ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    The Candle Garden, the Grave of Fireflies : Fic บารามอส

    ลำดับตอนที่ #7 : The Dawn, the Twilight [Fic Baramos] - บทที่ 6

    • อัปเดตล่าสุด 4 ก.ค. 50



    บทที่ 6: ทางเลือกที่เจ็บปวด [Drifting Heart Lost in The Mist]

    ทำไม
    ทำไมถึงได้เป็นแบบนี้?!

    ความคิดสับสนดังก้องอยู่ในหัวขณะที่สายตาจับจ้องไปยังร่างบางในชุดผู้ชายที่กำลังเดินไปมาอยู่ตรงหน้า

    มันเกิดอะไรขึ้น?

    แล้วสายตาจึงได้เลื่อนไปยังประตูห้องที่เป็นสิ่งปิดกั้นสถานที่ตรงนี้กับห้องด้านหลังประตู พลันอีกห้วงคิดก็นึกไปถึงใครบางคนที่เป็นสาเหตุของความกังวลใจทั้งหมดของเขา

    มันต้องผิดพลาด
    ใช่!
    นี่เป็นเรื่องผิดพลาด...

    แล้วเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้นมาได้ไม่นานก็ถูกย้อนมาเล่นซ้ำอีกครั้งเป็นรอบที่เท่าไหร่แล้วไม่อาจจะรู้ได้

    เสียงฝีเท้าตึกตึกดังอยู่ต่อเนื่องเมื่อเจ้าหญิงหัวขโมยยังไม่คิดจะหยุดเดินวนไปมา ณ เวลานี้พวกเธอกำลังยืนรออยู่ข้างนอกห้องด้วยความเป็นกังวล ขณะที่ในห้องตอนนี้เจ้าชายแห่งคาโนวาลกำลังตรวจดูอาการของเจ้าหญิงคนสวยแห่งเวนอลที่กำลังอยู่ในบทเจ้าหญิงนิทรา

    ใช่...เจ้าหญิงนิทรา
    คิลคิดพลางกัดฟันกรอดเพราะไม่เคยคิดว่าจะกลายเป็นแบบนี้ไปได้

    เมื่อคืนนั้นหลังจากที่ร้องไห้จนเหนื่อย เจ้าหญิงตัวการก็ทำท่าจะผล็อยหลับไปในอ้อมแขน ซึ่งเขาก็ไม่ได้ติดใจสงสัยอะไรถึงได้ปล่อยให้คนตรงหน้าพักผ่อนตามที่คิด เสียงหายใจผ่อนเบาดังมาจากร่างบางตลอดเวลาเหมือนยามหลับ...แต่ใครจะไปคิดว่าแม่คุณเธอจะเล่นหลับไม่ยอมฟื้นจนถึงเช้าวันต่อมา

    วิเวียนนอนหลับไม่ตื่น แม้ว่าเขา เฟริน หรือคาโลจะพยายามปลุกสักเท่าไหร่ก็ตาม

    ทำไม? มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?
    มันเกี่ยวกับอาการแปลกๆของเธอหรือเปล่า?

    ความคิดวนเวียนไปมาอย่างสับสน ทั้งความกังวลก็ยิ่งเพิ่มพูนขึ้นเรื่อยๆตามกาลเวลา กอปรกับเสียงย่ำเท้าหนักๆไปมาของเพื่อนสนิทยิ่งเหมือนดั่งเสียงกลองเร่งจังหวะความคิดให้ว้าวุ่น สุดท้ายนักฆ่าหนุ่มจึงได้หันไปตวาดใส่

    “เฟริน นายช่วยหยุดเดินไปมาสักทีได้มั้ย รำคาญ!” กับประโยคนั้นนัยน์ตาสีน้ำตาลก็หันมามองอย่างตื่นๆแต่ก็เพียงครู่ เมื่อสุดท้ายเจ้าหญิงจอมยุ่งก็หันกลับไปเริ่มเดินใหม่อีกหน

    “เกิดอะไรขึ้นกับวิเวียน? แล้วเมื่อไหร่ถึงจะฟื้น? นี่ๆ พวกแกว่าไอ้คาโลมันจะรักษาน้องฉันได้มั้ยวะ?” คำถามที่ไร้คำตอบดังขึ้นติดกันเป็นชุด ขณะที่เจ้าตัวคนพูดหมุนไปหมุนมาอย่างพะว้าพะวง

    “นายคิดมากไปตอนนี้ก็ไม่ช่วยให้อะไรดีขึ้นมา นั่งรอให้คาโลออกมาบอกดีกว่าเฟริน” น้ำเสียงราบเรียบดังออกมาจากขอทานกิติมศักดิ์ที่ยืนพิงกำแพงข้างประตู แม้ว่าใบหน้าที่ชอบส่งยิ้มกวนบัดนี้จะหมองลงนิดหนึ่ง

    “มันเกิดอะไรขึ้นวะ คิล บอกฉันที”

    “ฉันก็เล่าให้นายฟังไปหลายรอบแล้ว ยังจะมาถามอีกทำไม” เสียงห้วนปนหงุดหงิดจากนักฆ่าตอบ

    “ถ้าฉันเข้าใจเคลียร์หมดแล้วก็คงไม่ถามซ้ำๆซากอย่างนี้หรอก แต่นี่มันไม่เข้าใจว้อย!” คราวนี้เสียงจากเฟรินก็ห้วนด้วยอารมณ์ไม่ต่างกัน “โร แกว่าไอ้คาโลมันจะช่วยวิเวียนได้รึเปล่า?”

    “รอให้เจ้าตัวมาตอบไม่ดีกว่าหรือเฟริน” คำตอบจากขอทานก็ไม่ได้ช่วยให้อารมณ์ของคนถามเย็นลงเลยสักนิด

    เสียงฝีเท้าโครมครามอย่างเร่งรีบเข้ามาใกล้เรื่อยๆ ทำให้บุคคลทั้งสามพากันหันไปมองทางต้นเสียง ก็พบร่างสูงสง่าของเจ้าชายคนเก่งแห่งป้อมอัศวินยืนอยู่ขณะที่สี่ผู้คุมกฎกำลังวิ่งตามมาอยู่ลิบๆ

    “เป็นยังไงบ้าง?” น้ำเสียงที่เคยราบเรียบยามนี้ดูร้อนรน แม้ใบหน้าหล่อเหลายังคงสงบ

    “ยังไม่รู้เลยพี่ ไอ้คาโลมันก็หายไปตั้งนานแล้วยังไม่ยอมโผล่ออกมาบอกสักทีเนี่ย” เฟรินตอบ พอได้ยินดังนั้นนัยน์ตาสีน้ำเงินเข้มของโรเวนจึงได้เบือนไปยังร่างสมส่วนที่ยืนพิงกำแพงฝั่งตรงข้ามประตู

    “มันเกิดอะไรขึ้นคิลมัส ฟีลมัส”

    “ทำไมต้องตอบอีก” คิลพ่นลมหายใจอย่างหงุดหงิด ขณะที่แม่ตัวดีกลืนน้ำลายเอื๊อกเมื่อสังเกตว่าแววตาที่ส่งออกมาของเสนาธิการฝ่ายซ้ายกระด้างขึ้นฉับพลัน

