญิงสาวไม่อาจทำให้เป็นจริง
    แต่อย่างน้อย...ได้โปรด ขอโอกาสสักครั้ง
    โอกาสที่จะได้ยืนอยู่ในฐานะของวิเวียนนานีย่า

    ขอเพียงแค่ตอนนี้...
    แล้วจากนั้นจะอุทิศชีวิตทั้งหมดในฐานะของจักรพรรดินีแห่งเวนอล

    “...ดอกแรกทิวา...” ร่างบางเปรยขึ้นหลังจากตั้งใจแน่วแน่แล้ว “ท่านรู้ใช่ไหมว่ามันคือดอกไม้ที่ว่ากันว่างดงามที่สุดในโลก” ขณะที่พูดนัยน์ตาสีมรกตก็สบประสานกับบุคคลตรงหน้า พยายามเหลือเกินที่จะสื่อความรู้สึกทั้งหมดในใจให้กับอีกฝ่าย

    สายตาที่วิเวียนมองโรเวนจึงเปี่ยมไปด้วยความรัก

    และเป็นสายตาที่ทำให้จิตใจของคนตรงหน้าต้องหวั่นไหว แม้ใจอยากจะคว้าร่างบางเข้ามาไว้ในอ้อมกอดเดี๋ยวนั้น แต่จิตสำนึกก็ยังคอยย้ำเตือนให้ตระหนักถึงความเป็นจริงอยู่ร่ำไป

    ความรู้สึกในใจของเจ้าชายจึงได้ถูกจองจำเอาไว้สิ้น
    ด้วยโซ่ตรวนซึ่งเรียกว่า หน้าที่

    “เจ้าพี่โรเวน” เสียงหวานเรียกซ้ำเพราะดูเหมือนชายหนุ่มกำลังจมอยู่ในความคิดของตน “...เจ้าพี่ ยังจำสัญญานั้นได้ไหม? ที่บอกว่าจะพาหญิงไปดูดอกแรกทิวา...”

    เอ่ยออกไปแล้วก็ต้องกัดริมฝีปากแน่นเพราะไม่อยากให้คำพูดอื่นหลุดตามออกมา ขณะที่รอคอยให้อีกฝ่ายตอบอะไรกลับมาสักอย่าง

    นัยน์ตาสีมรกตนั้นแฝงกระแสเว้าวอนอย่างที่คนมองรู้สึกถึงความลังเลที่สั่นคลอนอยู่ในอก หากกระนั้นเจ้าชายแห่งเจมิไนก็จำต้องเมินเฉยๆต่อเสียงที่ร่ำร้องอยู่ในใจนั้น แล้วเอ่ยตอบ

    “ฉันสนใจเพียงแต่เรื่องในปัจจุบันกับอนาคตเท่านั้น” น้ำคำห่างเหินเย็นชาที่ไม่เคยเปลี่ยนไป แม้จะเดาคำตอบได้อยู่แล้ว แต่เสี้ยวหนึ่งในใจวิเวียนก็ยังคงหวังอยู่ว่าทุกสิ่งทุกอย่างอาจยังไม่ได้จบลง

    แต่คงมาได้เพียงเท่านี้...
    เจ้าหญิงวิเวียนนานีย่าหลุบสายตาลงต่ำ ก่อนพึมพำรับในคอด้วยน้ำเสียงสงบแผ่วเบาจนน่าใจหาย

    “เช่นนั้นก็จงลืมอดีตเสียเถิด” กล่าวออกมาเท่านั้นแล้วเธอก็หมุนตัวไปในทิศทางตรงกันข้ามก่อนจะวิ่งจากไป

    ขณะที่นัยน์ตาสีน้ำเงินเข้มเมื่อมองแผ่นหลังนั้นหายไปในป่าแล้ว เจ้าของร่างก็ข่มตาลงเพื่อระงับอารมณ์ จากนั้นจึงหันหลังเดินกลับไปอีกทาง

    ...ราวกับเป็นเครื่องบอกว่าจุดยืนระหว่างทั้งสองกำลังแยกออกจากกัน...

    =============

    โสตประสาทของร่างที่กำลังเอนกายนอนอยู่บนกิ่งไม้ได้ยินเสียงฝีเท้าดังมาจากเบื้องล่าง เมื่อก้มลงไปดูก็เห็นเพียงเงาของร่างบางที่คุ้นเคยวิ่งผ่านไป โดยไม่ต้องให้คิดร่างบนกิ่งไม้ก็กระโดดลงมาก่อนจะรีบวิ่งตามไปติดๆ

    “วิเวียน!” เสียงเรียกนั้นก็ยังไม่ทำให้เจ้าของชื่อหยุดวิ่ง “นี่!”

    คนวิ่งตามรู้สึกว่าในเวลานี้เจ้าหญิงแห่งเวนอลวิ่งได้เร็วเหลือเชื่อ เมื่อตนเองพยายามไล่กวดคนตรงหน้ามาติดๆ ขณะตะโกนเรียก

    “หยุดก่อน!”

    นักฆ่าแห่งซาเรสเร่งสปีดเท้า เสียงย่ำสวบสาบดังติดๆกัน เมื่อคิดว่าตัวเองกำลังทำอะไรอยู่ คิ้วเข้มก็มุ่นขึ้นอย่างไม่เข้าใจตัวเอง

    เขาเนี่ยนะ กำลังไล่ตามผู้หญิง?!

    “ยายบ้า!” คิลเอ็ดลั่น “มันอันตรายรู้บ้างรึเปล่า?!!”

    และด้วยคำพูดนั้นคนตรงหน้าถึงได้ชะลอฝีเท้าลงก่อนจะหยุดยืนนิ่งอยู่ตรงลานเล็กๆ ชายหนุ่มจึงชะงักฝีเท้า มองดูคนตรงหน้าที่ยืนหันหลังให้ด้วยความหงุดหงิดในตอนแรก ทว่าเมื่อนัยน์ตาสีม่วงสังเกตเห็นว่าร่างบางกำลังสั่นเทิ้ม เขาก็จำต้องลอบถอนหายใจ แล้วค่อยๆเดินเข้าไปใกล้

    คิลยื่นสองแขนไปข้างหน้าในระดับศีรษะก่อนจะค่อยๆใช้มือปิดตาของวิเวียนเอาไว้แผ่วเบา แล้วก็สัมผัสได้ถึงหยาดน้ำเย็นๆที่กำลังพากันไหลอาบข้างแก้ม ชายหนุ่มจึงดึงร่างบางนั้นเข้ามาในอ้อมแขนแม้ฝ่ามือทั้งสองจะยังคงปิดตาของเธอเอาไว้

    เสียงสะอื้นดังลอดออกมาเพียงเบาๆ ขณะที่เจ้าหญิงแห่งเวนอลกำลังร้องไห้ จู่ๆนักฆ่าหนุ่มก็เลื่อนมือข้างหนึ่งลงไปโอบไว้รอบเอวบางก่อนจะออกแรงช้อนร่างของเธอขึ้นมา

    “อย่าเพิ่งลืมตา” คิลพูดเหมือนออกคำสั่ง ซึ่งคนถูกบอกก็ดูจะทำตามโดยไม่ขัดขืนเพราะยังร้องไห้ไม่หยุด ทว่าในนาทีต่อมาเธอก็แทบจะหยุดร้องไปทันทีเมื่อคนอุ้มเริ่มออกวิ่ง แขนเรียวจึงโอบหมับที่รอบคอเพื่อยึด

    “คิล...”

    “ฉันอนุญาตก่อนเธอถึงจะลืมตาได้”

    นั้นเป็นประโยคสุดท้ายจากชายหนุ่มที่วิเวียนจำต้องปฏิบัติตามเพราะรู้ว่าค้านไปก็ไร้ผล เธอจึงเลือกที่จะเงียบเสียแล้วปล่อยให้คนตรงหน้าได้ทำตามที่ตั้งใจ

    ไม่นานนักชายหนุ่มก็ชะงักฝีเท้า แล้วจึงค่อยๆปล่อยให้เธอลงยืนแต่ยังคงบอกให้หลับตาอยู่อย่างนั้น

    “ทำอะไรคะ คิล” เมื่อไม่เห็นว่าจะได้รับอนุญาตให้ลืมตาสักที เจ้าหญิงแห่งเวนอลจึงอดไม่ได้ที่จะถาม

    “เงียบๆ แล้วตั้งใจฟัง” อีกฝ่ายตอบ มือทั้งสองยังคงประคองอยู่ที่เอว

    หลังจากที่สิ้นพยางค์สุดท้าย สรรพสิ่งรอบด้านก็ตกอยู่ในความเงียบงัน วิเวียนยังคงงุนงงไม่เข้าใจว่าชายหนุ่มต้องการจะให้เธอฟังอะไร...

    ทว่าเมื่อเธอหยุดความคิดแล้วสดับหูฟัง...ทุกสิ่งทุกอย่างนั้นเงียบเชียบ ไม่มีแม้เสียงสายลมพัดผ่าน ไม่มีแม้เสียงนกร้อง...ภาพตรงหน้ามีแต่ความมืดมิด...จนราวกับว่ามีเพียงตัวเธอยืนอยู่เพียงลำพัง

    ด้วยความสับสนวิเวียนจึงยกมือขึ้นทาบอกราวกับปลอบใจตัวเอง และในตอนนั้นเองที่เธอรู้สึกได้ถึงบางสิ่งบางอย่าง

    I close my eyes and feel a heartbeat.
    ฉันค่อยๆหลับตาลงและสัมผัสได้ถึงอัตราการเต้นของหัวใจ

    จังหวะการเต้นนั้นดำเนินไปอย่างสับสน...เช่นเดียวกับความคิดของตัวเธอ

    Struggling in the mist, I seek the place where I belong.
    ดิ้นรนสับสนราวแหวกว่ายในสายหมอก...ฉันค้นหาสถานที่ที่เป็นของตัวเอง

    ทำไม...เธอถึงได้มายืนอยู่ตรงนี้
    ทำไม...เธอถึงยังมีชีวิตอยู่
    เพื่ออะไร?