    “นายจะรีบร้อนอะไรของนายนัก โรเวน” เสียงหวานแต่แกร่งของโซมาเนีย หนึ่งในสี่ผู้คุมกฎโวยขึ้นทันทีที่พาร่างของตัวเองมาถึง “ห้องมันไม่หนีไปไหนสักหน่อย”

    “ก็ไม่แน่นะโซมี่ ไอ้ห้องน่ะอาจไม่หนี สงสัยที่จะหนีคงเป็นอย่างอื่นมากกว่า” ซาตานแห่งป้อมอัศวินยังคงกระเซ้าอย่างไม่คิดสนใจสถานการณ์ ส่วนหญิงสาวผิวสีน้ำผึ้งตอนนี้หันขวับไปมองผู้เปลี่ยนชื่อเล่นของเธอด้วยสายตาเข้มๆ

    “โซมี่จะฆ่าเค้า” เสียงทะเล้นของลูคัสขณะที่เจ้าตัวอ้อมไปหลบอยู่ด้านหลังของคู่หูนักบวช “ช่วยเค้าด้วยลอรี่”

    เฟี้ยว! ฉึก!!
    เสียงมีดบินที่พุ่งเฉียดเส้นผมของซาตานจอมหาเรื่องไปปักอยู่ตรงกรอบประตู และมันคงจะไม่แย่อะไรมากหากไม่ใช่เพราะจังหวะนั้นคนในห้องได้เปิดประตูออกมาพอดี

    นัยน์ตาสีฟ้าของเจ้าชายน้ำแข็งเหลียวไปดูกริชสีเงินที่ปักอยู่ตรงขอบประตูห่างจากใบหน้าของตนเองไม่กี่คืบ ก่อนที่สายตาเย็นๆแบบที่ว่าอาจจะแช่แข็งคนตรงหน้าได้หากไม่ใช่เพราะจิตใจกำลังร้อนรุ่มจะปราดส่งมา

    “อาการเป็นยังไงบ้างคาโล” เสียงหวานของหญิงสาวที่หลอมไอเย็นได้ชะงัดดังขึ้นขณะที่ร่างบางถลาเข้ามาหา “นายรักษาได้มั้ย?”

    คำถามที่ตอบยากแสนยากทำให้นัยน์ตาคู่สวยมีประกายไหววูบชั่วครู่ก่อนที่คาโลจะปิดประตูห้องตามหลังแล้วเอ่ยขึ้น

    “มีเรื่องบางอย่างที่พวกนายจำเป็นจะต้องรู้”

    ==================

    “อะไรนะ?!” เสียงตะโกนของเฟรินดังขนาดที่ว่าพอจะปลุกคนทั้งป้อมให้ตื่นขึ้นมาได้ ขณะที่นักฆ่าหันมาแยกเขี้ยวขู่ให้มันเงียบเพราะคนป่วยยังนอนอยู่บนเตียง

    แต่พอเพื่อนตัวดีมันนั่งลงแล้ว คนปรามจึงได้รู้สึกว่าตัวเองทำอะไรงี่เง่า ในเมื่อยายเจ้าหญิงตัวปัญหาไม่ยอมฟื้นไม่ว่าจะปลุกยังไง แล้วเขาจะห้ามไอ้เฟรินไปทำไมกัน

    แถมถ้าเสียงของไอ้นี่มันปลุกเจ้าหล่อนได้ ก็น่าจะดีไม่ใช่หรือไง?

    แล้วนักฆ่าหนุ่มจึงได้ส่งสายตามองไปยังเจ้าหญิงแห่งบารามอสด้วยหวังจะให้มันตะโกนขึ้นมาอีกสักหนสองหน แต่ในเมื่อบัดนี้สายตาเย็นๆจากคาโลดุมา เจ้าตัวดีจึงรูดซิบปากสนิท

    “อาคมสั่งตาย?” เสียงทวนแฝงความตระหนกดังออกมาจากเจ้าชายแห่งเจมิไน

    “แต่ว่านั่นเป็นเวทต้องห้ามของเดมอสไม่ใช่รึไง คาลี่” ลูคัสถาม ส่งผลให้บรรยาการในวงสนทนานั้นเครียดไปฉับพลัน

    “เฮ้ย โร ไอ้อาคมสั่งตายที่ว่านี่มันคืออะไรวะ?” เจ้าหญิงหัวขโมยขยับเข้าไปกระซิบกับขอทานแห่งทริสทอร์ เพราะตอนนี้คนอื่นๆต่างก็กำลังเริ่มถกประเด็นในหัวข้อที่เธอไม่เข้าใจ

    “นายไม่รู้หรือเฟริน?” คนต้องตอบดันถามกลับมาได้หน้าตาเฉย แล้วเมื่อเจ้าตัวเห็นอีกฝ่ายทำหน้าเซ็งๆ นายคนรู้มากจึงได้เริ่มอธิบาย “อาคมสั่งตายเป็นเวทคำสาปของเดมอส และมันมีความพิเศษตรงที่ว่าเวทนี้จะมีผลเฉพาะกับผู้ที่มีเลือดของทริสทอร์”

    นัยน์ตาสีน้ำตาลเบิกกว้างแต่คนพูดก็ยังคงว่าต่อไป

    “แต่เวทนี้เป็นเวทต้องห้ามเพราะผลของอาคมนั้นรุนแรง เป็นเวทเก่าแก่ที่ควรจะหายสาปสูญไปตั้งแต่สมัยสงครามเอเดน เดมอสเมื่อห้าร้อยปีก่อนนั่นแล้ว”

    “ผลของอาคมมันแรงขนาดไหนวะ โร”

    “ก็ตามชื่อแหละเฟริน คนที่ถูกอาคมนี้เข้าไปมีจุดจบเดียวคือความตาย” น้ำเสียงคราวนี้ของสารานุกรมเคลื่อนที่ฟังแปร่งๆ นัยน์ตาสีมรกตนั้นทอดไปข้างหน้าเหมือนคนพูดกำลังสดับความคิด แต่ก็เพียงครู่เดียว เพราะเมื่อรู้ว่ามีสายตาของใครบางคนจ้องอยู่ ขอทานแห่งทริสทอร์ก็หันกลับมาสบตาตรงๆแบบไม่มีหลบ ทำเอาคนจ้องต้องหันหน้าหนีไปแทน

    “...แล้ววิเวียน...” เสียงนั้นออกมาแทบไม่พ้นคอ ขณะที่เจ้าหญิงแห่งบารามอสมองไปยังร่างบางที่ตกอยู่ในห้วงนิทราบนเตียง

    “ถ้านายบอกว่ามันควรจะหายสาปสูญไปแล้ว ทำไมเวทนี้ถึงมีคนใช้ได้” คำถามถูกส่งมาจากนักฆ่าแห่งซาเรสที่เงียบฟังอยู่นาน

    “ฉันไม่รู้” คำตอบนั้นฟังเรียบง่าย ทว่ากลับทำให้นัยน์ตาสีม่วงฉายแววอาฆาต

    “ในเมื่อมีผลเฉพาะกับทริสทอร์ ทำไมวิเวียนถึงถูกเล่นงาน” คำถามที่เฟรินกับคาโลหันมามองหน้ากัน เพราะนึกได้ว่าเพื่อนคนนี้มันไม่รู้เรื่องของจักรพรรดิแห่งเวนอลคนก่อน