    Without hope, I continue my serch even today.
    แม้จะไร้ซึ่งความหวังใดๆ แต่ฉันก็ยังเฝ้าตามหาอย่างไม่มีที่สิ้นสุด

    จะเป็นไปได้ไหม?...จะมีสถานที่ไหนที่เธอจะสามารถมีชีวิตอยู่ในฐานะของวิเวียนนานีย่าผู้ซึ่งเป็นเพียงเด็กสาวธรรมดา...ผู้ซึ่งไม่ได้อยู่ในตำแหน่งของจักรพรรดินี

    ตำแหน่งที่เธอไม่เคยอยากได้
    หากแต่จำต้องยอมรับอย่างไม่มีทางเลือก
    แม้ว่าบนบัลลังก์นั้นจะหนาวเย็น อ้างว้างสักเพียงไร

    There is no world without pain.
    ไม่มีที่ใดในโลกนี้ซึ่งปราศจากสิ่งที่เรียกว่า ‘ความเจ็บปวด’

    หากแม้นนี่คือสิ่งที่เรียกว่าโชคชะตาแล้ว...
    การมีชีวิตอยู่ของเราจะมีความหมายอันใด?
    เมื่อทำได้เพียงแค่เลื่อนไหลไปตามกระแสธารานี้

    มันไม่ตลกไปหน่อยหรือ?
    ทั้งๆที่เป็นชีวิตของเราเองแท้ๆ
    แต่ทำไมคนที่จะเลือกถึงกลับไม่ใช่เราล่ะ...

    คิ้วเรียวขมวดเข้าหากันเมื่อเจ้าหญิงแห่งเวนอลจมอยู่ในความคิดของตน คำถามที่ตั้งให้ตัวเอง ได้รับเพียงคำตอบซึ่งทำให้เจ็บปวดใจ หยาดน้ำใสที่เคยหยุดไปแล้วจึงได้หวนกลับมาอีกครั้ง

    คิลมองดูคนตรงหน้าด้วยความรู้สึกบางอย่างที่ค่อยๆขยายตัวขึ้นเรื่อยๆ ยิ่งหยาดน้ำใสนั้นไหลรินออกมามากเท่าไหร่ จิตใจของนักฆ่าก็ยิ่งโยกคลอน ราวกับว่าน้ำตาเหล่านั้นตกกระทบลงบนผิวน้ำ แผ่ขยายออกไปจนทั่ว เขารู้สึกเหมือนมีบางสิ่งบางอย่างกำลังอาละวาดอยู่ในร่าง กำลังร่ำร้องเพื่อจะได้ออกมาเป็นอิสระ

    ความเจ็บปวด...

    ร่างสูงจึงโอบกอดอีกฝ่ายเอาไว้ขณะที่ใช้มือข้างหนึ่งปาดน้ำตาของเจ้าหล่อน แม้ยังไม่ค่อยเข้าใจความรู้สึกของตัวเอง แต่ตอนนี้เขารู้แล้วว่าตัวเองต้องการอะไร...

    เขาอยากปกป้องเธอ
    อยากปกป้องเธอจากสิ่งที่เรียกว่าความเจ็บปวด

    All I want is to touch and to protect.
    สิ่งที่ฉันปรารถนามาตลอดนั้นก็เพียงแค่การได้สัมผัสถึงตัวตนและคอยปกป้องเธอ

    “วิเวียน...” เสียงพึมพำแสนเบาขณะที่นักฆ่าก้มลงกระซิบที่ข้างหู “ลืมตาสิ...”

    ประโยคนั้นเหมือนดังมาจากที่ไหนสักแห่ง เมื่อสติของหญิงสาวค่อยๆกลับมาจากห้วงคิดแสนไกล แพขนตาหนาค่อยๆขยับเปิดออก สิ่งแรกที่ไดเห็นคือแสงจ้าจนต้องรีบหลับตาลงอีกครั้ง ครั้นสายตาปรับให้ชินได้แล้ว วิเวียนถึงได้สามารถพิจารณาภาพตรงหน้าได้ชัดๆ

    ณ เวลานี้เธอกับคิลยืนอยู่ตรงขอบผา และในห้วงอากาศที่ไกลออกไปเบื้องหน้า ดวงอาทิตย์ยามอัสดงกำลังย้อมเส้นขอบฟ้าให้กลายเป็นสีส้มแดง ตัดกับสีขาวบริสุทธิ์ของหิมะ

    I watch the sunset as it dyes itself red.
    ในเวลานี้ฉันมองดูอาทิตย์อัสดงที่กำลังย้อมฟากฟ้าให้กลายเป็นสีแดง

    และเกล็ดน้ำค้างที่สะท้อนกับแสง ก็ส่องประกายวิวับจับตา ราวกับว่าพื้นที่เบื้องล่างคือทะเลดวงดาว
    เป็นภาพที่งดงามที่สุดซึ่งเธอได้เห็นตั้งแต่เกิดมา

    “สวยใช่ไหม?” เสียงทุ้มกระซิบถามนุ่มนวล พลันขอบตาก็เริ่มรื้นน้ำขึ้นอีกหน หากแต่คราวนี้ด้วยความตื้นตันใจ

    Just look how beautiful is this world,
    ดูสิ...แล้วเธอจะค้นพบว่าโลกใบนี้นั้นสวยงามสักแค่ไหน

    สวยงาม...
    โลกใบนี้ช่างงดงาม

    I found a different "me" through this meeting.
    และเมื่อนั้นเธอก็จะเข้าใจความหมายในการที่เธอเกิดมา

    แล้วรอยยิ้มบางก็ปรากฏขึ้นบนพักตร์ขาวที่ยังคงซีดเซียว เจ้าหญิงแห่งเวนอลข่มตาลงพลางสลับความคิด

    นี่เธอมีชีวิตอยู่ในโลกที่งดงามขนาดนี้...