    “พระมารดาขององค์จักรพรรดิคนก่อนเป็นชาวทริสทอร์” โร เซวาเรสเอ่ยเรียบๆ คิลมุ่นคิ้วอย่างคาดไม่ถึง

    “เป็นความจริง” เสียงยืนยันมาจากโรเวน “เพราะองค์จักรพรรดินีวิเวียนนานีย่ามีสายเลือดของทริสทอร์อยู่ด้วยทำให้อาคมที่ว่ามีผลกับนาง”

    “แล้วยายนี่ถูกอาคมมาตั้งเมื่อไหร่” เป็นข้อสงสัยที่ทุกคนต่างก็กำลังครุ่นคิดอยู่ นัยน์ตาสีน้ำเงินเข้มของเจ้าชายแห่งเจมิไนหลุบลงครู่หนึ่ง ก่อนเอ่ยออกมาอีกครั้ง

    “เป็นไปได้ว่าตั้งแต่เหตุการณ์ลอบปลงพระชนม์ในพิธีฉลองครั้งนั้น” แล้วนัยน์ตาคู่คมก็ปราดไปทางเจ้าชายแห่งคาโนวาล “ใช่ไหม? เจ้าชายคาโล วาเนบลี”

    กระแสเสียงนั้นเย็นเยียบ ขณะที่สายตาที่มองมานั้นราวกับทะลุผ่านตัวเข้ามาถึงใจของเขา ไม่มีความปราณีใดๆในนัยน์ตาสีน้ำเงินกระด้าง มันเป็นแววตาที่บอกเป็นนัยว่าเจ้าของดวงตาคู่นั้นรู้เรื่องทั้งหมดดี

    แต่ในเมื่อไม่คิดว่าตัวเองทำอะไรผิดไป คาโลจึงสบตาตรงๆกับบุรุษตรงหน้า แล้วเอ่ยรับ

    “น่าจะเป็นแบบนั้น”

    บรรยากาศระหว่างบุรุษทั้งสองจึงทวีความกดดันอึดอัดขึ้นมาโดยพลัน แต่ก่อนที่อะไรๆจะแย่ลงไปกว่านี้ เสียงร้องของเฟรินก็ดังขึ้นมาก่อน

    “จะมามัวตั้งแง่กันทำไมเนี่ย ต้องสนใจเรื่องหนทางรักษาก่อนถึงจะถูก!” ว่าแล้วเจ้าตัวดีก็หันขวับไปมองเจ้าชายแห่งคาโนวาล “ว่าไงฮึ คาโล นายรู้ใช่มั้ยไอ้วิธีรักษาน่ะ”

    เป็นคำถามที่ยากจะตอบอีกครั้ง แต่เมื่อเห็นกระแสความเจ็บปวดกังวลในดวงตาคู่โต คาโลจำต้องเอ่ยออกมาอย่างไม่มีทางเลือก

    “ดอกแรกทิวา...” คำตอบนั้นทำให้คนถามเมื่อครู่กระพริบตามองปริบๆ “มีคุณสมบัติเป็นกระษัยยา”

    “ดอกแรกทิวา?” เจ้าหญิงแห่งบารามอสทวนคำเพราะไม่เคยได้ยินชื่อดอกไม้ประหลาดอย่างนี้มาก่อน ขณะที่หัวคิ้วของขอทานข้างตัวมุ่นขึ้นนิด

    “เราไม่มีเวลามากขนาดที่จะเดินทางไปยังสโนวแลนด์” คำค้านจากโรเวน ที่ทำเอาเฟรินต้องเลิกคิ้ว

    ไอ้ดอกนั่นมันอยู่ที่สโนว์แลนด์?
    ไปทำซากอะไรตั้งไกลลิบขนาดนั้นวะ!

    “แต่ก็คงเป็นทางเดียวในตอนนี้” เสนาธิการฝ่ายซ้ายเอ่ยต่ออย่างจำใจยอมรับเพราะยังไม่เห็นหนทางที่ดีกว่า

    “แต่ถ้าจะไปที่สโนว์แลนด์อย่างน้อยก็ใช้เวลาไม่ต่ำกว่าอาทิตย์” โซมาเนียแย้ง

    “...แล้วหมากกระดานเกียรติยศ...?” เสียงต่อมาจากชิวาส ที่ย้ำเตือนให้ทุกคนในที่นั้นตระหนักถึงปัญหาที่เพิ่มมาอีกข้อ

    เหลือเวลาอีกไม่ถึงอาทิตย์ก่อนงานหมากกระดานเกียรติยศ งานที่สำคัญมากงานหนึ่งในเอดินเบิร์กและเอเดน ...และหากพวกเขาต้องเดินทางไปที่สโนว์แลนด์ ใครจะคอยดูแลรับผิดชอบงานของป้อมอัศวิน?

    “ใช้เวทเคลื่อนย้าย” ข้อเสนอดังมาจากนายขอทานจอมรู้มาก ที่เรียกสายตาทุกคนพุ่งเป้าไปหาทันที

    “แต่พวกเราในเอดินเบิร์กไม่ได้รับอนุญาตให้ใช้เวทนี้ มันเป็นเวทของเดมอส” ผู้คุมกฎลอเรนซ์ทำหน้าที่รักษากฎได้ดีเยี่ยม

    “เราใช้ไม่ได้ก็ให้คนอื่นใช้” โรยังคงเล่นลิ้นไปเรื่อย “ไอ้องครักษ์ตัวจิ๋วของนายน่ะ เฟริน”

    “หือ? ...อะ อ๋อ! เข้าใจแล้วๆ!” เฟรินเอากำปั้นทุบลงบนฝ่ามืออีกข้างเมื่อเข้าใจเรื่องที่ขอทานแห่งทริสทอร์หมายถึง

    “หือ?” คนอื่นๆที่เหลือพึมพำอย่างไม่เข้าใจ ขณะที่หญิงสาวในชุดนักเรียนชายกำลังเอามือเกาหัวแกรกๆอย่างใช้ความคิด และเมื่อนึกออก เจ้าตัวก็ดีดนิ้วดังเป๊าะก่อนจะตะโกนเรียก

    “โกโดม! ...โกโดม!! เอ๊ะ! ไอ้โกโดมโว้ย ออกมา!!” เสียงตอนแรกที่เพียงแค่เรียกชื่ออยู่ดีๆก็ได้เพิ่มสรรพนามแทนตามเข้าไปด้วยเมื่อเรียกไปหลายครั้งแล้วก็ยังไม่มีปฏิกิริยา และเมื่อสิ้นสุดพยางค์สุดท้าย เสียงระเบิดตูมก็ดังขึ้นเบาๆ พร้อมกับหมอกควันคละคลุ้งไปทั่วทั้งห้อง

    “องค์หญิงเฟลิโอน่า ถวายบังคมกระหม่อม” เสียงเล็กๆที่ฟังคุ้นๆอยู่ดังลอดออกมาจากใจกลางควันสีเทานั้น และเมื่อมันจางลงบนโต๊ะกลมเพียงตัวเดียวในห้องก็ปรากฎร่างเล็กๆของเจ้าโคมุสเขากวางขึ้น

    “แค่กๆ! ว้อย! นี่แกจะออกมาแต่ละทีช่วยมาแบบปกติธรรมดาไม่ได้รึไงฮึ?!” เฟรินโวยวายหลังจากที่สำลักเอาควันเข้าไปเยอะ

    “ขออภัยด้วยกระหม่อม พอดีว่ากระหม่อมกำลังทดสอบเวทบทใหม่ที่คิดได้อยู่น่ะกระหม่อม” เจ้าโคมุสตัวจ้อยแก้ตัว

    “เออๆ เอาเหอะ ที่ฉันเรียกแกมานี่ก็ไม่ใช่อะไรหรอก แต่มีเรื่องที่อยากให้แกช่วยหน่อยเท่านั้น” เฟรินโบกมือไปมาอย่างพยายามไม่ใส่ใจ

    “โอ้! ด้วยความยินดีกระหม่อม” โคมุสค้อมหัวถวายบังคม “เรื่องอะไรหรือกระหม่อม?”

    “ฉันอยากให้แกพาพวกฉันไปที่สโนว์แลนด์” จบประโยคนั้นเจ้าโคมุสก็กระพริบตาปริบๆ ความเงียบเกิดขึ้นมาชั่วครู่ แล้ว...

    “โอ้ สวัสดีขอรับ ท่านราชบุตรเขย” โกโดมหันไปทางเจ้าชายแห่งคาโนวาลที่ยืนอยู่เหมือนเพิ่งสังเกตเห็น ก่อนจะตามมาด้วยฝ่ามือน้อยๆของเจ้าหญิงสองดินแดนที่ฟาดลงบนโต๊ะ ทำให้ร่างเล็กจ้อยกลิ้งหลุนๆ

    “อย่ามาทำเปลี่ยนเรื่องไอ้โกโดม รีบพาพวกฉันไปที่สโนว์แลนด์เร็วๆเข้า!” เจ้าตัวคนพูดตวาดทั้งๆที่ยังคงขนลุกเกรียวไม่หายกับคำสรรพนามที่เจ้ากวางมันใช้เรียกเจ้าชายน้ำแข็ง

    “องค์หญิงจะทรงเสด็จไปที่นั่นทำไมหรือกระหม่อม เมืองนั่นมีอะไรที่น่าสนใจ”

    “ฉันต้องการดอกแรกทิวามารักษาวิเวียน” นัยน์ตาของโกโดมเบิกกว้างอย่างตื่นตระหนกก่อนที่มันจะเหลียวไปมองๆรอบๆแล้วหยุดลงที่เตียง พูดเสียงตื่น

    “แต่ดอกแรกทิวา...”

    “ท่านคงจะใช้เวทเคลื่อนย้ายได้ใช่ไหม ท่านโกโดม” เจ้าชายแห่งเจมิไนเอ่ยแทรกเมื่อเห็นว่าปล่อยไว้เรื่องมีแต่จะยืดเยื้อ โคมุสหันกลับมามองคนที่พูด ด้วยความรู้สึกและสัญชาตญาณลึกๆในตัวมันรู้ดีว่าบุรุษตรงหน้ามีอะไรบางอย่างที่มันไม่ควรทำให้ขัดใจ

    “ก็ได้หรอก แต่จุดสำคัญของเวทเคลื่อนย้ายคือผู้ที่ใช้เวทจะต้องเคยไปยังสถานที่ที่เป็นเป้าหมายมาก่อนแล้ว ข้ายังไม่เคยไปที่สโนว์แลนด์จึงไม่อาจใช้เวทนี้พาพวกองค์หญิงไปได้” แต่เมื่อมันหันมาสบตาเจ้าหญิงแห่งเดมอสที่กำลังมีสีหน้าหงุดหงิด มันก็รีบทูลต่อ “แต่ข้าคิดว่าท่านจ้าวเคยไปที่สโนว์แลนด์มาแล้ว ดังนั้นที่ข้าคิดว่าน่าจะดีที่สุดคือพาองค์หญิงไปที่วังเดมอส แล้วให้ท่านจ้าวใช้เวทเคลื่อนย้ายกับองค์หญิง”

    “จะเอายังไงก็รีบเอาเหอะ ชักช้ามันจะไม่ทันการ” เสียงห้วนไม่บอกอารมณ์ดังมาจากนักฆ่าแห่งซาเรส

    “แล้วจะต้องเวลานาเท่าไหร่หรือ ท่านโกโดม” โรเวนถาม

    “หากองค์หญิงพร้อมจะออกเดินทาง ข้าสามารถพาองค์หญิงไปที่วังได้ตอนนี้เลย ส่วนหลังจากนั้นน่าจะกินระยะเวลาประมาณสามถึงสี่วัน” จบประโยคดังกล่าวทุกคนในที่นั้นก็หันมาสบตากันโดยมิได้นัดหมายขณะที่สมองกำลังลำดับความคิด

    “งั้นก็รีบพาฉันไปเร็วเข้าโกโดม” เจ้าหญิงแห่งเดมอสออกคำสั่งแต่ก็ถูกมือของใครบางคนยกขึ้นมาห้ามไว้ก่อน

    “ฉันไปด้วย” ประโยคนั้นมาจากโร เซวาเรสขอทานแห่งทริสทอร์

    “ฉันไป” เสียงจากนักฆ่าขณะที่เจ้าตัวยกมือขึ้นอาสา

    “เดี๋ยว แล้วเรื่องหมากกระดานเกียรติยศจะทำยังไง” โซมาเนียแย้ง

    “ฉันจะไปกับพวกเฟริน ส่วนเรื่องหมากกระดานเกียรติยศขอฝากให้พวกเธอจัดการ ฉันสัญญาว่าจะกลับมาทันก่อนงานจะเริ่มแน่นอน” คำสั่งแกมขอร้องกลายๆจากเจ้าชายแห่งเจมิไนทำให้หญิงสาวอดีตผู้คุมกฎต้องถอนหายใจ รู้ดีว่าหากหัวหน้าตนเองตัดสินใจแล้วยังไงก็คงไม่คิดจะเปลี่ยนใจ

    “ตกลงตามนั้น”

    “แล้ววิวี่ล่ะจะทำยังไง นายคงไม่คิดจะทิ้งเจ้าหญิงนิทราไว้ที่นี่หรอกใช่ไหมท่านเสธ” คำถามกระเซ้าเป็นของซาตานแห่งป้อมอัศวิน สายตาของทุกคนหันมองไปยังเจ้าหญิงคนที่ว่าเป็นตาเดียว ก่อนที่เฟรินจะหันไปมองเจ้าชายแห่งเจมิไนเพื่อรอฟังคำตอบ

    “หากปล่อยไว้ที่นี่มีแต่จะยิ่งเป็นอันตราย เห็นทีคงจะต้องพาไปด้วย...”