    “มันยังไม่ได้จบลง” คำเปรยจากนักฆ่าที่ร่างบางหันไปมอง เข้าใจดีถึงความหมายที่คนดังกล่าวต้องการจะสื่อ เธอจึงหลุบสายตาลงต่ำอีกครั้งแล้วเอ่ยรับ

    “นั่นสินะคะ” วิเวียนว่าแล้วจึงยิ้มให้กับคิล ด้วยรอยยิ้มที่ทำให้เธอยิ่งทวีความงดงาม และเป็นรอยยิ้มที่ทำให้หัวใจของชายหนุ่มกำลังถูกเติมเต็มด้วยสายน้ำอุ่นจนเอ่อท้น

    So, let us greet a new tomorrow.
    เพราะอย่างนั้น ฉันจึงอยากจะวิงวอนให้วันพรุ่งนี้ของเรามาถึงโดยเร็ว

    “ขอบคุณค่ะ คิล” ในที่สุดวิเวียนก็พูดขึ้นอีกครั้ง คนโตกว่ายกมือขึ้นเกาหัวแกรกๆแก้เขิน ก่อนจะแสร้งทำเป็นไม่เข้าใจ

    “เรื่องอะไร?”

    “ถ้าไม่รู้ก็ช่างเถอะค่ะ” อีกฝ่ายว่าอย่างขัดใจที่คนตรงหน้าทึ่มนักหนา ก็จะให้บอกได้ยังไงว่าขอบคุณที่พยายามให้กำลังใจเธอ น่าอาย...

    แถมนี่ยังมาร้องไห้ให้เขาเห็นอีกแล้ว
    น่าขายหน้า...

    ว่าแล้วเจ้าหญิงคนงามก็ควานหาผ้าเช็ดหน้าจากในเสื้อ ทว่าเมื่อหยิบมันออกมาได้แล้ว บังเอิญกับที่มีลมแรงพัดพาความหนาวเย็นมา ผ้าผืนน้อยจึงได้ปลิวหลุดออกจากไปมือ และไม่รู้ว่าจะเป็นโชคดีหรือโชคร้ายที่มันไปติดอยู่บนกิ่งไม้สูงใกล้ๆ

    “ยายซุ่มซ่าม” คนโตกว่าเอ็ดเข้าให้ ส่วนคนถูกว่ายังคงตะลึงกับสิ่งที่เพิ่งเกิดขึ้น “รออยู่นี่” พูดจบแล้วนักฆ่าแห่งซาเรสก็กระโดดหายไปก่อนจะปรากฎให้เห็นอีกทีบนกิ่งไม้นั้น

    “ระวังนะคะ คิล” วิเวียนร้องบอก

    “เธอคิดว่าพูดอยู่กับใครฮึ!” ไม่ทันไรทายาทตระกูลฟีสมัสก็กลับมายืนอยู่ตรงหน้าเธอพร้อมกับผ้าตัวต้นเหตุในมือ “เอ้า”

    “ขอบคุณค่ะ ถ้ามันหายไปคงจะแย่เพราะหญิงมีอยู่แค่ผืนเดียวด้วย” วิเวียนถอนหายใจอย่างโล่งอกเมื่อก้มลงดูผ้าไหมสีขาวนุ่มในมือ

    “นี่อะไร?”

    “ผ้าเช็ดหน้าที่หญิงได้เป็นของขวัญจากเสด็จพ่อ” เจ้าหญิงตอบพลางทอดความคิดนิ่ง

    “ผ้าเช็ดหน้าหรอกเรอะ? ฉันนึกว่าผ้าพันคอซะอีกผืนใหญ่ขนาดนี้” อีกฝ่ายแกล้งกระเซ้า “เผลอๆเอาไปทำเป็นผ้าเช็ดตัวได้เลยเนี่ย” ว่าแล้วคิลก็จับหมับเข้าอีกชายผ้าอีกด้าน

    “พูดอะไรอย่างนั้นกันคะ” วิเวียนแหว “รู้ไหมว่าผ้านี่คือแพรหยาดน้ำค้างที่หายากมากๆนะคะ ผ้าเช็ดตัวอะไรกัน!”

    “เอ้า ก็แค่พูดความจริง” คนแหย่อแย้มรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ชอบใจที่ได้แกล้งคนตรงหน้า ก่อนความคิดบางอย่างจะแว่บขึ้นมาในหัว คราวนี้ร่างสูงจึงยักคิ้วแล้วว่าต่อ “ไม่เชื่อก็ดูนี่สิ”

    “ว้าย!” เจ้าหญิงแห่งเวนอลอุทานลั่นเมื่อจู่ๆคนตรงหน้าก็กระชากผ้าไปจากมือเธอ ทำให้ร่างบางเซถลาเข้าหาอ้อมอกของชายหนุ่ม “มันอันตรายนะคะ!”