    “แต่ก่อนอื่นเราต้องทำให้เธอฟื้น” เสียงเย็นๆของคาโลกล่าวต่อ ก่อนจะหันไปทางโกโดม

    “เรื่องนี้ต้องให้ท่านจ้าวจัดการ” มันตอบอย่างไว้ตัว

    “เอาล่ะ ตกลงกันเรียบร้อยแล้วก็เดินทางกันได้” เสียงจากเจ้าตัวยุ่งสรุป “โกโดม รีบๆพาพวกฉันไปหาพ่อที่เดมอสเร็วๆเข้า”

    “ทราบแล้วกระหม่อม” เจ้าโคมุสตัวจ้อยผงกหัวรับคำสั่งด้วยความเต็มใจก่อนที่จะมันจะเริ่มร่ายเวท

    “ดะ...เดี๋ยวก่อน พวกเรายังไม่...” กล่าวยังไม่ทันจะจบประโยคดีเพราะในไม่กี่วินาทีต่อมาห้องทั้งห้องก็หมุนคว้าง ภาพทิวทัศน์รอบตัวเคลื่อนที่ผ่านไปอย่างรวดเร็วจนสายตาจับไม่ทัน พลันสรรพสิ่งรอบด้านก็ตกอยู่ในความมืดมิด พวกเฟรินรู้สึกเหมือนเท้าลอยอยู่เหนือพื้น แต่ยังไม่ทันจะได้ตริตรองอะไรทั้งสิ้น แสงสว่างก็วาบขึ้นมาพลัน ก่อนที่ร่างของบุคคลห้าคน โคมุสหนึ่งตัว และเจ้าหญิงที่กำลังหลับอยู่จะค้างอยู่ในอากาศ

    และตกลงมาตามแรงโน้มถ่วงของโลกในบัดดล!

    โครม!!

    “โอ้ย!”
    “อู้ย!”
    “อั่ก!”
    “เจ็บ!”
    “...”

    เสียงร้องของผู้ได้พิสูจน์กฎแรงโน้มถ่วงของโลกดังขึ้นแทบจะพร้อมกัน โดยที่เสียงแรกนั้นเป็นของเจ้าหญิงจอมยุ่งแห่งเดมอสและบารามอส เสียงที่สองนั้นเป็นของขอทานแห่งทริสทอร์ ตามมาด้วยเสียงของนักฆ่าแห่งซาเรส เจ้าชายแห่งเจมิไน และสุดท้ายคนที่แม้จะเจ็บไม่แพ้เพื่อนแต่ยังรูดซิบปากสนิทก็หนีไม่พ้นเจ้าชายแห่งคาโนวาล

    “ไอ้โกโดม!!” เมื่อตั้งสติได้คำสบถก็ออกมาจากปากทันที ก่อนที่เจ้าตัวคนพูดจะหันรีหันขวางไปมองรอบๆ ก็เห็นนายขอทานกับเจ้าชายโรเวนกำลังยันตัวขึ้นยืน ไม่ไกลออกไปนักก็เป็นเพื่อนซี้นักฆ่าที่ยังอุตส่าห์ถลาตัวออกไปรับร่างเจ้าหญิงคนสวยไว้ได้ทัน

    นึกทึ่งในความพยายามของมันจริงๆ

    แต่ความคิดก็เป็นอันสะดุดอยู่เท่านั้น

    “นายจะลุกหรือยังเฟริน” เสียงเย็นๆของใครบางคนที่คุ้นแสนคุ้นดังขึ้นจากข้างล่าง เมื่อก้มลงไปดูแล้วแม่ตัวยุ่งก็แทบจะดีดตัวผึงขึ้นมาไม่ทัน เมื่อเพิ่งตระหนักว่าไอ้เบาะที่รองรับร่างเธอเอาไว้นั้นไม่ใช่ใครที่ไหน

    “ไอ้กวางบ้า คราวหลังช่วยพามาในสภาพดีๆหน่อยได้มั้ยฮึ!” หญิงสาวแกล้งทำเป็นตวาดใส่โคมุสตัวจ้อยแทนเพราะไม่อยากเอ่ยขอบคุณคนตรงหน้าสักเท่าไหร่

    แต่การกระทำนั้นก็เป็นไปได้ไม่นานนัก เมื่อเสียงทรงอำนาจของใครบางคนที่อยู่ในที่นั้นมาก่อนหน้าและเห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมดก็ดังขึ้น

    “เฟลิโอน่า? ลูกมาทำอะไรถึงที่เดมอส?”

    เอื๊อก!
    ทุกคนต่างก็สะดุ้งสุดตัว และที่ออกอาการมากที่สุดก็คงหนีไม่พ้นเจ้าของชื่อที่ถูกเรียก

    เฟรินค่อยๆหันมามองต้นเสียงช้าๆ นัยน์ตาสีน้ำตาลที่รับรู้ภาพของบุรุษผู้ทรงอำนาจในเดมอสได้ก็พยายามส่งยิ้มที่คิดว่าน่าเอ็นดูที่สุดไปให้ ก่อนจะพูดขึ้น

    “ง่า...ไม่เจอกันตั้งนานกระหม่อม สบายดีอยู่ไหมกระหม่อม” กลับคำทักทายที่ไม่ถูกเวลานั้น ขนงเรียวของจ้าวปีศาจเอวิเดสก็มุ่นขึ้นนิด ก่อนจะดำรัสต่อ

    “ก็ยังสบายดีเหมือนทุกวันแหละลูก ลูกต่างหาก หอบเอาเพื่อนมาเยอะแยะที่นี่ มีอะไรรึเปล่าหือ?”

    “เอ่อ...” เฟรินชั่งใจว่าควรจะเริ่มเล่าตั้งแต่ตรงไหนดี นัยน์ตาสีน้ำตาลจึงได้เหลือบไปมองผู้อาวุโสกว่าที่ทำหน้าที่ตามมาดูแลอยู่กลายๆ ก่อนจะลอบกลืนน้ำลายแล้วเริ่มต้นเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้บิดาฟัง (ขี้เกียจพิมพ์เจ้าฮ่ะ...อูหลงมันเล่นง่าย)

    /// ชื้บ--- เวลาเดินไปไวเหมือนโกหก ///

    “เพราะอย่างนั้นลูกเลยจะไปที่สโนว์แลนด์?” จ้าวปีศาจเอวิเดสเอ่ยเมื่อฟังเรื่องราวจากบุตรสาวจนจบแล้ว (แหม...ป๋าเอวี่นี่ช่างเข้าใจได้เร็วจริงๆ ไม่เสียเวลา)

    “หม่อมฉันต้องการดอกแรกทิวาเพื่อมารักษาน้องสาวของหม่อมฉัน”

    “แต่พ่อจำไม่เห็นได้ว่ามีลูกสาวสองคน” ผู้ประทับบนบัลลังก์ตรัสพร้อมรอยยิ้มที่มุมปาก ขณะที่คนฟังทำหน้ายู่

    “ถึงไม่ใช่ทางสายเลือด แต่หม่อมฉันก็รักเธอเหมือนน้องสาวแท้ๆกระหม่อม แล้วถ้าหม่อมฉันรักฝ่าบาทเองก็คงต้องรักด้วยเหมือนกัน” น้ำเสียงของคนเป็นลูกสาวติดจะงอนนิดๆ จ้าวปีศาจเอวิเดสทอดเนตรมองพระธิดาที่ไม่ได้พบกันนานด้วยความเอ็นดู ก่อนจะดำรัสเรียบยามที่เบือนสายตาไปยังเด็กสาวอีกคนที่ถูกบังคับกลายๆให้รับเป็นลูก

    “เอางั้นก็เอา ดีๆ พ่อเองก็อยากมีลูกสาวสวยๆเพิ่มอีกสักคน” เมื่อเห็นพระธิดาแย้มรอยยิ้มพระองค์ก็ผ่อนลมหายใจอย่างอิ่มเอมใจ

    “นิสัยก็น่ารักด้วยกระหม่อม” เฟรินรีบทูลสำทับก่อนจะเอามือแตะปลายคางเหมือนเพิ่งนึกอะไรออก “ วิเวียนโดนอาคมทำให้หลับ ฝ่าบาทช่วยให้เธอฟื้นขึ้นมาได้ไหมกระหม่อม”

    นัยน์เนตรสีดำทอดนิ่งก่อนที่พระองค์จะพึมพำร่ายเวทบทสั้นๆ และเมื่อร่ายจบแล้ว ร่างบางในอ้อมแขนของนักฆ่าแห่งซาเรสก็เริ่มขยับน้อยๆ

    “อือ...” เสียงพึมพำนั้นดังไม่พ้นคอ ก่อนที่เปลือกตาจะขยับเปิด แล้วต้องรีบกระพริบตาถี่เพื่อปรับสายตา ครั้นสมองพิจารณาว่าอะไรเป็นอะไรแล้ว เสียงหวานก็ดังขึ้นเบาๆ

    “คิล?” วิเวียนเงยหน้ามองคนที่ประคองเธออยู่

    “วิเวียน” เฟรินร้องแล้วรีบวิ่งเข้ามาหา “ในที่สุดก็ฟื้นเสียที”

    “พี่หญิง?” เนตรสีมรกตจ้องคนตรงหน้าด้วยความงุนงน “ฟื้นอะไรคะ? แล้วที่นี่ที่ไหน?” เธอถามขณะกวาดสายตามองไปรอบๆแล้วเมื่อเห็นร่างของผู้ทรงอำนาจแห่งเดมอส จักรพรรดินีแห่งเวนอลก็รีบย่อตัวลงถอนสายบัวแทบไม่ทัน

    “ถวายบังคมเพคะ ฝ่าบาท ขออภัยที่หม่อมฉันทำตัวเสียมารยาท” กิริยาท่าทางอ่อนช้อยงดงามแม้เจ้าตัวจะเพิ่งฟื้น ทำให้คนถูกถวายความเคารพนึกทึ่งในใจไม่น้อย

    มีลูกสาวร่าเริ่งแบบเฟลิโอน่านั้นดีอยู่แล้ว
    แต่บางครั้งหัวอกคนเป็นพ่อก็หวังบ้างว่าจะมีลูกสาวน่ารักเรียบร้อยเป็นกุลสตรี

    “ไม่เป็นไร” พระองค์ดำรัสเรียบ “เฟลิโอน่าลูกพานางไปพักผ่อนเสียเถอะ พ่อมีเรื่องบางเรื่องที่อยากจะคุยกับเจ้าชายจากคาโนวาล”

    “แล้วเรื่องสโนว์แลนด์” คนเป็นลูกท้วง

    “เมื่อไหร่ที่ลูกพร้อม พ่อจะใช้เวทที่ว่าให้” ดำรัสนั้นมั่นคง จนหญิงสาวเลี่ยงไม่ได้ที่จะพยักหน้ารับแล้วกล่าวขอบคุณ ก่อนจะพาวิเวียนที่ยังจับต้นชนปลายอะไรไม่ถูกไปที่ห้องพักพร้อมๆกับพวกคิล ทิ้งให้คาโลอยู่คุยกับพ่อของเธอ โดยที่ตั้งใจว่าหลังจากนี้จะต้องเค้นคอมันถามให้ได้ว่าเป็นเรื่องอะไร

    =======================

    “เป็นครั้งแรกที่หญิงได้มีโอกาสเที่ยวชมพระราชวังเดมอสจนทั่วนี่แหละค่ะ สวยจริงๆ” เสียงหวานของคนป่วยที่ยังไม่หายดีแต่มีแรงฮึดอยากออกมาเดินเล่นดังแว่วมาตามระเบียงทางเดิน “โดยเฉพาะสวนสมเด็จราชินี เสด็จแม่ของพี่หญิง สวยมากจนบรรยายไม่ถูก”

    “นั่นสิ เห็นแล้วไม่อยากจะเชื่อเท่าไหร่เนาะว่าคนอย่างท่านพ่อนี่ก็มีความโรแมนติกกับเขาเหมือนกัน” ประโยคเอาพ่อมาเผาของคนเป็นลูกเรียกเสียงหัวเราะคิกคักจากเพื่อนๆได้พอควร ก่อนที่ใครอีกคนจะเริ่มเข้าสู่โหมดเอาการเอางาน

    “แล้วนายตั้งใจจะเดินทางไปที่สโนวแลนด์เมื่อไหร่เฟริน”

    “อืม ตอนนี้วิเวียนก็ดีขึ้นมากแล้ว ถ้ายังไงรอให้ดีอีกนิดแล้วเราก็ค่อยเดินทางกัน”

    “หญิงไม่เป็นอะไรแล้วล่ะค่ะ นี่ก็พักมาได้สองวันแล้ว หญิงว่าหากเป็นไปได้เราก็น่าจะเดินทางกันวันพรุ่งนี้เลย เพราะพวกพี่หญิงยังต้องกลับไปให้ทันงานหมากกระดานเกียรติยศไม่ใช่หรือคะ”

    “นั่นสินะ ถ้างั้นเดี๋ยวฉันจะไปบอกคาโลกับโรเวน” เฟรินรับคำอย่างเห็นด้วย “แต่แน่ใจแล้วจริงๆนะวิเวียนว่าไหว”

    “ค่ะ” เสียงหวานตอบ “ยิ่งเร็วเท่าไหร่ก็ยิ่งดี”

    “ผมเข้าใจฮะ ว่าเป็นคนป่วยนี่มันน่าเบื่อ จริงๆด้วย งั้นเรารีบไปเอาดอกไม้นั่นมาเร็วๆ ท่านจะได้กลับมาแข็งแรงไวๆ” คนฟังเข้าใจไปโน่น แต่เจ้าหญิงคนสวยก็เพียงแต่ยิ้มรับบางๆ

    “เวลาไม่เคยหยุดหมุน ยิ่งมีเวลาอยู่น้อย เราก็ต้องยิ่งใช้ประโยชน์จากเวลาที่เหลือให้คุ้มค่า”

    ===============

    “พร้อมแล้วนะ เฟลิโอน่า” เสียงจากจ้าวปีศาจดำรัสถามพระธิดา

    “พร้อมแน่นอนกระหม่อม” เสียงจากเจ้าหญิงเดมอสตอบ ขณะขยับมือที่หอบข้าวของพะรุงพะรังน่าปวดหัวน้อยๆ

    “งั้นก็ขอให้โชคดี”

    “หม่อมฉันจะรีบกลับมา” นั่นเป้นเสียงสุดท้ายจากธิดาแห่งความมืด เมื่อนาทีต่อมาร่างของบุคคลทั้งหกและโคมุสอีกหนึ่งตัวก็หายไปจากคลองจักษุ ทิ้งไว้เพียง...

    บรรดาข้าวของสัมภาระกองโต!