    “กลัวอะไร ฉันก็อยู่ทั้งคน” คิลว่า ยังคงยิ้ม

    “ก็เพราะอยู่กับคิลนี่แหละหญิงถึงตกอยู่ในอันตรายอยู่เรื่อย” อีกฝ่ายค้อนใส่

    “อุตส่าห์ช่วยเอาของสำคัญมาคืนให้ยังมาว่าฉันอีก แทนที่จะให้รางวัล”

    “หือ? รางวัลอะไรคะ” ครั้นเมื่อเงยหน้าขึ้นมองร่างบางก็ชะงัก เมื่อเห็นว่านัยน์ตาสีม่วงบัดนี้กำลังพราวระริก กระแสบางอย่างที่ส่งมาซึ่งไม่เคยมีมาก่อน ทำให้วิเวียนรู้สึกเหมือนดวงหน้าร้อนวูบวาบขึ้นมาพลัน เธอจึงได้เบือนหน้าหนี ทว่าก็ถูกมืออีกฝ่ายช้อนคางให้หันกลับมาอีกหน

    คิล...

    คำพูดที่ดังอยู่ได้เพียงแค่ในใจ เมื่อบัดนี้เจ้าหญิงแห่งเวนอลรู้สึกได้ว่าหัวใจเริ่มเต้นไปผิดจังหวะ ยิ่งคนโตกว่ากระชับวงแขนโอบร่างเธอเข้าหาตัว สติที่มีก็พาลจะหนีหายไปหมดเมื่อรู้สึกได้ว่าบรรยากาศแปลกๆในตอนนี้มันช่างไม่คุ้นเคย และมันก็ทำให้รู้สึกอึดอัดและประหม่ายิ่งนัก

    โดยเฉพาะเมื่อคนตรงหน้ายังไม่ยอมพูดอะไร...

    “ปล่อย...หญิงจะกลับแล้ว” วิเวียนว่าพลางขยับตัวจะผละหนีแต่คนตรงหน้าก็ยังไม่ยอมให้เธอไปง่ายๆ

    “รีบกลับไปไหน”

    “ไปหาพวกพี่หญิงค่ะ ป่านนี้คงเป็นห่วงแย่แล้ว” ร่างบางก้มหน้าลงต่ำ ไม่กล้าเงยหน้าขึ้นสบตา

    “หรือจะไปหาโรเวนกันแน่?” ประโยคนั้นทำเอาหญิงสาวสะอึก หลุบตาลงอย่างหวั่นไหวเมื่อจิตใจกำลังสั่นสะท้านด้วยความเจ็บปวดที่โหมขึ้นมาอีกระลอก แล้วน้ำตาก็พาลจะรื้นขึ้นมาอีก

    คราวนี้ถ้ากลับไป...ก็ต้องอยู่เพียงแต่ในฐานะของจักรพรรดินี
    คงจะไม่มีที่หลงเหลือให้กับหญิงสาวนามวิเวียนนานีย่าอีกแล้ว

    “หากอยู่ที่นี่ได้ตลอดไป...” เสียงหวานพึมพำ “หากได้อยู่ในฐานะของคนธรรมดา”

    คิ้วเข้มมุ่นขึ้นนิดกลับคำกล่าวนั้น ก่อนที่คิลจะต้องถอนหายใจแล้วเอ่ยต่อ

    “ตอนนี้เธอก็เป็นนี่” คำพูดที่ไม่คาดคิดทำให้หญิงสาวต้องเงยหน้าขึ้นมอง “อย่างน้อยก็สำหรับฉัน”

    ไม่รู้ว่าทำไมหัวใจของร่างบางถึงได้สงบลงง่ายๆกับคำพูดเรียบๆนั้น หรือเป็นเพราะมันเต็มไปด้วยความห่วงใยของผู้พูด...คนที่คอยปกป้องเธอและอยู่เคียงข้างเธอตลอดเวลาที่เธออ่อนแอ

    “เอาล่ะ ได้เวลาของของรางวัลแล้ว” จู่ๆนักฆ่าหนุ่มก็เปลี่ยนเรื่องไปปุบปับ แล้วเจ้าหญิงคนงามก็จำต้องหลับตาเมื่ออีกฝ่ายปล่อยผ้าลงบนศีรษะเธอ ผ้าไหมเนื้อบางเบาโปร่งแสงทำให้ยังคงมองเห็นอีกฝ่ายได้ชัด

    นัยน์ตาสีมรกตมองคนตรงหน้าอย่างงุนงน ท่ามกลางแสงสีส้มเวลาโพล้เพล้ที่ขับเน้นให้เค้าโครงหน้าของชายหนุ่มดูอ่อนหวานนุ่มนวลขึ้นมาอย่างน่าประหลาด และเมื่อคิดได้อย่างนั้นใบหน้าของวิเวียนก็ขึ้นสีเรื่อ ได้แต่หวังว่าผ้าบางจะช่วยปกปิดไม่ให้อีกฝ่ายเห็น

    มือที่โอบอยู่รอบเอวบางกระชับให้แน่นขึ้นทำให้ร่างของคนทั้งคู่ขยับเข้ามาเบียดชิดจนรู้สึกได้ถึงลมหายใจอุ่นๆและเสียงหัวใจเต้น แล้วมือข้างหนึ่งของนักฆ่าก็เอื้อมมาเชยคางร่างบางให้เงยหน้าขึ้น