    ===============

    “องค์หญิง เกวียนของพวกเรารออยู่ข้างหน้ากระหม่อม” โกโดม โคมุสหันไปทูลกับเจ้าหญิงสุดรักสุดบูชาของมันที่ตอนนี้หน้าตากำลังบูดบึ้งแบบสุดๆ เพราะถูกเจ้าชายคนข้างๆบังคับให้ทิ้งสัมภาระที่อุตส่าห์เตรียมไว้ที่วังเดมอส

    “เออๆ รีบๆนำไป เจ้ากวาง” เสียงนั้นห้วนด้วยอารมณ์ขณะที่คนพูดกระทืบเท้าปึงปังเดินตามองครักษ์ร่างเล็กไปติดๆ ทิ้งให้คาโลต้องลอบถอนหายใจอย่างเบื่อหน่าย

    เมื่อคณะพรรคทั้งหกขึ้นมาจับจองพื้นที่บนเกวียนได้เป็นที่เรียบร้อย เกวียนลำเล็กๆก็เคลื่อนตัวออกจากหมู่บ้านติดเชิงเขา เพื่อเข้าไปในป่าที่เป็นพรมแดนกั้นสถานที่ที่เป็นจุดหมาย

    ยอดเขาที่มีชื่อว่า...
    หนึ่งอรุณ เสี้ยวจันทรา...

    แปลก...
    ความคิดสงสัยดังก้องอยู่ในใจของหัวขโมยเก่า ขณะที่เกวียนควบปุเลงๆไปข้างหน้า สู่ทางเข้าป่าที่เต็มไปด้วยต้นไม้หน้าตาแปลกๆ

    นัยน์ตาสีน้ำตาลชะเง้อมองทิวทัศน์สองข้างทาง สโนว์แลนด์ที่เพิ่งได้มาเป็นครั้งแรกและอาจไม่คิดจะมาอีกเป็นครั้งที่สองกับอากาศที่หนาวเข้ากระดูก รอบด้านไม่มีอะไรเลยนอกจากหิมะ กับหิมะ

    ทั้งๆที่เธอก็เห็นหิมะจากไอ้คนชอบผลิตมันออกบ่อย แล้วทำไมถึงจะต้องอยากมาเจออีก

    แล้วที่ที่เป็นเป้าหมายก็น่าสงสัย
    ไหนยังจะชื่อไอ้ดอกไม้บ้าๆนั่นอีก

    “เป็นอะไรวะเฟริน หันไปหันมาตั้งแต่เมื่อกี้แล้ว” นักฆ่าแห่งซาเรสถามเมื่อทนนั่งดูอาการลุกลี้ลุกลนของเพื่อนต่อไปอีกไม่ไหว

    “ก็รู้สึกแปลกๆสิวะ ถามได้”

    “แปลกอะไรคะ พี่หญิง” เจ้าหญิงวิเวียนนานีย่าที่นั่งอยู่ข้างๆหันมาถาม คนถูกถามหันมามองชั่วครู่ก่อนจะหันไปหาเพื่ออีกสองคน หนึ่งนักฆ่า หนึ่งขอทาน...ส่วนอีกสองเจ้าชายนั้นถูกเนรเทศให้ไปทำหน้าที่เป็นสารถีกับคนนำทางข้างนอก

    “ก็ไอ้ชื่อน่ะสิแปลก” เฟรินว่า “
    หนึ่งอรุณ เสี้ยวจันทรา...ภูเขาบ้าอะไรชื่ออย่างนั้น?”

    “ภูเขาที่สูงที่สุดและหนาวที่สุดในโลกไงเฟริน” คำตอบดังมาจากนายคนรู้มาก ที่เจ้าหญิงสองดินแดนหันไปถลึงตาใส่

    “แล้วดอกบ้าอะไรชื่อ
    แรกทิวาราตรีสุดท้าย ยาวเป็นบ้า”

    “ก็ดอกไม้ที่ว่ากันว่าสวยที่สุดในโลกไงคะพี่หญิง” กับคำตอบของอีกคน เจ้าตัวยุ่งไม่กล้าหันไปค้าน แม้ในใจจะร้องเหย็ง

    ดี...ให้มันได้ยังงี้ ทั้งพี่ทั้งน้อง...เชื้อไม่ทิ้งแถว

    “เค้าอาจจะตั้งชื่อให้คล้องกันก็ได้มั้ง” คิลออกความเห็น

    “มันคล้องกันตรงไหนวะไอ้คิล มีสมองทำไมไม่คิดดูดีๆก่อน ชื่อตรงข้ามกันชัดๆ”

    “ชื่อที่ตั้งก็ต้องมีความหมายของมันอยู่แล้ว” คำกล่าวเรียบๆจากโร เซวาเรส

    “ถ้ารู้ทำไมจะไม่กรุณาบอกซักหน่อยหือ โร”

    “เดี๋ยวไปถึงนายก็คงจะได้รู้เองนั่นล่ะเฟริน...รู้ด้วยตัวเองน่ะดีที่สุด เชื่อฉันสิ”

    =============

    รู้ด้วยตัวเอง...
    ไอ้บ้าโร!

    เฟรินสบถในใจขณะที่มือทั้งสองกระชับดาบคู่ใจให้แน่นขึ้น

    กะอีแค่คายออกมาให้มันหมดๆ มันจะตายรึไงวะ?!

    เคร้ง!!
    ดาบที่วาดลงมาหนักหน่วงทำให้ความคิดสะดุดเมื่อต้องยกผ่าปฐพีขึ้นไปกัน

    เออ มันอาจจะไม่ตาย แต่เธอนี่สิที่จะตายก่อนมัน!

    คิดแล้วเจ้าตัวก็เหลือบไปมองรอบๆอย่างลุกลี้ลุกลน เวลานี้เธอ คาโล โรเวนและโรกำลังยืนอยู่ข้างเกวียน และประจันหน้ากับมือสังหารชุดดำนับสิบ!

    ไม่ต้องคิดมากก็พอจะรู้ว่าเป้าหมายของพวกมันคือจักรพรรดินีที่อยู่ข้างในเกวียนกับคิล

    ข่าวเกี่ยวกับเรื่องที่วิเวียนออกจากเอดินเบิร์กเพื่อมาที่สโนว์แลนด์คงจะรั่วไหล...แต่ได้อย่างไรนั้นตัวเธอเองก็สุดจะเดาได้

    “เฟริน ระวัง!”

    เคร้ง!
    เสียงเตือนจากคาโลทำให้เธอยกดาบขึ้นมากันได้อย่างหวุดหวิด เจ้าหญิงสองดินแดนกัดฟันกรอด แล้วเสือกดาบเข้าไปที่ท้องคนลึกลับตรงหน้าอย่างหงุดหงิด

    เอาไว้รอดไปจากนี่ได้ก่อนเถอะ ค่อยไปถามไอ้นักวิเคราะห์ทั้งหลายข้างๆนี่
    แต่ก็ในกรณีที่ทั้งพวกมันทั้งเธอต่างก็ยังมีลมหายใจและอวัยวะครบถ้วนสมบูรณ์!

    ===================

    เสียงดาบปะทะและเสียงการต่อสู้ดังเอะอะเข้ามาถึงข้างในเกวียน ร่างบางนั้นนั่งเกร็ง ส่วนหัวใจเต้นรัวเป็นเจ้าเข้า ทั้งกังวลทั้งเป็นห่วงในความปลอดภัยของพวกพี่หญิงเธอที่กำลังสู้อยู่ข้างนอกนั่น

    นัยน์ตาสีมรกตฉายแววตื่นตระหนกชัด ขณะที่เจ้าของมันขยับเข้าไปใกล้คนที่ประคองตัวเธอเอาไว้อยู่มากกว่าเดิม เสียงหวานที่ดังออกมานั้นเบาราวเสียงกระซิบ

    “คิล นี่พวกพี่หญิงจะเป็นอะไรไหม” ทว่าไม่มีเสียงใดๆตอบกลับมาจากคนถูกถาม เพราะภายในใจของนักฆ่าหนุ่มตอนนี้กำลังสดับฟังเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นด้วยความสับสนและหวาดหวั่น ทว่าสาเหตุนั้นกลับไม่ใช่เรื่องเดียวกันกับสาวน้อยในอ้อมแขน

    นัยน์ตาสีม่วงเพ่งมองไปรอบด้านอย่างระแวดระวัง พลางก็โอบประคองร่างหญิงสาวให้มั่นคงขึ้นราวกับคอยปกป้องคุ้มครองจากอะไรก็ตามที่อาจจะโผล่เข้ามาทำร้ายเธอได้ทุกเมื่อ

    ภายในใจของนักฆ่ากำลังเฝ้าภาวนาต่อพระเจ้าทั้งที่คนทำไม่เคยนึกเชื่อโดยไม่รู้ตัว

    ได้โปรด ขอให้เป็นเพียงความบังเอิญ

    “คิล” เสียงเรียกนั้นทำให้ร่างสูงชะลอความคิดไว้เพียงครู่ ก่อนก้มลงมองต้นเสียง

    “มีอะไร?”

    “พวกพี่หญิงจะปลอดภัยไหมคะ” ขนงเรียวนั้นมุ่นด้วยความวิตก นัยน์ตาสีมรกตฉายประกายวูบไหวอย่างอาทรร้อนใจ ทั้งๆที่เจ้าตัวเองต่างหากคือเป้าหมายของกลุ่มคนเหล่านี้

    “พวกมันเอาตัวรอดได้น่า ห่วงตัวเองเถอะ” คิลเอ็ด ในโสตยังคงสดับฟังสรรพเสียงรอบตัว สัญชาตญาณถูกปลุกให้ตื่นเต็มที่เพื่อระวังภัย

    “หญิงไม่เป็นไร คิลออกไปช่วยพวกพี่หญิงรับมือกับพวกมันเถอะ” น้ำเสียงที่เหมือนออกคำสั่งนั้นดูไม่ได้ผล เพราะคนตรงหน้าถูกกำชับหนักแน่นจากคนอื่นมาว่าให้อยู่ในนี้เพื่อปกป้องเจ้าหญิงแห่งเวนอล

    เสียงกรีดร้องด้วยความทรมานดังระงม จนคนที่ไม่ถูกกับเรื่องแบบนี้ต้องหลับตาปี๋ มือน้อยๆคว้าเสื้อคนข้างตัวไว้แน่นไม่ยอมปล่อย ร่างบางสั่นน้อยๆขณะได้แต่ภาวนาให้การต่อสู้นี้จบลงโดยเร็ว

    ฉับพลันคนในเกวียนทั้งคู่ก็ต้องสะดุ้งเมื่อได้ยินเสียงแปลกๆดังมาจากเบื้องบน และเสียงนั้นก็ทำให้นัยน์ตาสีม่วงกระด้างขึ้นทันที

    “ไม่ มันไปทางนั้นแล้ว สกัดเอาไว้เร็ว!” เสียงเฟรินตะโกนลั่น แต่ไม่ทันให้มีใครตอบรับหรือได้ปฏิบัติตาม เมื่อจู่ๆเสียงวัตถุแหวกอากาศก็ดังขึ้นพร้อมๆกับที่ต้นกำเนิดเสียงนั้นพุ่งตรงเข้ามาในเกวียน

    ...ก่อนที่ปลายคมจะปักลงบนเนื้อไม้

    มาแล้ว...

    “คิล! วิเวียน! มีใครเป็นอะไรมั้ย?!” เสียงของคาโลร้องถาม

    “พวกเราปลอดภัยดีค่ะ!” วิเวียนร้องบอกกลับไปก่อนเบือนสายตากลับมาดูที่พื้นเกวียนตรงหน้า

    กริชเงินเล่มหนึ่งฝังใบมีดเกือบครึ่งลงบนเนื้อไม้ อยู่ห่างจากบริเวณที่พวกเธอนั่งอยู่ไม่ถึงวา หัวใจของจักรพรรดินีแห่งเวนอลหล่นวูบไปครู่ก่อนที่สติจะค่อยๆกลับคืนมา

    ขณะที่นัยน์ตาสีม่วงซึ่งทอดมองไปยังกริชนั้นกำลังฉายแววสับสน ส่วนภายในใจนั้นกำลังถูกทำให้ไหวหวั่นปวดร้าวเมื่อเข้าใจความหมายของเหตุการณ์เบื้องหน้าดี

    สัญญาณให้ลงมือ...

    ====================
    จบเสียที ดองไว้หลายวัน จนไม่น่าเชื่อว่าจะจบได้ sweatdrop

    เหมือนเดิมฮะ พลังจิ้นถดถอย...

    เคยได้ยินกันมาบ้างใช่ไหมฮะที่เค้าว่า "เกลียดอะไรมักจะได้อย่างนั้น"

    เรื่องนี้สืบเนื่องจากวันหนึ่งที่ข้าน้อยกำลังหาฟิคหนูวิเวียนมาอ่าน(หากใครรู้ช่วยแนะนำบ้างฮะ) แล้วก็ไปเจอฟิคของท่านหนึ่ง ที่ได้ทำแบบทดสอบตัวละครบารามอสฯ

    หลังจากที่ทำไปแล้ว

    ผลที่ข้าน้อยได้ ฮือๆ Crying or Very sad มันคือไผ... ทุกท่านทราบไหมฮะ

    มันคือ...!!

    อ้างอิงจาก:
    ตะแล้น~ คุณคือ...
    โรเวน ฮาเวิร์ด เดอะเมจิกปรินซ์ ออฟ เจมิไน
    ซาตานตัวจริงแห่งป้อมอัศวิน
    คุณเป็นคนมีความรับผิดชอบ
    รู้จักเลือกและคิดอะไรรอบคอบพอสมควร
    การเรียนไม่เป็นปัญหาใหญ่สำหรับคุณ
    กระนั้นคุณก็ไม่ได้ซีเรียสจนขาดอารมณ์ขันไป
    ประโยชน์ของคนส่วนรวมและหน้าที่การงานมีความสำคัญกับคุณ
    แต่บางครั้งการแสดงความรู้สึกส่วนตัวเล็กๆน้อยๆก็ไม่เป็นเรื่องเสียหายอะไร
    เราไม่มีอะไรจะแนะนำได้จริงๆ - -;; เพราะอย่างที่ราชินีลูน่าเคยบอก
    "ชั้นเองก็คงไม่มีปัญญาพอจะไปแนะนำมหาราชแห่งเจมิไนร็อก!"

    [เยี่ยมชมไอดี >> my.dek-d.com/Anarya]


    (หากสนใจเข้าไปดูได้ที่ไอดีของน้องเขาได้ฮะ)

    ข้าน้อยล่ะอยากลาไปเอาหัวชนเต้าหู้ตายจริงๆ

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×