    สายตาสองคู่ที่สบประสาน กระแสจากนัยน์ตาสีม่วงมีแววเว้าวอน ขณะที่ขยับดวงหน้าเข้ามาใกล้ๆเรื่อย วิเวียนจึงได้ปรือตาลงเมื่อคิลก้มลงประทับรอยจุมพิตแผ่วเบาผ่านผ้าไหมนั้น

    ผ้าไหมเนื้อดีของเวนอลให้สัมผัสนุ่มนวลสมชื่อ หากแต่ริมฝากสีหวานคงนุ่มกว่า
    คิลคิลก่อนที่จะถอนริมฝีปากออก แล้วจึงยกผ้าขึ้น
    หากทว่าความรู้สึกบางอย่างกลับเปลี่ยนความคิด
    ดังนั้นเมื่อก้มลงไปหาอีกหน คราวนี้เขาจึงได้จุมพิตลงเบาๆที่หน้าผากของเธอแทน

    “ง่า...แค่นี้...ดีกว่า...” นักฆ่าหนุ่มพูดตะกุกตะกัก ส่วนอีกฝ่ายไม่สามารถเค้นเสียงอะไรออกมาได้เพราะตอนนี้ทั้งหน้าทั้งคอร้อนไปหมด วิเวียนจึงซบหน้าลงกับอกของร่างสูงหวังจะซ่อนความอาย

    พลันก็ได้ยินเสียงหัวใจอีกฝ่ายเต้นด้วยจังหวะที่รุนแรงและระรัวเร็ว

    เขากำลังเขิน?
    ความคิดที่เรียกรอยยิ้มบางบนริมฝีปาก ก่อนจะเธอจะกอดคนตรงหน้าให้แน่นขึ้น

    “...ง่า” คิลเอามือเกาแก้มแก้เขินเมื่อรู้ดีว่าเจ้าหล่อนคงได้ยินเสียงหัวใจของเขาแน่ๆ ไม่นานนักก็ได้ยินเสียงหัวเราะคิกคักเบาๆจากร่างในอ้อมแขน

    เกิดมาก็เพิ่งเคยจะทำแบบนี้
    อายก็อาย
    แล้วยายนี่ยังมาหัวเราะ
    เดี๋ยวเหอะ!

    “อุ้ย” เสียงหวานอุทานเมื่อถูกมือใหญ่หยิกเข้าที่แก้ม “เจ็บนะคะ...แน้ ก็บอกว่าเจ็บ” เสียงวิเวียนเริ่มแหวเมื่อชายหนุ่มยังไม่ยอมหยุด มือน้อยๆจึงทุบเข้าให้

    “อยากหัวเราะดีนักนี่” คิลเอ็ด “มีอะไรน่าขำ”

    “ไม่บอกค่ะ” เจ้าหญิงแห่งเวนอลเชิดพักตร์หนี “...หยุดนะคิล” แม้จะถูกว่าแต่คนโตกว่าก็ยังคงไม่หยุดการกระทำ ส่วนคนถูกแกล้งกำลังงอนแก้มป่อง ซึ่งดูน่าเอ็นดูมากกว่าในสายตาอีกฝ่าย เจ้าตัวจึงยิ้มอย่างถูกใจ

    หากแต่เป็นรอยยิ้มที่ทำให้ใครบางคนซึ่งเฝ้าดูเหตุการณ์มาตลอดเกิดความไม่พอใจอย่างมาก

    ทำไมถึงได้ยิ้มแบบนั้น
    น่าสมเพชนัก!!
    นี่หรือทายาทตระกูลนักฆ่า?!

    จู่ๆคิลก็รู้สึกได้ถึงรังสีการฆ่าฟันที่เพิ่มขึ้น ชายหนุ่มจึงขยับตัวเข้าบังร่างบาง สัญชาตญาณถูกปลุกให้ตื่นเพื่อระวังภัย

    “คิล?” วิเวียนพึมพำสงสัยกับท่าทางที่แปลกไปของอีกฝ่าย แต่ความสงสัยนั้นก็อยู่ได้ไม่นานนักเมื่อไม่กี่วินาทีถัดมา หิมะเบื้องหน้าก็ระเบิดดังตูม ขณะที่คิลพาเธอกระโดดหนี

    “น่าผิดหวังจริงๆ คิลมัส ฟีลมัส” เสียงของผู้มาใหม่ดังขึ้น ขณะที่หิมะซึ่งกระจายฟุ้งในอากาศค่อยๆจางลง ทำให้มองเห็นร่างของใครบางคนปรากฎขึ้นตรงหน้า

    ผู้บุกรุกคือเด็กสาวรุ่นราวคราวเดียวกับพวกเธอ เส้นผมสีดำยาวประบ่าและนัยน์ตาสีม่วงที่ดูคุ้นเคย หากทว่านัยน์ตาของเธอคนนี้กลับดูเย็นชาน่ากลัว

    หรือว่า...จะเป็น?

    “มาทำอะไรที่นี่ ไลล่า” ชายหนุ่มเอ่ยถามคนตรงหน้า ขณะที่ยังคอยปกป้องร่างบางด้านหลังอย่าระมัดระวัง

    “มาทำอะไรงั้นเหรอ? ฉันก็มาดูพี่น่ะสิ...คำสั่งลงมือก็ถูกปล่อยออกไปแล้ว พี่ต่างหากมัวทำอะไรอยู่?!”

    คำสั่งลงมือ...
    นัยน์ตาสีเขียวเลื่อนขึ้นมองใบหน้าคมคายที่ตอนนี้กำลังฉายความสับสนออกมาชัดเจน

    “นี่มันงานของฉัน เธอไม่ต้องมายุ่ง” นักฆ่าหนุ่มเค้นเสียงขู่ ทว่าดูเหมือนจะไม่ได้ผลกับอีกฝ่าย เมื่อเจ้าหล่อนยังคงขยับรอยยิ้มเยาะ

    “งาน? ถ้าฉันไม่ได้มาเห็นวิธีปฏิบัติงานของพี่ล่ะก็นะ” น้ำเสียงที่ส่งออกมานั้นเย็นเยียบ ขณะที่นัยน์ตาสีม่วงเย็นชาปราดมองมายังร่างของเจ้าหญิงเวนอล

    สายตานั้นไร้วี่แววของความปราณี เย็นชาราวกับจะแช่แข็งร่างทั้งร่างได้
    วิเวียนจึงกระชับชายเสื้อของร่างสูงไว้แน่น

    และนั่นก็ทำให้ร่องรอยของความกังวลปรากฏในนัยน์ตานักฆ่าหนุ่มผู้เป็นพี่ ซึ่งยิ่งทำให้หญิงสาวผู้มาใหม่ไม่ชอบใจหนักขึ้น

    ไลล่าเรียกอาวุธคู่ใจขึ้นมาไว้ในมือก่อนประกาศเสียงกร้าว

    “พอเสียที! ถ้าพี่ไม่ลงมือล่ะก็ ฉันจะเป็นคนจัดการกับหล่อนเอง!!” สิ้นคำร่างบางในชุดดำก็พุ่งเข้าหาอีกฝ่ายอย่างรวดเร็ว มือหนึ่งวาดวงดาบลงโดยมีเป้าหมายอยู่ที่ร่างบอบบางด้านหลัง

    ตูม!
    รัศมีดาบพุ่งเข้าปะทะกับกลางลำต้นของต้นไม้ใหญ่ และแยกมันออกเป็นสองซีก
    ส่วนผู้เป็นเป้าหมายบัดนี้กำลังยืนอยู่อีกทางกับองครักษ์

    “พี่ช่วยมันทำไม?! นั่นน่ะคือเป้าหมายของพี่นะ!” เด็กสาวตะโกนบอกคนเป็นพี่ที่ไม่ยอมปฏิบัติตามหน้าที่ ซ้ำยังช่วยคนเป็นเป้าหมายจากการโจมตี

    “งานชิ้นนี้เป็นของฉัน” นักฆ่าหนุ่มเอ่ย

    “แล้วทำไมถึงไม่รีบจัดการมันล่ะ หรือว่าพี่กำลังคิดจะฝ่าฝืนคำสั่ง...”

    ถ้าอย่างนั้น...เป้าหมายของคิลก็คือ...
    เมื่อตระหนักได้ถึงความจริง หัวใจของเจ้าหญิงแห่งเวนอลก็บีบรัดด้วยความเจ็บปวด

    เพราะอย่างนี้ เขาถึงได้มีท่าทีแปลกๆอยู่เสมอ
    เขาถึงได้กลุ้มใจใช่ไหม...

    “ฉันไม่เคยคิดจะฝ่าฝืนคำสั่ง” คิลตอบ

    “ถ้าอย่างงั้นก็แสดงให้เห็นซะสิ!” ไลล่าบอกพร้อมๆกับส่งกริชเงินเล่มหนึ่งมาให้ชายหนุ่ม เมื่อมองดูได้ชัดๆ วิเวียนก็รู้ได้ทันทีว่ามันเป็นกริชแบบเดียวกับที่เคยเห็นก่อนหน้านี้

    “ใช้กริชนั่นสังหารจักรพรรดินีแห่งเวนอลเสีย เพื่อพิสูจน์ว่าพี่ไม่ได้กำลังจะทรยศตระกูล!”

    คิลเม้มริมฝีปากแน่นด้วยความลังเลสับสน เขาก้มลงดูอาวุธที่ถืออยู่ในมือก่อนจะหันไปมองหญิงสาวที่ควรจะเป็นเหยื่อของเขา ครั้นเมื่อเห็นสายตาที่ส่งมาจากอีกฝ่ายจิตใจของนักฆ่าก็ต้องหวั่นไหวรุนแรง

    “...ขอโทษ...” เขาเอ่ยออกมาอย่างจนแต้ม นัยน์ตาสีม่วงหลุบลงอย่างปวดร้าว

    การกระทำที่ทำให้วิเวียนรู้สึกเจ็บปวดไม่แพ้กัน

    “ลงมือซะคิล ก่อนที่จะยืดเยื้อ” เสียงของนักฆ่าสาวย้ำ หากแต่คนถูกบอกยังไม่คิดจะลงมือ ประโยคต่อมาของเจ้าหล่อนจึงเต็มไปด้วยโทสะ “คิล! ถ้าพี่ไม่ทำก็เท่ากับว่าพี่คิดทรยศตระกูลของเรา พี่เป็นบ้าหรือไง?! รู้ใช่ไหมว่าพวกพ่อไม่มีทางปล่อยให้คนที่ฝ่าฝืนมีชีวิตรอด! เพราะอย่างนั้นรีบลงมือซะ!!”

    นัยน์ตาสีมรกตเหลือบไปมองเด็กสาวที่ยืนอยู่อีกฟากแล้วจึงเลื่อนกลับมายังบุคคลตรงหน้าด้วยความสับสน

    ถ้าไม่ลงมือ...เขาจะต้องตาย?
    เรื่องแบบนั้น...

    เจ้าหญิงแห่งเวนอลเจ็บปวดกับความคิดของตนยิ่งนัก เวลานี้แม้แต่แรงจะทรงตัวยืนอยู่ก็แทบไม่มีเหลือ

    ...ตลอดเวลาที่ผ่านมาเขาปกป้องเธอ...ทั้งๆที่ได้รับคำสั่งให้จัดการกับเธอ
    เขาไม่ลงมือ ทั้งที่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น

    แล้วเธอก็ค่อยๆข่มตาลงพร้อมกับความคิดที่สดับในใจ

    หากชีวิตนี้จะแลกได้...

    “คิล! พี่มัวรออะไรอยู่ รีบๆจัดการซะที!!” เสียงร้องเร่งดังขึ้นอีกครั้ง คิลก้มลงดูกริชเงินในมือด้วยความสับสน รู้ทั้งรู้ว่าต้องจัดการกับคนตรงหน้าที่เป็นเป้าหมาย แต่ทำไมถึงไม่อาจลงมือ

    ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นสบมอง นัยน์ตาสีมรกตนั้นสงบนิ่งกว่าที่คาด และแล้วร่างบางตรงหน้าก็ทำสิ่งที่เขาไม่คาดคิด เมื่อจู่ๆวิเวียนก็โผเข้ากอด ร่างสูงเซไปนิดกับแรงโถมจากอีกฝ่าย แล้วหัวใจก็เหมือนตกลงไปอยู่ที่ตาตุ่มเมื่อตระหนักถึงสถานการณ์ได้แน่ชัด

    “วิเวียน?” คิลก้มลงมองคนในอ้อมแขน พลันมือทั้งสองก็รู้สึกถึงของเหลวที่กำลังไหลรินจากปากแผล กริชเงินในมือที่ถืออยู่ตอนนี้ฝังด้านคมเข้าไปในร่างบางจนมิดจากแรงปะทะ

    “คิล...ขอบคุณนะคะ...ที่คอยปกป้องหญิง...” เสียงหวานพึมพำขาดหาย เมื่อสติสัมปะชัญญะทั้งหมดกำลังจะลางเลือนก่อนจะขาดหายไป ขณะที่หัวใจของอีกฝ่ายกำลังถูกกรีดทึ้ง แล้วร่างบางก็อ่อนยวบสลบไปในอ้อมแขน

    “วิเวียน?!!”

    =======

    เอาล่ะ...อ่านจนจบแล้ว ใครอยากฆ่าคนแต่งบ้าง? พรึ่บ!! ยกมือกันถ้วนหน้า sweatdrop

    แหม...รักดอกจึงหยอกเล่นนะฮะ โอ๋ๆ ไม่งอนน้า

    เนื้อเพลงที่ใช้ในตอนนี้ เป็นเพลงของการ์ตูนเรื่อง Shakugan no Shana เป็นตัว ED2 ฮะ ชื่อเพลง Aka no Seijaku (Crimson's sadness) >> ชื่ออังกฤษข้าน้อยแปลเอาเอง เอิ๊ก...

    หากอยากให้ได้บรรยากาศยิ่งขึ้น ลองโหลดเพลงนี้มาฟังได้ฮะ ที่ >>
    คลิกเบาๆนะ

    เนื้อเพลงจริงๆ(คำร้องภาษาญี่ปุ่น)ข้าน้อยไม่มีฮะ ส่วนคำแปลภาษาอังกฤษข้าน้อยเอามาจากดีวีดี แล้วแปลเป็นภาษาไทยเอง มันจึงมีแค่ท่อนแรก เหอๆ

    แหะๆ... ความจริงตอนแรกก็ไม่ได้ตั้งใจจะมามุขนี้นะฮะ แต่พอดี๊ พอดีว่ากำลังนั่งพิมพ์อยู่นี่แหละ บทที่7ตอนแรกนั้นข้าน้อยก็ว่าจะให้มันเป็นเรื่องหลัก แต่คิดไปคิดมา ถ้าหากเขียนอย่างนั้นมันเดินเรื่องต่อยากไปนิด แต่จะลบทิ้งก็ช่างเสียดาย เลยเกิดไอเดียบรรเจิด Embarassed เอามาเล่นมุขหยอกท่านผู้อ่านซะเลย

    โอ้ย! อ้าก! จ๊าก!! --- เสียงอูหลงขณะโดนผู้อ่านตอบรับด้วยการรุม

    ขอบคุณทุกท่านที่ตามอ่าน ทั้งที่เผยตัวและแอบซุ่มเป็นเงา

    หากรักกันจริง ขอช่วยคอมเมนท์สักนิดเพื่อเป็นเชื้อเพลิงให้คนแต่งไฟลุกพรึ่บพรั่บ...
    จะด่า จะว่า จะระบายอารมณ์ จะแช่งคนแต่งหรืออะไร ยินดีรับหมดฮะ

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×